>>>ตำนานรักลำน้ำไนล์<<< บทที่ 6
|
 |
บทที่ 6 กำจัดนางนูเบีย
ตุ้งๆๆๆๆๆๆ
ร่างบอบบางถีบผ้าห่มออกด้วยความหงุดหงิดทันที ฟ้าก็ยังไม่สางดีแต่เสียงตีกลองดังสะท้อนจากที่ไกลๆรบกวนการนอนยิ่งนัก ห้องบรรทมใหม่ของราชินีกำมะลอขนาดใหญ่โตรโหฐานเสียจนเธอบ่นขี้เกียจเดินทั้งที่นางนูเบียกรีดร้องด้วยความริษยา แต่มาเรียไม่ได้สนใจที่จะชื่นชม กลับคว้าหมอนมาอุดหู สักพักก็ทนไม่ไหว เธอจัดการมุดศีรษะตัวเองลงไปในกองหมอนเลยจะดีกว่า
“ใครมาแห่ศพแต่เช้าเนี่ย ฮึ้ย!” เหล่านางกำนัลที่เฝ้ารับใช้สะดุ้งเมื่อหมอนใบเล็กใบน้อยเหวี่ยงกระจาย เฉียดผ่านร่างพวกนางไป บางใบก็กระแทกเข้าใส่เต็มๆหน้า ซ้ำร้ายองค์ราชินีทรงหงุดหงิดง่ายเหลือเกิน
“มะมิใช่แห่ศพเพคะ เป็นเสียงขบวนแห่ของกษัตริย์นาร์ตุสแห่งนูเบียเพคะ”
“อ้าว! พวกเธอแอบเข้ามานอนเฝ้าฉันอีกแล้วรึ? บอกแล้วใช่ไหมว่าฉันอยู่คนเดียวได้ ถ้ามีอะไรไหว้วานก็จะเรียกหาเอง อย่าละเมิดความเป็นส่วนตัวได้ไหมเล่า?”
มาเรียกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแล้วขยี้ผมด้วยความเบื่อหน่าย เสียงถอนหายใจยิ่งกระหน่ำแรงขึ้นเมื่อพวกนางกำนัลพากันอ้างว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ถ้าตอนเธอหลับแล้วเผลอผายลมหรือดิ้นตกเตียงก็คงรู้กันทั้งวังแน่นอน
“ออกไปก่อน เราจะนอนต่ออีกสักพัก อย่าทำให้เราอารมณ์เสีย”
“ตะแต่พระองค์ต้องออกไปรับเสด็จนะเพคะ” นางกำนัลทั้งหลายต่างก็ชะงัก เพราะผ้าไหมอาภรณ์ เครื่องทรงฉลองพระองค์งามวิจิตรจัดเตรียมไว้พร้อมอยู่ในห้องสรงน้ำแล้ว แต่ทว่ามาเรียกลับเอนกายลงนอน พลางสบสายตาคมกริบที่พวกนางมิคิดจะละลาบละล้วงอีก
“เราชั่งน้ำหนักแล้ว การนอนพักผ่อนของราชินีอียิปต์สำคัญกว่าการมาเยือนของกษัตริย์นูเบีย บอกไปว่าวันนี้ราชินีแคโรลีนไม่ออกสมาคม”
................................................
เจ้าหญิงนูเบียแต่งกายด้วยชุดลินินอ่อนบางไหวพลิ้ว ประดับเครื่องทองแบบไอยคุปต์เต็มตัว ใบหน้าคมขำจึงยิ้มร่ากระหยิ่มใจ ผ้าเนื้อบางอวดเรือนกายอวบอิ่มน่าพิศจนเหล่าทหารยามหันมามองแล้วลอบกลืนน้ำลาย คาฟลาพอใจศิลปะการเขียนขอบตาที่ตวัดหางให้คมเข้ม และชอบใช้แร่พลวงทาเปลือกตาเป็นที่สุด
‘ไม่ว่าจะมองจากมุมใดข้าก็เหมาะจะเป็นองค์ราชินีผู้งดงามเป็นเลิศไม่แพ้มัน’
สองขารีบเร่งก้าวผ่านซุ้มประตูหินแกะตราองค์เทพราห์ เข้าสู่เขตราชฐานชั้นในซึ่งสูงใหญ่เทียมเมฆ ทหารองครักษ์เดินนำเป็นพิธีไปสู่ท้องพระโรงใหญ่งามวิจิตร ตบแต่งด้วยเครื่องมีค่าล้ำวิเศษที่นางมาเห็นครั้งแรกก็ยังตะลึงตะลาน เพชรพลอยสารพัดแลดูงามไปทุกหนแห่งตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ส่องแสงล้อกับดวงอาทิตย์เป็นประกายจับใจ
แต่ที่คาฟลาจับจ้องที่สุดก็คือชายหนุ่มรูปงามที่งามยิ่งกว่าชายใดในหล้า องค์ฟาโรห์ผู้น่าเกรงขามทรงโฉมเสียจนนางนึกรักใคร่ทันทีตั้งแต่แรกพบ ทรงประทับอยู่บนพระแท่นที่สุดทางเดินของโถง บัลลังก์ทำด้วยศิลาขาว แกะสลักเป็นลวดลายเทพสิงห์คำรณ ในขณะที่แท่นทองคำประดับมรกตข้างพระวรกายนั้นแกะสลักเป็นเทพีบุปผาฟลอร่า ‘มันช่างอ่อนหวานราวกับสรรค์สร้างมาเพื่อข้าโดยเฉพาะ’
“ถวายบังคมเพคะ ขอทรงพระเจริญ คาฟลามาช้าต้องขออภัยด้วย”
“ฮ่าฮ่า... ลูกพ่อ เจ้าใส่ชุดสาวอียิปต์แล้วงามเลิศยิ่งนัก มีข่าวดีก็รีบบอกให้พ่อชื่นใจเร็วเข้าเถิด”
“ข่าวดีอะไรกันเพคะ เสด็จพ่อ ไม่ได้พบกันหลายเดือน ลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน องค์ฟาโรห์พระทัยร้ายนักที่รั้งงานไว้ราวกับแกล้งกัน เสด็จพ่อต้องจัดการให้ลูกนะเพคะ”
เสียงหัวเราะกักขฬะของชายร่างอ้วนดังสนั่นโถงว่าราชการอันมีเกียรติทันทีที่ราชธิดาเดินเข้ามากอดทักทาย กิริยามารยาทของเจ้าหญิงน่ารักอ่อนช้อย พลางป้องปากหัวเราะคิกคัก แต่วรองค์ร่างสูงสง่ากลับชะเง้อมองหาผู้ที่จะต้องมาประทับเคียงข้างบนบัลลังก์แก้วตัวนี้มากกว่า
“เหตุใดนางจึงยังไม่มาอีก?!”
ดวงเนตรดุจเหยี่ยวทะเลทรายจ้องกราดใส่ข้าทาสที่หมอบกราบอยู่ด้านข้างจนพวกมันก้มหัวลงต่ำติดพื้น องค์สมมติเทพแห่งฮอรัสทรงมีพระประสงค์สิ่งใด เศษธุลีข้าบาทก็จักต้องพร้อมทูลเกล้าถวายด้วยชีพ แต่จะให้ทรงทราบได้อย่างไรว่าพระนางทรงมิยอมเสด็จเพราะขี้เกียจตื่นนอน
“พะพระนางทรงอยากพักผ่อนมากกว่าเพคะ ขอทรงอภัยด้วย”
สองพ่อลูกต่างระเบิดเสียงหัวเราะในใจเมื่อเห็นสีพระพักตร์เกรี้ยวกราดชั่ววูบขององค์ฟาโรห์ ถึงแม้จะเคืองเพียงใดแต่ชายหนุ่มก็ต้องแสดงออกผ่านทางแววเนตรบนพระพักตร์เรียบเฉยเท่านั้น มิสมควรเปิดเผยความรู้สึกใดๆออกมาทั้งสิ้น
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นต้องขออภัยท่านด้วย นางเพิ่งจะหายไข้จึงยังไม่แข็งแรง เรามาเจรจาเรื่องด่านการค้าและข้อตกลงเขตแดนที่ยังคาราคาซังอยู่เถิด”
“จะรีบไปไหนกัน ท่านเรมอสก็ช่างใจร้อนสมกับเป็นฟาโรห์แห่งทะเลทรายอันร้อนระอุเสียจริงๆ ฮ่าฮ่า ข้าวของเครื่องหมั้นก็ส่งมานานแล้ว ไยลูกสาวของเราจึงยังมิได้ขึ้นนั่งบนแท่นทองคำข้างกายท่านอีกเล่า? ฮ่าฮ่า”
ชายแก่เคราดกตบพุงตัวเองพลางหันไปสบสายตากับคาฟลาอย่างรู้กัน แม้ขุนนางใหญ่ฝ่ายอียิปต์จะก้าวออกมาอธิบายความจริงให้กระจ่างแล้ว แต่ทว่านูเบียก็มิยอมรับฟัง
“ทางท่านจะกล่าวว่าการผูกมิตรด้วยการแต่งคาฟลาขึ้นเป็นราชินีองค์ที่ 2 เป็นการเข้าใจผิดของเจ้าสังฆราชฮาตูห์งั้นหรือ? อะไรกันองค์ฟาโรห์ แต่เท่าที่เราดู ท่านเองก็พึงพอใจคาฟลาอยู่ไม่น้อยไม่ใช่หรือ? นางเองก็มาอยู่ที่นี่ได้พักใหญ่แล้ว ความงามก็เพรียบพร้อม ฉลาดล้ำสมตำแหน่ง”
“เราเสียใจกับเหตุการณ์เข้าใจผิดที่เกิดขึ้น บัดนี้สังฆราชฮาตูห์ถูกส่งไปยังวิหารชายแดนอันห่างไกลเป็นการลงโทษแล้ว เราในฐานะตัวแทนชาวอียิปต์ทั้งปวงจึงขอน้อมรับความผิดแทน และหวังว่านูเบียและอียิปต์จะยังสานต่อความสัมพันธ์อันดีนี้ต่อไปตราบยิ่งยืนนาน”
“แย่จริงหนอ ทางเราก็ได้ป่าวประกาศให้ประชาชนได้รับทราบถึงข่าวมงคลโดยทั่วกันเสียแล้ว เช่นนี้จักให้เรากลับไปแจ้งต่อราษฎรที่รักยิ่งว่าเป็นเรื่องโกหกกระนั้นหรือ? สู้ทำให้เป็นจริงไปเสียเลยจะเป็นประโยชน์ทั้งทางรักและทางเมืองนะท่าน ฮ่าฮ่า”
แต่องค์เรมอสก็ยังคงสงบนิ่งยามที่กษัตริย์นูเบียผู้รอบจัดเดินร่อนชูแก้วเหล้าไปทั่วโถง ทว่าผู้รับใช้ใกล้ชิดองค์ฟาโรห์ย่อมรู้ดีว่าเพลิงพิโรธได้ถูกจุดขึ้นและกำลังโหมขึ้นช้าๆ รอเวลาระเบิดออกเผาผลาญบดขยี้ราชอาคันตุกะผู้ไร้มารยาทแล้ว
“จะมัวลังเลอันใดอยู่อีก หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งนูเบียได้มาปรากฎให้ท่านได้ยลโฉมนานแล้ว หากท่านปฏิเสธ กองทัพของเราคงไม่ยอมให้เกียรติของนูเบียต้องเสื่อมเสียเป็นแน่ ...ฮ่าฮ่า”
คาฟลาแอบป้องปากหัวเราะเพราะมั่นใจว่าจะได้สมหวังแล้วเป็นแน่ วรองค์ผู้เปี่ยมราศีจึงพยายามสะกดกลั้นอารมณ์เต็มที่ด้วยเห็นว่าเป็นกษัตริย์คนสำคัญที่ต้องการผูกไมตรีด้วย
“ว่าอย่างไร? อย่ารีรออีกเลย องค์ราชินีของท่านก็หลบลี้หนีหน้า พระนางอาจกำลังสิ้นรักหรือกลั่นแกล้งให้พระเกียรติต้องมัวหมอง เรามาเยือนถึงถิ่นแต่ก็มิยอมมาต้อนรับก็แสดงถึงความไม่มีวุฒิภาวะได้ดี นางผู้นี้รึจะเหมาะสมกับท่าน จะไปสู้คาฟลาบุตรีผู้เพรียบพร้อมของเราได้เช่นใดกัน ฮ่าฮ่า”
“เจ้า!”
ทรงกัดพระทนต์เพื่อกลั้นเสียงคำราม เหล่าข้าราชบริพารต่างคาดไม่ถึงว่ากษัตริย์นูเบียจะเสียมารยาทถึงขนาดก้าวร้าวและจาบจ้วงต่อผู้อื่นอย่างน่ารังเกียจ ส่วนเจ้าหญิงคาฟลาผู้น่ารักของก็เอาแต่ส่งยิ้มหวานทอดสะพาน มิได้รับรู้เลยว่าเลือดนูเบียกำลังจะละเลงเซ่นความหน้าด้าน
แต่แล้วเสียงหวานดั่งสกุณาพร้อมด้วยกลิ่นหอมหลังอาบน้ำใหม่ๆก็ช่วยหยุดพระแสงดาบไว้เสียก่อน แต่องค์เรมอสทรงกระอักกระอ่วนนัก
“วุ้ยตาย... ต้องขอทรงอภัยด้วยเพคะเรมอส เราออกมาช้าแบบนี้คงต้องถูกท่านทำโทษทั้งคืนอีกแล้ว”
สาวน้อยพลิ้วกายมาถึงด้วยยิ้มหวานแต้มพักตร์ ร่างอรชรเยื้องกรายมาช้าๆตามท่วงท่าจอมนางแห่งไอยคุปต์ ทำให้ทุกสายตาล่องลอยและข่มราศีเจ้าหญิงคาฟลาจนจมธรณี กษัตริย์นาร์ตุสเผลอมองตาค้างและทำแก้วหลุดจากมือ แล้วโยนคำพูดที่ว่าบุตรสาวของตนสวยที่สุดทิ้งลงกระโถน กษัตริย์นูเบียเกือบทำอะไรไม่ถูกเมื่อมาเรียเดินเฉียดกายมาถึงแล้วแวะทักทายทำความรู้จัก
“ท่านก็คือองค์นาร์ตุสผู้กล้าแกร่งนี่เอง เราได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ได้พบตัวจริงวันนี้ช่างประทับใจนัก เจ้าหญิงคาฟลาเองก็น้ำใจงามเหมือนท่านนี่เอง”
ทรงสรวลร่าทันทีที่เธอชม หารู้ไม่ว่ากำลังถูกแดกดัน ซ้ำนาร์ตุสยังเสียมารยาทด้วยการยื่นใบหน้าอวบอูมเหม็นเหงื่อเข้ามาสูดกลิ่นหอมจนเต็มปอด ทำให้บุตรแห่งเทพบิดรโอซิริสบนบัลลังก์เริ่มกริ้วหนักขึ้น
“ขอโปรดอย่าได้ถือสาหม่อมฉันเลยนะเพคะ หม่อมฉันเพิ่งตื่นนอนเมื่อครู่ใหญ่ มิทันได้ต้อนรับ ต้องขออภัย”
ชายแก่พุงพลุ้ยรีบโบกมือมิได้ถือสาหาความอย่างอารมณ์ดี มาเรียจึงเดินต่อไปโดยมิสนใจทักเจ้าหญิงผิวคล้ำ เธอหยุดอยู่เบื้องหน้าพระสวามีของน้องสาวแล้วย่อกายถอนสายบัวงดงาม แต่แล้วทุกสายตาก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อหญิงงามบรรจงขึ้นนั่งตักองค์ฟาโรห์ สองแขนขาวผ่องเลื้อยไปโอบรอบพระศอไว้ แล้วโน้มริมฝีปากเข้ามาใกล้เสี้ยวพักตร์จนดูคล้ายกำลังมอบจุมพิตที่แก้มสากๆ แต่มาเรียกำลังกระซิบใส่พระกรรณต่างหาก
“อยู่เฉยๆแล้วเออออตามหม่อมฉันไปด้วย”
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ทรงคำรามกลับมาเบากริบ พลางส่งสายพระเนตรดุใส่ แต่มาเรียก็ไม่สนใจ เธอหันกลับไปยิ้มให้ข้าราชบริพารและราชอาคันตุกะทุกคน โดยเน้นรอยยิ้มเย้ยไปที่นางคาฟลาให้เป็นพิเศษ
“เมื่อสักครู่ ใครกันช่างใจร้าย มากล่าวว่าเรมอสสิ้นรักแหน่งหน่ายในตัวเราแล้ว” นิ้วเรียวบางยังซุกซนนำพระเกศามาพันเล่น แต่แววตานางสิงห์มิได้ขี้เล่นเลย
“กว่าเรมอสที่รักจะปล่อยตัวให้เรานอนได้ก็เกือบรุ่งสาง เพลียเนื้อเพลียตัวไปหมด ดูสิ แขกบ้านแขกเมืองก็ตำหนิเรา จะให้เราทำโทษท่านอย่างไรดี... ฮื๋อ?คนบ้า”
กำปั้นเล็กๆทุบใส่แผงพระอุระ แต่มาเรียจงใจลงน้ำหนักแรงๆแกล้งคนตัวโต เธอต้องกลั้นขำที่เห็นเจ้ายักษ์ตัวสีน้ำผึ้งถลึงตาใส่ ส่วนเหล่านางกำนัลที่ปรนนิบัติรับใช้มาเรียต่างก็ขบขันนัก เพราะพระนางทรงตื่นสายโด่งเองแต่โยนความผิดให้องค์ฟาโรห์หน้าตาเฉย คาฟลามองทั้งคู่ด้วยความริษยาก่อนจะเอ่ยกระแหนะกระแหนขึ้นทันควัน
“โอ้ หม่อมฉันเพิ่งจะทราบว่าองค์ราชินีทรงอ่อนเพลีย แต่กิริยามารยาทช่างมิให้เกียรติสถานที่เลยนะเพคะ” มาเรียส่งยิ้มให้คาฟลา แล้วยั่วให้นางโมโหขึ้นไปอีก
“จะให้เราทำเช่นใดได้ล่ะ ในเมื่อทรงมีรับสั่งว่าจะมิยอมอยู่ห่างจากเราสักชั่วลมหายใจเดียว นั่งอยู่แบบนี้ก็อุ่นดี เราชอบ ผิดตรงไหนหรือจ๊ะ? ...โฮ๊ะโฮ๊ะ” ราชินีกำมะลอป้องปากหัวเราะดัดจริต ส่วนมือขาวๆก็โอบบ่าล่ำสันเพื่อประกาศความเป็นเจ้าของเต็มที่ องค์เรมอสทรงนิ่งเงียบและปล่อยให้นางเล่นต่อไป แต่มาเรียไม่เล่นแล้ว แววตานางสิงห์เซคเมตจ้องกราดจนทุกสรรพางค์ยำเกรง เธอลุกขึ้นยืนกอดอก แล้วทอดสายตาลงมองยังเบื้องล่างบัลลังก์ด้วยท่วงท่าราชนารีสูงศักดิ์ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นแต่ทรงอำนาจเด็ดขาดนัก
“ทางอียิปต์มีความตื้นตันยินดีเป็นล้นพ้นที่ฝ่าพระบาทนำไมตรีอันดีมาเชื่อมสัมพันธ์ เพื่อประโยชน์สุขแห่ง 2 อาณาจักรจักเจริญรุ่งเรืองรุดหน้าเพคะ แต่สำหรับเรื่องการรับเจ้าหญิงคาฟลาขึ้นเป็นราชินีองค์ที่ 2 นั้น ทางอียิปต์ต้องขอปฏิเสธอย่างเด็ดขาด!”
คาฟลาลุกขึ้นเต้นผางทันทีแต่ถูกพระบิดาที่มีเขี้ยวเล็บมากกว่ากระชากให้นั่งลง องค์นาร์ตุสทรงสบเนตรกับมาเรียและรู้ได้ทันทีว่าเคี้ยวยาก แต่ยังมิทันจะได้เอ่ยรับสั่งอันใด มาเรียก็ชิงความได้เปรียบก่อน
“ได้ยินว่าทรงจะมาเจรจาขอซื้อกระดาษปาปิรัสเพิ่มขึ้นจากเดิม และจะขอเปิดทางเดินเรือผ่านน่านน้ำอียิปต์ ส่วนสิ่งที่เราต้องการก็มีเพียงแค่สัมพันธไมตรีอันดี ไม่รู้สึกว่ามากไปหน่อยแล้วรึ? หากพระองค์จะขุ่นข้องหมองใจเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้” มาเรียปรบมือเรียกฝ่ายกรมวังเข้ามาพร้อมน้อมเศียรลงต่ำ “เชิญส่งเสด็จพวกท่านทั้งสองเพคะ ขอให้กลับสู่อาณาจักรนูเบียโดยสวัสดิภาพ ทางอียิปต์จะยินดีต้อนรับเสมอ”
“ใจเย็นๆก่อนเถิดองค์ราชินี เราก็เพียงแค่ต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีให้แนบแน่น องค์ฟาโรห์กับธิดาของเราก็มีใจต่อกัน การอภิเษกในครั้งนี้จักก่อให้เกิดผลดีมากมาย ประชาชนทั้งสองแว่นแคว้นต่างอวยพรให้คู่บ่าวสาวแล้ว จะมีก็แต่ท่านที่คัดค้าน ...ธิดาแห่งไนล์!”
ชายหนุ่มทรงแอบยิ้มแล้วรอดูหญิงสาวว่าจะจัดการกับตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ต่อไปอย่างไร?
“ขัดขวาง? ...เราขัดขวางหรือ? ถ้าใช่แล้วจะทำไมมิทราบ!”
มาเรียเอี้ยวตัวไปคว้าพระแสงดาบจากพระหัตถ์ แล้วปักกระแทกลงกับพื้น เสียงดาบชำแรกพื้นโถงดังกังวานข่มพวกนูเบียให้ผงะ แต่มาเรียแอบทำหน้าเบ้เพราะเจ็บมือให้องค์เรมอสเห็น
“ชีวิตมันต้องถูกบังคับให้ต้องเลือกเสมอ ท่านจะหวังเอาแต่ได้เพียงอย่างเดียวไม่ได้แน่นอน ...องค์นาร์ตุส เราจะไม่ขัดขวางพิธีอภิเษกแล้วก็ได้ แต่ท่านต้องเลือก หากมีงานแต่งงานเกิดขึ้น สินค้าที่จะส่งไปค้าขายกันนั้น ทางอียิปต์จะขอระงับไว้โดยไม่มีกำหนดทั้งหมด!”
“มะไม่ได้นะราชินี เช่นนั้นเราก็แย่นะสิ”
กษัตริย์นูเบียสะดุ้งร้องเสียงหลง และเหงื่อกาฬแตกพลั่กกับตัวเลือกที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว พืชพรรณธัญญาหารที่หล่อเลี้ยงประชากรกว่าครึ่งต้องนำเข้าจากอียิปต์ หากถูกตัดการค้าย่อมต้องเดือดร้อนเป็นไฟทุกย่อมหญ้าอย่างไม่ต้องสงสัย
คาฟลาเห็นว่าผู้เป็นบิดากำลังจะเพลี้ยงพล้ำจึงลุกขึ้นมาโวยวายแทน มาเรียจึงสะบัดตัวพลางยักย้ายกลับไปประทับนั่งเคียงข้างองค์เรมอสด้วยความสบายใจ เหล่าข้าทาสต่างก็ชื่นชมว่าทั้งคู่ช่างงามดั่งเทพอุ้มสม
“ธิดาแห่งไนล์! ผู้ที่จะปฏิเสธเราได้ มีเพียงฟาโรห์ผู้เดียวเท่านั้นนะเพคะ ท่านไม่มีสิทธิ์ขัดขวาง พิธีอภิเษกนี้จะต้องเกิดขึ้น องค์เรมอสจะไม่ยอมทำตามคำขอของท่านแน่นอน!”
เจ้าหญิงผู้มียศถาต่ำศักดิ์กว่าไม่สนใจว่าเสด็จพ่อพยายามฉุดรั้งให้เงียบเสียง นาร์ตุสกลัวว่าจะถูกตัดการค้าจริงตามคำขู่ มาเรียยิ้มหวานให้สองพ่อลูกราวกับมองเด็กหยอกเล่นกัน เธอพักชิมขนมแล้วเอื้อมไปป้อนให้พระสวามีอวดทุกสายตา และเมินคาฟลาราวกับว่านางไม่มีตัวตนในที่แห่งนี้อย่างสิ้นเชิง
“ขนมอร่อยดีจัง เสวยอีกไหมเพคะ? เรมอสชอบไหม...โฮ๊ะโฮ๊ะ”
“ธิดาแห่งไนล์! ท่านจะรังแกนูเบียมากเกินไปแล้วเพคะ องค์ฟาโรห์ต้องการกำลังจากนูเบียเพื่อผงาดขึ้นเป็นหนึ่งบนคาบสมุทร แต่ท่านกลับเป็นตัวถ่วงด้วยเหตุผลหึงหวงโง่ๆ เราหวังจะค้ำชูราชบัลลังก์ด้วยการถวายตัวรับใช้เบื้องบาท พระองค์ต้องมีเราเป็นราชินีอีกองค์เพื่อความก้าวหน้านะ”
“อ้อ เจ้าหญิงคาฟลา ท่านมาที่นี่เพื่อตำแหน่งราชินีองค์ที่สองหรอกรึ? เรานึกว่าท่านมาอยู่อียิปต์นานสองนานเพราะพิศวาสทหารในกองทัพของเราเสียอีก ผัวเจ้าก็นับได้เกือบสิบคนแล้วสินะ”
มีเสียงหัวเราะหลุดรอดออกมาจากทั่วโถง เพราะใครๆต่างก็ทราบความประพฤติความเหลวแหลกกามารมณ์ของเจ้าหญิงดี องค์เรมอสส่งสายพระเนตรเย็นชาด้วยรู้ความนานแล้ว แต่ก็ทำได้เพียงสั่งจำคุกทหารนายกองที่เจ้าหญิงคาฟลาแอบมีสัมพันธ์ลับด้วย ความอายพุ่งเข้าจู่โจมใส่คาฟลาจนสั่นไปทั้งตัว แต่นางก็ยังเชิดหน้าและชี้นิ้วใส่องค์ราชินี
“เจ้าจะดูถูกกันเกินไปแล้ว ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าปรักปรำกันง่ายๆ อียิปต์ร่ำรวยแข็งแกร่งจากเลือดของนูเบียแท้ๆ เจ้ายังกล้าใช้เรื่องปากท้องของชาวประชาเป็นเครื่องมือต่อรอง เห็นว่านูเบียเป็นแว่นแคว้นอ่อนแอมากหรือกระไรนัง...”
“นังคาฟลา! มิใช่เพราะนูเบียเช่นเจ้าหรอกรึที่โอหังประกาศศึกก่อน ยามพ่ายแล้วจะมาคร่ำครวญเรียกร้องในสิทธิอันใดอีก หากไม่พอใจก็แต่งทัพนูเบียมาต่อตีกันอีกสักครั้ง แล้วฟาโรห์เรมอสผู้นี้จะบดขยี้ เผาบ้านเผาเมืองของเจ้าให้ราบเป็นหน้ากลอง!”
“พระทัยเย็นก่อนเถิดนะเพคะเรมอส เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ต้องให้ถึงมือท่านหรอก ชมอยู่เฉยๆตรงนั้นแหละ” มาเรียส่งสายตาดุกลับไป แม้จะบีบเสียงหวานแต่ลูกตากำลังจะถลนออกมานอกเบ้า พลางหันกลับไปหาราชทูตผู้กำลังตื่นตะลึงจนเนื้อตัวเย็นเฉียบอีกครั้ง
“ที่นี่คืออียิปต์ อย่าได้บังอาจใช้กิริยาสามหาวต่อหน้าพระพักตร์! เรื่องในครานี้เราจักมิเอาความจนชาวประชานูเบียต้องเดือดร้อนเพราะความหยามหยาบของพวกท่าน”
พระราชเสาวนีย์อ่อนหวานทำให้สองพ่อลูกยิ้มออกมาได้บ้าง แต่ดวงเนตรสีฟ้าเจิดจ้าเป็นประกายคมกริบมิต่างกับดาบในมือ ทำให้สายตากลิ้งกลอกของสองพ่อลูกจึงต้องหลบวูบ เมื่อความจริงที่น่าอับอายถูกออกประจานต่อหน้าธารกำนัลทั่วโถงสมาคม จุดจบเดียวของเจ้าหญิงที่สร้างความอัปยศต่อชนชาติก็คือความตาย
“จงจำเอาไว้ด้วยว่ากฎของธรรมชาติข้อแรกก็คือ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก! นับจากสมัยพระบิดาขององค์เรมอส นูเบียก็ถือเป็นเมืองขึ้นของแผ่นดินอียิปต์ด้วยซ้ำ องค์นาร์ตุส... จงนำตัวบุตรีของท่านกลับไปและอย่าได้นำตัวกลับมาทำเรื่องสกปรกสามานย์ที่นี่อีก มิฉะนั้น เราในฐานะราชินีอียิปต์จะเหยียบนูเบียให้แหลกลาญจมธรณี!”
มาเรียไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเกรงใจต่อกษัตริย์และเจ้าหญิงนูเบียอีกแล้ว กษัตริย์นาร์ตุสผู้สูงวัยกว่าจึงรู้ซึ้งถึงบารมีและคมเขี้ยวจอมนาง พระองค์จึงหันไปสบสายตาเหี้ยมเกรียมใส่พระธิดาสุดที่รัก คาฟลาตัวสั่นเทิ้มพลางร่ำไห้เมื่อรับรู้ถึงสายตาดูถูกเหยียดหยามจากขุนนางชาวนูเบีย เหล่าคณะทูตในขบวนเสด็จทั้งหมดจึงต้องขอยอมศิโรราบโดยมิคิดต่อกรกับนางมารผู้นี้อีกแล้ว
“ขอบพระทัยที่ทรงมีเมตตาต่อชาวนูเบีย ส่วนเรื่องการค้าขายนั้น ขอมอบให้แล้วแต่ดุลยพินิจของพระนางจะเห็นชอบ เรากับลูกต้องขอลากลับก่อน ขอทรงพระเจริญ”
............................................
“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้นะ เราบอกให้หยุด”
แต่มาเรียไม่ยอมหยุดเดิน สาวน้อยเดินลิ่วตัดผ่านทางเดินกลางอุทยานและสระบัวกว้างเพื่อกลับไปยังตำหนักให้เร็วที่สุด ไม่สนใจพระสุรเสียงกร้าวที่ตามไล่หลังมา แม้เหล่าองครักษ์และขุนนางติดตามจะยินดีที่พระนางสามารถตะเพิดชาวนูเบียที่เข้ามาทำกร่างในวังได้จนหมดสิ้น แต่องค์ราชินีกลับแสดงท่าทีเย็นชาและเสียมารยาทต่อองค์ฟาโรห์ พวกเขาจึงภาวนา อย่าให้เพลิงพิโรธแห่งองค์สมมติเทพฮอรัสแผดเผาใส่ราชินีผู้อ่อนแออีกเลย
“อย่าบังอาจขัดคำสั่ง ความอดทนของเรามีจำกัดนะ!”
พระหัตถ์หนาเอื้อมไปคว้าเรียวแขนขาวผ่องไว้ได้และบีบลงโทษอย่างแรงด้วยความโกรธ องค์เรมอสกระชากตัวมาเรียให้กลับมาเผชิญหน้าก่อนที่เธอจะฉวยโอกาสหนีเข้าห้องไป แต่ชายหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อเห็นน้ำตาคลอเบ้า ทว่ามาเรียปาดมันทิ้งไป
“พวกเจ้าถอยออกไปก่อน เราจะคุยกับฟาโรห์ตามลำพัง”
ขุนนางเฒ่ามองทั้งคู่ด้วยความลำบากใจ สิ่งที่พระนางทรงกล่าวอ้างต่อนูเบียว่ารักใคร่กันดีกับองค์เหนือหัวนั้นคงเป็นเรื่องโกหกคำโต กิริยายื้อยุดและความเมินเฉยทำให้เหล่าข้าทาสเป็นกังวลร้อนรน ฤๅความรักแห่งไอยคุปต์จักถึงกาลย่อยยับลงเสียแล้ว
“อย่าให้เราพูดซ้ำซาก ถอยออกไปเดี๋ยวนี้”
ทั้งนางกำนัลนับสิบและเสนาทหารต่างทิ้งให้มาเรียยืนเดียวดายอยู่กับราชบุรุษสูงศักดิ์ ดวงตาสีฟ้าจับจ้องพระหัตถ์ที่ยังคงพันธนาการเธอไว้ไม่ปล่อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรสีดำขลับอีกครั้ง
“ปล่อยเพคะ โปรดให้เกียรติผู้หญิงบ้าง ถ้าทรงโกรธที่หม่อมฉันทำเรื่องต่างๆไปโดยพลการ หม่อมฉันก็ต้องขออภัย”
“เมื่อสักครู่ เจ้าร้องไห้ทำไม?”
“ร้องไห้?” รอยยิ้มเย้ยต่อโชคชะตาปรากฎขึ้น ทรงปล่อยเธอให้เป็นอิสระแล้ว มาเรียจึงถอยออกห่าง
“น้ำตามันคงไหลให้น้องสาวโดยไม่รู้ตัว ที่ผ่านมาท่านคงจะไม่เคยดูแลปกป้องแคโรลีนจากพวกมันเลยสินะฟาโรห์” มาเรียเจ็บเข้าไปถึงกระดูกที่เห็นคนที่น้องรักที่สุดทำได้แค่นิ่งเงียบ ทรงจำนนต่อข้อกล่าวหานี้
“เอาเถิดเพคะ นี่ไม่ใช่เวลามาฟื้นฝอยหาตะเข็บ นอกจากนูเบียแล้ว หม่อมฉันยังได้ยินว่ากำลังมีโรคระบาดจากผู้อพยพชาวลิเบีย จึงอยากจะขอท่านออกไปตรวจดูเสียหน่อย”
“ไม่ได้! เราไม่อนุญาต อยู่ดีไม่ว่าดีก็จะออกไปเกลือกกลั้วกับคนชั้นต่ำติดโรคพวกนั้น เจ้าคิดฆ่าตัวตายรึ!”
“อย่าโวยวายได้หรือไม่? หม่อมฉันเป็นนักศึกษาแพทย์ เอ่อ หมอนั่นแหละ ถ้าไม่รีบหยุดการแพร่ระบาด แล้วท่านคิดจะรอให้ผู้คนสักค่อนอียิปต์ล้มตายก่อนงั้นหรือ? หม่อมฉันสั่งให้ช่างหลวงทำอุปกรณ์ผ่าตัดกับเครื่องมือที่จำเป็นเตรียมรอไว้แล้ว พรุ่งนี้หม่อมฉันจักขอเข้าฟังผลการตรวจชาวบ้านด้วย”
“ไยเจ้าจึงรู้ข่าววงในมากมายนัก อย่าลืมสิว่าเจ้าไม่ใช่...”
“เพคะ ไม่ใช่ราชินีตัวจริง มิสมควรแทรกแซงเรื่องบ้านเมืองโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของท่านก่อน แต่ในตอนนี้หม่อมฉันคือราชินีแคโรลีน เกียรติยศและหน้าที่ของน้องก็มอบหมายให้หม่อมฉันช่วยแบกรับได้ อย่าคิดว่ามาเรียคนนี้เอาแต่กินกับนอนสิ หากมัวเกียจคร้าน เมื่อนั้นเราก็จะถูกวิ่งแซง”
“ฮึฮึ... ปลาใหญ่กินปลาเล็กอย่างนั้นสินะ วันนี้เจ้าช่วยเปิดหูเปิดตาเราได้อีกไม่น้อย ไอ้นาร์ตุสคงจะจำคำนี้ไปจนวันตาย” แต่มาเรียส่ายศีรษะ แล้วยกนิ้วชี้ขึ้นฟ้า ชี้ไปที่นกน้อยธรรมดาตัวหนึ่ง
“ชาร์ล ดาร์วิน บิดาแห่งวิวัฒนาการกล่าวไว้ว่า It’s not the strongest of the species that survive, nor the most intelligent, the one most responsive to change.”
“เจ้าพูดภาษาอะไร?”
“หม่อมฉันก็ไม่เข้าใจหรอกนะว่าทำไมจึงพูดจาสื่อสารกับพวกท่านรู้เรื่อง คำกล่าวเมื่อสักครู่ที่อยากให้ท่านเข้าใจก็คือ ผู้ที่จะมีชีวิตรอดนั้น ไม่ใช่ทั้งสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดหรือฉลาดที่สุดหรอก แต่เป็นสายพันธุ์ที่สามารถปรับตัวได้ดีที่สุดต่างหาก”
“ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดำรงชีพก็ตาม การปกครองก็ตาม ก็ไม่ควรจะใช้แต่ความโอนอ่อนหรือผูกไมตรีพร่ำเพรื่อ อาณาจักรใดควรใช้ดาบควบคุม อาณาจักรไหนควรใช้ขนมหวานเอาใจ มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ไม่จำเป็นต้องยึดติด”
นิ้วเล็กๆจิ้มย้ำใส่แผงพระอุระหนาหนั่นเพราะเริ่มมีน้ำโหและลืมตัวจ้องพระพักตร์เขม็ง เมื่อได้ระบายอารมณ์บ้างแล้ว มาเรียจึงสะบัดตัวออก แล้วเตะก้อนหินงุ่นง่านไปเรื่อยๆ ทรงมองแล้วประสานมือไว้ด้านหลัง พลางลอบยิ้มให้กับท่าทางฟาดงวงฟาดงาของมาเรียที่ดูเพลินไปอีกแบบ นูเบียที่อยู่ตอนใต้ของอียิปต์ถูกแย่งชิงความมั่งคั่งมาเพราะความเย่อหยิ่ง แต่ทว่าลิเบียที่อยู่ทางตะวันตกมีความสัมพันธ์นอบน้อมมาตั้งแต่สมัยก่อนนั้นส่งเครื่องบรรณาการมาถวายมิเคยขาด บัดนี้ชาวลิเบียกำลังเดือดร้อน มาเรียในฐานะแพทย์และราชินีกำมะลอจะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้เช่นใด
“เอาล่ะ ถึงเจ้าจะเล่นแผลงๆอย่างไร เราก็ต้องขอบใจเจ้าที่ช่วยให้อียิปต์กลับมาได้เปรียบ”
“ไม่เป็นไรมิได้ เป็นเรื่องเล็กน้อยที่พี่สาวต้องทำให้แคโรลีน เรารู้ว่าท่านคงจะไล่พวกนูเบียไปได้เหมือนกัน แต่พอรู้ว่าท่านกำลังแย่ก็เลย..”
มาเรียก้มหน้า สายตาหรุบลงแล้วพูดไปเรื่อยๆ องค์เรมอสจึงเหม่อมองนางด้วยสายพระเนตรอ่อนโยน ความรู้สึกแปลกประหลาดบังเกิดขึ้นในพระทัย แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเธอคือมาเรีย ไยพระองค์จึงรู้สึกอยากกอดนาง
พลันหญิงสาวเงยหน้าขึ้นกระทันหัน ทำให้สองสายตาสอดประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ต่างฝ่ายต่างก็ผงะถอยด้วยความประหม่าโดยเฉพาะชายหนุ่ม
“อะเอ่อ... วะว่าแต่เรื่องของแคโรลีน ท่านได้ข่าวคราวคืบหน้าไปถึงไหนแล้วเพคะ”
“อืม... เราเพิ่งได้รับรายงานจากทหารแถบหมู่บ้านชาวประมงว่าพบธิดาแห่งไนล์แล้ว”
มาเรียยิ้มกว้างออกมา เป็นยิ้มดีใจที่ทรงคิดว่าสวยมาก เรียวปากเป็นกระจับน่าจุมพิตกำลังแย้มยิ้มให้พระองค์เป็นครั้งแรก ดวงตะวันยามบ่ายทอแสงเจิดจ้าให้งดงามเปล่งประกายยิ่งขึ้นไปอีก ดวงเนตรสีฟ้าสดใสระยิบระยับแจ่มกว่าอัญมณีแก้วใด แต่ช่างน่าเสียดายนัก เพราะนางคือพี่เมีย
“แต่แคโรลีนหายตัวไปกับชายที่ชื่ออูเช” น้ำเสียงทุ้มต่ำในพระศอเคร่งเครียด พร้อมขบกรามแน่นก่อนจะรับสั่งต่อไป รอยยิ้มร่าเริงของมาเรียจึงค่อยๆสลายหายไปแล้ว
“ในคราแรกต่างก็คิดว่าเป็นข่าวลือจึงไม่มีใครให้ความสำคัญกับข่าวนี้ แต่ดูท่าว่าจะไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว แคโรลีนคิดจะนอกใ...”
พลันฝ่ามือเล็กๆทั้งสองของสาวน้อยก็สวนขึ้นมาประกบแก้มของชายหนุ่มยับย่น แล้วขยำพระพักตร์จนหมดความน่าเคารพยำเกรง ทรงนึกดีพระทัยขึ้นมาอีกโขที่มาเรียไล่พวกข้าทาสออกไปจนหมดแล้ว
“ที่แคโรลีนหลบหน้าท่านไปแบบนั้น ทั้งหมดก็เป็นเพราะท่าน! แคโรลีนยังคงเข้าใจผิดเรื่องยัยหน้าหมูคาฟลากับท่านนั่นแหละ อย่าได้บังอาจนึกสงสัยในความรักของแคโรลีน หน้าที่ของคนผิดเช่นท่านก็คือตามหาและขอรับผิดทุกอย่าง เข้าใจมั้ย!”
มาเรียบีบแก้มแรงๆจนอีกฝ่ายเริ่มเจ็บ เธอขอให้ความเจ็บนี้คงอยู่ชั่วกัลปวสาน ให้มันคอยย้ำเตือนที่ทรงนึกหวาดระแวงในรักแท้ของแคโรลีน ส้นเท้าเล็กๆจึงบรรจงกระแทกและบดขยี้ใส่พระบาทใหญ่ ก่อนจะกระฟัดกระเฟียดจากไป ทิ้งให้คนตัวใหญ่สำนึกได้ เรมอสลูบแก้มองค์เองป้อยๆพร้อมด้วยรู้สึกบางอย่างที่เริ่มก่อเกิดในพระทัยทีละน้อยแล้ว
“มาเรีย ฮิลตัน ...ราชินีมาเรีย”
จากคุณ |
:
natthakarn64
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ก.พ. 55 10:58:33
|
|
|
|