Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทนำ ติดต่อทีมงาน

สวัสดีครับเพื่อนนักอ่านทุกท่าน คราวนี้มากับนิยายแนวลึกลับผสมจินตนิยาย ของหมอกมุงเมืองเรื่องล่าสุดครับ

... ล่องกัลปาลัย

  หลายคนถามมาว่า กัลปาลัย คืออะไร รายละเอียดของคำๆนี้ จะค่อยๆเฉลยนะครับ


บทนำ


          ทันทีเมื่อเขาวาดลำแขนออกไปสุดล้า พร้อมกับคลายกำมือ ผงธุลีทรายในฟายมือกำสุดท้ายก็ปลิวว่อนคลุ้งกระจายตามกระแสลม แล้วจากนั้นเองมหาวาตะก็พัดให้มันปลิวย้อนกลับไปยังทิศทางเบื้องหลัง ณ ห้วงเวลานั้นเองปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น


               เพลิงกองมหึมาลุกโชตนาการ ก่อกำเนิดเป็นมหาปราการแห่งเปลวอัคนีสีเฉดตะวัน ค่อยวาดไล้ลามเลียขึ้นโลมระบายขอบฟ้าครามจนสว่างเรืองรองไปทั้งผืนคคนานต์ ปราการนิรมิตนั้นก็ขวางกั้นระหว่างตัวเขาและ “พวกมัน”ที่กำลังตามไล่ล่ามาอย่างกระชั้นชิดให้ชะงักงันลง

    ทะเลเพลิง เริงร้อน ละลายหล้า
คือมหา ปราการ ที่กั้นขวาง
บังเกิดเมฆ มัวหม่น ทุกหนทาง
ช่วยอำพราง ซ่อนองค์ พระทรงชัย

 หมู่อมิตร กรีดร้อง ก้องสนั่น
ชะงักงัน เชิงผา มิกล้าใกล้
คือโอกาส หลบลี้ หนีปวงภัย
เพื่อข้ามไป สู่จุดหมาย ณ ปลายทาง

    พวกเขาทั้งคู่เดินทางมาเกือบถึงปลายแห่งมรรควิถีแล้ว ทวารบถ* อันเป็นหนทางออกสู่อิสรภพ รอคอยอยู่เพียงแค่เอื้อมมือคว้าเท่านั้น…


        แต่แล้ว...


         ภาพเบื้องหน้า ทำให้เขาหยุดชะงักงัน แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง เหตุไฉนทุกอย่างจึงราบเรียบราวกับเป็นเนื้อผืนเดียวกัน ปราศจากหนทางใดๆให้จรดล เป็นความฉงนฉงาย มิคาดฝันมาก่อน


         เกิดอันใดขึ้น? ทวารบถถูกสลักดาลปิดลง?


             ยังมิทันกระทำสิ่งใด เมื่อคำถามอึงอลในความคิด ก็สดับเสียงกระหึ่มโห่ร้องของพวกมัน ที่ต่างกำลังรี้ไพร่พลสกลไกร กรีธาทัพมหาศาลตรงดิ่งข้ามมายังทิศทางนี้ เสียงดังกึกก้องโกลาหลเริ่มทยอยใกล้เข้ามาตามลำดับ ไม่ต่างกับท่วงทำนองแห่งมฤตยูที่ไล่ล่าเหยื่ออย่างเอาเป็นเอาตาย


          โดยหาได้ยอมพ่ายแพ้ไม่


              ละไอร้อนจากเปลวเพลิงผะผ่าวจับผิวกายจนระอุ หากสำหรับเขาแล้ว มันกลับยิ่งก่อความเหน็บหนาวในดวงหทัยอันอนรรฆนัก


           ผืนทะเลเพลิงสุดลูกหูลูกตาจากด้านหลัง แม้จะถูกเสกสร้างขึ้นด้วยมหามนตราเพื่อเป็นอัคคีปราการกั้นขวางการไล่ล่า หากก็รู้ดีว่าไม่อาจสกัดกั้นพวกมันเอาไว้ได้นานเนิ่นอีกต่อไป มั่นใจว่าฤทธานุภาพของพวกมันมีเหนือยิ่งไปกว่าที่จักคำนึงถึงนัก  โดยเฉพาะจากผู้เป็นหัวหน้าของพวกมัน


            นั่นเป็นเพราะเขาประมาทเกินไป!

เพียงชั่ววิบ ตาวับ ขยับร่าง
ที่เสกสร้าง เสื่อมสลาย คลายมนตร์ขลัง
ด้วยอำนาจ ภูตบดี มีพลัง
พิรุณหลั่ง รดไฟ ให้มอดรา

 ปวงปีศาจ ดาหน้า เข้าฝ่าข้าม
เสียงคำราม กึกก้อง ห้องเวหา
ทีละตน ทีละตน ข้ามพ้นมา
สุดสายตา แห่งกองทัพ นับอนันต์!


          บุรุษหนุ่มใบหน้าคมคายสะดุดตา ขบฟันแน่นจนเห็นกรามขึ้นเป็นสันบนวงหน้าคร้ามเข้ม เขาตัดสินใจประคองร่างนางผู้เป็นยอดพธูหลบลี้เข้าสู่ที่ซ่อนสุดท้าย ที่เสกสร้างให้เป็นเสมือนเกราะแก้วกำบังกาย ปิดกั้นการมองเห็นของพวกมัน แม้จะรู้ว่า สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจพรางสายตาของพวกมันได้นานเนิ่นไปตลอดกาลก็ตามที


           อย่างน้อย ก็ขอเพียงแค่เวลา... เวลาสำหรับการเลือกตัดสินใจ


           เพ่งสายตามองตรงไปยังเป้าหมายเบื้องหน้า น่าเสียดายนัก มันต้องมีบางอย่างผิดพลาดเกิดขึ้น บางอย่างที่เขาไม่รู้ว่า “เหตุการณ์ภายนอก” มีสิ่งใดบังเกิดขึ้นก่อนหน้า


           ทุกอย่างขึ้นกับช่วงเวลา ลำพังเขาเพียงผู้เดียว ย่อมไม่ยากที่จะหลบหนีกองทัพของพวกมัน เพื่อเดินทางไปถึง ถ้า... ถ้าหากว่า จะไม่มีนางผู้ติดตามมาด้วยความรักและภักดี อันไม่ต่างกับหัวใจของเขาเองนี้ด้วย


            บัดนี้ นางกำลังบาดเจ็บและพยายามสู้ฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวนั้น ด้วยหัวใจอันเข้มแข็งไม่ต่างกับเหล็กเพชร!


             ในท่ามกลางเสียงอื้ออึงรอบด้าน ชายหนุ่มโอบมือแข็งแรงกระชับร่างบอบบางในอ้อมกอดไว้แนบแน่น กดปลายคางสากระคายลงเคลียเคล้ากับเส้นเกศายาวสลวยบนเศียรได้รูปของอีกฝ่ายอย่างปลอบประโลมขวัญ แม้จะไม่มีมงกุฎแห่งเกียรติยศสวมลงเหนือเศียร หรือผืนภูษิตาภรณ์อันเพริศแพร้วด้วยก่องแก้วอัญมณีประดับวรกาย แต่นี่คือนางเดียวผู้กุมดวงใจของเขาเอาไว้มิคลอนคลาย นางผู้ที่เขายอมสละชีวิตทั้งชีวิต เพื่อจะให้มาเคียงคู่อยู่ร่วมกัน ยังดินแดนที่จากมา...


              ร่างน้อยที่กำลังสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมกอด เผลอสูดกลิ่นหอมระรวยรินจากเรือนกายของนางผู้งามพร้อมราวกับเป็นแรงใจให้ต่อสู้กับเหตุการณ์วิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้น ณ เบื้องหน้า


           ปลาบปลื้มในดวงใจสุดแสนเมื่อได้นางมาเคียงคู่กายสมดังความปรารถนา แม้ว่า...


            ทุกอย่างอาจจะสายเกินไป!!


               “เศาร์ ท่านอย่าได้ทิ้งข้าไปนะ ข้ากลัวเหลือเกิน บัดนี้ข้าไม่เหลือผู้ใดอีกแล้วในชีวิต นอกจากท่าน...”


            “กระหม่อมขอสัญญา ด้วยสัจจะด้วยชีวิตของกระหม่อมเอง เราจะไม่มีวันพรากจากกันไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น กระหม่อมจะพาพระองค์ไปสู่ดินแดนอิสรภพแห่งโพ้นฟ้า ดินแดนที่พวกมันไม่อาจตามล่าเราทั้งสอง และ ณ ที่นั้น เราจักได้ครองคู่อยู่ร่วมกันตราบชั่วกัลปาวสาน”


             นัยน์เนตรสีน้ำเงินเข้มประหลาดตาเบนขึ้นสบดวงหน้าชายหนุ่มในเงามืด ทรงตระหนักถึงเสี้ยวหน้าคมคายสมบุรุษเพศและเห็นถึงแววตามุ่งมั่นมิผันแปรของเขา... บุรุษผู้เดินทางมาจากแดนไกลสุดโพ้นฟ้า ดินแดนที่เขาเคยเล่าขานให้พระองค์รับฟังนั้น ช่างลึกลับ มหัศจรรย์ ราวกับเป็นแดนลับแลหรือฟากฟ้าหิมพานต์ เกินกว่าจะทรงจินตนาการไปถึง


             หากกระนั้นก็ทรงเชื่อถือในถ้อยคำของเขาหมดพระทัย เชื่อมั่นนับแต่ได้ทอดพระเนตรเห็นนัยน์ตาคมกล้าแผกจากบุรุษทั้งปวงในนครา


            “เราเชื่อท่านเสมอ  และพร้อมจะไปทุกถิ่นที่ ขอเพียงมีท่านอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นแดนแห่งสรวงสวรรยาหรือในห้วงนรกานต์ก็ตาม!”


             คำตรัสอย่างซื่อตรงบริสุทธิ์พระทัยนั้นเอง ทำให้ยิ่งตระหนักถึงความรับผิดชอบของชีวิตทั้งชีวิตในอ้อมแขน และเขาก็ยินยอมโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ รู้ว่าหัวใจของตนเองได้มอบให้กับนางตั้งแต่แรกเห็น ตราบจนบัดนี้ และตลอดไป...


              ไม่ต่างกับการต้องบุษปศรต้นอ้อยอันหอมหวานจากองค์พระอนงค์ เทพไท้แห่งความเสน่หาจนมิอาจถ่ายถอน


   “ถึงต้องง้าว หลาวแหลน สักแสนเล่ม
ให้ติดเต็ม ตัวฉุด พอหลุดถอน
แต่ต้องตา พาใจ ให้อาวรณ์
สุดจะถอน ทิ้งขว้าง เสียกลางคัน**”


           นางคงมิรู้ดอกว่า แค่เพียงได้จินตนาการถึงก่อนการพานพบ ตราบจนได้มองเห็นเจ้าหญิงผู้ทรงโฉมแห่งวิเทหนครพระองค์นี้แล้ว นับจากนั้นเป็นต้นไป เขาก็มิอาจลืมเลือนนามแห่งมณีเรขาไปได้อีกเลย

   เพียงหนึ่งนาง กลางหทัย ในโลกนี้
ไม่อาจมี นางใด ได้เทียมฝัน
ต่ออัปสร ร่อนฟ้า มาร้อยพัน
เพียงหนึ่งนั้น คือมณี ไม่มีแปร!

    เจ้าหญิงมณีเรขา ทรงแนบพักตร์ลงกับทรวงอกกว้างผึ่งผายของบุรุษเดียวในพระทัย หลับเนตรพริ้มลง ไม่ต้องการรับรู้ถึงภยันตรายที่กำลังกล้ำกรายเข้ามาทุกขณะ หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งชายหนุ่มผู้นี้เดินทางเข้ามาสู่วิเทหนครเป็นครั้งแรก ในคราบของชายพเนจรไร้ที่มา นอกจากเสียงร่ำลือถึงการขับขานลำนำอันไพเราะเหลือคณนา


           ดินแดนรุ่งเรืองไกลโพ้นที่เขาจากมาอย่างเป็นปริศนา โดยใช้เครื่องดนตรีประหลาดตา บรรเลงด้วยท่วงทำนองไพเราะเพราะพริ้งเกินกว่าคีตกานต์ผู้ใดในราชสำนักจะเทียบทัน


             ด้วยเสียงบรรเลงเสนาะและลำนำแห่งมหัศจรรย์นิทานแดนฝันนั่นเอง ที่ทำให้ทรงมีโอกาสพานพบกับบุรุษผู้นี้ ตั้งแต่ก่อนองค์เสด็จพ่อ องค์ท้าวพรหมทัตแห่งวิเทหนครจะทรงโปรดให้มหาดเล็กนำบุรุษจากแดนไกลเข้าเฝ้าถวายการขับขานลำนำ ตามเสียงเล่าขานเสียด้วยซ้ำ


          และนั่นก็ยิ่งทำให้พระทัยไหวหวั่นยิ่งขึ้น เมื่อเขาได้แสดงคีตลำนำให้เป็นที่ประจักษ์แจ้ง ณ ท้องพระโรงแห่งราชสำนักนั่นเอง เจ้าหญิงมณีเรขา ทรงลอบเมียงเนตรผ่านสายวิสูตรออกไปด้วยความสนพระทัย มิคาดคิดว่าจะต้องเผชิญกับนัยน์ตาคมกล้าของเขา ราวกับรับรู้ว่าทรงซ่อนองค์อยู่ด้านหลังก่อนหน้า


            ดวงตาสีดำเข้มจัดลึกล้ำคู่นั้นเอง ที่ทำให้ราชธิดาคนงามแห่งวิเทหนครถึงกับตกตะลึง หวั่นไหวพระทัย อย่างไม่เคยมีผู้ใดก่อให้บังเกิดขึ้นมาก่อนในพระชนม์ชีพ


           สายตาคู่นั้น ประสานสบสายพระเนตรอย่างอาจหาญมิพรั่นพรึงต่อความสงสัยของผู้คนรอบข้าง บุรุษผู้องอาจแม้เป็นเพียงวณิพกในท่ามมหาสมาคมอันสูงศักดิ์ก็ตาม


           แม้จะทรงสูงส่งด้วยศักดิ์ศรีพระเกียรติยศแห่งเทวิกา หากมาณพหนุ่มกลับมิยอมเบนสายตาหลบ และสิ่งที่ทรงอ่านจากกระแสสายตาคมกล้าคู่นั้นได้อย่างชัดเจนจนพระทัยอันเคยเข้มแข็งแปรเปลี่ยนเป็นหวั่นไหว


            และเมื่อนั้นเอง บุรุษพเนจรจากแดนไกลที่เขาเรียกขานว่าแดน “อิสรภพ” ก็ทำให้เส้นทางชีวิตเจ้าหญิงมณีเรขา ผู้เลอโฉมแห่งวิเทหนคร ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

              ********************


            ในความมืดมนอนธการ มีเพียงแสงเพลิงที่โพ้นขอบฟ้าด้านหลังแลบเลียราวกับจะลุกไหม้ผืนโพยมบนก่อนที่จะวูบลับมลายหายลงไปจนหมดสิ้น นั่นคือสัญญาณ... บัดนี้พวกมันสามารถก้าวข้ามปราการที่เขาสร้างขึ้นเอาไว้ได้สำเร็จแล้ว โดยมิต้องกังขา


            เสียงกระหึ่มดังใกล้เข้ามาทุกขณะในทิศทางเดียวกัน ดูเหมือนว่า พวกมันจะล่วงรู้ถึงที่ซ่อนตัวแล้ว ด่านทะเลเพลิงถูกทำลายลงในชั่วพริบตา มีทางเลือกที่ต้องตัดสินใจอยู่สองทาง หนทางแรกก็คือการออกไปเผชิญหน้าเพื่อต่อสู้กับพวกมันตัดสินกันด้วยชีวิตของแต่ละฝ่าย ถ้าหากเขาประสบชยะ จึงจะค่อยหาหนทางพานางข้ามไปสู่ปลายทางแห่งโพ้นฟ้า ดินแดนที่เขาจากมา แม้ว่าตนเองจะไม่มีอาวุธใดๆในกำมือสักสิ่งเดียว บุรุษหนุ่มนามเศาร์ ขบกรามแนบแน่นด้วยความรู้สึกส่วนลึกในหัวใจ


            ในชั่วชีวิตของเขามีเพียงเครื่องดนตรีและวิทยาการภูมิรู้เท่านั้นที่เปรียบเสมือนศัสตราวุธคู่ชีพ เคยเชื่อว่าเสียงเพลงอันไพเราะจะนำมาซี่งเสรีภาพความสงบสันติสุข และความรู้ในสรรพวิทยาจะนำพาซึ่งความก้าวหน้าอันยั่งยืน


         หากไม่นึกว่า บัดนี้ มันจะกลายเป็นเป็นชนวนแห่งสงครามไปได้เช่นกัน!


           หรือทางเลือกที่สอง ทางเลือกที่นางจะเป็นผู้เลือก??


             “ท่านโปรดอย่าออกไป ข้าขอร้อง ข้าทนไม่ได้ที่ท่านจะต้องสิ้นชีพเพราะพวกมัน”


             “มณีเรขา”


              ในเงาสลัวของที่ซ่อนเร้นกาย เขามองเห็นหยาดอัสสุชลราวเกล็ดมณีไหลรินออกมาจากปลายพระเนตร ทุกหยาดหยดที่หลั่งลงอาบปรางและหล่นลงกระทบพื้น บังเกิดเป็นมณีไข่มุกเม็ดงามอันอนรรฆค่า แล้วกลิ้งไหลลงมาไม่ขาดสาย ชายหนุ่มต้องโอบประคองปลอบขวัญมิให้นางกันแสงโศกศัลย์ยิ่งกว่านี้ หัวใจเขาแทบขาดรอนด้วยความร้าวรานเจ็บปวดอันมิต่างกัน


             “แต่ เราจะรอคอยความตายอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ มณีเรขา ถ้าเพียงแต่ให้กระหม่อมได้พาฝ่าบาทไปถึงทวารบถแห่งกัลปาลัย  เมื่อนั้นเราก็อาจจะพ้นจากเงื้อมมือของพวกมันได้สำเร็จ”


              “เศาร์.. แต่ทวารบถนั้นปิดผนึกลงแล้ว? พวกเราไม่อาจจรดลไปได้...”


              นางส่ายพักตร์ รู้ดีว่า การเดินทางไปถึงทวารบถแห่งกัลปาลัย เป็นสิ่งไกลเกินฝันแล้วในบัดนี้ เมื่อปรากฏเสียงกระหึ่มกึกก้องใกล้เข้ามาทุกขณะ รู้ถึงความสามารถอันพวกมันที่มีเหนือกว่ามนุษย์ทุกผู้


             เนื่องจากพวกมัน มิใช่มนุษย์!


           หากเป็นกองทัพแห่งกฤติยามนตร์ที่ผูกขึ้นด้วยมหาอาคม บังเกิดเป็นกองทัพแห่งหุ่นพยนต์ ที่ถูกบังคับบงการด้วยโองการมนตราของบุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้น


              สิงหเมฆินทร์!


             เจ้าหญิงมณีเรขาทรงดำริในพระทัย เกิดความคั่งแค้น อุระรวดร้าวเจียนจวนระเบิด ความอาฆาตพยาบาทของมันรุนแรง น่ากลัวเหนือกว่าผู้ใดในพิภพ ทรงครุ่นคำนึงถึงบุรุษผู้นั้นด้วยความพรั่นพรึง เพราะแม้แต่สตรีที่ทรงเคยคิดว่า ว่าน่าหวั่นเกรงที่สุดแห่งวิเทหนครา ก็ยังมิร้ายกาจเทียมเท่า  บัดนี้ถึงเวลาที่ต้องวางเดิมพัน ด้วยทางเลือกของพระองค์เองแล้วกระมัง?


    ระหว่างความ เป็นไป ในความรัก
ต้องหวนหัก เลือกลง ที่ตรงไหน
ระหว่างรัก ระหว่างช่อง ของหัวใจ
ต้องตัดสิน พระทัย ในบัดนี้!



             ทรงสัมผัสวัตถุชิ้นสำคัญที่ติดพระวรกายมาแต่ครั้งแรกประสูติ ประกายสีทองสุกสกาววาบวับปรากฏขึ้นดุจแฉกวิชชุในความมืดทะมึน ลักษณะของมันคล้ายสัตว์มีปีกชนิดหนึ่งขดนิ่งอยู่ในอุ้งหัตถ์แห่งองค์เทวี ชายหนุ่มถึงกับอุทานออกมา เมื่อเห็นวัตถุชิ้นนั้นเต็มตา รู้ดีถึงการทำหน้าที่ของมัน กับ “การแลกเปลี่ยน” ครั้งสำคัญ


               “องค์สุวรรณชตุกา!”


           รอยแย้มสรวลปรากฏขึ้นครั้งแรกที่ริมโอษฐ์เรียวบางของเจ้าหญิงมณีเรขา พระเนตรสุกสกาวมิแตกต่างจากรัศมีอร่ามอุไรจากวัตถุชิ้นนั้นเลยแม้แต่น้อยนิด ด้วยทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้ว


            “ได้โปรดเถิดมณีเรขา โปรดอย่าทรงทำเช่นนั้น... ทรงทราบดีว่าองค์ชตุกามีค่าอันอนรรฆเพียงใด และเราก็ไม่มีโอกาสในข้อนั้นอีกแล้ว”


               รอยแย้มสรวลปนเศร้าขององค์เทวิกาแห่งวิเทหนครเบิกขึ้น


               “เพราะเราต่างไม่มีทางเลือกอีกต่อไปแล้วอย่างไรเล่าเศาร์ ข้าจึงคิดว่านี่คงเป็นหนทางเลือกสุดท้าย... นั่นคือการปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไป โดยฝากความหวังสุดท้ายที่เหลือเพียงริบหรี่นั้นเอาไว้ เพราะบางที แสงสุดท้ายแห่งวารวัน อาจจะเป็นแสงเดียวกับการเริ่มต้นของอรุโณทัยในวันพรุ่ง”


              “ไม่! กระหม่อมจะไม่ยอมให้ทรงตัดสินพระทัยเช่นนั้นเด็ดขาด องค์ชตุกาไม่ควรจะถูกปลดปล่อยออกไปในเพลานี้”


             หากเสียงกระหึ่มก้องดังมาจากด้านนอกจนบานทวารที่กั้นพื้นที่อันรโหฐานของห้องแห่งนี้สั่นสะเทือน ราวปฐพีถล่มทลาย การก้าวย่างอย่างเป็นจังหวะของหุ่นพยนต์นับหมื่นแสนที่ต่างกรีธาทัพโดยโองการของสิงหเมฆินทร์ เพื่อภารกิจการจับตัวผู้ทรยศไปลงทัณฑ์ ยิ่งใกล้เข้ามาทุกขณะจิต


            หัตถ์เนียนนุ่มแตะลงที่อุ้งมือแข็งแกร่ง


               “ให้เขาได้กระทำหน้าที่นั้นเถิด ถ้าหากว่า เราทั้งสองได้มีบุญญาธิการร่วมกันแล้ว ข้าเชื่อว่าในกาลข้างหน้า จักต้องมีผู้รับรู้ และช่วยเปิดทวารบถจากวิเทหะให้เราทั้งสองได้หนีรอดออกไปได้สำเร็จ”


               “มณีเรขา...”


              เขาโอบร่างน้อยผู้มีดวงหทัยมั่นคงแข็งแกร่งไม่แพ้บุรุษเพศไว้แนบอกกว้าง ด้วยความนับถือในน้ำพระทัยอันยิ่งใหญ่เด็ดเดี่ยว สูดสัมผัสถึงกลิ่นสุคันธาจากวรกายอาบอวลนาสา แล้วจำหลักลงสู่ทรวง


          “ตกลง ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น เราจะไม่พรากจากกัน”


              เอ่ยยังมิสิ้นเสียง บัดดล แผ่นศิลาที่กั้นเป็นพื้นผนังไว้หลบซ่อนกายก็แตกทลายลงพร้อมกันด้วยแรงกระแทกแห่งฤทธานุภาพมหาศาล แผ่นศิลาหนาทึบแตกกระจาย ก่อเกิดเป็นผงธุลีขาวข้นปลิวคลุ้งราวม่านควัน จนต้องปิดนัยน์ตาลง


           ฮืมม์ม์ม์ กรรรรรรรรร


            เสียงร้องโห่โหม กระหึ่มขึ้นด้วยความปิติกระหายของพวกมันประสานขึ้น ราวท่วงทำนองดนตรีแห่งปีศาจขับขาน และเมื่อละอองธุลีหมอกหนาทึบคลายตัวออกจากกันนั่นเอง


              เศาร์เบิกสายตามองออกไปเบื้องหน้า กองทัพอมนุษย์ที่เรียกขานว่าหุ่นพยนต์ จำเดิมพวกมันถูกเสกขึ้นจากเศษหญ้าแพรกแห้ง โดยมีไม้ไผ่ลำยาวปักไขว้เสมือนเป็นองคาพยพส่วนต่างๆ ลงยันตร์อาคมประกบไว้ จนปรากฏรูปทรงอย่างมนุษย์ขนาดสูงใหญ่กำยำ หากเขารู้ดีว่าหุ่นพยนต์จากกองทัพที่กำลังไล่ล่านี้ ยังมีความพิเศษพิสดารเหนือกว่ายิ่งนัก


            เพราะแม้แต่ห้วงทะเลเพลิงกาฬก็มิอาจทำลายเผาผลาญพวกมันได้!


               จากนั้นพวกมันต่างก็เริ่มขยับกายโดยพร้อมเพรียงกัน บนส่วนที่เป็นอวัยวะของมือทั้งสองประกอบด้วยศัสตราวุธชนิดต่างๆอยู่ครบมือ พวกมันยืนตระหง่านชั่วขณะรอคำสั่งจากผู้บัญชาเพียงเสียงเดียว โดยเรียงรายเป็นแผงกระดานทอดยาวไกลออกไปจนสุดสายตา


              “ไอ้วณิพกแดนเถื่อน ในที่สุดเจ้าไม่มีวันหนีข้าไปได้พ้น”


              เสียงคำรนผสานเสียงสำรวลร่าอย่างพึงใจ ไม่ต่างกับเสียงอสนีบาตดังกระหึ่มกึกก้อง เมื่อส่วนที่เป็นริมฝีปากของหุ่นพยนต์ขยับขึ้นพร้อมกัน แท้จริงแล้วพวกมันล้วนถูกบงการประกาศิตจาก สิงหเมฆินทร์จอมบงการ ผู้ทำหน้าที่ผูกหุ่นพยนต์และร่ายมนตรากำกับกองทัพนรกนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว


                 บุรุษหนุ่มที่ถูกเรียกขานหยามเหยียดว่าวณิพกแดนเถื่อนหัวเราะตอบ ร่างกายสูงใหญ่อย่างหนุ่มฉกรรจ์ขยับลุกขึ้น ผงาดกายอย่างมิพรั่นพรึง สายตาคมกล้าคล้ายเปล่งประกายเยาะหยัน


              “อย่าทระนงตนไปนักเลย สิงหเมฆินทร์เจ้าก็รู้ทั้งรู้ ว่าคำพูดของตัวเจ้าเอง ก็หาได้เป็นจริงแท้ทุกประการไม่”


              คล้ายพญานาคถูกฟาดที่ปลายขนดหาง นัยน์ตาอีกฝ่ายวาวโรจน์ด้วยโทสะ


               “ไอ้คนโอหัง... ข้าสาบานด้วยชีวิตข้าเอง ว่าสำหรับตัวเจ้าแล้ว จะไม่มีวันพลาดเด็ดขาด!”


               เศาร์ยิ้มอย่างเยือกเย็น ท่าทางนั้นเหมือนมิได้อนาทรต่อความกราดเกรี้ยวราวพายุกระหน่ำของอีกฝ่าย


                “ถ้าเช่นนั้น ก็จงเข้ามาได้เลย ข้าหาได้หวั่นเกรงต่อกองทัพอสูรของพวกเจ้าแต่น้อยไม่ สิงหเมฆินทร์”


                 “แล้วเจ้าก็จะได้รู้ ถึงความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ยิ่งกว่าที่ข้าได้รับ ไอ้เศาร์ เจ้าจะไม่มีวันได้ออกไปจากวิเทหนครตลอดกาล!”


              และก่อนที่กองทัพหุ่นนรกจะโถมกรูตรงกันเข้ามายังร่างทั้งสอง มณีเรขาก็ทรงหงายหัตถ์แบออกเป็นครั้งสุดท้าย เสียงพึมพำดุจการสังวัธยายมนตราดังขึ้นเพียงแผ่วเบาแน่วนิ่ง จากนั้นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น เป็นประจักษ์พยานครั้งสุดท้ายแก่สายตาของมนุษย์และอมนุษย์ทุกผู้ในที่นั้น


              วัตถุสีทองสุกปลั่งในอุ้งหัตถ์เริ่มขยับกาย ก่อนที่ส่วนปีกข้างลำตัวของมันจะผายเบิกขึ้นช้าๆเป็นองคาพยพแห่งแผงปีกมหึมา บังเกิดเป็นรูปทรงแห่งสัตว์ปีกชนิดหนึ่ง


              นั่นคือ องค์ชตุกา ค้างคาวทอง แห่งวิเทหนคร!


                “ชตุกาเอ๋ย ท่านจงเดินทางออกจากวิเทหนคร เร่งติดตามหาผู้ทรงญาณวิเศษ ที่จักสามารถข้ามพ้นดินแดนโพ้นฟ้ามาช่วยเหลือเราทั้งสอง ให้จงได้!”


             สิ้นสุรเสียงดำรัส ร่างนั้นก็ผงกส่วนศีรษะรับรู้เป็นครั้งสุดท้าย และแล้วค้างคาวสีทองคำ ก็เคลื่อนกายโผจากหัตถ์ที่แบกว้างออก จากนั้นจึงแหวกพุ่งผ่านกองทัพหุ่นพยนต์ที่ต่างยืนตกตะลึงต่อภาพเบื้องหน้า แล้วสำแดงอาการรเหินร่อนขึ้นสู่ห้วงเวหา บ่ายบินเข้าสู่ทิศเบื้องหรดีอันเป็นทวารบถแห่งวิเทหนคร ที่แม้ว่าในสายตาแห่งมนุษย์เช่นเศาร์จะมิอาจมองเห็นได้ นอกจากสัมผัสประกายสีทองสุกปลั่งกำจายรัศมีเจิดจรัสกระจ่างตา


              ก่อนหายลับจากคลองจักษุของทุกผู้ในที่นั้น


              เพื่อกระทำภารกิจสุดท้ายให้กับ เจ้าหญิงมณีเรขา!!

                *****************************
* ทวารบถ : ช่องทาง
** จากนิราศวัดเจ้าฟ้า สุนทรภู่

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 08:27:46




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com