คำถามของคุณน้ำฟ้าทำเอาผมอึ้งอึกอักริมฝีปากเคลื่อนไหวผิดปกติราวป่วยไข้ “เอ่อ...อะไรกันครับเรื่องแบบนี้ถึงเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ตอบแทนกันไม่ได้หรอกครับ” ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ยิ้มหรือหน้าแหยอยู่ “นั่นสินะ ถ้าเหมือนกันฟ้าจะรักรุจน์หรือพี่ทศก็คงเหมือนกัน” คุณน้ำฟ้าเงยหน้า สบสานสายตากับผม ดวงตาดั่งไข่มุกเม็ดงามนั้นชวนเชิญจนผมไม่สามารถถอนสายตาหนีไปไหนได้
“ฟ้ากับพี่ทศคงไปกันไม่รอด เราสองคนเหมือนถูกกางกั้นด้วยบางสิ่งอยู่ บางสิ่งที่ต่างคนต่างรอเวลาเหมาะให้มันบังเกิดขึ้น” “อย่าพูดอย่างนั้นซิครับ ไม่มีอะไรหรอก คุณทศอาจกำลังตัดสินใจอยู่ เขาเด่นดังรูปหล่อในวงสังคม เรื่องพวกนี้ต้องระมัดระวัง เขาคงต้องการให้คุณอยู่ในที่ที่ปลอดที่สุด” คราวนี้ผมพูดเร็วจนลืมหายใจ น้ำฟ้าอมยิ้มส่ายหน้า “ไม่หรอกค่ะ ไม่ใช่อย่างที่รุจน์พูดแน่นอน ฟ้ามั่นใจ ลูกค้ารุจน์คนนี้เคยเผลอหลุดปากให้ฟังบ้างไหมคะ เขากำลังตกหลุมรักใคร” น้ำฟ้าเอียงคอถาม นัยตามีประกายความใคร่รู้เหมือนเด็กที่อยากได้คำตอบว่า เลขอะไรที่หารกันแล้วได้ศูนย์
“เราเป็นแค่ผู้ค้ากับผู้ซื้อ เขาไม่พูดกับผมเรื่องพรรค์นั้นหรอกครับ” “เหรอ” “ฮะ” “ ที่ฟ้ามั่นใจ เพราะหากเขารักฟ้าจริงๆ เขาคงให้รุจน์ช่วยเขาในทุกทางอาศัยความเป็นลูกค้าคนพิเศษ แต่นี่เขากลับไม่มีอะไรพูดกับรุจน์เกี่ยวกับฟ้าเลย ไม่แม้จะถามรุจน์ว่าฟ้าชอบสีอะไร ชอบดอกไม้อะไร วันนี้เขาส่งดอกไม้ที่ฟ้าไม่ได้ชอบเลยสักนิดมาให้ด้วย” น้ำฟ้าถอนใจดึงมือทั้งสองของผมก่อนจะหันหลังแล้วเอามือผมไปกอดรอบเอวบางของหล่อน “เจ็บหัวใจจริงๆเลย” หล่อนพูดเหมือนละเมอ ผมอยู่ข้างหลังจึงไม่รู้ว่าหล่อนมีสีหน้าอย่างไร อาจหม่นหมองจนอยากร้องไห้แต่ความเข้มแข็งทำให้ต้องซ่อนไว้
“รุจน์กลับมาดูแลฟ้าได้ไหมคะ เราสองคนจะแต่งงานกันเถอะ ฟ้าคิดว่าเราน่ะเหมาะสมกันทุกอย่างจริงๆ เราเกื้อหนุนกันได้ในธุรกิจ” น้ำฟ้าหันมาพร้อมรอยยิ้มที่ผุดผาดน่ามอง ผมถอนใจจนไหล่ลู่ “ไม่คิดว่าตัวเองด่วนตัดสินไปหรือครับ ผมไม่เห็นว่าคุณทศกับคุณจะไม่ก้าวหน้า การที่เขาไม่เอาผมเป็นพ่อสื่อ ไม่ได้หมายความเขาไม่สนใจคุณ อย่าลืมว่าคุณทศวรรษเป็นอันดับหนึ่งในโลกธุรกิจ เป็นหนึ่งในทุกวงการ เขาไม่ลดตัวมาใช้บริการพ่อสื่อในการจีบผู้หญิงสักคนหรอกครับ” เป็นครั้งแรกที่ผมอธิบายจริงจังและไม่ติดขัด ส่วนหนึ่งนั้นมาจากความที่ผมรู้จักคนอย่างคุณทศดี เขามันคนตรงไปตรงมา หากพูดว่าต้องการคือ...ต้องได้ ไม่มีคำว่าไม่จากอีกฝ่าย เพราะเขาจะไม่ปล่อยโอกาสให้เป้าหมายมีโอกาสแม้จะคิดนับแต่แรกอย่าว่าแต่ทบทวนเลย
“อย่างนั้นหรือ รุจน์คิดว่าแบบนั้นหรือ แน่ใจจริงๆนะ งั้นเรามาพนันกันไหมล่ะ” คุณน้ำฟ้ายกแขนขึ้นวางบนบ่าของผม ผมพยักหน้าช้าๆ “งั้นฟ้าจะเชื่อค่ะ เพราะรุจน์เป็นคนที่ฟ้าเชื่อใจที่สุด แต่ถ้า......รุจน์ผิด ฟ้าทำโทษนะ” หล่อนยื่นริมฝีปากมาจุมพิต “ได้” ผมพยักหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้ม ขณะริมฝีปากแนบริมฝีปากกับหล่อน
เคยไหมสักครั้ง ในภายภาคหน้า เมื่อเหลียวมองกลับมามองในวันนี้ ที่มันกลายเป็นอดีตก็ให้เสียใจที่สุด ในสิ่งที่ได้กระทำลงไป
กวีนิรนามท่านหนึ่งเคยพูดไว้เช่นนั้น
13.3
เมื่อเมษากับซีซ่ามาถึงเนอสเซอรี่ผู้ดูแลก็แจ้งว่าลูกของพวกเขากำลังนอนหลับหลังมื้อกลางวัน ซีซ่าหันหลังเตรียมเดินออกแต่เมษารั้งมือไว้ เขาจูงมือหล่อนไปที่หน้ากระจกห้องพักผ่อนของเด็กๆ “ผมอยากเห็นเขาสักนาทีสองนาทีก็ยังดี เวลาหลับเขาน่ารักมาก” เมษายื่นหน้าไปแทบจะติดกระจก เขาอมยิ้มน้อยๆตลอดเวลาที่เพ่งพิจเด็กน้อย “อ้าว คุณแม่” ผู้ดูแลที่เพิ่งออกมาจากห้องนั้นเข้ามาทักทายซีซ่า “สวัสดีค่ะ วันนี้นอนเร็วจังนะคะ” ซีซ่าพยักเพยิดไปในห้องหลังกระจก “ค่ะ แล้วนี่คงคุณพ่อซินะคะ” ผู้ดูแลหันมาทางเมษา เมษาถอนสายตาจากในห้อง คำถามทำให้เขางงครู่หนึ่ง
“มะ ไม่..” ซีซ่ากำลังจะยกมือโบก “ครับ ผมเป็นพ่อของเขา ยินดีที่รู้จักครับ” เมษาชิงตัดหน้า “คุณพ่อก็หนุ่มหล่อ คุณแม่ก็สาวสวย มิน่าล่ะน้องฮาเล่ย์ ถึงเป็นขวัญใจสาวๆ ทั้งสาวรุ่นเล็ก สาวรุ่นใหญ่” ผู้ดูแลยิ้มกริ่มก่อนจะขอตัวให้คุณพ่อกับคุณแม่ได้เฝ้ามองลูกน้อยที่กำลังหลับไหล เมษากับซีซ่ามองหน้ากันแล้วต่างยิ้มให้กัน
“ฉันเคยคิดว่าหากเราสองคนใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ตอนนี้เราสองคนคงจะมีสายเลือดที่เป็นของคุณและของฉันที่แท้จริง เราคงเป็นผัวหนุ่มเมียสาวที่มีอนาคตไกล” ซีซ่าถามขณะมองลูกพลิกตัว “นั่นสินะ ผมคงสร้างครอบครัวแบบพ่อกับแม่” “คนรักของคุณ....” “เป็นผู้ชายที่ดีนะ ผมน่ะตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเจอเลย ยังจำได้ว่าวันนั้นผมเปลี่ยนเส้นทางไปทำงานพิเศษเพราะทางเดิมน้ำท่วม ตอนที่ผ่านแกลลอรี่หรูนั่นผมมองเข้าไปแบบไม่ตั้งใจ กลางห้องโถงในแกลลอรี่นั้นเขาที่กำลังคุยกับลูกค้าคนนั้นช่างเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ เขาชอบใบหน้าที่สวยงามปนเศร้านั้น อยากจุมพิตรอยยิ้มราวฤดูใบไม้ผลิที่คลี่ยิ้มมิได้หยุด อยากโอบกอดรูปร่างบางในชุดสูทสีเข้ม เพียงแค่นั้นก็เป็นเหตุผลเพียงพอให้ผมเปลี่ยนเส้นทางไปทำงานนับแต่นั้น ผมเดินผ่านและลอบมองเข้าไปในแกลลอรี่ตลอด บางวันก็พบบางวันก็ไม่พบ หัวใจเต้นช้าสลับเร็วไม่ซ้ำวัน จนวันหนึ่งผมเห็นประกาศรับสมัคร ผมดีใจจนเนื้อเต้น คุณรู้ใช่ไหมว่าผมจะทำอย่างไร” เมษาถอนใจพร้อมร้อยยิ้ม ดวงตานั้นเหม่อมองไกล
“พอได้รู้จักจึงรู้ว่า เขาอ่อนโยน และอ่อนแอ แต่สำหรับผมนั่นน่ะไม่เป็นไรเลย แบบนั้นน่ะกลับเป็นความงดงาม อ่อนบางที่ผมอยากจะปกป้องไว้ ยิ่งเขาเหนื่อยอ่อน ยิ่งเขาหมดแรง ผมก็ยิ่งรักเขา อยากทำให้เขาแข็งแกร่ง อยากทำให้น้ำตาเขาเหือดแห้ง แม้บางครั้งก็รู้สึกเหมือนกันว่า สิ่งที่ผมมอบให้เขานั้นกำลังบีบคั้นเขามากเกินไปหรือเปล่า เร่งรัดเขาจนหายใจไม่ออกหรือไม่ หากเป็นแบบนั้นสุดท้ายแล้วจะเป็นตัวผมเองหรือเปล่าที่จะหมดแรงเอง”
“เขารักคนอื่น?” ซีซ่าหันหลังเดินนำเมษาห่างจากห้องพักผ่อน “เคยรัก และไม่เคยลืม มันเจ็บมากที่เขาบอกว่าลืมได้ แต่ผมรู้ว่ามันช่างยากเย็นสำหรับเขา แต่ผมก็เลือกที่จะเชื่อว่าเขาต้องทำได้” เมษษตอบเสียงแห้งขณะเดินตาม “ความรัก เฮอะ!!! เซ็งบรรลัยก็สองประเภท รักคนอื่นที่ไม่ใช่เรา กับ งมงายกับคนที่อยู่ในความทรงจำ” ซีซ่ายื่นมือไปปัดใบไม้ที่ประดับในแจกันข้างเสา “แล้วนายจะทำอย่างไง” ซีซ่าหันมา เมษายักไหล่
“รักต่อไป เจ็บต่อไปก็ได้ จะเป็นอย่างไรก็ได้ ขอให้ได้อยู่กับเขา” เมษาพูดพลางเงยหน้ามองชายคาใต้ท้องฟ้าสดใสที่สมุทรปราการ
ท้องฟ้าที่กรุงเทพมัวซัวด้วยปฏิกริยาของฝน ในแกลลอรี่รุจน์กำลังคุยโทรศัพท์กับลูกค้า ขณะน้ำฟ้าลงมาจากออฟฟิศหล่อนโบกมือให้เขา รุจน์ยกมือตอบว่ารับทราบ ก่อนหน้านั้นหล่อนได้บอกเขาไว้แล้วจะกลับก่อนด้วยต้องแวะซื้อของบำรุงไปเยี่ยมภริยาท่านนายพลที่เป็นลูกค้าคนสำคัญของหล่อนที่โรงพยาบาล น้ำฟ้าพ้นประตูหน้าแกลลอรี่ไปแล้ว รุจน์หันกลับมาทิ้งสายตากับภาพเขียนที่อยู่บนผนังฝั่งตรงข้ามพลางนึก น้ำฟ้าก็มีลูกค้าของหล่อนเป็นพวกหลังบ้านสูงศักดิ์กับหนุ่มๆน้อยใหญ่ ส่วนเขาก็มีลูกค้าเป็นสาววัยทำงานระดับสูง สาวใหญ่ ส่วนเมษาอีกหน่อยบินเองได้ เขาคงมีลูกค้าเพิ่มจากกลุ่มนักศึกษาพ่อแม่กระเป๋าหนักเป็นกลุ่มอื่นๆ รุจน์แอบทำปากยื่น เมษาชอบผู้หญิงแบบไหนนะ รุจน์รีบสะบัดความคิดออกจากหัวแล้วหันมาคุยกับลูกค้าพร้อมเคาะแป้นพิมพ์ในโน๊ตบุค ออร์เดอร์คือส่งภาพที่สต็อกไว้ในแกลลอรี่อยู่แล้วไปส่งให้กับผู้รับตามลูกค้าสั่ง รุจน์วางสายพร้อมมองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนเม็ดแรกกระทบเข้ากับกระจก
“ออกไปตั้งนานแล้วนะยังไม่กลับอีก ฝนตกแล้วเอาร่มติดตัวไปด้วยหรือเปล่านะ” รุจน์บ่นกับตัวเองพลางหันกลับมาที่โต๊ะ มองปฏิทินที่ตั้งบนโต๊ะแล้วถอนใจ ตั้งแต่คราวนั้นทศวรรษไม่เคยมาที่นี่เป็นเดือนแล้ว เขาไม่สั่งซื้อรูปแม้แต่จะสั่งผ่านนอมินีสาวคนนั้น รุจน์เท้าคางเปิดปฏิทินเรื่อยเปื่อยพลางคิดภาวนาให้ทศวรรษกับน้ำฟ้าลงเอยกันสักที จะได้ไม่มีใครเจ็บปวดอีก รุจน์หยุดมือที่กำลังเปิดปฏิทิน เขาเบนสายตาไปที่นอกกระจกน้ำฝนกลายเป็นเส้นราวงูตัวใสเลื้อยไต่เต็มกระจก รุจน์ยื่นมือออกไปแตะกระจก พื้นเรียบของมันเย็นเยียบเข้าปลายนิ้ว ....ฉันรักนายนะรุจน์... รุจน์รีบชักหดมือกลับแล้วรีบหันหลังเดินกลับห้องทำงาน สายฟ้าคำรามจนผนังสะเทือน ไฟในแกลลอรี่ดับวูบ ไฟฉุกเฉินสว่างพรึบแข็งขันตามหน้าที่ รุจน์ยกมือปิดหู “พอสักที” รุจน์ตะโกนแข่งกับเสียงคำรามนั้น รุจน์สะดุ้งมือรู้สึกถึงข้อมือตัวเองที่ถูกบางสิ่งสัมผัสด้วยความเย็น เขาลืมตาเงยหน้า ไม่ทันที่เขาจะตั้งตัว ก็ถูกดันไปติดกำแพงอย่างแรง ริมฝีปากถูกบดเบียดจากความเย็นเยียบ จนสะท้านไปทั้งกาย ริมฝีปากรุกร้ำเข้าดูดดื่มกลีบปากเขาอย่างหิวโหย ร่างกายนั้นก็รัดกอดเขาแนบแน่น รุจน์ได้แต่มึนงง ครั้นพอตั้งสติเขาก็เพ่งมองใบหน้าที่แนบเขาผ่านดวงไฟฉุกเฉิน แสงเงาสีส้มที่ทอดฉาบบนใบหน้าคมนั้นอย่างไรก็คงไม่เป็นอื่น
“คุณทศ” รุจน์เรียกชื่อด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว “อยู่นิ่งๆได้ไหม ฉันไม่ทำอะไรนายมากกว่านี้หรอก” ทศวรรษเสียงสั่น สองมือกดรุจน์กับกำแพงให้นิ่ง รุจน์จ้องกลับอย่างตื่นตระหนก ในความตื่นตระหนกก็พิศวงว่าเพิ่งคิดถึงเขา ทศวรรษกับมาอยู่ตรงหน้า กอดเขาจูบเขาอย่างบ้าเลือด “ฉันพยายามแล้วนะรุจน์ พยายามอย่างมากที่จะกำจัดนายออกจากสมองและหัวใจ เหมือนกับที่นายทำกับฉัน แต่...ให้ตายซิ” ทศวรรษทุบกำแพงข้างใบหน้าของรุจน์ รุจน์สะดุ้งหลับตาแน่น “ฉัน คนที่เลือดเย็นคนก่อนหายไป นายทำอะไรกับฉัน ห๊า รุจน์ ไอ้บ้า” ทศวรรษก้มลงจะจูบรุจน์หันหน้าหนี เขาใช้มือกันรุจน์ไว้ทั้งสองด้าน แล้วยัดเยียดจุมพิตหนักหน่วงบนกลีบปากกระจับนั้นจนได้ สองมือประคองใบหน้าของรุจน์แน่น รุจน์หายใจไม่ออก เขาดันไหล่ของทศวรรษจนเขายอมปล่อย ทั้งคู่หอบหายใจ
“ฉันคิดถึงแทบบ้า อยากกอดนายแทบจะตาย ฉันเกลียดตัวเองที่ทิ้งโอกาสมาแต่แรก บ้าไปเองที่เจ็บปวดเพราะเผลอชอบนายทั้งที่หัวใจแขวนไว้กับ S ทศวรรษคนเดิมไม่เหลือตัวตนอีกแล้ว ที่อยู่ตรงหน้านายมันไอ้ขี้แพ้ หัวเราะฉันเลยซิรุจน์ ทำอะไรก็ได้ให้สาแก่ใจนาย ทำเลย” ทศวรรษจับไหล่รุจน์ “แต่ขอเถอะนะ ขอฉันได้กอดนาย จูบนายอีกครั้ง” ทศวรรษชนหน้าผากกับรุจน์ “คุณทศ” “ฉันรู้นายรักคนอื่นไปแล้ว ฉันก็ไม่ได้ขอให้นายกลับมารักฉันนี่ นายก็รักคนอื่นไปซิ ส่วนฉันจะรักนายเอง”
“คุณน้ำฟ้ารักคุณมากนะครับ” รุจน์ยกมือข้างหนึ่งแตะใบหน้าของทศวรรษ “ฉันรู้ ฉันจึงพยายามเรื่อยมา แต่มันก็อ่อนล้าเรื่อยมา แม้จะรักนายมากแต่ฉันไม่คิดจะแย่งนายกับใครอีกแล้ว ฉันจะอยู่กับน้ำฟ้านายเข้าใจคำว่าอยู่ใช่ไหม ก็แค่กายเท่านั้น จบ” ทศวรรษจับมือรุจน์ไปจูบที่ปลายนิ้ว รุจน์ก้มหน้ากัดปาก ทำไมหนอเขาไม่ทำแบบนี้มาเสียแต่แรกที่ใจของรุจน์ยังเป็นของเขาทั้งหมด ตอนนี้ทศวรรษเจ็บปวด ส่วนรุจน์ก็ควรจะแค่รู้สึกสงสาร ทว่าเขากลับไม่เข้าใจตัวเองทำไมลึกๆในใจถึงเจ็บกับทศวรรษด้วย
“ฉันอยากให้นายเป็นกำลังใจให้ฉันได้ก้าวต่อไปในวันข้างหน้ากับน้ำฟ้า ฉันจะทำ ฉันอยู่ได้รุจน์ แค่กายไม่หนักหนาหรอก ทุกเมื่อเชื่อวันฉันจะคิดถึงนายตลอดไป นายแค่รู้ไว้เท่านั้น ชีวิตและหัวใจของนายทั้งหมดจงอยู่กับคนที่นายรัก อย่างที่บอกนายก็รักกับเขาไป ด้านนี้ฉันจะรักนายเอง และตอนนี้ฉันแค่ขอกอดนายไว้ กอดไว้เท่านั้น” ทศวรรษดึงรุจน์ไปกอด
“ฉันขอนายแค่เวลานี้ จากนี้จะไม่ทำให้นายต้องลำบากใจเลย” ทศวรรษซบใบหน้ากับลำคอของรุจน์ รุจน์เงยหน้า นี่คือทศวรรษที่แสนจะร้ายกาจ เย่อหยิ่งทรนงคนนั้นจริงๆหรือ ทำไมคนๆนั้นถึงกลับกลายเป็นเช่นนี้เสียได้ ความเจ็บปวดที่มาจากความรักได้สั่งสอนคนอย่างเขาจนราบคาบแล้วกระนั้นหรือ ให้หัวเราะเยาะ ให้สมน้ำหน้า ให้ผลักไส ให้รังเกียจ คนๆนี้ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ รุจน์ตัวอ่อนปล่อยให้ทศวรรษกอดจูบตามใจ หากนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายของสัมผัสและปิดตำนานรักที่มียาวนานระหว่างกัน ก็ช่างเถิดเขาจะยินยอม เพื่อแลกกับหัวใจที่สงบสุขกันทุกฝ่าย “คุณทศ” รุจน์ค่อยๆเปิดริมฝีปากรับการบดเบียดลิ้นกับทศวรรษ สองมือยกขึ้นโอบกอดแผ่นหลังทศวรรษแน่น
ที่นอกประตูแกลลอรี่ น้ำฟ้าที่ต้องเดินกลับมาเพราะลืมดอกไม้ของทศวรรษ หล่อนทอดสายตามองร่มคุ้นตาด้วยจำได้ว่ามันเคยวางอยู่ท้ายรถของใครคนหนึ่ง หล่อนผลักประตูเบามือและเงียบเชียบ และเมื่อเพ่งมองดวงตาหญิงสาวก็เบ่งกว้างอย่างตกตะลึง.....ร่างสองร่างที่แนบชิดติดกำแพง น้ำฟ้าก้าวถอยออกมาจากที่นั่น หล่อนเกร็งนิ้วเลื่อนดันคันกางร่มทั้งที่ตั้งใจจะพักอยู่ต่อในแกลลอรี่จนกว่าฝนจะซาลง หากแต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลา ยิ่งก้าวเดินหญิงสาวยิ่งรู้สึกไม่ทันอกทันหล่อนจึงออกวิ่ง วิ่ง และวิ่งด้วยความรู้สึกคล้ายดั่งตนเองนั้นไม่เหมาะสมกับที่ตรงนี้ด้วยประการทั้งปวง หัวใจหล่อนเต้นในแบบที่เรียกได้ว่าแทบจะหลุดออกมาข้างนอก นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหล่อนถึงไม่ใส่ใจกับเสื้อผ้าหน้าผมที่ค่อยๆเปียกปอนจากฝนที่ปะทะเข้ามาด้วยแรงลม น้ำฟ้าเหลียวมองหารถของตัวเองหากที่ปลายหางตาสะดุดกับรถอีกคันที่จอดอีกด้าน หล่อนเพ่งมองด้วยอาการสงบนิ่ง
จากคุณ |
:
vannessia
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ก.พ. 55 23:29:47
|
|
|
|