Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Black Gun And Red Rose - กุหลาบแดงและปืนดำ - บทที่ 4 ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11691462/W11691462.html

บทที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11703633/W11703633.html

บทที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11718987/W11718987.html


---------------------------------

ขอบคุณกิฟท์จากคุณกาแฟเย็นเพิ่มช็อต - ขอบคุณที่แวะมาอ่านและให้กิฟท์นะครับ ^^

ขอบคุณกิฟท์จากคุณน้ำพรมหนำ - ขอบคุณสำหรับกิฟท์และกำลังใจมากๆ ครับ ^^

ขอบคุณกิฟท์จากคุณ GTW - Black Gun จะเป็นมือพระกาฬหรือมือฆ่าเปะปะกันหน๊อ อิอิ ขอบคุณสำหรับกิฟท์ครับอาจารย์จี ถ้าเสียงของ Black Gun เป็นแบบนั้นคงสยองคนฟังจริงๆ แต่ถ้าปลายสายเป็นคอร็อคสายโหดเหมือนกัน อาจเป็นการสนทนาที่ใช้วิธีสำรอกโต้ตอบกันไปมาก็ได้นะครับ 555+

ขอบคุณกิฟท์จากคุณ กุหลาบมอญ - ขอบคุณสำหรับกิฟท์เน้อครับ  ^^

ขอบคุณกิฟท์จากคุณห้าสิบป่าย - ขวั่บๆ ถ้าหลวม จะไขน็อตให้แน่นขึ้นนะครับ ขวั่บๆ ขอบคุณสำหรับกิฟท์ครับ ขวั่บๆ ^^

มาถึงบทที่สี่แล้ว เปิดเผยโฉมหน้าของรัมภา บุษบายุธกับการตัดสินใจของ Black Gun

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ ^^


----------------------------

บทที่ 4

สมุทรปราการ, บางพลี
สนามบินสุวรรณภูมิ


ทิวากรยืนคอยเด็กสาวที่ไม่เห็นหน้าค่าตามาหลายปีด้วยความร้อนใจ ทว่าความร้อนใจของเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับเด็กสาวผู้เป็นต้นเหตุให้เขาเดินทางมาที่นี่แต่อย่างใด เพราะผู้ที่ทำให้หนุ่มหน้าตี๋ร้อนใจกำลังอยู่ที่ลำปาง และตอนนี้คงกำลังอยู่ที่งานศพของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์ซึ่งจัดที่บ้านตามประเพณีชาวเหนือเรียบร้อยแล้ว

โรสจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ทิวากรนึกเป็นห่วง เขาก้มมองนาฬิกาข้อมืออย่างกระวนกระวาย เครื่องบินจากซิดนี่ย์สู่กรุงเทพมหานครดีเลย์จากกำหนดการณ์ที่แสดงไว้ประมาณสี่สิบห้านาที แต่ขณะนี้มันก็มาถึงได้พักหนึ่งแล้ว บรรดาผู้โดยสารนานาชาติต่างพากันเดินออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้า ผ่านจุดรับกระเป๋า และลากกระเป๋าเดินทางผ่านหน้าเขาไปนับไม่ถ้วน

ยืนรอจนเมื่อยขา แต่ยังไม่พบคนที่น่าจะเป็นคุณหนูรัมภาเลยสักคน

ชายหนุ่มถอนหายใจ ล้วงมือลงกระเป๋ากางเกง จะเดินไปนั่งพักในค็อฟฟี่ช็อปสักแห่งก็กลัวจะคลาดกันจนเป็นเรื่องใหญ่  ก่อนมาก็ไม่ได้ถามเสียด้วยว่าปัจจุบันลูกสาวของคุณเรณูมีหน้าตาอย่างไร เคยเจอครั้งสุดท้ายก็สี่ห้าปีก่อน ยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กผอมบางเหมือนไม้เสียบลูกชิ้น ถักผมเปีย ใบหูกาง มีฟันกระต่าย หาความงามแทบไม่ได้

ทิวากรเดาเอาว่าปัจจุบันก็คงไม่ต่างกันนัก เขาจึงเอาแต่มองหาเด็กสาวที่มีใบหน้าอย่างที่คิดโดยไม่ได้สังเกตว่ามีเด็กสาวหน้าตาสะสวยผู้แต่งชุดดำคนหนึ่งกำลังยืนจดๆ จ้องๆ มองมาที่เขาอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะเข้ามาทักดีหรือไม่

หนุ่มหน้าตี๋กวาดสายตามองรอบๆ กายอีกครั้ง แล้วเขาก็เผลอยิ้มออกมาเมื่อคิดว่าได้เจอคุณหนูรัมภาเสียที

ทิวากรก้าวปราดๆ เข้าไปขวางทางหญิงร่างเล็กผู้มีใบหน้าตกกระ ฟันซี่หน้ายื่นออกมาจากริมฝีปาก สวมเสื้อสีขาว กระโปรงสีดำ ใบหูกางเหมือนจานดาวเทียม หล่อนสวมแว่นตาดำอำพรางสายตา คงจะร้องไห้หนักจนตาบวม ชายหนุ่มคิดเสร็จสับขณะกล่าวออกมาด้วยเสียงสุภาพว่า

“ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าคุณใช่คุณหนูรัมภา บุษบายุธหรือเปล่าครับ?”

“หา?” หญิงสาวใบหน้าตกกระชะงักกึก หล่อนยกมือลดแว่นดำลงจากสายตาเล็กน้อยเพื่อจ้องมองหนุ่มตี๋ “เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะคะ?”

“ไม่ทราบว่าคุณใช่คุณหนูรัมภาหรือเปล่าครับ พอดีคุณเรณูต้องอยู่ดูแลงานศพ ท่านเลยส่งผมมารับตัวคุณหนูแทน” ทิวากรตอบพลางคิดว่าไม่เจอกันแค่สี่ห้าปี คุณหนูรัมภาหน้าแก่เหมือนคนอายุยี่สิบกว่าๆ ไม่มีผิด

คำตอบของเขาทำเอาหญิงสาวใบหน้าตกกระหัวเราะกิ๊ก หล่อนดันแว่นกลับเข้าที่และส่ายศีรษะตอบว่า

“ทักคนผิดแล้วล่ะค่ะ ฉันชื่อลำเจียก บ้านอยู่สามโคก เป็นลูกตาเจ็งกับยายจวง มีผัวชื่อจามร โน่นแน่ะค่ะ กำลังเดินมาแล้ว เฮลโล้ ดาร์ลิ้ง!”

พูดจบ หญิงใบหน้าตกกระก็โบกไม้โบกมือให้กับใครบางคนทางด้านหลังทิวากร หนุ่มหน้าตี๋หันไปมอง ก็พบชายหน้าโหดหุ่นนักกล้ามคนหนึ่งก้าวฉับๆ เข้ามาพลักอกเขาจนเซถลาอย่างข่มขวัญ

“คิดจีบเมียอั๊วเรอะ ไอ้หน้าอ่อน” ชายหน้าโหดพูดใส่หน้าทิวากรซึ่งหมุนกายทรงตัวยืนปักหลักอย่างมั่นคงรอรับการจู่โจมได้รวดเร็วดั่งที่ฝึกฝนมาในวิชาคาราเต้

“เปล่านี่ครับ ผมแค่เข้าใจผิด” ทิวากรตอบขณะลูบมือไปบนรอยยับของเสื้อสูทที่สวมใส่ แต่สองตาจ้องมองชายหน้าโหดอย่างไม่กลัวเกรง เพียงแค่เขาตวัดขาเตะไปที่ขาพับของฝ่ายตรงข้ามในวินาทีนี้เท่านั้น ชายหน้าโหดก็จะลงไปนอนโอดโอยบนพื้นชนิดลุกไม่ขึ้นอีกเลย

แต่ทิวากรไม่ใช่คนที่ชอบมีเรื่อง เขาจึงข่มอารมณ์และปล่อยผ่านไป

“ไม่มีอะไรน่า ดาร์ลิ้ง ชอบหึงโหดจีจี้อยู่เรื่อยเชียว เขาแค่มาทักคนผิดน่ะค่ะ เราไปกันเถอะ” หญิงใบหน้าตกกระผู้เรียกตัวเองว่าจีจี้พูดเสียงใสเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ

“จำเอาไว้ ถ้ายุ่งกะเมียอั๊ว ลื้อตาย!” ชายหน้าโหดยังไม่วายชี้หน้าคำรามใส่ทิวากรเป็นครั้งสุดท้ายขณะถูกภรรยาร่างเล็กลากตัวไป

ทิวากรถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ยกมือเกาหัวตัวเองแกรกๆ เบือนหน้าออกจากสองสามีภรรยาคู่นั้น

พลัน ชายหนุ่มก็ชะงักกึกเมื่อมีเสียงใสๆ ดังขึ้นทางด้านหลังว่า

“ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่ากำลังมองหาใครอยู่หรือคะ?”

หนุ่มตี๋หมุนตัวหันมองเจ้าของเสียงน่ารักนั้น แล้วเขาก็พบกับเด็กสาวชุดดำ ใบหน้าขาวเนียน  คิ้วโค้งโก่งงามรับกับดวงตาสุกใสและจมูกโด่งเหนือริมฝีปากที่หยักได้รูปเป็นสีชมพูตามธรรมชาติซึ่งกำลังเดินลากกระเป๋าเดินทางใบโตมาตรงจุดที่เขายืนอยู่

“เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ?” ทิวากรเบิกตาโตมองใบหน้าของเด็กสาวอย่างลืมตัว

“ไม่ทราบว่ากำลังมองหาใครอยู่หรือคะ?” เด็กสาวกล่าวย้ำ หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม เขาสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าและเครื่องประดับรวมถึงรองเท้าส้นสูงที่เธอใส่ล้วนแล้วเป็นของแบรนเนมราคาแพงระยับ คงจะไม่ใช่เด็กวัยรุ่นฐานะธรรมดาแน่ถึงสวมใส่ของแบบนี้ได้

“อ้อ กำลังหาคนที่ชื่อรัมภา บุษบายุธครับ พี่ต้องมารับเขา น้องเป็นเพื่อนคุณหนูรัมภาหรอ?” ทิวากรถามอย่างพาซื่อเพราะไม่นึกว่าลูกเป็ดขี้เหร่จะกลายร่างเป็นนางหงส์ฟ้าดั่งในนิยายได้จริงๆ

เด็กสาวฉีกยิ้มอย่างฝืดฝืน นั่นเองหนุ่มตี๋จึงได้เห็นฟันกระต่ายคู่หน้าอันเป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่เตือนให้เขาจดจำเธอได้ในที่สุด

“เปล่าค่ะ ไม่ใช่เพื่อน แต่หนูนี่แหล่ะ รัมภา บุษบายุธ”

ทิวากรอ้าปากหวอ นึกในใจว่าซวยแล้ว แต่ก็รีบปรับสีหน้าและขอโทษขอโพยว่า “เอ้อ ขอโทษครับ  พอดีไม่ได้เจอคุณหนูนาน คุณหนูโตขึ้นเยอะนะครับ ผมจำไม่ได้เลย”

หากรัมภา บุษบายุธมีนิสัยขี้วีนเช่นเดียวกับแม่ของเธอ ทิวากรก็คงจะโดนวี๊ดใส่แบบไม่ยั้งแน่ๆ ชายหนุ่มก้มหน้าเตรียมใจรอรับระเบิด แต่สิ่งที่ได้ยินในวินาทีต่อมา กลับเป็นเสียงที่ดึงให้เขาเหลือบตามองใบหน้าผู้พูดอีกครั้ง

“ค่ะ ไม่เป็นไรหรอก หนูเองก็ไม่ได้กลับบ้านบ่อยนัก กลับแค่ตอนซัมเมอร์ปีละครั้งเท่านั้น ต่อให้คนอื่นมารับเองก็คงจำไม่ได้เหมือนกัน” รัมภาตอบ ผมยาวตรงสลวยย้อมสีน้ำตาลเข้มของเธอยาวเลยระดับบ่าและปิดบังใบหูที่เคยกางไว้อย่างมิดชิดจนทิวากรนึกสงสัยว่าหูของเธอจะยังคงกางเหมือนตอนเป็นเด็กอยู่หรือเปล่า

ชายหนุ่มไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมองและกล่าวออกมาน้ำเสียงสุภาพว่า

“ผมจะพาคุณหนูกลับลำปางคืนนี้เลยนะครับ แต่เครื่องบินจากกรุงเทพไปลำปางไม่มีบินแล้ว ผมกับคุณหนูเลยต้องรอเครื่องบินจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ไฟท์สุดท้ายตอนสี่ทุ่มสิบห้า คุณเรณูจะส่งรถมารอรับที่สนามบินเชียงใหม่ คุณหนูคงไม่ว่าอะไรนะครับ?”

“ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ” รัมภาส่ายศีรษะ เธอสุภาพกว่าที่เขาคิดหลายเท่าทีเดียว

“งั้นไปหาที่นั่งพักกันก่อนดีกว่านะครับ อีกตั้งเกือบชั่วโมงกว่าเครื่องจะขึ้นบิน”
ทิวากรกล่าว รัมภาพยักหน้าเห็นด้วย เขาจึงเอื้อมมือคว้ากระเป๋าเดินทางใบโตมาลากเสียเองและเดินนำเธอมายังร้านค็อฟฟี่ช็อปแห่งหนึ่งที่มีคนอยู่ไม่มากนัก และเมื่อจับจองที่นั่งและสั่งกาแฟมาทานกันเรียบร้อย รัมภาก็ถามขึ้นอย่างเป็นทางการว่า

“รอนานหรือเปล่าคะ เครื่องบินดีเลย์นิดหน่อย คงไม่ทำให้พี่ชายต้องรอจนหงุดหงิดนะ”

ทิวากรรีบส่ายศีรษะทันที “ไม่เลยครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว รอนานเท่าไหร่ผมก็รอได้”

“คุณแม่ส่งพี่ชายมาเองหรือคะ?” รัมภาถามต่อพลางหรี่ตามองทิวากรที่พยักหน้าเป็นคำตอบ แล้วเด็กสาวก็กล่าวว่า “หนูรู้สึกคุ้นๆ หน้าพี่ชายจัง เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า?”

ทิวากรครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตอบว่า “เคยเจอครับตอนคุณหนูยังเด็กๆ แต่ก็ไม่เจอกันบ่อยนักหรอก ผมไม่ค่อยได้เข้าไปที่คฤหาสน์บุษบายุธสักเท่าไหร่”

“พี่ชายชื่ออะไรคะ” รัมภาถาม “เผื่อบางทีหนูจะนึกออก”

“พี่ชื่อทิวากร หรือจะเรียกว่าพี่หมิงก็ได้”

“พี่หมิง...”

เด็กสาวทวนคำ หลุบสายตาจ้องมองแก้วกาแฟบนโต๊ะ และเงยหน้าจ้องมองเขาอีกครั้ง

“...ที่เป็นลูกชายของอาพิชิตที่ดูแลไร่ผลไม้ให้คุณพ่อน่ะหรือคะ?”

โดยที่ชายหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็น ใบหน้าของรัมภาแดงปลั่งขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“ครับ” ทิวากรพยักหน้าอย่างแปลกใจ แต่ก็นึกได้ว่าคุณเรณูคงแจ้งให้บุตรสาวทราบแล้วว่าใครคือคนที่จะมารับเธอที่สนามบิน เขาสลัดความคิดแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นจิบนิดหนึ่ง แต่ก็แทบสำลักพรวดทันทีเมื่อได้ยินเด็กสาวโพล่งถามออกมาว่า

“หนูสามารถเชื่อใจพี่หมิงได้ใช่ไหมคะ?”

ทิวากรไอค่อกๆ เล็กน้อยขณะวางแก้วกาแฟกลับลงที่เดิม  พยักหน้าตอบ “ได้สิครับ มีอะไรหรอ?”

ใบหน้าของรัมภาไม่ได้แดงอีกแล้ว แต่มันกลับแสดงความเศร้าหมองออกมาอย่างเด่นชัด

“หนูอยากทราบค่ะว่าคุณพ่อเสียชีวิตได้ยังไง” เธอถาม

ทิวากรเลิกคิ้วสูงก่อนถามกลับ “คุณเรณูไม่ได้บอกคุณหนูหรอกหรอครับว่าพ่อเลี้ยงเสียชีวิตได้ยังไง?”

รัมภาตอบว่า “คุณแม่บอกเพียงแต่ว่าคุณพ่อช็อคอย่างกะทันหันเพราะมีคนใส่ผงชูรสลงไปในอาหารของท่าน”

“ครับ ถูกต้อง” ชายหนุ่มผงกศีรษะ

“แต่คุณแม่ก็ไม่ได้อธิบายรายละเอียดอะไรให้หนูฟังอีก บอกเพียงแต่ว่าหนูกลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่จะอธิบายให้ฟังเอง”

“ก็ไม่น่าแปลกใจนี่ครับ เดี๋ยวกลับไปคุณเรณูก็คงอธิบายให้คุณหนูฟังอย่างที่บอกเองนั่นแหล่ะ”

“แต่หนูอยากรู้ตอนนี้ พี่หมิงบอกหนูก่อนได้ไหม?”

“แล้วคุณหนูอยากรู้เรื่องอะไรล่ะครับ” ทิวากรจ้องดวงตาของฝ่ายตรงข้าม “ในเมื่อคุณหนูก็ทราบแล้วว่าพ่อเลี้ยงเสียชีวิตได้อย่างไร”

“แต่หนูต้องการคำยืนยันว่าคุณพ่อเสียชีวิตเพราะทานอาหารที่มีผงชูรสจริงๆ หรอคะ?” รัมภาจ้องตากลับมาจนชายหนุ่มต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เบนหน้าไปทางอื่นเสียเอง

เขาผงกศีรษะ ก่อนเหลือบตามองวงหน้างามอีกครั้ง

“ครับ ทางโรงพยาบาลได้ระบุสาเหตุการเสียชีวิตของพ่อเลี้ยงไว้อย่างนั้นจริงๆ”

“แต่คุณพ่อไม่เคยสั่งอาหารจากที่ไหนมาทาน นอกจากให้ทางห้องครัวปรุงขึ้นมาตามคำสั่งนี่คะ และทุกคนก็รู้ดีว่าเกลือกับผงชูรสคือของต้องห้ามสำหรับอาหารของคุณพ่อ หนูจำได้ว่าในครัวของเราไม่มีของสองสิ่งนั้นด้วยซ้ำ แล้วมันเกิดเหตุนี้ได้ยังไงคะ มันหมายความว่าคนร้ายที่ทำให้คุณพ่อเสียชีวิตคือหนึ่งในพวกคนครัวงั้นหรือ? หนูไม่อยากจะเชื่อ!”

“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับคุณหนู เพราะคนที่ทำ – หรือที่เราคิดว่าเธอคือคนทำ – เป็นผู้ช่วยแม่ครัวคนใหม่ชื่อชื่นจิตร เพิ่งเข้ามาทำงานพร้อมเด็กพม่าเมื่อหกเดือนก่อน” ทิวากรตอบพลางถอนหายใจหนักๆ ออกมาเฮือกใหญ่ในขณะที่รัมภามีสีหน้าฉงน

“พวกเรารู้หรือคะว่าใครเป็นคนทำ?” เธอถาม

“รู้ครับ” ชายหนุ่มตอบและกล่าวเสริมว่า “เมื่อเช้านี้ตอนที่เรียกคนรับใช้ขึ้นมาสอบสวน ป้าพิศมัยแม่ครัวใหญ่บอกว่าเมื่อวานนี้นอกจากตัวนางเองแล้ว ก็มีเพียงชื่นจิตรนี่แหล่ะที่เข้าไปป้วนเปี้ยนแถวๆ หม้อต้มแกงจืดวุ้นเส้นที่ทำให้พ่อเลี้ยงทาน และหลังจากเกิดเหตุเมื่อคืน ชื่นจิตรก็หายตัวไปอย่างลึกลับ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครเจอตัวเลย”

รัมภารับฟังในสิ่งที่ทิวากรกล่าวจบก็เงียบไปพักใหญ่ เธอจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ไม่เงยหน้ามองเขา ไม่สนใจเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กและคนที่เดินผ่านไปผ่านมานอกร้านค็อฟฟี่ช็อป เด็กสาวไม่สนใจอะไรเลยนอกจากเหม่อมองแก้วกาแฟเบื้องหน้า ทิวากรไม่สามารถรับรู้ได้ว่ารัมภากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังสับสนอยู่ไม่น้อย

ในที่สุด เด็กสาวก็ละสายตาออกจากแก้วกาแฟและเงยหน้ามองเขา

“แล้วคนที่ชื่อชื่นจิตรนั่นทำไปเพื่ออะไรคะ” เสียงของเธอสั่นเครือขณะกล่าวประโยคต่อมา “เขาฆ่าคุณพ่อของหนูทำไม?”

ทิวากรเม้มริมฝีปาก ส่ายศีรษะก่อนตอบ “ไม่รู้สิครับ และผมก็คิดว่าในตอนนี้ก็คงยังไม่มีใครรู้เหมือนกัน แต่เดาเอาว่าชื่นจิตรคงจะรับคำสั่งมาจากใครสักคน เพราะมันคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำให้พ่อเลี้ยงตายแล้วหนีหายไปเฉยๆ อย่างนี้”

“หมายความว่ามีคนอยากฆ่าคุณพ่อ...” เด็กสาวรำพึงเบาๆ “...ใครกันคะ  พวกเราพอจะรู้บ้างไหม?”

หนุ่มตี๋สูดหายใจลึก แล้วถอนหายใจออกมา “ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไงนะครับ แต่ผมสงสัยคนๆ หนึ่งซึ่งมันอาจจะผิดก็ได้”

รัมภาเบิกตาโต โน้มตัวมาด้านหน้าด้วยความสนใจ “ใครคะ บอกให้หนูฟังหน่อย?”

“ผมไม่ได้บอกว่าเขาเป็นคนทำจริงๆ นะครับคุณหนู ผมเพียงแต่บอกว่าเขาคือคนที่ผมสงสัยเท่านั้น”

“นั่นแหล่ะค่ะ บอกมาเถอะ หนูโตแล้วนะ หนูมีวิจารณญาณไตร่ตรองเองได้” เด็กสาวพูดแข็งขัน

ทิวากรเม้มริมฝีปาก ใช้ความคิดชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจพูดออกมา

“คนที่ผมสงสัยก็คือพ่อเลี้ยงกำธร ผู้มีอิทธิพลประจำอำเภอเกาะคา ซึ่งพ่อผมเคยเล่าให้ฟังว่าพ่อเลี้ยงกำธรเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ และจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังคงเป็นอยู่ แต่ก็นั่นแหล่ะครับ มันก็แค่ข้อสงสัยของผม”

“อะไรทำให้พี่หมิงคิดว่าพ่อเลี้ยงกำธรอะไรนั่นเป็นคนสั่งให้ชื่นจิตรทำล่ะคะ?”

“คุณหนูหมายความว่ายังไงนะครับ?”

รัมภานิ่งคิดและปรับคำพูดใหม่ว่า “หนูหมายความว่า ทำไมพี่หมิงถึงคิดว่าพ่อเลี้ยงกำธรอยู่เบื้องหลังแผนการทั้งหมดล่ะคะ?”

ทิวากรกระแอมไอทีหนึ่ง โน้มตัวมาด้านหน้าและกล่าวตอบ

“ก็เพราะพ่อเลี้ยงกำธรเป็นคนไม่ดี เขาเป็นพวกชอบค้าของผิดกฎหมาย ลักลอบค้าสัตว์ป่า ลักลอบค้าไม้  ลักลอบค้าของทุกๆ อย่างที่กฎหมายห้าม และก็มีเรื่องงัดข้อกับพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์มาตลอดเวลาเพราะ – คุณหนูก็คงทราบดีนะครับ – พ่อเลี้ยงไกรศักดิ์เป็นคนที่เกลียดสิ่งพวกนี้มาก หากรู้ว่าคนของพ่อเลี้ยงกำธรจะขน ‘ของ’ ผ่านเข้ามาในเขตห้างฉัตรเมื่อไหร่ เป็นได้เรียกตำรวจมาจับทุกที”

“ซึ่งถ้าไม่มีคุณพ่อของหนู พ่อเลี้ยงกำธรก็จะดำเนินธุรกิจเถื่อนได้อย่างสะดวกไร้กังวล” รัมภาพยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นพ้อง เธอจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของทิวากรด้วยความชื่นชม “เป็นสมมติฐานทีน่าสนใจทีเดียวเลยค่ะพี่หมิง”

“แต่มันก็แค่สมมติฐานครับ” ผู้ถูกจ้องเอ่ยอย่างถ่อมตัว “ส่วนความจริงนั้น ตอนนี้คุณลุงเดโชของคุณหนูกำลังสืบอยู่”

รัมภาถามอย่างกระตือรืนร้น “แล้วคุณลุงสืบได้เรื่องอะไรบ้างหรือยังคะ?”

“คงยังหรอกครับ ของอย่างนี้มันต้องใช้เวลา” ทิวากรตอบ เมื่อพูดถึงเรื่องเวลา เขาก็หลุบสายตาดูนาฬิกาข้อมือโดยอัตโนมัติ เข็มนาฬิกาหมุนไปรวดเร็วกว่าที่คิด ผ่านไปเพียงแวบเดียวก็ได้เวลาเตรียมตัวไปขึ้นเครื่องบินแล้ว

เขาบอกให้รัมภาทราบ เธอพยักหน้าเข้าใจและลุกขึ้นยืน และขณะที่เดินลากกระเป๋าเดินทางใบโตออกจากร้าน รัมภาซึ่งก้าวเท้าเดินอยู่ด้านข้างก็กล่าวว่า

“ทีหลังพี่หมิงไม่ต้องเรียกหนูว่าคุณหนูทุกคำก็ได้นะคะ มันฟังดูแปลกๆ ยังไงชอบกล”

“ไม่ให้เรียกคุณหนู แล้วจะให้เรียกอะไรล่ะครับ?” ทิวากรเหลียวหน้าถาม สองเท้ายังก้าวเดินและมือขวาก็ยังลากกระเป๋าต่อไป

“คุณพ่อตั้งชื่อเล่นของหนูว่าจัสมิน พี่หมิงจะเรียกมินเฉยๆ ก็ได้ค่ะ” รัมภาตอบ ใบหน้าของเธอเป็นสีแดงเล็กน้อย ซึ่งมันเล็กน้อยจริงๆ จนไม่อาจมีใครสังเกตเห็นถ้าไม่ได้จับจ้องอย่างละเอียดถี่ถ้วน

“ขืนเรียกน้องมินเฉยๆ คุณเรณูเล่นงานผมตายเลย” ทิวากรสั่นศีรษะ แต่ก็ยังฉีกยิ้มออกมาให้อีกฝ่ายสบายใจ “เอาเป็นว่าผมจะเรียกคุณหนูว่าคุณมินแล้วกันนะครับ”

“ค่ะ” รัมภาผงกศีรษะตอบ

แต่ทิวากรละสายตาออกจากใบหน้าของเธอแล้ว สองตาของเขาทอดมองไกลออกไปเบื้องหน้า

เขายังคงเดินต่อไปด้วยฝีเท้าอันหนักแน่น ขณะนึกถึงพี่สาวต่างมารดาของผู้ที่กำลังเดินอยู่ข้างกาย เขาไม่รู้ตัวเลยว่ารัมภากำลังลอบมองเขาตลอดเวลาที่ก้าวเดินไปด้วยกัน

มันเป็นสายตาที่รัมภาเฝ้ามองเขาตลอดมาตั้งแต่สมัยที่เธอยังเป็นเด็กหญิงตัวผอมเหมือนไม้เสียบลูกชิ้น ถักผมเปีย ใบหูกาง มีฟันกระต่าย หาความงามแทบไม่ได้

ซึ่งแน่นอนว่า ทิวากรไม่เคยสังเกตเห็นเลยสักครั้งเดียว

++++++++

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 16:26:12




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com