27
ปุริมายกแก้วช็อคโกแลตขึ้นจิบ ความอุ่นบรรเทาลง แต่เมื่อมองไปยังชายที่นั่งตรงกันข้าม แก้วกาแฟของเขายังไม่ถูกหยิบ และของเหลวสีน้ำตาลเข้มที่ไม่พร่องลงไปเลย
“คุณ กาแฟเย็นหมดแล้ว”
เขมรัฐหันกลับมา มองเครื่องดื่มตัวเองแล้วถอนใจ มองเม็ดฝนกับลมที่ยังกรรโชกไม่หยุด ขณะที่ทั้งคู่นั่งอยู่ในร้าน กาแฟในอาคารพาณิชย์ริมถนน
“สี่โมงแล้ว กว่าจะหยุดตกก็ค่ำ กว่าจะออกเรือได้อีกทีก็คงเช้า”
“มีพี่กบอยู่ด้วย ไม่น่าเป็นห่วงแล้วล่ะ
“ใครว่าล่ะ กบนั่นแหละที่น่าเป็นห่วง”
คนฟังย่นคิ้ว “พี่กบน่ะผู้ชายนะยะ ต้องห่วงบุ้งที่เป็นผู้หญิงสิ
เขาหัวเราะขึ้นมา “ถูกที่มันเป็นผู้ชาย แต่มันเป็นผู้ชายที่อยู่ในกะลาน่ะ”
หญิงสาวไม่เข้าใจ แต่ชายหนุ่มก็ไม่เฉลย ได้แต่ยิ้มเป็นปริศนา
ยิ่งฝนตกนานเท่าไรความเงียบเริ่มมีบทบาทมากขึ้น บัณฑิตานั่งกอดเข่าฟังเสียงลมกับน้ำ ธรณิศนั่งอยู่ใกล้กัน แต่ไร้การเคลื่อนไหวราวกับว่าเขาเป็นรูปปั้นที่ไร้ลมหายใจ
จนกระทั่งเมื่อเขาขยับหยิบโทรศัพท์หญิงสาวเกือบสะดุ้ง แววตาผิดหวังเมื่อพบว่ามันไม่มีสัญญาณให้ติดต่อ
“มีอะไรก็ต้องรายงานพี่เข้ตลอด พี่กบนี่รักพี่เข้มาสินะ”
“อืม” ปากตอบไวเกินกว่าใจคิด ธรณิศรีบขยายความ “ไม่ได้รักแบบนั้น”
อ้อ รู้เหมือนกันนะว่าประชด เธอเชิดหน้า
“ครอบครัวนายเข้มีบุญคุณกับครอบครัวพี่ ตั้งแต่เด็กแล้วเจ๊หงส์คอยช่วยเหลือตลอด”
แล้วคนเล่าก็นิ่ง คนฟังเลยอารมณ์ค้าง “เล่าต่อสิ หยุดทำไม แม่พี่เข้ช่วยอะไร” ร่วมนาทีว่าที่อีกฝ่ายจะเอ่ย ราวกับต้องเรียบเรียงเรื่องที่มีมากมาย “เมื่อก่อน...ครอบครัวพี่มีเรือหาปลา แต่มีปีหนึ่งพายุเข้า บ้านกับเรือโดนพายุพัดพังหมด อาตาย อาสะใภ้ก็แยกไปครอบครัวใหม่”
“ตอนพี่เป็นเด็กเหรอ”
“ประมาณสิบขวบ” เขาบอก ริมฝีปากจุดยิ้มบาง ๆ “โชคดี อากง หมายถึงพ่อเจ๊หงส์น่ะ จ้างพ่อกับแม่ แล้วก็...ส่งพี่เรียนด้วย”
คำบอกเล่าบ่งบอกความเป็นธรณิศที่ไม่ค่อยได้ใช้คำพูด การเรียบเรียงไม่สละสลวย แต่ในความสั้นได้ใจความ รวมทั้งแฝงไว้ซึ่งความซาบซึ้งในบุญคุณ เช่นเดียวกับเธอ ที่เขากลายเป็นเจ้าหนี้บุญคุณด้วยเหตุเพราะเที่ยวเล่นจนเพลิน ทำให้เขาต้องเสี่ยงอันตรายมาช่วย
และเพราะเหตุนี้ เขาถึงได้วางตัวเสมือนเป็นองครักษ์ของเจ้าชายนายเข้ แม้ว่าเจ้านายหนุ่มจะไม่จำเป็นต้องให้ใครปกป้องก็ตาม แต่เชื่อว่ามือขวาคนนี้คงพร้อมพลีกายรับใช้ อย่างน้อยก็กรณีเธอล่ะ แค่มองยังทำเหมือนตัวเองต้องโทษ
บัณฑิตามองเขาแล้วถอนใจยิ้ม ๆ ชายหนุ่มหันมาสบตาเมื่อเห็นหญิงสาวขยับ
“บุ้งหิวมั้ย”
“หิวสิ 7-11 อยู่ที่ไหนล่ะ”
ธรณิศหัวเราะ “รอเดี๋ยวนะ ตอนพี่ขับเรือมาเห็นมีของกินอยู่ในเรือด้วย น่าจะเป็นของน้าเจ้าของเรือ เดี๋ยวเราขโมยกินก่อน กลับไปค่อยซื้อใช้” เขาลุกขึ้น ไถลตัวลงจากเนินไปอย่างคล่องแคล่ว
บัณฑิตารู้สึกหายใจสะดวกขึ้น หวังว่าทุกอย่างมันจะปลอดโปร่งขึ้นจากการที่เปิดใจ เอาล่ะ รู้ว่าเขาเข้าใจผิดเรื่องเธอกับนายเข้ รู้ว่าไม่กล้าคิดกล้าข้ามเพราะอีกฝ่ายเป็นเจ้านายผู้มีพระคุณ
ถือว่าการมาช่วยครั้งนี้เป็นตั๋วจองก็แล้วกันนะ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นชายหนุ่มก็กลับมา นอกจากถุงขนมกับน้ำเปล่า เขายังมีผ้าผืนหนึ่งมาด้วย ปากบอกว่าคงเป็นของเจ้าของเรือ เขายื่นให้
“เช็ดตัวซะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
มันไม่ใช่ผ้าขนหนู แต่เป็นผ้าห่มผืนบางอยู่ในถุงพลาสติก คงมีไว้สำหรับนักท่องเที่ยวกระมัง
“ดีกว่าปล่อยตัวเปียกนะ”
“ไม่ทันแล้วมั้ง” เธอทำหน้าทะเล้นเพราะต่างคนเปียกปอนไปแล้วทั้งคู่ “พี่ก็เปียกเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็แห้ง”
“เปียกไปถึงกางเกงในไหม”
“บุ้ง”
บัณฑิตาหัวเราะคิก พอเห็นชายหนุ่มทำท่าตำหนิทั้งที่หน้าขาวแดงระเรื่อก็ขำ ยิ้มชอบอกชอบใจ ดีใจที่ได้เห็นคนหน้าเครามีอารมณ์ขึ้นมาบ้าง เธอแกะถุงพลาสติก ข้างในเป็นขนมปังก้อน พอบิออกมาก็เป็นไส้ถั่วแดง หญิงสาวยื่นให้เขา
“คนละครึ่ง”
ธรณิศส่ายหน้า
“ไม่ได้ ถ้ากินก็ต้องกินด้วยกันสิ ถ้าเกิดมียาพิษบุ้งจะได้ไม่ตายคนเดียว” เธอพูดแจ้ว “หรือพี่กบไม่อยากตายกับบุ้งใช่ไหม อย่างว่าล่ะนะ ขนาดไปทำบุญยังยืนห่างซะกลัวบุญจะติดตัวเลย คงเบื่อยัยสก๊อยเต็มทีแล้ว”
“กินก็ได้” เขารีบคว้าไป “พูดเยอะ ๆ เหนื่อยไหมเนี่ย”
ปลายเสียงอีกฝ่ายเหมือนจะล้อ หญิงสาวตาโต โอ้โห ได้ยินอย่างนี้ยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่งอีก เธอลอยหน้า
“ขนาดพูดเยอะอย่างนี้ คนบางคนยังไม่ค่อยเข้าใจเลย ชอบคิดไปเอง”
ธรณิศนิ่ง และเงียบไปอยู่ใหญ่ บัณฑิตารู้ว่าชายหนุ่มรู้ตัวว่ากำลังโดนกระทบ แต่ไม่รู้ทำไมเงียบ ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่โต้ตอบออกมา เธอกัดขนมปัง ถึงจะเย็นชืดแต่ยังมีรสชาติกว่าตาเคราคนนี้เลย
ได้อาหารกับน้ำไปนิดหน่อยแต่ก็พอให้มีกำลัง เพียงแต่อากาศและเวลาเดินหน้าสู่ราตรี บัณฑิตาอ่อนแรงหันซ้ายขวาเหมือนอยากจะเอนกาย
“ง่วงเหรอ นอนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวพี่เฝ้าให้”
อีกฝ่ายทำตามโดยไม่เถียง รู้สึกกายร้อนผะผ่าวคล้ายจะเป็นไข้ เธอนอนตะแคงหนุนแขนตัวเอง ผ้าผืนบางบรรเทาความเย็นเยือกเพียงเล็กน้อย
“พี่กบก็นอนสิ...”
“ไม่เป็นไรหรอก” เขาบอก จับจ้องร่างแบบบางที่นอนคุ้ดคู้ แก้มขาวแดงระเรื่อ เพียงไม่นานก็เข้าสู่นิทรา
ชายหนุ่มนั่งอยู่ครู่หนึ่งก็ถูกความง่วงงุนโจมตีบ้าง เขาขยับกายนอน ทิ้งระยะห่างเล็กน้อยระหว่างกัน พอเอื้อมมือไปขยับผ้าห่มให้และพบว่าร่างกายอีกฝ่ายส่งไอร้อนออกมา และเริ่มสั่นสะท้าน
“พี่ด้วง พี่จ๋า...”
ถ้อยคำละเมอถึงพี่ชายที่เสียไปแล้วยิ่งบ่งบอกว่าหญิงสาวเกือบ ๆ จะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อย่างโดดเดี่ยว แม้ว่าเบื้องหน้าจะสดใสร่าเริง แก่นเซี้ยวเกินวัย แต่ในลึก ๆ ก็โหยหาความอบอุ่นที่ตัวเองไม่มีวันได้กลับคืน
นั่นคือสิ่งที่ธรณิศต้องการเช่นกัน
...ชอบคิดไปเอง...
“พี่คิดไปเองเหรอ”
ราวกับว่าหญิงสาวรู้คำรำพึงของเขา เธอขยับกายเข้ามาจนสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากกายของชายอีกคนก็ขดตัวเหมือนเด็ก
ธรณิศนิ่งงัน ครั้นแล้วในวินาทีถัดมาก็ยอมแพ้กับความปรารถนาในหัวใจ เขาทอดแขนโอบกอดหญิงสาว เบียดกายใกล้ชิดหวังว่าความรักที่มีล้นเหลือจะถูกถ่ายทอดและบรรเทาความเหน็บหนาว
หากโลกนี้มีพรสักข้อ เขาจะไม่โกหกโลกสวยว่าขอให้มันสงบสุข แต่จะเห็นแก่ตัวขอให้มีเธออยู่แบบนี้ตลอดไปก็เพียงพอแล้ว
วันอาทิตย์ ถึงจะเป็นช่วงตีห้าแต่ฟ้าเปิดแล้ว กิจวัตรประจำวันของคนบ้านน้ำทองก็เริ่มแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่เริ่มมีการจับจ่ายซื้อของ ร้านรวงเริ่มตั้ง หมูปิ้ง ปาท่องโก๋ ติดเตาเตรียมขายแก่คนทำงาน พระสงฆ์มาเดินบิณฑบาต
ธรณิศจอดรถแล้วก้าวยาว ๆ มาเปิดประตูฝั่งบัณฑิตา หญิงสาวบอกว่าเดินไหว เขาจึงขยับออกไปเล็กน้อย แต่พอก้าวลงมาก็เซแต่ชายหนุ่มคว้ามือไว้ทัน
“ไหวแน่นะ”
“ไม่เป็นไรพี่กบ” แม้ตัวจะร้อนเหมือนโดนไฟแต่มีรอยยิ้มบนหน้าหญิงสาว
“มา เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง”
ที่พักของเธออยู่ติดตลาด หญิงสาวจึงมักปรากฎกายและคุ้นเคยกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้า เช่นเดียวกับวันนี้ซึ่งพอชายหนุ่มเดินไปส่งถึงอพาร์ทเม้นท์ก็มีสายตาหลายคู่มองตาม หนึ่งในนั้นคือครูปลา เธอทำตาโตอย่างตื่นเต้นในจังหวะที่หนุ่มสาวใกล้ชิด คนสองคนในช่วงเวลาเช้าตรู่ ไม่ได้เพิ่งมาเจอกันนั่นก็แปลว่าพบกัน ณ สถานที่อื่น โดยใช้เวลาร่วมคืนกัน
ตายแล้ว...
ขณะที่บัณฑิตาพอได้โจ๊กหนึ่งถุงกับยาแก้ไข้เข้าไปก็หลับเป็นตายไม่รับรู้อะไร รวมทั้งลืมไปว่าเธอมีงานประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนในวันนี้
ต่อ...
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
8 ก.พ. 55 18:36:33
|
|
|
|