Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Black Gun And Red Rose - กุหลาบแดงและปืนดำ - นำเรื่อง และ บทที่ 1 ติดต่อทีมงาน

นำเรื่อง

ถนนสายเปลี่ยวเส้นนั้นถูกขนาบข้างด้วยป่าหญ้ารกชัฏที่สูงเลยระดับหัวเข่า รถกระบะคันเก่าของนิเทศเคลื่อนฝ่าความมืดไปด้วยแสงไฟหน้ารถดวงโต จันทร์เสี้ยวที่แขวนตัวอยู่บนท้องฟ้าในยามนี้แอบตัวเข้าหลังกลีบเมฆแห่งราตรีกาล  มันเป็นคืนที่เงียบสงบ แต่นิเทศจะรู้สึกมีความสุขกว่านี้มากหากลูกน้อยไม่เกิดอาการตัวร้อนและเขาไม่เผชิญเรื่องวุ่นวายใจเหมือนที่เป็นอยู่ขณะนี้

การะเกดกระชับกอดทารกในอ้อมอกที่หลับใหลไปด้วยความเพลียเพราะพิษไข้ เธอหันมองสามีที่ตั้งแต่ขับรถกลับมาจากคลินิกก็ไม่พูดไม่จาอะไรอีกเลย เขาดูเคร่งขรึมไปมากตั้งแต่ทำข่าวในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นและเจาะลึกเรื่องการทุจริตในโครงการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างเพื่อนำมาสร้างตึกอเนกประสงค์ประจำชุมชนที่เต็มไปด้วยเลศนัยและผลประโยชน์แอบแฝง

โครงการนั้นเป็นของนายอำเภอที่ชื่อไกรศักดิ์ บุษบายุธ นายอำเภอผู้เกิดในตระกูลผู้มีอิทธิพลและสืบทอดอำนาจทางการเมืองท้องถิ่นจากรุ่นสู่รุ่นมาหลายสิบปี การะเกดพอจะทราบอยู่เลาๆ ว่าข่าวที่นิเทศกำลังอยู่นั้นอันตรายมากเพียงใด

เพราะอำนาจมันร้อนยิ่งกว่าเปลวไฟ

ไม่มีใครในแถบถิ่นนี้เคยหาญกล้าลุกขึ้นยืนท้าทายอำนาจของนักการเมืองมาก่อน

นิเทศคือคนแรกที่กล้าทำอย่างนั้น

แต่การะเกดและนิเทศเองก็ตระหนักดีว่า การกระทำเช่นนั้นต้องชักนำอำนาจมืดและการเล่นสกปรกเข้ามาหาตัวเป็นข้อแลกเปลี่ยนแน่นอน

นิเทศขับรถต่อไปด้วยความเร็วคงที่ ในสมองของนักข่าวหนุ่มยังคงสับสนวุ่นวาย เขานึกเป็นห่วงการไม่สบายของลูกชายวัยหกเดือน และนึกกังวลเรื่องจดหมายขู่ที่ถูกส่งถึงเขาทุกวัน โดยเนื้อความในจดหมายขู่ว่าหากเขายังไม่เลิกทำข่าวเกี่ยวกับนายอำเภอไกรศักดิ์อีก นิเทศจะไม่มีวันได้เห็นหน้าลูกเมียตลอดกาล

จดหมายขู่ในทำนองนั้นถูกส่งมาได้สองสัปดาห์แล้ว แรกๆ นิเทศก็ไม่ให้ความสนใจสักเท่าไหร่ ต่อเมื่อมีโทรศัพท์ลึกลับโทรมาที่ออฟฟิศของเขาเมื่อสามวันก่อนนี้เอง นิเทศจึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างจริงจัง

ไม่ใช่ว่าโทรศัพท์สายนั้นจะขู่กรรโชกหรือว่าสบถถ้อยคำขู่เข็ญอาฆาตรุนแรงอะไร แต่กลับเป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เสียงที่พูดในกระบอกโทรศัพท์เป็นเสียงที่ราบเรียบของชายคนหนึ่ง และคำพูดทุกคำที่เขาคนนั้นพูดออกมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นถ้อยคำที่สุภาพหมดทั้งสิ้น

“พวกเราให้เวลาคิดสองวัน ถ้ายังไม่เลิกจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง ตัวคุณ เมียคุณ และลูกชายของคุณ จะลงไปอยู่ด้วยกันในหลุมฝังศพ หวังว่าคงเข้าใจนะครับ”

มันเป็นคำพูดสั้นๆ ง่ายๆ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที แล้วสายก็ถูกตัดไป

แม้จะเข้าใจดีว่าผู้โทรมามีเจตนาเช่นไร แต่นิเทศก็ไม่ได้ทำตามที่คนในโทรศัพท์ร้องขอ เขายังคงส่งลูกน้องไปสืบข่าวและคุ้ยแคะการทุจริตทั้งในอดีตและปัจจุบันของครอบครัวบุษบายุธ จนกระทั่งวันนี้ โทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง

และคนที่พูดไม่ใช่คนเดิม

“ลื้อนี่มันรนหาที่ตายจริงนะ ไอ้สันขวาน อั๊วจะให้เวลาลื้อถึงหกโมงเย็น รีบพาตัวลื้อกับลูกเมียไสหัวไปจากที่นี่ซะ ไม่อย่างนั้นก็เตรียมจองศาลาสวดศพสำหรับพวกลื้อไว้ได้เลย”

แต่สิ่งที่นิเทศทำคือเขียนข่าวต่อไป เขาพยายามเสแสร้งว่าตนเองไม่เคยได้รับโทรศัพท์สายนั้น และเขาคงจะกลับบ้านดึกเช่นเคยหากเมื่อเย็นการะเกดไม่โทรศัพท์มาบอกว่านพคุณตัวร้อนและมีไข้สูง ให้เขารีบกลับมาพาลูกไปหาหมอด่วน -

“พี่เทศ ดูนั่นสิ รถใครน่ะมาจอดเสียอยู่แถวนี้”

เสียงของการะเกดทำให้ความคิดของนิเทศมีอันหยุดชะงักลง ชายหนุ่มชะลอความเร็วของรถลงเมื่อแสงไฟหน้ารถยนต์ส่องจับรถกระบะคันหนึ่งที่จอดเปิดกระโปรงอยู่ข้างทาง โดยมีชายร่างเล็กหน้าตาซูบเซียวก้มๆ เงยๆ ดูเครื่องยนต์ใต้ฝากระโปรงอย่างเก้ๆ กังๆ

“นั่นสิ รถใครกัน” นิเทศพูดอย่างครุ่นคิด แล้วจึงนำรถจอดเทียบข้างทางต่อจากรถกระบะคันที่เสีย ชายหนุ่มหันมาพูดกับภรรยาก่อนเปิดประตูลงไปจากรถ

“เกดรออยู่ที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะลงไปดูสักหน่อยว่ารถเขาเป็นอะไร ถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถวิ่งผ่านตอนกลางคืนเสียด้วย ปล่อยทิ้งไว้มีหวังเสร็จไอ้พวกปล้นจี้มันเปล่าๆ”

นิเทศเอื้อมมือมาจับแก้มลูกน้อยผู้หลับใหลทีหนึ่ง “รอแป็บนึงนะลูก ขอพ่อลงไปช่วยเขาก่อน เดี๋ยวพ่อจะพากลับไปนอนสบายๆ ต่อที่บ้านนะ”

เขายิ้มเมื่อเห็นลูกน้อยขยับตัว

นิเทศสบตาภรรยาเล็กน้อย แล้วเขาก็ลงไปจากรถ

การะเกดมองตามหลังสามีด้วยความรู้สึกทั้งชื่นชมและเป็นห่วง นิเทศมักเป็นเช่นนี้เสมอ เขาเป็นชายหนุ่มแบบที่มีนิสัยของผู้ช่วยเหลือเต็มตัว หากพบเห็นใครเดือดร้อนไม่ว่าด้วยเหตุผลอันใด นิเทศเป็นต้องกระโจนเข้าไปช่วยเสมอ จึงไม่แปลกที่ตั้งแต่สมัยเรียน หนุ่มที่ทั้งหล่อและนิสัยดีอย่างนิเทศจะมีสาวๆ ตามติดเป็นขบวน

การะเกดรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่มีนิเทศเป็นสามี มีเขาเป็นพ่อของลูก มีเขาเป็นคนที่จะใช้ชีวิตด้วยกันเมื่อแก่เฒ่า หญิงสาวอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ด้วยความขำตัวเอง เธอกับเขาเพิ่งจะมีอายุยี่สิบปลายๆ เท่านั้น แต่ ทำไมเธอถึงนึกภาพของตนเองในสภาพแก่เฒ่านั่งคู่อยู่กับเขาได้ชัดเจนนักนะ?

การะเกดยังคงยิ้ม นพคุณตัวน้อยขยับตัวพลิกศีรษะมาซบแขน เธอจึงจับเขาพาดบ่าและตบก้นเบาๆ ก่อนส่งเสียงกล่อมออกมาแผ่วเบาเพื่อให้ลูกน้อยหลับใหลต่อไป

ในขณะเดียวกันนั้น นิเทศก็กำลังตรวจเช็กเครื่องยนต์รถกระบะของชายหน้าซูบด้วยความงุนงง แม้เขาจะไม่เคยเรียนด้านช่างยนต์ แต่นิเทศก็พอมีความรู้เรื่องเครื่องยนต์ระดับเบื้องต้นอยู่บ้าง เขาตรวจดูน้ำมันเครื่อง หม้อน้ำ ท่อกรอง และขั้วแบตเตอรี่ย์ดูแล้วก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติเลยสักอย่าง

นิเทศดึงตัวเองออกจากกระโปรงรถ และหันมาถามชายหน้าซูบผู้เป็นเจ้าของ

“ทุกอย่างก็ปกติดีนี่ครับ ไม่ทราบว่าอาการมันวิ่งๆ มาเครื่องก็ดับไปเลยอย่างนั้นหรือ?”

ชายหน้าซูบผงกศีรษะ “ครับ วิ่งมาดีๆ พอมาถึงตรงนี้จู่ๆ เครื่องก็ดับไปเฉยเลย สตาร์ทยังไงก็ไม่ติด อ้อ แต่ผมคิดว่าเหมือนได้ยินเสียงอะไรไม่รู้ดังคึ่กๆ ออกมาจากเครื่องรถด้วยแน่ะครับ”

“เสียงดัง?” นิเทศขมวดคิ้ว

“ครับ ดังคึ่กๆ เหมือนอะไรมันหลุดสักอย่าง”

“แน่ใจนะครับว่าดังออกมาจากเครื่องรถ?”

“แน่ใจมากครับ เพราะขนาดผมดับเครื่องแล้ว เสียงบ้านั่นก็ยังดังอยู่อีกเกือบนาทีแน่ะ แต่พอผมเปิดกระโปรงรถดูก็ไม่เห็นมีอะไร”

“แล้วพอจะจำได้มั้ยว่าดังออกมาจากตรงไหนครับ?”

“ตรง...นั่นแน่ะครับ แถวๆ หม้อน้ำ”

นิเทศชะโงกตัวไปยังเครื่องยนต์ที่ชายหน้าซูบชี้บอก เขาเปิดไฟฉายที่เจ้าของรถส่งให้ส่องดูรอบๆ หม้อน้ำ แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติที่เครื่องยนต์

ทันใดนั้น เขากลับรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่กำลังจะเกิดขึ้นจากคน ไม่ใช่เครื่องยนต์ เมื่อสายตาเห็นอะไรบางอย่างพุ่งวาบออกมาจากป่าหญ้าข้างทาง

“เฮ้ย!”

นิเทศร้องลั่นเมื่อฝากระโปรงรถถูกปิดฟาดลงบนแผ่นหลังของเขา ใบหน้าของนิเทศกระแทกกับเครื่องยนต์อย่างแรง ความเจ็บปวดพุ่งพล่านไปทั่วศีรษะ เขาพยายามดิ้นรนออกจากใต้ฝากระโปรงที่หนีบติดค้างเหมือนจระเข้ที่งับเหยื่อ

พลัน หูของเขาก็ได้ยินเสียงการะเกดกรีดร้อง

“ปล่อยนะ ปล่อยฉัน พวกแกต้องการอะไร ฉันบอกให้ปล่อย!”

นิเทศกัดฟันกรอด พยายามเลื่อนตัวออกจากใต้กระโปรงรถ เสื้อของเขาถูกเครื่องยนต์ครูดเป็นคราบเปื้อนและฉีกขาด แต่ใครบางคน – นิเทศคิดว่าเป็นชายหน้าซูบ – กดฝากระโปรงรถเอาไว้ เขาจึงขยับตัวไม่ได้ และความตื่นตระหนกก็ส่งผลให้เขาทำไฟฉายหลุดมือ

แต่ทันใดนั้นเอง กระโปรงรถก็ถูกเปิดขึ้น ใครบางคนกระชากตัวนิเทศออกมา ล็อคสองมือของเขาไขว้หลังและจับกดหน้าให้นอนคว่ำบนพื้นถนน  

สมองของนักข่าวหนุ่มพร่ามัวด้วยความมึนงง  สองหูของเขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินวนรอบๆ กายพร้อมกับเสียงทารกกรีดร้อง นิเทศเงยศีรษะขึ้นทันที การะเกดถูกคุมตัวเข้ามาทรุดกายนั่งข้างๆ เขา ในอ้อกอกของเธอมีนพคุณที่กำลังขวัญเสียอย่างหนัก

“เฮ้ย ใครก็ได้อุดปากไอ้เด็กนี่หน่อยซิ อั๊วรำคาญชิบ”

เสียงที่นิเทศได้ยินในโทรศัพท์เมื่อเช้าดังขึ้นไม่ห่างไปนัก เขาชำเลืองมองไปทางเจ้าของเสียงผู้เป็นชายหน้าขรึมนัยน์ตาดุ ผิวขาวกลางแสงไฟหน้ารถและตาตี่ยาวรีนั้นบ่งบอกได้ดีว่ามีเชื้อสายมังกรจีน นิเทศจำชายหนุ่มคนนั้นได้ดี มันคือผู้ช่วยคนสนิทของนายอำเภอไกรศักดิ์ และชื่อของมันคือเดโช

“แก...พวกแก...” นิเทศคำรามผ่านไรฟัน เขาพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ถูกเท้าของใครบางคนยันให้กลับลงมานอนคว่ำหน้าใหม่

“อั๊วเตือนลื้อแล้วนาโว้ย ลื้อไม่ฟังเองนี่หว่า อยากลองดีกับพวกอั๊วมันก็มีจุดจบแบบนี้ล่ะ ช่วยไม่ได้” เดโชพูดขณะหยุดยืนเบื้องหน้านิเทศกับการะเกดและเด็กน้อยที่ยังร้องไห้ไม่หยุด

“ปล่อยเมียกับลูกฉันไปซะ พวกเขาไม่เกี่ยว – ”

“เสียใจ แต่มันหมดเวลาสำหรับพวกลื้อแล้ว” เดโชพูดพลางชักปืนออกจากหลังเอว

“พี่เทศ...” การะเกดร่ำร้องอย่างหมดหวัง ใบหน้าของเธอมีน้ำตาไหลนอง หญิงสาวเข้าใจดีว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้คืออะไร เธอแน่ใจว่าคนพวกนี้คงมาเพื่อฆ่าปิดปากไม่ให้นิเทศทำข่าวขุดคุ้ยแฉนักการเมืองขี้โกงพวกนั้นต่อไป

และพวกมันก็ต้องฆ่าเธอกับลูกด้วยแน่นอน นั่นคือสิ่งที่ทำให้น้ำตาของเธอไหล

“จับมันลุกขึ้นมา” เดโชสั่ง  บนใบหน้าไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น

ลูกน้องที่เป็นคนถีบนิเทศดึงตัวเขาให้นั่งคุกเข่า นิเทศเงยหน้าสบตาของเดโช ทั้งสองมีอายุไม่ห่างกันนัก เขาอ้าปากจะขอร้องให้เดโชปล่อยตัวการะเกดกับนพคุณไป แต่ยังไม่ทันที่คำพูดจะหลุดจากปาก เดโชก็ยกปืนจ่อหน้าผากของเขาและร้องสั่งเสียงห้วน

“บอกลาเมียลื้อซะ”

“แกต้องปล่อยเธฮกับ – ”

“อั๊วสั่งให้บอกลาเมียลื้อ!”

“ไม่ แกต้องสัญญาก่อนว่าจะปล่อยเธอกับลูกไป”

เดโชเหยียดยิ้มบนริมฝีปาก แล้วขยับปืนไปที่ศีรษะของการะเกดแทน “งั้นอั๊วจะให้ลื้อเห็นเมียลื้อตายต่อหน้าต่อตา”

“อย่า!” นิเทศร้องเสียงหลง “กะ...ก็ได้ ฉันจะบอกลา”

“ดี” รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของเดโชอีกครั้ง “บอกสิ อั๊วอยากเห็น”

ปืนสั้นกระบอกนั้นถูกเบนกลับมาที่ศีรษะของนิเทศดังเดิม

“เกด...”

นิเทศเรียกชื่อภรรยาอย่างยากลำบาก เขาพร่ำโทษตัวเองในใจที่หัวแข็งเกินไป เขาไม่น่าทำตัวเป็นฮีโร่ผู้ผดุงความถูกต้องในสังคมที่คนเลวมีอำนาจ เขาไม่น่าเปิดโปงพวกมันและหาเรื่องใส่ตัว เขาไม่น่ามาเป็นนักข่าวที่นี่เพื่อหวังพัฒนาบ้านเกิดให้ใสสะอาด

เขาน่าจะรู้ดีว่าลำพังนักข่าวเพียงคนเดียว คงไม่สามารถทำลายวงจรชั่วโฉดที่สืบทอดกันมาเป็นสิบปีได้

เขาไม่น่าพาการะเกดกับลูกมาอยู่ตรงนี้เลย...

“...พี่ขอโทษ”

นั่นคือคำบอกลาของเขา

แล้วเดโชก็เหนี่ยวไกทันทีในวินาทีที่นิเทศพูดจบ

เสียงปืนก้องกังวาน เลือดเป็นสายพุ่งกระจายในความมืด

“พี่เทศ!!!” การะเกดกรีดร้องเมื่อร่างของนิเทศล้มตึงลงไป บนหน้าผากมีรูโบ๋จากกระสุนปืน เลือดแดงฉานไหลออกจากศีรษะของเขาเนืองนองเต็มพื้น สองตานั้นเบิกค้างจ้องตรงมาที่เธออย่างปราศจากชีวิต

นิเทศตายแล้ว นิเทศจากเธอไปแล้ว...

“คิวลื้อแล้ว คนสวย” ปืนของเดโชเบนมาจ่อที่ศีรษะของการะเกด “บอกลาลูกลื้อซะ”

“ไม่...” การะเกดสั่นศีรษะ เธอกวาดสายตามองชายฉกรรจ์ทั้งห้าคนที่ยืนล้อมรอบเธอและร่างของนิเทศอยู่อย่างอ้อนวอน แต่เกือบทั้งหมดก็มองตอบมาด้วยความเย็นชา มีเพียงชายหนุ่มคนเดียวผู้มีแผลเป็นบนแก้มเท่านั้นที่เบือนหน้าไปทางอื่นไม่กล้าสบตาเธอ

การะเกดกระชับร่างน้อยๆ ของนพคุณแนบแน่นในอ้อมอกขณะตวัดสองตากลับมาจับจ้องที่เดโชผู้เป็นหัวหน้าใหญ่

“ได้โปรดเถอะ เห็นแก่เด็กเถอะนะ จะฆ่าฉันก็ได้ แต่ -  ”

“พวกลื้อทำให้อั๊วรำคาญจริงๆ” เดโชถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “อั๊วสั่งให้บอกลาลูกลื้อ หรือว่าลื้ออยากจะจากไปโดยไม่ได้ล่ำลากัน?”

การะเกดมีสีหน้าที่ร้อนรน เธอหลุบสายตามองวงหน้าของลูกชาย ก่อนเงยหน้าจ้องมองผู้ที่ถือปืนจ่อศีรษะเธออยู่

“ฉันขอร้อง เว้นชีวิตเด็กไว้เถอะนะ เขาไม่ – ”

เดโชไม่รอให้หญิงสาวพูดจบ นิ้วที่แตะไกก็กระตุกด้วยความจงใจ กระสุนอำมหิตเจาะทะลุกะโหลกของการะเกดส่งร่างเธอลงไปนอนเคียงคู่สามี  อ้อมแขนของเธอคลายลง นพคุณตัวน้อยจึงหลุมจากอ้อมกอดกลิ้งลงไปอยู่ตรงกลางกองเลือดที่เนืองนองจากร่างไร้วิญญาณของพ่อและแม่ของเขา

“อั๊วลืมไป ตายไปแล้วเดี๋ยวมันก็ได้ไปเจอกันในยมโลกอยู่ดี” เดโชพูดแล้วหัวเราะหึๆ

ดูเหมือนเด็กน้อยจะรับรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เขาตะเบ็งเสียงแผดร้องแสบหูกว่าเดิม เดโชหน้าตาเหยเก ยกมือข้างหนึ่งอุดหู ใช้อีกมือเล็งปืนไปที่ร่างของนพคุณ นิ้วชี้ที่แตะไกปืนกำลังจะขยับ แต่วินาทีนั้น ชายหนุ่มผู้มีแผลเป็นบนใบหน้าก็โพล่งขึ้นว่า

“เฮียโช ชีวิตเด็กคนนี้ อั๊วขอเถอะนะ”

เดโชชะงักกึก หันหน้าขวับกลับมาที่ผู้พูด “ลื้อว่าอะไรนะ อาเล้ง?”

“อั๊วบอกว่า ชีวิตเด็กคนนั้น เฮียยกให้อั๊วเถอะ” ชายหนุ่มที่เดโชเรียกว่าอาเล้ง แต่มีชื่อจริงในภาษาไทยว่าพิชิตพูดอย่างหนักแน่น และหากนิเทศมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ เขาก็คงจำได้ว่าพิชิตนี่เองที่เป็นเจ้าของเสียงราบเรียบที่โทรศัพท์ไปหาเมื่อสามวันก่อน

“ลื้อจะเอาไปทำไมวะ” เดโชถาม “อาหยงอีก็เพิ่งคลอดลูกไม่ใช่รึ?”

“ก็เพราะอย่างนั้นน่ะซี อั๊วถึงขอเฮีย” พิชิตตอบ “เห็นแล้วมันอดนึกถึงลูกตัวเองไม่ได้ อายุมันก็น่าจะเท่าๆ กับไอ้ตี๋ลูกอั๊วเลย”

“อย่าบอกนะว่าลื้อจะเลี้ยงมัน?”

“ลูกเสือลูกตะเข้อั๊วไม่เลี้ยงไว้หรอก”

“แล้วลื้อจะทำยังไงกับมันล่ะ?”

“อั๊วมีวิธีของอั๊วน่าเฮีย” พิชิตสบตามองเดโชอย่างวิงวอน “ว่าแต่เฮียยกเด็กคนนี้ให้อั๊วเถอะนะ อั๊วขอ”

เดโชหยักยิ้มมุมปาก ลดปืนในมือลงขณะชำเลืองมองไปที่ทารกน้อยในกองเลือด ดวงตาอำมหิตคู่นั้นทอแววอะไรบางอย่างวูบวาบก่อนหันกลับมาที่พิชิตและกล่าวต่อ

“แล้วลื้อไม่กลัวไอ้เด็กเวรนี่โตขึ้นมันจะมาตามล้างแค้นเราเหมือนในนิยายเรอะ?”

พิชิตเผลอยิ้มอย่างดีใจ “อั๊วไม่มีทางให้มันเกิดเรื่องอย่างนั้นแน่ ชีวิตจริงไม่ใช่ในนิยายนะเฮีย อั๊วจะทำให้มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ของมันคือใคร”

เดโชหัวเราะในลำคอ ยัดปืนกลับเข้าหลังเอวและหรี่ตามองไปที่ร่างของทารกน้อยอีกครั้ง

“โลกนี้มันกลมกว่าที่ลื้อคิดนะอาเล้ง แต่เอาเถอะ ในเมื่อน้องร่วมสาบานอย่างลื้อกล้าขอ อั๊วก็กล้าให้”

“ขอบคุณมากเฮียโช ขอบคุณมาก ขอบคุณมาก!”

พิชิตร้องขอบคุณด้วยความโล่งอก ขณะขยับเท้าก้าวเข้าไปหาหนูน้อยผู้นอนอยู่ในกองเลือดและมีศพของพ่อแม่ขนาบข้าง นพคุณยังคงแหกปากร้องไห้ไม่หยุด พิชิตคุ้นเคยกับการอุ้มลูกชายที่อายุเท่ากับทารกคนนี้ดี เขาจึงรู้วิธีประคองและวิธีปลอบให้หนูน้อยหยุดร้องไห้

ทุกคนในที่นั้นยืนดูบุรุษผู้มีใบหน้าประดับรอยแผลเป็นอุ้มทารกน้อยขึ้นจากพื้น เลือดที่เปื้อนตัวหนูน้อยไหลย้อยเปรอะเสื้อผ้าของเขา แต่พิชิตไม่สนใจ เขาจับนพคุณพาดบ่าและเขย่าไหล่เบาๆ เป็นเชิงปลอบโยนพร้อมยกมือตบก้นหนูน้อย

“เงียบนะ อาตี๋ เงียบนะ เงียบ อั๊วกำลังจะพาลื้อออกไปจากที่นี่แล้ว” พิชิตส่งเสียงปลอบทารกในขณะที่ทุกคนรอบกายหัวเราะพรืดเพราะขบขำอากัปกิริยาของเขา

“ตั้งแต่มีลูก ลื้อเปลี่ยนไปมากนะอาเล้ง” เดโชพูด ล้วงมือเข้าไปในแจ็คเก็ตที่สวมใส่และดึงอะไรบางอย่างออกมา

พิชิตเงยหน้าขึ้น พยายามฝืนยิ้มให้พี่ชายร่วมสาบาน “ไม่รู้สิเฮีย มันก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน บางทีถ้าเฮียมีลูก เฮียอาจจะเข้าใจก็ได้ เห็นเด็กที่ไหนมันก็พาลทำให้เห็นเป็นลูกเราไปหมด”

“อย่างงั้นเชียว” รอยยิ้มจางๆ แขวนตัวอยู่บนริมฝีปากของเดโช “ไหนลื้อเอาเด็กนั่นมาให้อั๊วดูหน้าชัดๆ หน่อยซิ”

พิชิตชะงักไปเล็กน้อย ทำเอานพคุณซึ่งลดระดับการตะเบ็งเสียงเป็นครางฮือๆ กับไหล่ของเขาระเบิดเสียงร้องออกมาอีก

“เมื่อกี้เฮียยกชีวิตเด็กคนนี้ให้อั๊วแล้วนะเฮีย...” พิชิตพูดเสียงแผ่ว

“เออน่า แค่ดูหน้าเท่านั้น อั๊วไม่ฆ่ามันหรอก” เดโชตอบ ไขว้มือไปด้านหลังเพื่อแอบซ่อนสิ่งที่เพิ่งล้วงออกมาจากในแจ็คเก็ตซึ่งกำลังล้อประกายคมวับกับแสงดาววูบวาบอยู่ในขณะนี้

พิชิตอุ้มเด็กน้อยเข้าไปให้พี่ชายร่วมสาบานยมโฉม เขาไม่รู้ว่าเดโชกำลังคิดจะทำอะไร แต่ถึงแม้นรู้ เขาก็คงขัดขวางไม่ได้ เดโชเป็นคนที่มีอำนาจมาก มากจนน่ากลัวเสียยิ่งกว่านายอำเภอไกรศักดิ์ผู้เป็นเจ้านายของพวกเขาเสียอีก

เดโชใช้สายตาสำรวจมองวงหน้าของทารกครู่หนึ่ง พิชิตก็ต้องใจหายวาบเมื่อพี่ชายร่วมสาบานตวัดมีดพับคมวาวออกมาจากด้านหลังอย่างไม่บอกไม่กล่าว

“เฮียจะทำอะไร”

พิชิตเบิกตาค้างด้วยความประหลาดใจ เขาผงะถอยหลังเล็กน้อยก่อนนึกได้ว่ามันเป็นกิริยาที่ไม่ควรทำกับเดโชจอมอำมหิต พิชิตจึงได้แต่พยายามเขย่าวงแขนให้หนูน้อยหยุดร่ำร้องให้เร็วที่สุด

แต่ยิ่งเดโชก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ หนูน้อยก็ยิ่งแผดเสียงร้องดังมากขึ้นเท่านั้น

“อั๊วบอกลื้อแล้วไงว่าโลกนี้มันกลมกว่าที่คิด อั๊วจะทำสัญลักษณ์ให้ไอ้เด็กคนนี้” เดโชกล่าวเสียงเย็นยะเยียบ “เผื่อในอนาคตมันตามมาล้างแค้นพวกเรา อั๊วจะได้รู้ในทันทีเมื่อเห็นสัญลักษณ์ว่า นี่คือเด็กคนที่ลื้อขอชีวิตเอาไว้ อาเล้ง”

และโดยที่พิชิตไม่ทันตั้งตัว คมมีดนั้นก็ถูกตวัดลงบนแก้มซ้ายของหนูน้อยในอ้อมแขนของเขาเป็นรูปกากบาท

หนูน้อยนพคุณกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เขาสะบัดมือและเท้าน้อยๆ ดิ้นพล่านจนแทบจะหล่นออกจากอ้อมแขนของพิชิต เดโชหยักยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นเลือดสดๆ ซึมออกมาจากรอยแผลรูปกากบาทเปรอะเปื้อนแก้มขาวผ่องบริสุทธิ์นั้น

“หลังจากนี้ลื้อจะจัดการกับไอ้เด็กนี่ต่อยังไงก็ตามใจ อั๊วหมดธุระกับมันแล้ว” เดโชพูดขณะเช็ดคราบเลือดบนใบมีดกับเสื้อตัวจิ๋วของหนูน้อยและดีดให้มีดพับกลับเข้าที่ก่อนยัดเก็บใส่ด้านในแจ็คเก็ตดังเดิม

“ครับเฮีย” พิชิตก้มหน้ารับคำเบาๆ

ไม่ถึงห้านาทีต่อจากนั้น รถเก๋งคันหนึ่งก็แล่นเข้ามารับตัวเดโชจากไปพร้อมลูกน้องอีกสามคน ทิ้งพิชิตไว้กับเหลาเฟอ– ชายหน้าซูบผู้เป็นคนขับรถของเขาไว้ในที่เกิดเหตุท่ามกลางสายลมยามดึกที่พัดพายอดหญ้าลู่เอนตามแรงลมและส่งเสียงดังแสกสากระคายหู

“นายจะทำยังไงกับเด็กคนนี้ต่อครับ?” เหลาเฟอผู้ทำหน้าที่เหยื่อล่อนิเทศถามพิชิตผู้เป็นนาย

พิชิตก้มมองหนูน้อยในอ้อมแขน เขานึกถึงไอ้ตี๋หมิงลูกชายขึ้นมาทันที ดูใบหน้าของเด็กคนนี้โหวงเฮ้งดีเสียด้วย โตขึ้นคงจะหน้าตาดี ส่วนจะมีวาสนาหรือไม่ พิชิตก็ไม่อาจรับรู้ได้

“พาไปที่บ้านอั๊วก่อน” พิชิตตอบ “แล้วหลังจากนั้น...ค่อยว่ากันอีกที”

แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 55 20:24:21

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 55 19:19:26




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com