28
พอบัณฑิตามาถึงโรงเรียนก็ยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องที่จะเจอไม่ใช่แค่หัวข้อซุบซิบในหน้าบันเทิง แต่เป็นพาดหัวเป็นข่าวหน้าหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าเทียบกับดาราตอนนี้เธอเป็นซุปเปอร์สตาร์ไปแล้ว ไม่น่ายินดีเลยสักนิด
สายตาจากผู้ปกครองลดความเคารพนับถือลงไป กลับกลายเป็นความดูแคลน ครูสาวก้มหน้าเดินงุด ๆ เข้าห้องพัก แม้รู้ว่าที่นั่นจะต้องเจอกับการเหยียดหยันที่ยิ่งกว่าสายตา
อย่าเสียเวลาหาต้นตอให้ยากว่าข่าวมาจากไหน แพร่กระจายโดยทางใด เรื่องซุบซิบนินทาเหมือนเชื้อโรค ล่องลอยและส่งต่อได้ในอากาศ การอยู่ร่วมกันเหมือนฉลามได้กลิ่นเลือดเหยื่อ ยิ่งคาวมากเท่าไรยิ่งกระตุ้นความกระหาย โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่านั่นคือ ‘ความจริง’ หรือ ‘การคิดไปเอง’ บัณฑิตาอดเห็นสีหน้าตอนที่ครูผึ้งกับครูปลารู้ความจริงว่าปุริมาเป็นลูกสาวผอ.คเชนทร์แทนที่จะเป็น ‘เมีย’ ตามภาพที่ตนเองวาดและระบายเอง แต่...ไม่เกี่ยวกับเธอเท่าไร เพราะตอนนี้เธอมาตกที่นั่งนั่นแล้ว “อุ้ย...” คนที่นั่งอยู่ก่อนซ่อนรอยยิ้มไม่มิด นั่นทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาหงุดหงิด เอาเลย อยากถามอะไรอยากจะกระแนะกระแหนอะไรก็เอาให้หนำใจ ได้โอกาสแล้วนี่ แต่ผิดคาด หัวหน้าแผนกนั่งพิมพ์งาน ส่วนครูปลากับครูเหมียวตรวจการบ้านนักเรียน ยังไม่เห็นชาร์ค “บุ้ง ผอ.เรียก” คนฟังสะดุ้งนิดหนึ่ง อาจเพราะน้ำเสียงราบเรียบจนน่าตกใจ ซ้ำสีหน้าก็ไม่บอกอารมณ์ แบบนี้ดูพรั่นพรึงกว่านางร้ายในละครอีก เพราะเดาไม่ถูก เธอวางเอกสารเรียบร้อยแล้วเดินออกไป พอพ้นประตูไปก็ได้ยินเสียงหัวเราะ ขบฟันข่มอารมณ์ ถ้ากลับไปมีหวังไม่จบแน่
ส่วนบุคคลที่ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านอีกฝั่งหนึ่งก็รับรู้เรื่องนี้เช่นกัน แม้ว่าภายนอกเขาจะนิ่งขรึมอย่างเคยแต่ได้ยินคำทักทายที่แฝงความมีนัยยะเรื่องชู้สาว ไม่ว่าจะเป็นคนจากตลาด ที่ร้าน เลวร้ายที่สุดก็คือที่โรงงานซึ่งเอาปูนิ่มไปส่ง “ไม่ยักรู้นะว่าคุณกบชอบผู้หญิงตัวเล็ก ๆ” เป็นครั้งแรกที่ธรณิศรู้สึกโกรธจริงจัง และเหมือนอีกฝ่ายจะรู้เพราะพูดแล้วก็เดินจากไปไม่ต้องการคำตอบรับ เขาขับรถกลับมาที่ฟาร์มพร้อมบรรยากาศที่ลูกน้องไม่กล้าเข้าใกล้ ตั้งใจจะนอนค้างที่ทำงานสงบอารมณ์และไตร่ตรองแต่มีโทรศัพท์เรียกจากแม่จึงเปลี่ยนกำหนดการ ถึงแม้จะไม่บอกจุดประสงค์แต่คนเป็นลูกพอเดาได้ “กบไม่เห็นบอกแม่เรื่องบุ้งเลย” ป้าไก่พูดเย็น ๆ อารมณ์ตัดพ้อมากกว่าตำหนิ ที่โต๊ะอาหารมีเพียงสองคน เพราะลุงโพอิ่มก่อนและไปนอนดูข่าวภาคดึกแล้ว “ไม่มีอะไร แค่ไปเกาะพายุเข้าก็เลยกลับไม่ได้เท่านั้นเอง” คนฟังนิ่ง ลูกชายไม่ใช่คนพูดมาก ซ้ำไม่เคยโกหก “แม่รู้ แต่แม่ก็ยอมรับว่าหวั่นไหว เพราะข่าวมันแรงเหลือเกิน” ชายหนุ่มเขี่ยข้าวในจาน ยืนยันว่าเขาได้พูดทุกอย่างชัดเจนแล้ว และไม่บังคับให้คนเป็นแม่ต้องเชื่อตัวเอง ป้าไก่เช็ดมือกับผ้าขี้ริ้วแล้วถอนใจ
“กบโตแล้ว เรื่องควรไม่ควรก็คิดได้เอง อย่าทำตัวกินบนเรือนขี้บนหลังคานะ...”
ถึงตรงนี้ธรณิศแทรกทันควัน “แม่ก็คิดว่าบุ้งเป็นผู้หญิงของนายเข้เหรอ”
“ก็แล้วไม่ใช่เหรอ” เธอยกหางเสียง “ถึงหนุบุ้งจะยังไม่ลงเอยกับนายเข้ แต่ก็ถือว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่นายเข้ให้ความสำคัญ เอาเถอะ แม่บอกกบได้แค่นี้”
แล้วบรรยากาศก็อยู่ในความเงียบงัน ตั้งแต่วันนั้นไม่มีพายุฝนที่บ้านน้ำทองแล้ว แต่ดูเหมือนเมฆหมอกอึมครึมปกคลุมหนาทึบขึ้นทุกที
เขมรัฐมารับโขง พอไม่เจอปุริมาก็อดไต่ถามไม่ได้
“ผมก็ไม่เห็นเหมือนกัน วันนี้ครูประชุมกันครับ สงสัยจะเรื่องงานเลี้ยงปลายภาค” โขงตอบขณะปีนขึ้นไปนั่งข้างคนขับ ชายหนุ่มรับรู้และกวาดสายตาไปยังรอบอาณาเขตโรงเรียน อาคารหลังใหม่กำลังต่อเติมชั้นสอง มองเห็นเสาปูนที่ยึดด้วยเหล็กเส้น และดูเหมือนจะมีกำแพงด้านหนึ่งเสร็จแล้ว ที่สนามและม้าหินเงียบเหงาเนื่องจากเป็นสัปดาห์แห่งการสอบ นักเรียนถูกห้ามทำกิจกรรม
รถจิ๊บเคลื่อนออกจากโรงเรียน
“เออพ่อ พี่กบชอบพี่บุ้งเหรอ”
เขมรัฐหันมา หน้าตาตกใจ “ไปได้ยินมาจากไหน”
“แม่ค้าเม้าท์กันฮะ” แล้วเด็กชายก็เล่าถึงเนื้อหาที่ได้ยินมา ว่าสองหนุ่มสาวไปค้างแรมด้วยกัน แต่ก็เพียงไม่กี่ประโยคเพราะเห็นสีหน้าคนฟังตึงเครียดจึงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรพูด
“ขอโทษครับ”
“ยังไม่ว่าอะไรเลย จะร้อนตัวไปไหน” เขายิ้ม “ฟังมาก็คิดก่อน ไตร่ตรองก่อน หรืออยากรู้อะไรไปคุยกับเจ้าตัว ดีกว่ามาตัดสินเอง พ่อไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องพี่กบนะ ทุกเรื่องนั่นแหละ”
โขงพยักหน้า เป็นครั้งแรกที่เห็นพ่อพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งแบบนี้ เด็กชายรู้โดยสัญชาตญาณว่าเรื่องนี้สาหัสกว่าที่คิดมากมาย
บัณฑิตานั่งคุมสอบพลางพลิกซองขาวในมือไปมา ครุ่นคิดถึงบทสนทนาที่ได้พูดกับผอ.เมื่อเช้า สองวันที่ผ่านมาเธอรีบกลับบ้าน งดการรับสายจากใครทุกคนแม้แต่เขมรัฐ ส่วนธรณิศนั้นไม่ได้โทรหาแต่มีข้อความสั้น ๆ ไต่ถาม
‘เป็นยังไงบ้าง เป็นห่วง’
หญิงสาวมองหน้าจอแล้วยิ้มซีดเซียว เป็นห่วงแล้วทำไมไม่โทรมาล่ะ ไม่มาพูดคุยให้เห็นกับตาว่าเธอเป็นยังไง หรือว่ากลัวข่าวลือจะกระพือกันไปใหญ่หรือไง
เมื่อวันจันทร์ที่ผอ.เรียกไปพบ ก็มีเพียงการไถ่ถามข้อเท็จจริงซึ่งหญิงสาวก็เล่าตามความที่มันเกิด โดยได้รับรู้เพิ่มเติมว่า ณ ตอนนี้เธอไม่เป็นที่ชื่นชมจากผู้ปกครองนัก นายจ้างไม่ได้ถ่ายทอดคำพูดชัดแจ้ง แต่ครูสาวเดาได้ และเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องแบกรับความรู้สึกอย่างไรเมื่อถูกถามต่อหน้าทุกคน
‘ผมรู้ว่าการที่บุ้งจะคบหาสมาคมกับใครมันเป็นเรื่องส่วนตัว เอาเป็นว่าผมขอความร่วมมือก็แล้วกันนะ ให้ผ่านช่วงนี้เวลานี้ไปก่อน เดี๋ยวปิดเทอมข่าวคงซาไป’
‘ขอความร่วมมือ’ พูดให้ตรงก็คือ ต้องการให้ปฏิบัติตามนั่นแหละ คิดอยู่แล้ว ไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่ คนเราก็ตัดสินจากภาพที่เห็นกันทั้งนั้น ทั้งตาบ้ากบ เพื่อนครู หรือผู้ปกครองทั้งหลาย ทำไมเวลาที่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจึงไม่คิดจะถามจากต้นตอ ทำไมชอบฟังความข้างเดียวแล้วต่อเรื่องไปตามต้องการ การพูดคุยเรื่องคนอื่นมันสนุกมากหรือไง
ติดฝนที่ฟาร์มก็แล้ว ติดเกาะกลางพายุก็แล้ว ยังไม่เห็นจะเสียตัวเหมือนในละคร แต่ข่าวลือไปไกลยิ่งกว่า ให้ตายสิพ่อคนนี้ หรือเพราะเธอไม่ใช่นางเอกหรือเปล่า พระเอกถึงไม่อยากล่วงเกิน อยากรอตัวจริง
ยิ่งคิดยิ่งโมโห พาลอยากฟาดงวงฟาดงาขึ้นอีก ถ้าต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้านแบบนี้ สู้ให้มันเกิดขึ้นจริง ๆ เสียเลยจะคุ้มกว่า
หญิงสาวดึงกระดาษในซองออกมา คลี่ดู จดหมายใจความสั้น ๆ ที่เธอพิมพ์เมื่อคืนนี้ จะเรียกว่าอารมณ์ชั่ววูบก็ได้ เพราะเมื่อถูกกระแหนะกระแหนหนักเข้า เริ่มจะทนไม่ไหว
‘ก็เข้าใจนะว่าเป็นเรื่องของหนุ่มสาว แต่ก็อยากจะขอเตือนในฐานะที่พี่เป็นผู้ใหญ่กว่า อย่าทำอะไรตามใจตัวเองมากนัก คิดถึงตำแหน่งที่ตัวเองอยู่บ้าง’
ครูผึ้งพูด หลังจากที่เธอกลับมาจากห้องผอ.วันก่อน บัณฑิตากำลังมึนจับต้นชนปลายไม่ถูก ครั้นพอได้สติก็บ่นกับครูเหมียวว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด
‘ทำไมล่ะคะ ครูไม่มีหัวใจหรือไง’
‘แต่พี่เห็นด้วยกับพี่ผึ้งนะ’ ครูเหมียวพูด “จริงอยู่ว่าทุกอาชีพก็เหมือนกัน แต่การเป็นครูต้องมีภาพลักษณ์ที่ดี เพราะครูคือแม่พิมพ์ คือคนที่ใกล้ชิดเด็กรองจากพ่อแม่ในการจะเป็นแม่แบบให้เด็ก ๆ เติบโต ถ้าครูเป็นตัวอย่างที่ดี เด็กก็จะจดจำสิ่งนั้นไป ตรงกันข้าม ถ้าเขาได้ยินได้ฟังอะไรที่ไม่ดี...”
“แล้วจะให้บุ้งทำยังไง ป่าวประกาศว่าตัวเองไม่ได้มีอะไรกับผู้ชายเหรอคะ”
เหมียวอึ้ง บัณฑิตาก็ชะงัก “เอ...พี่ก็เป็นคนนอกนะ ไม่มีสิทธิแนะนำอะไร ก็ต้องดูทางพี่กบเขาสิ ได้คุยกับเขาหรือยังเขาว่ายังไง...”
อาจจะเห็นว่าหน้าเธอจ๋อยเพียงไร อีกฝ่ายจึงหยุด
ข้อความที่เธอตอบกลับคนหน้าเคราไปก็มีเพียงแต่ไม่เป็นไรกับคำขอบคุณ ไตร่ตรองแล้วพึ่งตัวเองก่อนจะดีกว่า แม้จะเจ็บแปลบปลาบไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับเธอกันแน่ แต่ในที่สุดก็เอาจดหมายฉบับนี้ไปยื่นกับผอ.คเชนทร์
‘ลาออก คิดดีแล้วเหรอ’ บัณฑิตาพยักหน้าหนักแน่น ‘ลาออกแล้วจะไปทำอะไร’
‘ยังไม่รู้เลยค่ะ’
ชายกลางคนค่อย ๆ พับกระดาษใส่ซอง ‘ถ้าไม่รู้ ผมยังไม่ให้ออก’
เธอสบตาเจ้านาย ‘ผมเข้าใจความรู้สึกบุ้ง รู้ว่าบุ้งคิดยังไง แต่การลาออกไม่ใช่การแก้ปัญหานะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจโดยไม่มีแผนรองรับแบบนี้’
เขาเปิดยิ้มเล็กน้อย ‘ผมคงไม่ตัดสินหรอกว่าเรื่องทั้งหมดมันจริงหรือไม่ เพราะคนที่รู้ดีที่สุดคือบุ้งเอง ครูบุ้งไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แบบนี้นี่นา’
หญิงสาวรุ่นลูกนิ่ง ใจอกหวิวไหวระรัว ขอบตาร้อน ‘ผมดูบุ้งอยู่นะ เห็นด้วยว่าสอนเป็นยังไง ถ้าครูบุ้งไม่เหมาะกับการเป็นครูหรือสอนไม่มีประสิทธิภาพผมจะบอกเอง’
‘แต่หนู...’
‘แทนที่จะหนี อยู่พิสูจน์ให้ทุกคนรู้สิว่าเรื่องทั้งหมดมันคืออะไร บุ้งคงเคยได้ยินเรื่องผมกับปุริมาใช่ไหม’
บัณฑิตายังไม่ได้ตอบ แต่คเชนทร์ดันซองสีขาวคืนมาให้ ‘เอาเป็นว่าผมไม่อนุมัติ กลับไปคิดอีกทีก่อนนะ’
“ครูครับ”
หญิงสาวหลุดจากภวังค์เมื่อนักเรียนมาส่งข้อสอบ เธอพยักหน้ารับ พับซองนั้นเก็บลงกระเป๋า
เอาเป็นว่าตอนนี้ต้องกลับมาคิดใหม่แล้ว
ด้านธรณิศ หลังจากผ่านการใคร่ครวญและเผชิญกับสายตาคนในชุมชนอยู่สองวันเขาก็เริ่มคิดว่าต้องแก้ไขเสียที แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลที่ไม่อาจสู้หน้าคนอื่น ๆ แต่เป็นเพราะคนซึ่งตกเป็นข้อครหาร่วมกับเขานั่นต่างหาก
เขารู้ที่พักของเธอ จึงไปดักรอ แต่ก็หวั่นอยู่ลึก ๆ เกรงว่าจะทำให้หญิงสาวเดือดร้อนจึงได้แต่มองอยู่ไกล ๆ สีหน้าเซียวที่เดินพ้นตัวอาคารออกมากระชากใจอย่างแรง
ปกติเธอจะแจ่มใส่ ดวงตาโตเป็นประกายซุกซนและอยากรู้อยากเห็น อาจค่อนไปทางก๋ากั่นแต่ร่าเริงอย่างคนสุขภาพดี เวลานั้น เหมือนว่า ‘หนอนบุ้ง’ กำลังเมามึนจากฆ่าแมลงยังไงยังงั้น ไม่มีรอยยิ้ม ใบหน้าซีด แม้จะอยู่ห่างแต่ยังสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่มี ไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่กำลังตื่นตระหนกอยู่กลางพายุฝนฟ้าคะนองในคืนนั้นเลย
ทุกอย่างที่เป็นเธอบันทึกในใจเขา เมื่อเธอทุกข์ เขาจึงไม่สามารถจะสุข
ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าจะหาทางยุติข่าวลือบ้า ๆ นี้ได้ยังไง แต่ด้วยความข้องใจในภาพกับคำที่นายเข้มีต่อบุ้ง จึงอดไม่ได้ที่อยากจะรู้ความเห็นจากคนเป็นนาย
ดังนั้นเมื่อเสร็จงาน แทนที่จะกลับหรือนั่งดูไฮไลต์ฟุตบอลเหมือนเคย คราวนี้เขาลากเก้าอี้มานั่ง
เขมรัฐยกคิ้วละสายตาจากมิวสิควีดีโอ
“นายเข้...คิดยังไงกับข่าวลือเรื่องผมกับบุ้ง”
ไม่มีเกริ่นนำ ไม่มีอ้อมค้อม นี่แหละธรณิศ คนฟังขยับกายมานั่งตัวตรงแสดงให้เห็นว่าก็ยินดีจะคุยอย่างเปิดใจ
“ถ้าถามฉัน ฉันเชื่อในความเป็นสุภาพบุรุษของนาย เพราะฉันรู้จักนาย แต่กับคนที่ไม่รู้และได้ยินข่าวปากต่อปากมาแบบนั้นก็คงจะเชื่ออย่างข่าวลือเป็นธรรมดา”
คนถามเม้มปาก ต้องการจะหยั่งเชิงตรงเป้าที่ต้องการ
“นายเข้คิดว่าให้ข่าวลือมันเป็นอยู่อย่างนี้ แล้วปล่อยให้มันหายไปเอง กับการที่เราลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างให้มันเงียบไปโดยเร็ว แบบไหนมันดีกว่ากัน”
เขมรัฐมองหน้าคนอายุมากกว่านิ่ง ๆ “นายมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ฉันเองตอนนี้ก็แค่คนอื่น เรื่องของคนสองคนนายอย่าเอาคนอื่นหรือองค์ประกอบภายนอกมาร่วมตัดสินเลย แล้วฉันก็เชื่อว่าบุ้งจะเข้าใจในสิ่งที่นายทำอยู่” เขาลุกขึ้นยืนตบบ่าธรณิศหนัก ๆ
“ผมจะขอบุ้งแต่งงาน”
เขมรัฐชะงักกิริยานิดหนึ่ง ครั้นแล้วก็เปิดยิ้ม
“ฉันเอาใจช่วยนายนะ”
ต่อค่ะ...
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ก.พ. 55 10:52:31
|
|
|
|