ชายหนุ่มเอ่ยทักทายร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนตียงด้วยน้ำเสียงร่าเริงขณะปิดประตูและกดล็อค น้าตองเข้าใจดีว่าเวลาที่พีภัทรอยู่กับแม่ เขาไม่ต้องการให้ใครเข้ามารบกวน
นางศโรรัตน์ยังคงนอนหลับต่อไป ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการเข้ามาของบุตรบุญธรรม
พีภัทรสูดหายใจอีกครั้งเมื่อเคลื่อนกายมาที่เตียงซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางความเงียบภายในห้อง
ในขณะนี้ ไม่มีเสียงอะไรดังมากไปกว่าเสียงการทำงานของเครื่องปรับอากาศที่ครางหึ่งๆ ผสานกับเสียงลมหายใจของแม่อีกแล้ว
พีภัทรลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง เขายิ้มให้แม่ แม้รู้ดีว่านางไม่เห็น แต่เขาก็ปฏิบัติกับนางเสมือนว่านางยังคงรับรู้ทุกอย่างอยู่เสมอ
พีภัทรดึงมืออันเย็นเยียบใต้ผ้าห่มของนางศโรรัตน์มากุมไว้ราวกับต้องการถ่ายทอดพลังในตัวของเขาเข้าสู่ตัวของนาง
เขาบีบมือของแม่บุญธรรมแนบแน่นพลางคิดถึงวันเวลาที่ผ่านมา หมอบอกตั้งแต่วันที่แม่ออกจากห้องไอซียูว่าอาการเส้นโลหิตในสมองแตกของแม่จะส่งผลให้นางกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราตลอดกาล นางจะไม่รับรู้ความเป็นไปของโลกภายนอกและหากถอดเอาเครื่องให้ออกซิเจนออก นางก็จะเสียชีวิตในทันที
พีภัทรจำได้ดีว่า ณ โรงพยาบาลมีชื่อประจำชลบุรีแห่งนั้น หมอวัยกลางคนถามเขาว่า เขาจะให้ทางแพทย์ถอดท่อออกซิเจนออกเพื่อให้นางศโรรัตน์จากไปอย่างสงบหรือไม่ ขณะนั้นตัวพีภัทรเองมีอายุเพียงสิบเก้าปี เขาเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งถูกเรียกตัวกลับจากสหรัฐอเมริกาเพราะพ่อบุญธรรมถูกยิงตายด้วยฝีมือของหุ้นส่วนที่ร่วมกันเปิดร้านอาหารในย่านพัทยาใต้
มันเป็นคำตอบที่หลุดออกจากริมฝีปากของเขาชนิดไม่ต้องคิด
พีภัทรขอร้องให้หมอเสียบท่อออกซิเจนต่อไป เขาจะรักษาชีวิตของแม่เอาไว้ให้นานที่สุดเพื่อรอคอยปาฏิหาริย์ที่แพทย์ไม่เชื่อถือ
แล้วไม่กี่เดือนต่อมา ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นจริงๆ แม้แม่จะยังคงไม่ได้สติ แต่นางก็สามารถหายใจได้เองโดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วย และหมอก็อนุญาตให้พีภัทรพาแม่กลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลากว่าห้าปีแล้วที่แม่นอนอยู่ที่นี่ ในห้องนี้ บนเตียงนี้ มีน้าตองคอยจับพลิกตัวทุกสองชั่วโมง คอยให้อาหารเหลวทางสายยาง คอยทำความสะอาดร่างกาย คอยใส่ท่อดูดเสมหะ โดยที่แม่ไม่แสดงอากัปกิริยารับรู้ต่อสิ่งเหล่านั้นเลย
แต่ลึกๆ แล้ว พีภัทรคิดว่าแม่ต้องรับรู้
ไม่ใช่ทางกาย ก็ต้องเป็นทางจิตใจ
“แม่รู้ไหม อาทิตย์นี้ผมได้ไปเที่ยวลาวกับพม่ามาด้วยล่ะ ประเทศเขาสวยนะ สักวันอยากให้แม่ไปเที่ยวจังเลย ยิ่งเมืองพุกามที่ผมไปนะแม่ มีเจดีย์ตั้งหลายร้อยองค์ อากาศก็ดี ถ้าแม่ไปคิดว่าต้องชอบแน่ ว่าไงครับ แม่อยากไปหรือเปล่า?”
เงียบ...
ชายหนุ่มแทบจะได้ยินเสียงพูดของตัวเองก้องกังวานสะท้อนไปมาอยู่ในอากาศ เขาจึงทำลายความเงียบอันน่าเศร้าหมองภายในห้องโดยการคุยกับนางศโรรัตน์ต่อราวกับนางได้พูดคุยโต้ตอบกับเขาก็ไม่ปาน
“อะไรนะ แม่ไม่อยากไปหรอ แม่คงจับได้สินะว่าผมโกหก แม่นี่รู้ทันผมอยู่เรื่อย ใช่ครับ ผมโกหก ผมไม่ได้ไปเที่ยว แต่ผมไปทำงาน ผมไปทำงานให้พ่อของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ลูกของเขาโชคร้ายมาก แต่งานคราวนี้ผมไม่ได้เงินหรอกนะแม่ สงสารครอบครัวเขา ผมเลยทำงานให้เขาฟรีๆ แม่คิดว่าผมทำถูกต้องไหมครับ?”
มือที่ชายหนุ่มกุมอยู่ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นเคย
แต่เขาก็ยังคงคุยต่อไป
“แม่คิดว่าผมทำถูกต้องใช่ไหม ผมก็คิดว่าผมทำถูกต้องแล้วนะครับ พ่อกับแม่สอนผมให้คอยช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่าเรา ผมจดจำคำนั้นอยู่เสมอ”
พูดจบ ใบหน้าของชายผู้เงียบขรึม แต่มีดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาตามประสาคนใจดีของนายพงศธรผู้เป็นพ่อบุญธรรมก็ผุดวาบเข้ามาในหัวสมองของพีภัทร
ความตายของพ่อคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของแม่และของเขา
แม่ล้มหัวฟาดพื้นเพราะเส้นโลหิตในสมองแตกกลางงานศพพ่อ
ส่วนพีภัทร เขาสังหารคนครั้งแรกก็มีเหตุผลมาจากการล้างแค้นบุคคลที่ทำให้พ่อของเขาตาย และคนแรกในชีวิตที่พีภัทรลงมือฆ่าก็คือหุ้นส่วนร้านของพ่อคนนั้นนั่นเอง
มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่า บางครั้งมีเพียงความตายเท่านั้นถึงสามารถเรียกคืนความยุติธรรมให้กับโลกมนุษย์ได้
ขอบตาของพีภัทรร้อนผ่าว เขามักจะอ่อนไหวเสมอเมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อ
เขารักพ่อมาก พ่อเป็นคนที่เข้ามาปลอบขวัญเมื่อเด็กชายพีภัทรนอนฝันร้ายในวัยเด็ก พ่อเป็นคนที่คอยนอนเฝ้าข้างเตียงทุกคืนในโรงพยาบาลเมื่อเด็กชายพีภัทรไม่สบาย พ่อเป็นคนที่เข้ามายืนเคียงข้างเมื่อเขามีปัญหา และพ่อก็เป็นคนที่เก็บเงินส่งเสียให้เขาได้ไปเรียนด้านศิลปะตามที่ใฝ่ฝันถึงนิวยอร์ก
พีภัทรสลัดภาพแห่งอดีตออกจากสมอง เขายกมือของแม่บุญธรรมมาแนบแก้มด้านซ้ายของตนเอง รอยแผลเป็นรูปกากบาทของเขาทาบทับอยู่บนหลังมือของแม่ สองตาของชายหนุ่มจ้องมองอยู่ที่จอเครื่องวัดระดับการเต้นชีพจรที่ตั้งอยู่ข้างเตียง ชีพจรของแม่มักจะเต้นเร็วทุกครั้งเมื่อเขาเข้ามานั่งคุยกับนาง สิ่งนี้เองที่ทำให้พีภัทรมั่นใจว่าแม่ต้องรับรู้ความรู้สึกที่เขาส่งผ่านทางจิตใจแน่นอน
พลัน นาฬิกาที่หัวเตียงก็ส่งเสียงเตือนดังติ๊กๆ ดึงให้พีภัทรเหลือบตามอง
นาฬิการ้องเตือนเพราะมันเป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว ได้กำหนดที่น้าตองจะนำอาหารเหลวมากรอกผ่านสายอาหารให้แม่ทุกๆ หกชั่วโมง ชายหนุ่มจึงวางมือของนางศโรรัตน์ลง ลุกขึ้นยืนและพูดเบาออกมาเบาๆ ว่า
“แม่คงจะหิวแล้วเนาะ เดี๋ยวผมจะให้น้าตองมาป้อนข้าวนะครับ ผมเองก็จะไปกินข้าวเหมือนกัน อาหารพม่าไม่ถูกปากผมเลย ว่าไปแล้วอาหารไทยก็เหมือนกัน ไม่เคยมีใครทำกับข้าวอร่อยได้เท่าแม่อีกแล้ว ตอนนี้ผมอยากกินอาหารที่แม่ทำมากๆ ไม่ว่าแม่จะนอนหลับอีกนานสักเท่าไหร่ แต่แม่ต้องตื่นมาทำอาหารให้ผมกินอีกครั้งนะครับ ผมจะรอ”
แล้วพีภัทรก็โน้มกายลงหอมแก้มแม่ทีหนึ่งก่อนออกจากห้องในนาทีต่อมา เขาเดินกลับเข้าห้องนอนของตัวเองอีกครั้งเพื่อหยิบโน้ตบุ๊ก ตั้งใจจะลงไปเช็คอีเมล์ขณะทานอาหารที่ชั้นล่างและเมื่อเขาเปิดประตูออกจากห้องนอนพร้อมถือโน้ตบุ๊กไว้ในมือนั้นเอง พีภัทรก็ได้ยินเสียงน้าตองกล่าวว่า
“ข้าวต้มตั้งอยู่ในครัวนะคะ กำลังร้อนได้ที่พอดี”
ชายหนุ่มมองไปยังต้นเสียง น้าตองกำลังหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องของนางศโรรัตน์พร้อมถุงอาหารเหลวขนาด 400 MI พีภัทรยิ้มให้ผู้ดูแลคนป่วยและรับคำเบาๆ น้าตองยิ้มตอบก่อนเปิดประตูหายเข้าไปในห้องที่ถูกความหมองหม่นยึดครองบรรยากาศ
ห้านาทีต่อมา พีภัทรก็พบตนเองนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเก่าในห้องครัว บนโต๊ะอาหารเบื้องหน้ามีชามข้าวต้มวางอยู่คู่กับแก้วน้ำหวานใส่น้ำแข็ง ถัดไปเล็กน้อยเป็นโน้ตบุ๊กที่เปิดเครื่องและกำลังแสดงผลบนหน้าจออยู่ที่กล่องขาเข้าในอีเมล์ของนักฆ่า Black Gun
และพีภัทรกำลังสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมากกว่าชามอาหาร
ในวันนี้มีอีเมล์ถึงเขาสามฉบับ
อีเมล์ฉบับที่หนึ่งมาจากครอบครัวของเด็กผู้ชายที่ตกเป็นเหยื่อของกุนโดมันน์และบาคเค่นซึ่งส่งคำขอบคุณมาให้นักฆ่าหลังจากได้ข่าวว่าฝรั่งสองคนที่หนีคดีตุ๋ยเด็กจากประเทศไทยถูกฆ่าตายที่โรงแรมในลาวและพม่าเรียบร้อยแล้ว
เขาเปิดอ่านก่อนกดคลิ๊กกลับไปหน้าหลักพร้อมรอยยิ้มพริ้มพราวบนริมฝีปาก
อีเมล์ฉบับที่สองมาจากสามีคนหนึ่งที่จ้างฆ่าภรรยาตัวเองเพื่อหวังเอาสมบัติ
พีภัทรตอบกลับไปว่าขอปฏิเสธงานนี้ และแนะนำว่าถ้าผู้ว่าจ้างอยากรวยแต่ไม่อยากอยู่กับหญิงคนนี้ ก็ให้หย่ากัน แล้วไปหางานทำซะจะดีกว่า
แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วและหรี่ตามองหน้าจอด้วยความสนใจก็คืออีเมล์ฉบับที่สาม ซึ่งถูกส่งมาจากหญิงคนหนึ่งที่จ้างฆ่าลูกเลี้ยงด้วยเหตุผลว่า ลูกเลี้ยงอยู่เบื้องหลังแผนการฆาตกรรมพ่อของตัวเองเพื่อหวังฮุบมรดกไว้เพียงผู้เดียวเพราะกลัวเกรงว่าบิดาจะแบ่งสมบัติให้กับน้องสาวต่างมารดา...
พีภัทรเลื่อนลงดูประวัติของเป้าหมายที่ผู้ว่าจ้างแจ้งมาในอีเมล์ เขาพบว่าเธอเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบสี่ปี ดีกรีนักเรียนนอก มีนามว่าริสา บุษบายุธ เป็นลูกสาวของผู้มีอิทธิพลประจำท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง เป็นทายาทเจ้าของกิจการไร่ผลไม้หลายร้อยไร่ และโรงงานอุตสาหกรรมผลิตเซรามิกที่ใหญ่เป็นอันดับสองในจังหวัดลำปาง รวมถึงรีสอร์ทดังในลำปาง เชียงรายและเชียงใหม่จังหวัดละแห่ง
ชายหนุ่มเลื่อมมือคลิ๊กดาวน์โหลดรูปภาพที่ผู้ว่าจ้างแนบมาพร้อมอีเมล์ ไม่กี่วินาทีต่อมา รูปถ่ายของหญิงสาวร่างเล็ก ใบหน้ารูปไข่ จมูกโด่งและปากสวยได้รูป ดวงตากลมโตของเธอจ้องมองตรงมาที่กล้อง ทะลุออกมาสบกับดวงตาคมกริบของพีภัทรที่นั่งนิ่งเหมือนถูกตรึงติดอยู่กับที่
นี่คือรูปของริสา บุษบายุธ หญิงสาวที่ฆ่าบิดาของตนเองได้ลงคอเพื่อฮุบทรัพย์สมบัติทั้งหมดไว้คนเดียว
พีภัทรกดหน้าจอให้กลับสู่หน้าเดิม เขาเลื่อนสายตาลงอ่านค่าจ้างที่จะได้รับ แล้วก็ต้องเบิกตาโตก่อนกระพริบตาถี่ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดหรือเปล่า
เงินค่าจ้างนำหน้าด้วยเลขสอง
และตามหลังด้วยเลขศูนย์อีกเจ็ดตัว!
ชายหนุ่มผิวปากหวือ เขาไม่แปลกใจเลยที่จำนวนเงินค่าจ้างจะสูงขนาดนี้เมื่อย้อนกลับไปอ่านว่าชายผู้ตายมีฐานะเป็นเจ้าของกิจการอะไรบ้าง
ครอบครัวบุษบายุธคงจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีพันล้านอยู่หรอก ถ้าพีภัทรรับงานนี้ มันจะเป็นเงินค่าจ้างที่มากที่สุดในชีวิตของเขาทีเดียว และหากเจียดเงินค่าจ้างจำนวนหนึ่งไปลงทุนอะไรสักอย่าง เขาอาจสบายไปทั้งชาติโดยไม่ต้องทำอะไรอีกเลยก็ได้
พีภัทรกดดูรูปภาพของสาวสวยคนนั้นอีกครั้ง เมื่อพิจารณาดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว เธอไม่น่าจะคิดฆาตกรรมพ่อของตัวเองได้ แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่เขาเห็นมันก็แค่รูปภาพ คนสมัยนี้มักใส่หน้ากากแห่งความใสซื่อทับใบหน้าปิศาจร้ายที่แฝงอยู่ภายในเสมอ ต่อให้เดินสวนกันบนถนนจริงๆ เรายังไม่รู้เลยว่าไอ้คนที่เราเดินสวนเมื่อครู่นั้น มันเพิ่งไปข่มขืนเด็ก เพิ่งฆ่าคนแก่ หรือเพิ่งทำเรื่องเลวร้ายผิดมนุษย์มนามาหรือเปล่า
ใบหน้าที่สวยหวานของริสา บุษบายุธอาจจะซ่อนนางมารร้ายจอมน่าเกลียดไว้ก็ได้ ใครจะรู้
พีภัทรกดหน้าจอให้กลับมาที่รายละเอียดของอีเมล์จ้างงานซึ่งมีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อผู้ว่าจ้างระบุไว้ชัดเจน เพียงมองแวบเดียวเขาก็สามารถจดจำเบอร์โทรศัพท์นั้นได้ขึ้นใจ มันเป็นพรสวรรค์ของเขาที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เขามีความสามารถจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการได้ขึ้นใจ ซึ่งมันเป็นประโยชน์กับงานของเขามากมาย
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน พับโน้ตบุ๊กปิด ทิ้งชามข้าวต้มไว้ที่เดิมขณะเดินออกจากห้องครัวขึ้นบันไดกลับไปสู่ห้องนอนของตัวเอง เขากระตือรือร้นที่จะติดต่อผู้ว่าจ้างมากจนไม่มีอารมณ์ทานข้าวอีกต่อไปแล้ว
พีภัทรเดินดุ่มๆ ผ่านประตูห้องของแม่ที่ยังคงปิด แต่หูของเขาแว่วเสียงดนตรีจากยุค 70 ดังลอดออกมา มันเป็นเพลงที่พีภัทรเตรียมไว้สำหรับให้น้าตองเปิดให้แม่ฟังระหว่าง 'ทาน' ข้าวหรือไม่ก็ระหว่างทำกายภาพบำบัดเพราะทราบดีว่าแม่ของเขาชอบบทเพลงเหล่านั้นมากในยามปกติ
พีภัทรกลับเข้าสู่ห้องนอนของตนเอง เมื่อปิดล็อคประตูเรียบร้อย เขาก็ตรงดิ่งมาที่โต๊ะข้างเตียง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจิ้มนิ้วบนหน้าจอเพื่อกดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ว่าจ้างรายล่าสุด
ขณะนี้ พีภัทรกำลังรู้สึกว่า ต่อมเกลียดคนประเภทอกตัญญูในตัวเขาได้ถูกกระตุ้นให้ทำงานแล้วโดยอัตโนมัติ เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าริสา บุษบายุธวางแผนฆาตกรรมพ่อของตัวเองจริงหรือเปล่า ถ้าเธอทำ...แน่นอน เขาจะต้องกำจัดลูกทรพีอย่างเธอให้ออกไปจากโลกนี้ซะ
เพราะคนที่คิดร้ายได้แม้กระทั่งกับพ่อแม่ของตัวเอง คนผู้นั้นก็ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว!
-------------------
แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 21:28:12
แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 21:16:27
แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 21:05:02
แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 20:57:11