บทนำ
“มีคนพูดว่า จุดจบของสิ่งหนึ่งมักเป็นจุดเริ่มต้นของอีกสิ่ง จะถือว่าชีวิตนั้นก็รวมอยู่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลกนี้ด้วยได้ไหม จุดจบของหนึ่งชีวิตก็คือจุดเริ่มต้นของอีกชีวิตซินะ เหมือนดั่งที่แม่ของผมและรุจน์เป็น แม่ดับสูญเพื่อให้รุจน์เกิดขึ้นมาในโลกนี้ ทฤษฏีมหาวายร้ายแบบนี้ใครเป็นตั้งขึ้นนะช่างเฮงซวยสิ้นดี และเพราะเหตุนี้ไง เพราะทฤษฏีที่ไม่ควรมีในโลกนี้กลับเกิดจริงกับผมกับรุจน์ ผมจึงเกลียดหมอนั่น เกลียดที่สุด เกลียดเสียจนไม่อยากร่วมสายเลือดที่มีอยู่เพียงครึ่งเดียวของเรา ไม่ว่ายามใดที่เห็นเขาหัวใจของผมเหมือนถูกกรีดทึ้งยับเยิน ยิ่งเขาเหมือนแม่ เหมือนผู้หญิงคนนั้นมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งชิงชัง ยิ่งตอกย้ำว่าความรักครั้งใหม่ของพ่อนั้นไม่เหลือเยื่อใยต่อแม่ หล่อนกระชากเอาสิ่งที่เคยเป็นของแม่ ของผมไปอย่างหน้าไม่อาย เข้าใจไหมรุจน์ว่าฉันเกลียดพวกนายเหลือเกิน ดังนั้นขอล่ะอย่ามาให้เห็นอีก ดีแค่ไหนแล้วเราไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกต่อไปนายไม่เข้าใจเลยหรือไง ถึงเพียรพยายามมาทำให้หัวใจของฉันเลือดไหลย้อนจนจุกยอกแสลงตลอดเวลา ที่ผ่านมาแม้ฉันไม่เหลือใครฉันก็ยังเชื่อ เชื่อเสมอว่าภายใต้ขอบฟ้าอันไกลนี้ จะมีใครสักคนที่จะทำให้ใจที่หนาวเย็นของฉันกลับมาอบอุ่นดั่งสายลมในฤดูร้อนอีกครั้งเหมือนที่แม่เคยมอบให้ฉัน”
วันนี้เป็นส่งท้ายปีเก่า เป็นวันเฉลิมฉลองของกรุงเทพฯอย่างแท้จริง ทุกหย่อมพื้นที่มีแต่ความรื่นเริง เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงกรุ๋งกริ๋งของแก้วกระทบกัน รอยยิ้มที่มีความหมายและไม่มีความหมาย การจับมือทักทาย และ เย้ายวน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นช่วงเวลานี้จวบจนเที่ยงคืนและอาจหมายถึงอรุณรุ่งคือสัญลักษณ์ของความหรรษา ความสุขแห่งการการฉลองให้ชีวิต ผมเองก็เป็นส่วนเล็กๆแห่งการเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่นี้ ทว่าร่องรอยของอดีตทำให้ผมกลายเป็นส่วนอันเน่าเสีย ส่วนที่อัปลักษณ์ของเทศกาลแห่งรอยยิ้มทุกเทศกาล ผมยิ้มและยกแก้วไวน์ให้กับบรรยากาศที่ห่อหุ้มผมไว้ในผับเล็กๆแห่งหนึ่ง ผมมองไวน์ที่พร่องไปครึ่งขวดแล้วยกมือขึ้นเท้าคาง "the night still young" คำพูดที่แผ่วเป็นเสียงกระซิบลอดริมฝีปากที่แห้งผาก มองรอบตัวแล้วนึกขอบคุณความสนุกที่มากมายของทุกคน สิ่งนั้นอาจทำให้ทุกคนมองผมที่นั่งเดียวดายที่โต๊ะมุมริมสุดเป็นแค่ของตกแต่งผับ หรืออาจเป็นภาพเขียนเศร้าๆที่ไม่เข้ากับบรรยากาศ
ขอบคุณ ขอบคุณทุกสายตาที่มองมาแล้วผ่านเลย ไร้สายตาใดที่สื่อให้เข้าใจว่าผมมันช่างน่าเวทนา ขอบคุณมากๆขอให้มีความสุขทุกคนนะครับ ไปเลยครับ ไปมีความสุขกันให้หมด อย่าสน อย่านึกได้ ว่ามีสิ่งมีชีวิตแสนเหงาน่าสงสารตรงนี้ ผมยกแก้วไวน์ อีกครั้งก่อนกระดกดื่มรวดเดียว วางแก้วไวน์แล้วเอนตัวพิงโซฟาด้านหลัง มองโซฟาว่างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็รู้สึกประหลาดใจ ไม่มีใครนั่งด้วยกันหรอกหรือตัวเรา ผมกวาดตามองรอบผับ ไม่มีโต๊ะไหนเลยที่จะมีที่ว่างขนาดใหญ่เท่าผม ทุกโต๊ะมีแต่หญิงชายมากมายจนพื้นที่แคบลงเรื่อย สุดท้ายพื้นที่ว่างก็หายวับกลายเป็นอึกทึก ผู้คนมากมายห้อมล้อมที่จะฉลองกับคนรัก กับเพื่อน กับเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนที่แค่รู้จักผิวเผินก็ตาม ดีแท้เป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่ผม คิดเช่นนั้นก็ให้ต้องยกขวดสีเข้มเทไวน์อีก หยิบเนยแข็งโยนใส่ปาก ทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจอย่างนั้นล่ะ แต่ในใจเจ็บโครต ไม่มีใครอยากอยู่ด้วยในวันที่เต็มไปด้วยสีสัน หากเทศกาลคือสีสัน ความสุข และผู้คนหมู่มากหรือกระทั่งเพียงแค่สองคน คนโดดเดี่ยวอย่างผมก็คงเป็นตัวประหลาดของทุกเทศกาล ยิ่งบรรยากาศเปี่ยมด้วยความสุขเท่าไหร่สถานการณ์ของผมยิ่งเลวร้าย ผมเงยหน้าพ่นลมหายใจที่แอลกอฮอร์เจือปนออกมา หลับตาในวันที่มีกลิ่นอายของความยินดี ความปรีเปรมดิ์ ความสุขอันล้นพ้นทีไรก็มีอันให้รู้สึกถึงความอ้างว้างอันเหงาหงอยที่ไม่มีวันจบสิ้น การต้องอยู่ลำพังช่างเจ็บปวดแม้ให้กำลังใจตัวเองตลอดมาว่าจักต้องผ่านไปให้ได้ ทว่าจนป่านนี้ความโดดเดี่ยวสุดเจ็บปวดนั้นยังคงดิ้นรนทุรนทุรายอยู่เลือดเนื้อทุกอณูส่วนของร่างกายราวกับจมอยู่ในห้วงมหรรณพอันลึกสุดคณาอย่างไม่มีทางได้โผล่ขึ้นมาเห็นแสงอาทิตย์ ผมยกมือขึ้นบีบเปลือกตาทั้งสอง พลางคิดจะอยู่ทำงานต่อก่อนจะได้หยุดยาวปีใหม่ก็ไม่ได้แม่บ้านดันจะกลับเร็ว เลยต้องออกมารวมฝูงกับคนมีสุขทั้งที่เป็นพวกอมทุกข์ เหมือนแกะป่วยในฝูงแกะเริงร่า ผมมองรอบตัวอีกครั้ง ใช่จริงๆด้วย ไม่เห็นมีใครอยากร้องไห้สักคน ผมไม่ควรอยู่ที่นี่ให้บรรยากาศเขาเสีย คิดว่าการสละพื้นที่อันน่าหดหู่ของตัวเองให้คนอื่นที่ต้องการพื้นที่ดื่มด่ำกับความสุขเป็นเรื่องน่าทำที่สุด ผมเลื่อนมือไปที่แก้วไวน์เพื่อดื่มอีกครั้งแล้วกลับไปนอนแล้ว อาจนอนหลับเป็นตายไปเลย หรืออาจนอนร้องไห้คิดถึงความสุขที่ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว จะทำอะไรต่อจากนี้ก็ช่างมันคงดีกว่านั่งท่ามกลางความสุขของคนอื่นเช่นนี้ ผมคิดด้วยหัวใจที่บีบคั้นจนทนแทบไม่ไหว มือที่กำลังเลื่อนที่ไปหาแก้วไวน์สัมผัสกับสิ่งแปลกใหม่ ผมมองเรียวนิ้วขาวซีดที่เข้ามาแตะกับนิ้วของผม
"ตรงนี้ว่างใช่ไหมครับ" เสียงแปลกหูพยายามแข่งกับดนตรีที่กระหึ่มในผับ ผมช้อนตาขึ้นมองด้วยว่าสะดุดกับความแจ่มใสในน้ำเสียงที่กังวาลเข้ากระทบกับโสตที่หม่นหลัวของผม ในแสงไฟดิมริบหรี่คนตรงหน้าสะกดผมกลายเป็นใบ้ไปชั่วขณะ ผู้มาใหม่อยู่ในชุดเสื้อยืดดำคอวี กางเกงยีนส์ซีดๆ ใบหน้าขาวนวลที่มีปอยผมปรกจนปิดดวงตานิดหน่อยส่งยิ้มสะอาดสะอ้านไร้สิ่งซ่อนเร้น คงมีแต่ดวงตาเท่านั้นที่ค้านกับทุกอย่างบนใบหน้าเพราะมันแดงกล่ำคล้ายผ่านการร้องไห้มา เขาไม่ดูคล้ายคนที่กำลังออกเที่ยวหาความสุข "อีกไม่ช้านะ อีกไม่ช้ามันก็กำลังจะว่างทั้งโต๊ะเลย" ผมพยักหน้าแรง เนื่องด้วยศีรษะหนักอึ้งราวก้อนหิน "ทำไมล่ะครับ" "บ๊าย บาย นะ ไปล่ะ" ผมปลดเนกไทออกจากคอจากที่รูดไว้แล้ว พอคิดว่าต้องกลับไปนอนที่คอนโดอันเงียบเหงาในวันที่ศักราชกำลังจะเปลี่ยนใหม่ ก็ให้เซ็งจัด
"ขอบคุณครับ ที่จะสละที่ให้ แต่ไม่คิดว่าที่ตรงนี้มันพอดีสำหรับสองคนหรือครับ" เขาหยิบขวดไวน์ที่เหลือของผมขึ้นดื่มหนึ่งอึก ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวห่างออกมา เสียงเพลงที่ไม่ยอมลดลาวาศอก เสียงกรีดร้อง เสียงพูดคุยรวมตัวระเบิดเข้าใส่กันจนผับแทบแตก แต่คำพูดนั้นก็ชัดเจนพอที่จะทำให้ผมหันกลับไปที่เจ้าของประโยค "อย่าเพิ่งไปไหนเลยนะครับ ผมอยากมีใครสักคนในตอนนี้ อยากมีเป็นที่สุด" เขายิ้ม มันเป็นยิ้มที่สวยมากแต่ดูเหนื่อยอ่อนอย่างประหลาด กระนั้นอาจะเพราะแสงไฟที่เลือนเบลอในผับทำให้ใบหน้าขาวสะอ้านกลับงดงามราวภาพหลอนหลอกที่มีอยู่แค่ในฝัน
“พูดอะไรน่ะ ไม่มีใครไม่อยากมีคนอยู่ด้วยหรอกในเทศกาลแบบนี้ แต่ผมพอแล้ว ผมฉลองกับตัวเองจนเมาแอ่นอยู่นี่ไง ผมอยากนอนแล้ว” ผมยักไหล่หันหลังกลับ จู่ๆก็คิดถึงที่นอนเย็นๆในห้องมืดๆที่อพาตเม้นต์ขึ้นมาอย่างสุดซึ้งราวมันเป็นหญิงสาวที่นอนเปลือยกายรออยู่ ขณะที่ผมกำลังจะก้าวจากมานั้น ที่ข้อมือรู้สึกถึงปลายนิ้วที่เย็นเยียบที่แตะก่อนเลื่อนจับแน่น ผมเหลียวกลับมา "เพลงเพราะดีเราเต้นรำกันเถอะ" เขาบีบข้อมือของผมจนผมเจ็บ แล้วดึงผมไปที่กลางฟลอร์ที่อัดแน่นด้วยคู่เต้นรำที่กำลังโยกร่างกายเบาบางตามดนตรีนุ่มนวลช้าเชื่อง ผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้าผม จู่ๆก็ดึงผมเข้ากอดราวกับคู่รัก คู่เต้นรำ คู่อื่นๆ ผมตกใจยกมือผลักออกแต่ด้วยเพราะคนที่ยัดเยียดจนเต็มพื้นที่ทำให้ผมถูกกระแทกกลับเข้าไปอยู่ใกล้กับเขาจนได้กลิ่นไวน์ของกันและกัน
“นี่มันบ้าอะไรกันน่ะ” ผมกระซิบพูดข้างหูเขา หนุ่มหน้าละไมอมยิ้ม ในแสงสลัวที่สลับสีสันอ่อนช้อยตามทำนองเพลงความงดงามของเขายิ่งเย้ายวนสายตา แปลกจริงๆเขาไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย นี่เขาพยายามให้ท่าผมหรือผมเมาจนคิดนอกลู่นอกทางกันแน่ ผมหลับแล้วใช้นิ้วนวดขมับ เพลงช้าที่เอาแต่หวนไห้ถึงความรักชวนให้ปวดประสาทด้วยเสียงอันแหลมเล็กของนักร้องสาว ผมรู้สึกว่าบ่าของตัวสัมผัสของท่อนแขนของเขา "นี่คุณจริงๆหรือ ไม่อยากเชื่อเลย" ผมได้ยินเขาพึมพัมแผ่วเบาเช่นนั้น แต่มันก็อาจเป็นอย่างอื่น ผมจับใจความได้ไม่ถนัดนัก ด้วยว่าบนฟลอร์เต้นรำดนตรีนั้นได้แทรกแน่นอยู่ในทุกอณูอากาศทำให้เสียงอื่นไร้คุณภาพไป พอลืมตาก็เห็นเขาหลับตาแนบศีรษะกับหน้าอกช่วงไหล่ของผม เราสูงเกือบเท่ากัน “เฮ้ย!!” ผมกระตุกไหล่เบาให้เขาถอยออกไป “ไม่มีใครสนใจหรอกครับ ทุกคนต่างอยู่ในโลกของตัวเองกันทั้งนั้น” นอกจากไม่ถอยแล้วเขายังรัดวงแขนที่วางบนบ่าจนโอบลำคอผมสนิทแนบ และทำในสิ่งที่เกินกว่าที่ผมจะคาดเดา เขากดริมฝีปากของเขากับลำคอของผม แค่ริมฝีคู่ขยับบนผิวคอก็ทำให้ผมตัวชา ยิ่งกว่าสิ่งใดคือคำพูดของเขาที่ทำให้ผมกลายเป็นท่อนไม้ไปเลย
"มานอนกันเถอะ" เขาพูดแล้วซบใบหน้ากับบ่าของผม "นอน กับผม มานอนกันเถอะนะ" เขากอดผมแน่น ร่างกายเริ่มต้นสั่นเทา ส่วนผมได้แต่ตกตะลึง ตกใจที่เพลงดังราวกับจะสั่นสะเทือนจู่ๆกลับหายวับกลายเป็นเงียบงัน ตกใจที่เขาคนนี้ไม่ได้เมา คำพูดเหล่าที่ไม่ได้มาจากสติที่ไร้สมรรถภาพ นี่มันอะไรกัน ผมอยู่ที่ไหน “ว่าไงนะ” ผมกลืนก้อนแข็งไร้ตัวตนลงคอ เขายังกอดผมอยู่แน่น ใบหน้าสวยงามเงยมองผมขณะมือเลื่อนมาปิดปากของผมไว้ “นะ เรามามีคืนนี้ด้วยกันเถอะ ได้โปรด”
จากคุณ |
:
vannessia
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ก.พ. 55 19:08:45
|
|
|
|