ลำนำที่ ๑ เหมันต์วนเวียน
บทที่ ๑ งานเลี้ยงเที่ยงวัน
ในวันก่อนผลัดเข้าฤดูหนาวของแคว้นปิง ๑ วัน เป็นโอกาสแห่งการเฉลิมฉลอง เนื่องจากแคว้นปิงอยู่ทางตอนเหนือ ติดกับแนวเทือกเขาหิมะใหญ่ ดังนั้น อากาศส่วนใหญ่จึงผูกพันกับความหนาวเหน็บ ผู้คนคุ้นชินกับสายลมของเหมันต์ที่มักจะวนเวียนมาเยือนไม่ขาดระยะ และนับถือหิมะแรกของปีในฐานะของกำนัลจากเทพภูผาหิมะ
หากงานฉลองปีนี้ก็ยังจัดยิ่งใหญ่กว่าทุกปี เนื่องด้วยราชาแห่งแคว้นปิงถือโอกาสฤกษ์งามยามมงคล หมายมั่นจะประกาศแต่งตั้งองค์ชายรองอันเกิดแต่พระราชินีรัชกาลปัจจุบันขึ้นเป็นองค์ชายรัชทายาทพร้อมประทานคู่สมรส ทั้งยังผูกสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับแม่ทัพหนุ่มผู้เป็นน้องชายของพระราชินีอีกชั้น ด้วยการรับธิดาคนโตผู้กำพร้าแม่ของท่านแม่ทัพมาเป็นบุตรีบุญธรรม สถาปนาตำแหน่งองค์หญิง
ดังนั้น เมืองหลวงแห่งแคว้นจึงคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนออกมาร่วมดูขบวนนำราชโองการแต่งตั้งคุณหนูคนโตของท่านแม่ทัพหน้าจวนเนืองแน่นในเวลากลางวัน และรับพืชผลพร้อมอาหารแจกที่มีมากมายเป็นพิเศษเนื่องในโอกาสวันมงคลของรัชทายาทที่มีพร้อมกันอย่างเปรมปรีดิ์
และเมื่อตกเวลากลางคืน....ทั่วทุกแห่งหนจะช่วยกันประดับโคมไฟสีฟ้า กินดื่มคึกคัก แผดเผาสุรารสแรง รอรับหิมะแรกของปีที่จะมาเยือน
หากยามนี้ยังเป็นเวลากลางวัน...พ้นเที่ยงวันไปเล็กน้อย ราชโองการแต่งตั้งไปถึงมือคุณหนูของแม่ทัพผู้กล้า นางจะออกมาจุดธูปกราบไหว้ฟ้าดิน เทพภูผาหิมะ ก่อนกลับเข้าไปเพื่อใช้เวลาทั้งวันนี้อยู่กับครอบครัวของตนเอง จนในเช้าวันฤดูหนาวแรกค่อยออกมาคำนับพ่อแม่ ก้าวขึ้นเกี้ยวเข้าวังกลายไปเป็นองค์หญิง
นี่เป็นเวลาเดียว ที่ชาวเมืองหลวงมีสิทธิ์ยลโฉมคุณหนูผู้กำลังจะกลายเป็นเชื้อพระวงศ์ของแม่ทัพใหญ่สกุลเว่ย
เว่ย อวี้ซู่
ความจริงลำพังแค่ชื่อเสียงของท่านแม่ทัพ ก็มากพอจะให้ชาวเมืองทุ่มเทความสนใจให้แล้ว นี่ยังไม่นับคำร่ำลือปากต่อปากที่ไม่ทราบแพร่กระจายจากไหนว่า ธิดาคนโตกำพร้าแม่ของท่านแม่ทัพนั้นเป็นหญิงงามยากจะหาตัวจับได้ ประชาชนที่ส่วนใหญ่ก็ว่างงานในวันฉลองอยู่แล้ว จึงถือโอกาสไปร่วมใจกันมุงเผื่อเล่าสู่กันฟังเสียเรียกได้ว่าแทบหมดเมือง
ในส่วนนอกกำแพงเมือง บนทุ่งสนสูงที่มีแต่ครอบครัวเล็กๆเปิดร้านน้ำชาอยู่ก็ยังพลอยปิดไปกับเขาด้วย ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่าไม่ไกลนัก มีม้าสีดำพ่วงพีตัวหนึ่งเหยาะย่างมองมาด้วยนัยน์ตาแสนรู้
มันควบเท้ามาใกล้ทุกขณะ หากครั้นแน่ใจว่าปราศจากผู้คนจริงๆก็กลับหยุดเท้า หันหลังหายหลับแนวสนไปเสียดื้อๆ
แต่เพียงพริบตามันก็โผล่มาใหม่ หากคราวนี้ บนแผ่นหลังกว้าง...ได้ปรากฏผ้าคลุมสีดำผืนหนึ่งถูกทอดทิ้งไว้
ม้าดำตะกุยเท้า เหยาะย่างเร้นกายกลางหมู่สน อย่างที่คงมีเพียงมันเท่านั้น ที่มิได้ใส่ใจ่ต่อคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ย ที่กำลังเป็นที่สนใจของทั้งเมืองในยามนี้
คงมีเพียงมัน...ตัวเดียว
<>:<>:<>:<>:<>
หากนั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด ! เพราะจริงแท้แล้ว ยังมีอย่างน้อยอีกผู้ที่ไม่คิดใส่ใจการปรากฏตัวของคุณหนูอะไรนั่นแม้แต่น้อย นางถึงขนาดภาวนาแทบจะเป็นสาปแช่งให้หิมะตกก่อนกำหนด ไต้ฝุ่นเข้า แผ่นดินไหวด้วยซ้ำ เผื่องานพิธีดังกล่าวจะยกเลิกไปได้ !
คนดังกล่าว...กลับเป็นเด็กสาวที่ควรจะยินดีที่สุดในวันนี้ แต่กลับนึกยินดีไม่ออก
นางคือเว่ย อวี้ซู่
เด็กสาวที่เค้าหน้าน่ารักน่าเอ็นดูราวตุ๊กตาน้อย กลับกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาด งอกเขี้ยว คิ้วขมวดและหน้าตาถ-ึงทึงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ชนิดว่าหากสามารถแอบเร้นออกไปปะปนผู้คนข้างนอก ผลัดผ้าผ่อนได้ ย่อมไม่มีใครจับได้เป็นแน่ ว่านางคือ ธิดากำพร้าโฉมงามของท่านแม่ทัพ
เธอ มั่นใจ...ว่าขอเพียงมีโอกาสที่ว่า เธอ จะทำได้ แน่นอน !
แต่ทว่าบัดนี้...อย่าว่าแต่โอกาสเลย แค่ความคิดจินตนาการ ก็ไม่แน่ว่าจะมีสิทธิ์สำเร็จด้วยซ้ำไป เพราะเพียงหญิงอ้วนท้วมสมบูรณ์ กับหญิงร่างโปร่งระหงราวนางละครวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าห้องขยับตาปรายมา เธอก็ต้องรีบปัดความคิดดังกล่าวทิ้ง ทำเป็นทบทวนสิ่งที่ตนเองต้องทำ ก่อนค่อยแยกเขี้ยวใส่ เมื่อทั้งคู่หันกลับไป
นี่นับเป็นการสถาปนาองค์หญิงบ้าบออะไรกัน...พิธีแต่งตั้งนักโทษอย่างเป็นทางการโดยแท้ !
ความจริง หากเป็นเด็กสาวอายุ 16 ...มีโอกาสได้ใส่เสื้อผ้าสีที่มีเพียงเชื้อพระวงศ์ใช้ได้ รับชุดเครื่องประดับพระราชทานทองคำประดับมุกขางามตามทั้งชุด ใครบ้างเล่าจะไม่ตื่นเต้นดีใจ ปฏิกิริยาของคนรอบข้างที่คาดหวังก็นับว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วนั่นแหละ
ทว่า....เรื่องเหล่านั้นกลับไม่ใช่ความจริง !
เพราะเมื่อหญิงสาวอายุ 20 คนหนึ่งได้รับของแบบนั้นมา เธอกลับมองเห็นได้ในพริบตาถึงเงื่อนไข กฎกระเบียบ รวมถึงเค้าอายแปลกประหลาดชวนให้ระมัดระวังตัวที่แนบมาพร้อมของเหล่านั้นอย่างไม่อาจแยกกันออก
ใครใช้ให้เธอดันพ้นวัยสาว 16 ย่างเข้าสู่วัย 20 ที่เลิกคิดถึงเรื่องความรักความสวยงามแบบนั้น เป็นวัยที่ต้องการแสดงความสามารถให้เห็นด้วยการทำงานกันเล่า ?
แล้วที่สำคัญ....ใครกัน...ที่ใช้ให้เธอไม่ใช่อวี้ซู่ บุตรีสุดสวาทของท่านแม่ทัพ ว่าที่องค์หญิง พระน้องนางในองค์รัชทายาท
แต่เป็นนางสาวมุกมณี วายุกูล อายุ 20 ปี ศึกษาคณะศิลปะศาสตร์ เอกประวัติศาสตร์ ปี 4 สัญชาติไทย และที่อยู่ตามทะเบียนบ้านอยู่ที่กรุงเทพมหานคร !
สถานที่ซึ่งอยู่คนละโลกโดยสิ้นเชิง...กับแคว้นปิงแห่งนี้
มุกมณีแน่ใจ ว่าเธออยู่คนละโลกแน่ๆ หลังจากได้สติ...เมื่อร้องกรี๊ดโวยวายจนพอใจ และรับการมองแปลกๆจากผู้คนรอบตัวคล้ายกับว่าเธอเสียสติไปแล้วนั่นแหละ หญิงสาวจึงหุบปากและนิ่งเงียบทบทวนเรื่องที่ผ่านมาอย่างเอาเป็นเอาตาย
วันเวลาเป็นสิ่งแรกที่มุกมณีนึกถึง หากที่นี่ไม่มีทั้งนาฬิกาดิจิตอล กระทั่งปฏิทินหญิงสาวก็ยังมองไม่เห็นและไม่มีความกล้าพอจะถาม ได้แต่พยายามนึกลำดับเอาเองให้ได้มากที่สุด และก็นับเป็นเคราะห์ดีจริงๆที่ความทรงจำของเธอไม่ได้จากเธอไปเหมือนร่างกายดังที่เธอกังวล
หล่อนจำได้แม่นยำว่าวันนี้เป็นวันที่ทุกคนเพิ่งสอบปลายภาคเสร็จ แต่ยังไม่หมดกำหนดส่งรายงานประจำวิชา หากทว่าก็นั่นแหละ พวกเธอเป็นนักศึกษาปี 3 กำลังยุ่งได้ที่ทั้งเรียนทั้งกิจกรรม รายงานก็ต้องส่ง แต่กิจกรรมเข้าค่ายก็ต้องไป แล้วค่อยวกกลับมาส่งรายงานในวันเส้นตายสุดท้ายพอดีเมื่อออกจากป่า
จริงๆในความคิดส่วนตัวของมุกมณีเอง หล่อนไม่ถือว่าสถานที่แห่งนั้นนับเป็น ป่า อะไรนักหนา เพราะมันมีความสะดวกสบายหลายอย่าง ไม่ต้องคว้านน้ำขึ้นมาอาบเอง ไม่ต้องก่อกองไฟทุกคืนในตอนดึกๆ เว้นจากเสียงหรีดริ่งเรไรสลับอึ่งอ่างคางคกในบางคืน ก็ไม่มีสรรพสำเนียงจากสัตว์ชนิดใดรบกวนอีก
ควรบอกว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนแบบใกล้ชิดธรรมชาติ ที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกสมัยใหม่สอดแทรกไปไม่ให้เสียอรรถรสมากกว่า
การเข้าค่ายนั้นผ่านไปโดยเรียบร้อยจนถึงกิจกรรมรอบกองไฟในคืนสุดท้าย
ไม่สิ...ก่อนจะถึงเวลาค่ำคืนต่างหาก
ตอนนั้นมันก็เกิดเรื่องขึ้น....
หญิงสาวเม้มปากแน่น หลุบตาลงต่ำเมื่อความทรงจำของเรื่องราวนั้นไหลบ่าชัดเจน...โดยเฉพาะในตอนก่อนที่หล่อนจะกลับเข้าไปนอนในที่พักคนเดียว และหลับไปในที่สุดนั่น
ใครจะไปคิดกันล่ะ ว่านั่น...จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของหล่อน...
ก่อนที่จะสะดุ้งตื่น...ที่นี่ สภาพนี้...พร้อมความเจ็บปวดนั่น !
มุกมณีกำมือแน่น ปลายนิ้วของอวี้ซู่เรียวยาวและบอบบางจนเพียงปลายเล็บแตะเล็กน้อยก็ทำให้หล่อนเจ็บจนแทบแยกเขี้ยว ต้องรีบคลายมือ หากยังไม่คลายความมุ่งมั่นในจิตใจ
จะให้หล่อนยอมอยู่รับสภาพนี้น่ะหรือ ? ให้หลับฝันแล้วตื่นมาอีกทียังไม่มีทางเลย !
หล่อนมีเรื่องต้องกลับไป...จัดการ
ต้อง กลับไป ให้จงได้ !
คุณหนู สาวใช้ร่างอ้อนแอ้นร้องเรียก สุ้มเสียงอ่อนหวาน แต่กังวานหนักแน่นเรียกความเย็นเยียบให้ไต่เดี๊ยะตามสันหลังคนฟังอย่างประหลาด ใกล้ถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะ
หญิงสาวหันหน้าไปมอง สาวใช้ผู้พ่วงตำแหน่งทวารบาลและผู้คุมทั้งสองยืนคอยอยู่พร้อมรอยยิ้มที่แลเลยไปถึงดวงตา
มุกมณีผุดลุกขึ้น พาเรือนร่างระหงบอบบางราวกลีบดอกไม้อ่อนหวานในชุดสีฟ้าสลับส้มแซมเหลืองของอวี้ซู่ก้าวเดินออกไปเบื้องหน้า ออกพ้นประตูรับรองไปในที่สุด...
ตอนนี้...เห็นมีแต่ต้องตามน้ำไปก่อนเท่านั้นแหละ
หากอย่าให้หล่อนมีโอกาสแล้วกัน !
<>:<>:<>:<>:<>
ยามเที่ยงเป็นเวลาตะวันตรงหัวดูจะเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่แปรเปลี่ยนไม่ว่าที่ไหน แสงแดดที่ยังเหลือแรงร้อนแม้ใกล้เวลาหนาวเหน็บทุกขณะแผดจ้า ทว่าสายลมเย็นพัดโชยจากทิวเขาก็ทอนอำนาจนั้นไปไม่น้อย ชาวชุมชนในเมืองหลวงของแคว้นปิงจึงไม่ยี่หระต่ออิทธิพลธรรมชาติดังกล่าว และยังคงตั้งหน้าชะเง้อคอมองไปที่ถนนหน้าจวนแม่ทัพเว่ยที่บัดนี้กำลังจะเปิดรอรับราชโองการแต่งตั้ง
เสียงฆ้องลั่นจากวังหลวงที่อยู่อีกฟากข้างดังแว่วมาก่อน ตามธรรมเนียมกึ่งส่งสัญญาณแจ้งการมาเยือน และยามนั้นเองที่ประตูไม้บานใหญ่สองฟากข้างค่อยเคลื่อนออกจากกัน
คุณหนูใหญ่ของท่านแม่ทัพเว่ย จะเป็นผู้ก้าวออกมารอรับราชโองการด้วยตนเอง
ฝูงคนสงบเสียงลง หนึ่งนั้นเพราะเสียงตีฆ้องที่กำลังเข้ามาใกล้ทุกขณะ หากอีกส่วน...ที่คงน้ำหนักมากกว่า ย่อมไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเป็นเพราะร่างแช่มช้อยที่ค่อยก้าวออกมา
ในวัย 16 ปี ดรุณีที่ก้าวออกมาดูคล้ายพร้อมเบ่งบานเต็มที่ เรือนผมสีดำสนิทเกล้าปักปิ่นเงินสลับแซมมุกสวยสะกระจ่างตา และขับเน้นวงหน้าเรียวได้รูปทรงไข่ที่แต้มติดความอ่อนหวานด้วยนัยน์ตากลมโต กับจมูกโด่งและปากเล็กๆจิ้มลิ้มพริ้มเพรา
แพรอาภรณ์ตัวยาวสีฟ้า...อันเป็นโทนสีที่อนุญาตให้เชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงสวมใส่เท่านั้นขับเน้นผิวขาวผ่องผุดผาดไม่แผกผิดหิมะของนาง ข้อมือเล็กๆที่โผล่พ้นชายเสื้อสวมใส่กำไลหยกสีเขียวจัดแลคล้ายบ่วงประดับเกาะเกี่ยวนางนกน้อยผู้งดงามเริงร่า
ผู้คนที่มาเฝ้าจับจองที่จนได้ทำเลดีพอจะมองเห็นชัดสูดลมหายใจ เมื่อนางกะพริบตาปริบให้แพขนตางอนยาวกระพือไหวคล้ายปีกผีเสื้อ ก่อนหลุบตาลงอย่างสะทกสะท้อนเอียงอาย
ไม่มีผู้ใดกังขาอีกต่อไป....ว่าคุณหนูเว่ย อวี้ซู่ จะไม่ใช่ยอดหญิงงาม...เกรงว่าถ้าไม่มีราชโองการโปรดเกล้าฯลงมาเสียก่อน ภายในไม่กี่วันถัดจากมีผู้พบเห็นนางเช่นนี้ จวนของแม่ทัพเว่ยเห็นจะมีแขกไปเยี่ยมเยือนไม่ขาดสายเป็นแน่ !
แต่บัดนี้ เมื่อโองการแต่งตั้งกำลังเดินทางมาเยือน เห็นโคมสีฟ้าอ่อนสลับขาวนำทางมาแต่ไกล ผู้คนก็ล้วนได้แต่จับจ้องติดตรึงความงามของนางไว้ในความคิดเท่านั้นเอง
เมื่อต่างคนต่างพยายามจ้องมอง ชะโงกชะเง้อให้เห็นชัดกันที่สุด ด้านหลังจึงปลอดโปร่งโล่งสบาย พอให้ร่างสูงสันทัดร่างหนึ่งยืนเอนอิงพิงไปพลางควักถุงหนังใส่น้ำกรอกใส่ปากและเทราดหน้าตนเองส่งท้ายได้อย่างสบาย
ความจริง ไม่ใช่เพียงเพราะผู้คนมัวแต่ฮือพยายามมองไปข้างหน้าเท่านั้น ที่ทำให้ตรงนี้ปราศจากผู้คน แต่ยังเป็นเพราะร่างที่ยืนอยู่นั้น... แม้คราบน้ำจะเพิ่งช่วยชำระล้างใบหน้าไปหมาดๆ แต่ก็ยังไม่อาจลบคราบเปื้อนหรือรอยแผลขีดข่วนบนวงหน้าเข้มแลเห็นไรหนวดเคราจางๆ จนทอนความน่ากลัวลงไปได้อยู่ดี
มันยกฝ่ามือขึ้นปาดหยาดน้ำบนหน้าผาก ก่อนชะงักอย่างนึกได้ ลดมือลงมามอง...แลเห็นคราบสีดำที่เคยแข็งจับฝ่ามือ มาบัดนี้ค่อยๆละลายและคงหายไปบนหน้าผากที่เพิ่งสัมผัสเมื่อครู่ จึงได้แต่ทอดถอนแล้วทิ้งมือลงอย่างไม่คิดสนใจเช็ดหน้าเช็ดตาอีก
ไม่เพียงใบหน้าเท่านั้น หากเสื้อผ้าสีน้ำตาลขะมุกขะมอมมัวหมองด้วยฝุ่นทรายที่เห็นได้ชัดว่าติดเต็มเนื้อตัวของมันทำให้หลายคนถอยห่าง สิ่งเหล่านี้ล้วนบอกชัดว่ามันเป็นคนผ่านทางมาจากแคว้นอื่น
ที่จริงชาวแคว้นปิงไม่มีใครรังเกียจคนต่างถิ่น แต่คนที่แทบเรียกได้ว่าสกปรกมอมแมมเช่นนี้....คงต้องรอไล่ให้มันไปอาบน้ำผลัดผ้าก่อน ผู้คนที่แต่งตัวอย่างดีในงานฉลองจึงจะยินดีสนทนากับมัน
แต่คล้ายคนผ่านทางก็ไม่ใส่ใจจะให้ใครมาสนทนากับตนเช่นกัน นี่กับเป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องออกปาก ใช้สายตามองไปเบื้องหน้าได้อย่างเต็มที่
ในดวงตารีสีดำเข้มจัดนั้นหรี่ลง เขม้นมองผ่านช่องว่างเพียงชั่วหยิบมือ พุ่งตรงข้ามผ่านฝูงชนออกไปเบื้องหน้า
เรือนร่างแบบบางชวนทะนุถนอม....ของคุณหนูเว่ย อวี้ซู่ !
สีดำที่เข้มจัดกลับผุดภาพสะท้อนขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เห็นชัดถึงแม้เพียงแพขนตาหนาที่กระพือขึ้นลงอย่างพยายามซ่อนเร้นแววบางอย่างในดวงตาของสาวน้อยโฉมงาม
ความกังวลอันไม่อาจซ่อนเร้น !
คนจรต่างถิ่นขบกรามแน่นกับภาพที่เห็น ยกถุงน้ำขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ ข่มคลื่นอารมณ์อันพลุ่งพล่านที่มีแต่ตนที่รู้สึก ท่ามกลางความยินดีของฝูงชนที่ชื่นชมขบวนราชโองการที่มาถึงในที่สุด
ธงทิวสีฟ้าหน้าเกี้ยวราชโองการปลิวสะบัด ก่อนคำอ่านจะกึกก้องไปทั่วบริเวณ และร่างอรชรของสาวน้อยผู้นั้นก็ก้มหน้ายอบตัวรับพระราชทานตำแหน่ง
น้ำหยดหมดถุงในที่สุด ให้เจ้าของทิ้งมือหยาบใหญ่ลง ในดวงตาที่มองไปเห็นอะไร คาดคะเนสิ่งใด...ยังคงมีแต่มันที่รู้เพียงผู้เดียว
มันเร้นกาย...หายไปในที่สุด
<>:<>:<>:<>:<>