 |
เมืองชลบุรี, บางละมุง หมู่บ้านจัดสรรธาดา วิลเลจ
ขณะนี้พีภัทรกำลังยืนอยู่ข้างเตียงของนางศโรรัตน์ภายในห้องนอนที่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เข็มนาฬิกาชี้เวลาเที่ยงคืนกว่า น้าตองเพิ่งเสร็จสิ้นการให้อาหารทางสายยางรอบดึกเมื่อสิบนาทีก่อนและตอนนี้หญิงวัยกลางคนก็กำลังลงไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่างเพื่อเปิดโอกาสให้แม่ลูกได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
พีภัทรเอื้อมมือไปกุมมือของมารดา เขาไม่อยากจากไปโดยไม่ร่ำลา เพราะมันเหมือนเป็นกฎประจำตัวสำหรับเขาไปแล้วที่เวลาจะออกเดินทางไปไหน ชายหนุ่มมักจะต้องเข้ามาบอกลาแม่และขอให้นางอวยพรให้เขาอยู่เสมอ
พีภัทรมีกระเป๋าเป้ใบใหญ่สะพายอยู่บนบ่า เส้นผมดำขลับของเขายาวลงมาปรกปิดใบหน้าด้านที่มีรอยแผลเป็น
เขาก้มหน้ามองหญิงผู้เป็นแม่บุญธรรม ฉีกยิ้มเล็กน้อยและกระซิบออกมาเบาๆ ว่า
“แม่ครับ ผมต้องเดินทางอีกแล้ว แม่คงไม่ว่าผมนะ ครั้งนี้ผมไปเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงคนหนึ่ง เธอกำลังจะถูกแม่เลี้ยงของตัวเองวางแผนฆาตกรรม ผมคิดว่าเธอเป็นคนดี ผมจะไปช่วยเธอครับ ผมจะไปเตือนให้เธอรู้ตัว เธอจะได้จัดการกับปัญหานี้ซะ”
พีภัทรยิงฟันยิ้มให้กับใบหน้าของเจ้าหญิงนิทราผู้นอนสงบนิ่ง
“แม่อย่าแซวผมสิครับ ผมไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย ผมสงสารเขาเท่านั้น...” แล้วเสียงของพีภัทรก็หายไปตรงนั้นเอง
ใช่ เขาไม่ได้ชอบริสา บุษบายุธ ไม่ได้หลงรักเธอผ่านทางรูปถ่ายเหมือนในละคร สำหรับพีภัทรแล้ว เขาคิดว่าคนเราไม่ได้จะตกหลุมรักกันง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก
แต่ถ้าเป็นการตกหลุมรักระหว่างคนกับศิลปะ นั่นคืออีกเรื่องหนึ่ง
มันเป็นเพราะศิลปะของเธอแท้ๆ ทีเดียวที่รักษาชีวิตของเธอไว้ ริสา บุษบายุธ
พีภัทรยังคงจับมือนางศโรรัตน์ขณะห้วงคิดของเขาผุดภาพเหตุการณ์ตลอดบ่ายขึ้นฉาบฉายในสมองเหมือนภาพยนตร์ดีวีดี
มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน ตอนที่ Black Gun ได้โทรศัพท์ไปหาผู้ว่าจ้าง และเกิดข้อสงสัยบางอย่าง ซึ่งทำให้เขาไม่แน่ใจว่าใครกันแน่ที่มีเจตนาไม่ดี ใครกันแน่ที่ฆ่านายไกรศักดิ์ และใครกันแน่ที่หวังฮุบมรดกไว้เพียงคนเดียว
มีบางอย่างที่ความรู้สึกของพีภัทรเตือนว่าเรณู บุษบายุธไม่น่าพูดความจริงขณะพูดโทรศัพท์กับ Black Gun
เหตุผลแรก หล่อนตอบคำถามที่ว่าทำไมริสา บุษบายุธถึงสมควรตายได้ฉะฉานเกินไป และความเลวร้ายที่หล่อนบอกว่าริสาทำเอาไว้มันมีมากมายจนไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวหน้าตาใสซื่ออย่างเธอจะทำได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้ พีภัทรจึงทิ้งเครื่องหมายคำถามเอาไว้สำหรับข้อนี้ เขาตั้งใจจะกลับมาค้นหาคำตอบเมื่อวางโทรศัพท์ลง
ส่วนเหตุผลข้อที่สอง ลูกน้องคนสนิทที่เรณู บุษบายุธให้เบอรโทรศัพท์เพื่อให้ Black Gun โทรไปรับคำยืนยัน ชายเสียงนิ่งที่พีภัทรเดาว่าน่าจะมีอายุไม่น้อยก็ตอบคำถามแต่ละคำถามได้รวดเร็วเกินไป คล่องแคล่วเกินไป เยือกเย็นเกินไป
ชายคนนั้นเหมือนจะไม่ประหลาดใจเลยที่มีคนแปลกหน้าโทรไปหาด้วยเสียงของหุ่นยนต์ เขาไม่ถามด้วยซ้ำว่าพีภัทรได้เบอร์โทรศัพท์มาจากไหน นั่นจึงเป็นเหตุผลให้พีภัทรไม่คิดรับงานนี้ เพราะมันมีบางอย่างน่าสงสัยเกินไป นักฆ่าหนุ่มรู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะถูกหลอกใช้
เมื่อวางโทรศัพท์ลง เขาจึงเปิดโน้ตบุ๊คและต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ต พีภัทรรู้จักประวัติครอบครัวบุษบายุธจากการพิมพ์ค้นหาใน Google
ยุคสมัยนี้งานของทุกคนง่ายขึ้นเมื่อมีอินเตอร์เน็ต ไม่เว้นแม้กระทั่งอาชีพนักฆ่า พีภัทรสามารถสืบทราบประวัติของไกรศักดิ์ บุษบายุธได้เพียงคลิ๊กเดียว ประวัติของอดีตนายอำเภอเมืองห้างฉัตรก็ปรากฏให้เลือกเข้าไปอ่านจากหลายเว็บ ทั้งจากเว็บไซต์วิกิพีเดีย เว็บไซต์ประจำจังหวังลำปาง และเว็บไซต์ของรีสอร์ททั้งสามแห่งที่นายไกรศักดิ์เป็นเจ้าของ
ทุกแห่งแจ้งประวัติคร่าวๆ ว่านายไกรศักดิ์เกิดที่ไหน รับราชการตั้งแต่ปีใด ออกจากราชการปีใด ด้วยสาเหตุอะไร
แต่ที่พีภัทรให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือชีวิตส่วนตัวของนายไกรศักดิ์ พีภัทรทราบจากวิกิพีเดียว่าเขามีบุตรสาวสองคน คนหนึ่งเป็นลูกติดจากภรรยาเก่าที่หายสาบสูญไปเมื่อสิบแปดปีก่อน ส่วนอีกคนเป็นลูกที่กำเนิดกับภรรยาใหม่
ภรรยาใหม่มีนามว่าเรณู บุษบายุธ
หล่อนคือคนที่จ้างพีภัทรนั่นเอง
พีภัทรพบรูปของหล่อนจากการค้นหารูปภาพในเสิร์ซ เอนจีนตัวเดิม เขาพินิจใบหน้าของหญิงชาวเหนือที่ปรากฏบนจอ มันเป็นรูปที่หล่อนถ่ายคู่กับสามีที่มีอายุมากกว่าหลายสิบปีในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว พีภัทรคิดว่าดวงตาของหล่อนแฝงแววเจ้าเล่ห์ร้ายแบบลึกๆ ซึ่งคนแบบนี้คงไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองถูกลูกเลี้ยงโขกสับตามที่พร่ำพูดแน่ๆ
พีภัทรจึงเริ่มต้นการค้นหาอีกครั้งโดยพิมพ์ชื่อริสา บุษบายุธลงไปในหน้าหลักของ Google
ครั้งแรกผลการค้นหาเป็นศูนย์ ไม่มีอะไรเลย ชายหนุ่มจึงลองเปลี่ยนมาพิมพ์ชื่อริสา บุษบายุธเป็นภาษาอังกฤษ
และครั้งนี้ มันได้ผล
ริสา บุษบายุธมีรายชื่อเป็นนักเรียนของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดที่ประเทศอังกฤษ เธอเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจสาขาการโรงแรมมาสดๆ ร้อนๆ แต่ข้อมูลที่พีภัทรได้จากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังก็มีเพียงเท่านั้น ไม่มีอะไรอีก
แต่ถือว่าโชคดีที่ริสา บุษบายุธเป็นคนหนึ่งที่เล่นเฟซบุ๊ค และใช้ชื่อบัญชีเฟซบุ๊คเป็นชื่อจริง จ้าวแห่งเสิร์ซ เอนจีนจึงแสดงผลการค้นหาเป็นลิ๊งค์ลำดับที่สอง เมื่อลองคลิ๊กเข้าไปดู พีภัทรก็เจอแต่หน้าจอโล่งๆ ที่ปกปิดข้อมูลส่วนตัว ไม่ให้คนอื่นมองเห็นอะไรนอกจากรูปภาพที่ใช้ในโปรไฟล์กับรายชื่อสองสามสิ่งที่เธอถูกใจเช่นหนังสือที่อ่าน ดารา – นักร้อง นักเขียน หรือกรุ๊ปออนไลน์ต่างๆ ที่เธอเข้าร่วมในเฟซบุ๊ค
หญิงสาวกดถูกใจอะไรไว้ไม่ค่อยเยอะนัก มีเพียงดาราฮอลลีวู้ดสองสามคน นักร้องอีกหนึ่งคน จะไปเน้นหนักก็ทางฝั่งนักเขียนที่มีเกือบสิบคน แต่สิ่งที่ทำให้พีภัทรหรี่ตาครุ่นคิดก็คือ ริสา บุษบายุธเข้าร่วมกรุ๊ปออนไลน์เพียงแค่กรุ๊ปเดียวเท่านั้น
มันคือกรุ๊ป – มั่นใจคนไทยเกินล้านเชื่อมั่นโปสการ์ดที่ออกแบบโดยคนไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก
พีภัทรลองกดเข้าไปดู มันเป็นกรุ๊ปสาธารณะที่ใครก็สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ สิ่งที่เขาพบบนหน้าจอคือประวัติโดยย่อของกรุ๊ปที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเมื่อสองปีก่อน โดยกลุ่มคนที่รักการออกแบบภาพบนโปสการ์ด ขณะนี้กรุ๊ปนี้มีสมาชิกอยู่ทั้งสิ้น 574 คน
ริสา บุษบายุธคือหนึ่งในนั้น
พีภัทรเลื่อนหน้าจอลงมาบนกระดานข้อความของกรุ๊ป ภาพโปสการ์ดลวดลายต่างๆ นับสิบภาพปรากฏแก่สายตาของเขา ไล่จากบนลงล่าง มันถูกโพสต์โดยสมาชิกของกลุ่มที่นอกจากโพสต์ภาพโปสการ์ดแล้ว แต่ละคนก็ยังแนบลิ๊งค์ของเว็บไซค์บล็อกออนไลน์ที่เปิดเป็นแกลลอรี่ของตัวเองเอาไว้อีกด้วย
ความคิดบางอย่างผุดวาบในสมอง พีภัทรกดหน้าเบร๊าเซอร์กลับไปที่ Google และพิมพ์คำสองคำลงไปในช่องค้นหา
Risa Butsabayuth + มั่นใจคนไทยเกินล้านเชื่อมั่นโปสการ์ดที่ออกแบบโดยคนไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก
เขากดเอ็นเตอร์
วินาทีถัดมา ผลการค้นหาก็ปรากฏ
พีภัทรเบิกตามองผลการค้นหาที่มีเพียงลิ๊งค์เดียวด้วยความกระตือรือร้น เขากดเข้าไปที่ลิ๊งค์นั้น หน้าเบร๊าเซอร์กลับไปที่กระดานข้อความของกรุ๊ปมั่นใจคนไทยเกินล้านเชื่อมั่นโปสการ์ดที่ออกแบบโดยคนไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลกอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ บนกระดานข้อความมีเพียงข้อความเดียว
มันถูกโพสต์เมื่อสิบหกเดือนก่อน โดย Risa Butsabayuth
“สวัสดีค่ะ ขออนุญาตฝากผลงานด้วยนะคะชาวกรุ๊ป โปสการ์ดใบนี้อาจไม่ค่อยสวยเพราะมันเป็นผลงานชิ้นแรกที่โรสทำเมื่อสี่ปีก่อน แต่มันเป็นชิ้นที่โรสรักมากที่สุด หากใครถูกใจหรืออยากดูผลงานชิ้นอื่นๆ ก็สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ Red_Rose.Extreen.co.th นะคะ ยินดีต้อนรับทุกคนและพร้อมพูดคุยเสมอ ขอบคุณมากค่ะ ^^”
ริสา บุษบายุธก็เป็นเหมือนสมาชิกคนอื่นๆ ในกรุ๊ปที่นำผลงานของตัวเองมาโพสต์เผยแพร่ ตัวอักษรที่เขาเพิ่งอ่านไปเป็นข้อความที่เธอโพสต์ทิ้งเอาไว้ใต้ไฟล์รูปภาพของโปสการ์ด ซึ่งมีสมาชิกในกรุ๊ปกดถูกใจถึง 285 คน
หากเธอบอกว่าภาพนี้ไม่สวย เธอกำลังโกหก
พีภัทรกำลังจ้องมองรูปนั้น ใบหน้าของเขาร้อนวูบวาบ
เขาจ้องมองหน้าจอโน้ตบุ๊กชนิดลืมหายใจไปชั่วขณะ ล่วงรู้แล้วว่าทำไมคน 285 คนถึงกดถูกใจรูปภาพนี้
มันเป็นรูปกุหลาบแดงดอกใหญ่ที่ตั้งอยู่ในกระถางใบเล็กบนขอบหน้าต่าง มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีดำมืด แต่ไม่มืดไปกว่าเมฆทะมึนที่กลืนกินดวงจันทร์ไปเกือบทั้งดวงที่มุมขวาบนขอบหน้าต่าง จุดโฟกัสหลักของภาพอยู่ที่ดอกกุหลาบในกระถาง มันมีสภาพที่จะเหี่ยวก็ไม่เหี่ยว จะบานก็ไม่บาน ให้ความรู้สึกคลุมเครือระหว่างสดชื่นกับหม่นหมอง
เมื่อถอนสายตาออกจากกุหลาบแดงดอกนั้นได้ในที่สุด ต่อมศิลปะประจำตัวของพีภัทรก็กระตุกให้มือของเขาคลิ๊กเข้าไปที่ลิ๊งค์ Red_Rose.Extreen.co.th ทันที
เบร๊าเซอร์จิ้งจอกไฟแสดงผลหน้าโฮมเพจของบล็อก Red_Rose.Extreen.co.th ในไม่กี่วินาทีต่อมา และเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ หลังจากนั้น พีภัทรก็ถูกดูดกลับเข้าไปในโลกของศิลปะที่เขาเคยอาศัยอยู่อย่างถอนตัวไม่ขึ้นเมื่ออายุสิบหกปี
มันทำให้เขาหลงลืมไปชั่วขณะว่าตนเองกำลังหาคำตอบเรื่องอะไร หรือกำลังทำการค้นหาไปทำไม
ในจิตใจของพีภัทรตอนนี้มีแต่เรื่องของศิลปะเท่านั้น ไม่มีเรื่องราวของนักฆ่า ผู้จ้างวาน ลูกเลี้ยง การหลอกใช้ คำหลอกลวง หรือแม้แต่คำว่าความเป็นจริง
จิตใจของพีภัทรกำลังจดจ่ออยู่ในโลกออนไลน์บนความเป็นตัวเองของริสา บุษบายุธ
หญิงสาวตั้งชื่อบล็อกของเธอว่า Postcard,Art,Diary,and Lady Red Rose
มันมีทุกอย่างดั่งที่เธอตั้งชื่อ
บล็อกของเธอจัดหมวดหมู่เรื่องราวไว้สี่หมวดคือ
หมวด Postcard – เอาไว้สำหรับโพสต์ผลงานโปสการ์ดที่เธอออกแบบให้คนดาวน์โหลดไปใช้ฟรีๆ
หมวด Art – เป็นโฟลเดอร์ที่เอาไว้สำหรับโพสต์บทความที่เธอเขียนเกี่ยวกับศิลปะทุกแขนงทั้งภาพเขียน หนังสือ ภาพยนตร์ และบทเพลง มีบางส่วนเป็นภาษาอังกฤษ
หมวด Diary – ตั้งไว้สำหรับบันทึกไดอารี่ออนไลน์ให้ตัวเธอเองและคนทั่วไปอ่าน
และหมวด Lady Red Rose ส่วนนี้จะเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับนามแฝงของเธอในการออกแบบโปสการ์ด ซึ่งมีเพียงการอธิบายไว้อย่างสั้นๆ ว่าที่เธอใช้ชื่อนี้เพราะเธอมีชื่อเล่นว่าโรส และ ดอกไม้ที่เธอชอบก็คือกุหลาบแดง
เข็มนาฬิกาหมุนผ่านไปรวดเร็วอย่างที่พีภัทรไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เขาจมดิ่งลงสู่โลกแห่งโปสการ์ดของหญิงสาว เธอวาดรูปทุกรูปบนโปสการ์ดและนำมาสแกนเข้าคอมพิวเตอร์เพื่ออัพโหลดสู่โลกออนไลน์ทั้งตอนที่อยู่ประเทศไทยและตอนที่อยู่ในประเทศอังกฤษ
ภาพทุกภาพ – โปสการ์ดทุกใบ ล้วนมีความสวยงามเฉพาะตัวที่พีภัทรไม่เคยพบเห็นจากคนอื่นมานานแล้วตั้งแต่สมัยที่เขาเรียนศิลปะอยู่ที่โรงเรียน The School of Visual Arts ในแมนฮัตตัน นิวยอร์ก
ผลงานของหญิงสาวเป็นภาพที่วาดยาก ต้องใช้อารมณ์และสมาธิเยอะมากถึงจะทำให้ภาพออกมาดูคลุมเครือไม่มีความรู้สึกที่ชัดเจนได้แบบนี้ พีภัทรรู้ดี เพราะภาพเขียนทุกภาพของเขา มันให้อารมณ์ออกมาในโทนเดียวกับโปสการ์ดของเธอไม่ผิดเพี้ยน ศิลปะของเขา กับศิลปะของเธอ ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันอย่างน่าประหลาด
เมื่อตั้งสติได้ พีภัทรก็พบว่าหัวใจของตัวเองกำลังบังเกิดความรู้สึกหวิวไหวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เขาดึงตัวเองกลับออกมาจากโลกแห่งศิลปะได้สำเร็จ ความเป็นจริงย้อนคืนสู่ตำแหน่งของมันในสมองของเขา พีภัทรรำลึกได้ว่าตนเองกำลังมองหาอะไรและกำลังค้นหาไปทำไม
เขาคลิ๊กเข้าไปที่หมวด Diary และเริ่มต้นลงมืออ่านบทบันทึกออนไลน์ของริสา บุษบายุธอย่างตั้งใจและมีสติ โดยพยายามไม่หวนไปคิดถึงบรรดารูปภาพบนโปสการ์ดเหล่านั้นอีก
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง พีภัทรได้รับรู้ว่า ตัวตนของริสา บุษบายุธในบทบันทึกออนไลน์ แตกต่างกับตัวตนของเธอในงานศิลปะเหมือนสีขาวกับสีดำ และยิ่งค้นพบอย่างนั้น มันก็ทำให้เขามั่นใจว่า ริสา บุษบายุธไม่ได้มีนิสัยอย่างที่แม่เลี้ยงของเธอใส่ความแน่
เพราะจากสิ่งที่เขาได้อ่าน ริสา บุษบายุธน่าจะเป็นหญิงสาวที่ไม่ชอบมีปัญหากับใคร สังเกตได้ในบทบันทึกออนไลน์ที่เขาไล่เปิดอ่าน ไม่มีบทไหนเลยที่ริสาจะตัดพ้อ ต่อว่า หรือคิดน้อยใจผู้ใด ไม่เคยมีคำหยาบ คำแช่งชัก คำไม่สมควร และเธอไม่เคยพูดถึงแม่เลี้ยงหรือน้องสาวต่างมารดาเลยสักครั้ง
แต่ตอนนี้ แม่เลี้ยงผู้นั้นกลับกำลังต้องการให้เธอตาย...
ความเคลื่อนไหวในบล็อก Red_Rose.Extreen.co.th หยุดลงเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน โดยบทบันทึกสุดท้ายของเธอบอกว่า เธอกำลังตั้งตารอคอยการกลับมาลำปางอย่างใจจดใจจ่อ เพราะใกล้จะถึงวันเกิดครบอายุยี่สิบสี่ปีของเธอพอดี ริสา บุษบายุธตั้งใจจะกลับมาฉลองวันเกิดกับบิดา
พีภัทรเหลือบดูตัวเลขที่เป็นวันเกิดของหญิงสาว เขาพบว่ามันเป็นวันเดียวกับที่พ่อเลี้ยงไกรศักดิ์เสียชีวิต
มันคือเมื่อวานนี้...
ทุกอย่างรวดเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าใครคนหนึ่งเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนฆาตกรรมใครสักคน เรณู บุษบายุธไม่ควรมั่นใจเร็วขนาดนั้น หากหล่อนคิดว่าการป้อนตัวเลขสูงๆ ให้เป็นค่าจ้าง แล้วเขาจะหลับหูหลับตารับงานโดยไม่หาแหล่งยืนยันข้อมูลที่แน่นอน หล่อนก็คิดผิดแล้ว
ทันทีที่ปิดโน้ตบุ๊คลง พีภัทรก็ได้คำตอบแล้วว่าเรณู บุษบายุธต้องการฆ่าริสาผู้เป็นลูกเลี้ยงทั้งที่เธอไม่มีความผิดเพราะอะไร
เขามีทฤษฎีที่น่าเชื่อว่าคงเป็นความจริง
เรื่องทั้งหมดคงหนีไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจ
มันเป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด
พีภัทรคิดว่าบุรุษผู้สูงวัยและนับวันจะมีสุขภาพแย่ลงเรื่อยๆ (อันเป็นสาเหตุให้ต้องลาออกจากราชการตั้งแต่อายุห้าสิบปี) อย่างพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์คงไม่ทิ้งเรื่องยุ่งยากเช่นการแย่งมรดกพันล้านหลังความตายของเขาโดยไม่มีการทำพินัยกรรม
แน่นอน คนที่รวยและฉลาดอย่างพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์ย่อมต้องทำพินัยกรรมเอาไว้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากจะลองสมมติดูว่าถ้า พ่อเลี้ยงไกรศักดิ์ตาย แล้วคำสั่งในพินัยกรรมจะบันชาให้มรดกทั้งหลายตกมาเป็นของบุตรสาวคนโต โดยที่บุตรสาวคนรองซึ่งเกิดกับภรรยาใหม่ ได้ทรัพย์สินสายสมบัติในเปอร์เซ็นที่น้อยกว่า
เรณูคงไม่พอใจที่มันเป็นอย่างนั้น หล่อนต้องอยากให้ริสาตาย เพราะถ้าริสาตาย ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลบุษบายุธจะตกมาอยู่บนตักของบุตรสาวหล่อน ซึ่งเป็นทายาทที่พ่อเลี้ยงไกรศักดิ์เหลืออยู่เพียงผู้เดียวอย่างที่ใครก็โต้แย้งไม่ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้น พีภัทรก็ควรจะอีเมล์ปฏิเสธงานกลับไป แจ้งว่าเขาไม่พอใจคำยืนยันที่ได้รับ
แต่สิ่งที่เขาทำ คือนั่งนิ่งอีกหลายสิบนาทีเพื่อลบภาพฝีมือในการวาดโปสการ์ดของ Lady Red Rose ออกไปจากสมอง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่พีภัทรทำไม่ได้ เขาไม่เคยเจอใครที่มีแนวทางในศิลปะใกล้เคียงกับตนเองมากขนาดนี้ ภาพกุหลาบแดงดอกนั้นจุดความรู้สึกบางอย่างในจิตใจของเขาขึ้นมาจนร้อนวูบวาบ
มันเป็นความรู้สึกที่อยากจะเห็นต้นฉบับของโปสการ์ดใบนั้น
เขาอยากจะพบคนที่วาดมันขึ้นมา...
ความรู้สึกอย่างนี้หายไปจากพีภัทรนานแล้ว...อาจจะตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มต้นเป็นนักฆ่าเมื่อห้าปีก่อน มันเป็นนิสัยของคนที่รักการวาดภาพเท่านั้นถึงจะรู้ หากลองได้ชอบภาพเขียนชิ้นใดแล้ว ต่อให้สุดหล้าฟ้าเขียวแค่ไหนก็ต้องดั้นด้นไปยลโฉมภาพต้นฉบับให้ได้ มันก็เหมือนกับการที่ใครสักคนชอบงานของแวนโก๊ะหรือ ดาวินชี่จนมุมานะทำงานอย่างหนักเพื่อเก็บเงินไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ซึ่งเก็บภาพเขียนของจิตรกรในดวงใจเอาไว้สักครั้งในชีวิตก่อนตาย
แต่ความรู้สึกนี้จัดการได้ไม่ยาก พีภัทรกดมันให้กลับลงไปอยู่ในซอกหลืบของจิตใจได้อย่างรวดเร็ว เพราะสิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ มันอยู่หลังจากนี้ ถ้าเขาอีเมล์ปฏิเสธงานกลับไป เรณู บุษบายุธก็จะหานักฆ่าคนใหม่ และหญิงสาวเจ้าของโปสการ์ด – หรือเธออาจจะมีภาพเขียนด้วยก็ได้ ใครจะรู้? – ก็ต้องตกอยู่ในห้วงสังหารอย่างไม่รู้ตัว
พีภัทรรู้ดีว่ามีนักฆ่าผู้เลือกเป้าหมายอย่างเขาอยู่ไม่มากนัก
เงินยี่สิบล้าน สามารถจ้างมือปืนที่ดีที่สุดได้จากทุกสารทิศ
หากพีภัทรไม่รับงานนี้ คนอื่นก็ต้องมาทำแทนและริสา บุษบายุธก็ต้องตายอยู่ดี
จะไม่มี Lady Red Rose กับโปสการ์ดของเธออีกต่อไป...
บ่ายนั้น พีภัทรจึงตระหนักดีว่าเขาควรทำอะไรก่อนส่งอีเมล์ปฏิเสธงานกลับไปหาผู้ส่ง
มันเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามายืนอยู่ข้างเตียงของแม่ในตอนนี้
ตามจรรยาบรรณส่วนตัว พีภัทรเคยปฏิญาณไว้ว่าจะไม่เปิดเผยผู้จ้างงาน แต่สำหรับกรณีนี้ เขาไม่ได้บอกว่าผู้คิดร้ายกับเธอเป็นใคร เขาแค่เตือนให้เธอรู้และนำกลับไปวิเคราะห์เอาเองเท่านั้น
มันไม่ได้หมายความว่า Black Gun จะปฏิบัติตัวผิดกฎของตัวเองเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งสักหน่อย จริงไหม?
ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ความคิดทุกอย่างหยุดลงเพียงเท่านั้น
เขากลับมาสู่โลกปัจจุบัน ณ เวลาเที่ยงคืนกว่า เบื้องหน้าในคลองสายตามีเพียงเตียงนอนของแม่ เครื่องวัดระดับการเต้นชีพจรของนาง กับถังออกซิเจนที่มีไว้ใช้สำหรับเวลาฉุกเฉิน ถัดจากนั้นเป็นอุปกรณ์วัดความดัน บนพื้นข้างเตียงอีกฟากหนึ่งเป็นผ้าปูต่างที่นอนอันว่างเปล่าของน้าตอง
พีภัทรถอนหายใจ จับจ้องมองวงหน้าภายใต้แสงไฟของแม่บุญธรรม
เขาพูดออกมาแผ่วเบาว่า
“ได้เวลาที่ผมจะต้องไปแล้วครับ แม่อวยพรให้ผมหน่อยสิ”
พีภัทรหลับตาลง ยืนกุมมือนางศโรรัตน์ สองหูสดับรับฟังความเงียบรอบตัว เขายืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้นถึงหนึ่งนาทีเต็ม แล้วชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น ยกมือนางมาจูบ บอกลานางเป็นครั้งสุดท้าย และออกมาจากห้องนั้นเมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนครึ่ง
ภายในห้องนั่งเล่นชั้นล่างยังเปิดไฟสว่าง พีภัทรเดินลงบันไดมาก็พบว่าน้าตองกำลังนั่งอยู่บนโซฟาที่เขาเอาภาพเขียนขนาดความสูง 60 ซ.ม. และกว้าง 45 ซ.ม. บรรจุใส่ห่อกันกระแทกมาวางพิงเอาไว้ พีภัทรบอกนางว่ามีเศรษฐีจากภาคเหนือสนใจภาพเขียนของเขาและติดต่อให้เขานำภาพเขียนไปเสนอขาย
น้าตองไม่เคยรู้ว่าพีภัทรเป็นนักฆ่า หล่อนไม่เคยสงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย
“จะไปแล้วหรอคะคุณพัต?”
น้าตองร้องถามเมื่อเหลือบเห็นชายหนุ่มเดินลงมาจากบันไดด้วยชุดทะมัดทะแมง เป้ใบโตที่สะพายอยู่บนไหล่นั้นบอกได้ดีว่าเขาคงไม่ได้กลับบ้านอีกหลายวัน
“รอรถของไอ้ชอนมารับน่ะครับ” พีภัทรตอบ สาวเท้าเดินเข้าไปหาพลางหลุบตาดูนาฬิกาข้อมือก่อนกล่าวต่อ “ผมนัดไว้เที่ยงคืนครึ่ง เดี๋ยวมันคงมาแล้วล่ะ”
“อ้อ ค่ะ” น้าตองลุกขึ้นจากโซฟา ผงกศีรษะรับทราบแล้วยื่นห่อผ้าทรงสี่เหลี่ยมห่อหนึ่งให้พีภัทร
“อะไรครับ?” พีภัทรถาม รับห่อผ้ามาถือก็รู้ทันทีว่าสิ่งที่ถูกห่อหุ้มอยู่คือกล่องอาหาร
“แซนวิชทูน่าของโปรดคุณพัตไงคะ น้ารู้ว่าคุณพัตชอบและระหว่างเดินทางคงจะหิว” หญิงวัยกลางคนยิ้มอ่อนโยนให้ชายหนุ่มผู้รักเสมือนหลานในไส้ หล่อนนึกเอ็นดูความรักที่เขามีต่อนางศโรรัตน์ผู้เป็นแม่ โดยที่ไม่ระแคะระคายเลยว่าทั้งสองเป็นเพียงแม่ – ลูกบุญธรรมกันเท่านั้น
“โห ขอบคุณมากครับน้า ผมคงอิ่มไปจนถึงเชียงใหม่พอดี” พีภัทรยิงฟันยิ้มให้น้าตอง เขาปลดเป้ลงจากบ่า แล้วรูดซิปเปิด ยัดห่อกล่องอาหารลงไป รูดซิปปิด แล้วตวัดเป้ขึ้นสะพายตามเดิม
“คราวนี้คุณพัตจะไปนานกี่วันคะ?” น้าตองถามเพื่อชวนคุย
ชายหนุ่มสั่นศีรษะ “ไม่รู้เหมือนกันครับ เห็นเศรษฐีคนนั้นบอกว่าจะชวนให้ผมอยู่ดูแกลลอรี่ส่วนตัวของเขาที่ลำปางด้วย กว่าจะไปกว่าจะมาก็คงหลายวันอยู่”
พีภัทรร่ายไปตามเรื่อง เขารู้ดีว่าน้าตองไม่ใช่คนที่ช่างซักแบบอยากรู้ข้อมูลลึกๆ หล่อนเพียงแต่อยากทราบข้อมูลพื้นฐานเช่นจะไปไหน ไปทำอะไร ไปกี่วัน ซึ่งตอบเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาเปลี่ยนเรื่องพูดได้อย่างแนบเนียน “ระหว่างที่ผมไม่อยู่ ถ้ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับแม่ น้าตองโทรหาผมได้ทันทีนะครับ”
“ค่ะ”
น้าตองรับปาก แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่เขาไม่อยู่บ้าน แล้วนางศโรรัตน์จะเกิดอาการทรุดลงจนวิกฤตถึงขั้นที่หล่อนต้องโทรศัพท์ตามพีภัทร
น้าตองทำอาชีพนี้มาตั้งแต่สมัยสาวๆ หล่อนมีความประสบการณ์บวกความเชี่ยวชาญชำนาญจนไม่ต่างจากพยาบาลคนหนึ่ง ดังนั้น พีภัทรจึงรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่ตนเองไม่อยู่บ้าน เขามั่นใจว่าแม่ต้องไม่เป็นอะไรหากมีน้าตองคอยดูแล
พีภัทรส่งยิ้มให้น้าตองอีกครั้ง เสียงรถยนต์คันหนึ่งก็แล่นมาจอดหน้ารั้วบ้าน เขาขยับกายไปที่หน้าต่าง เมื่อเลิกม่านทอดสายตามองออกไปก็พบว่าเป็นรถตู้สีดำที่ภุชงค์ส่งมารับเขานั่นเอง
“พวกคุณชอนมารับแล้วหรือคะ?” เสียงของน้าตองดังถามขึ้น
พีภัทรหมุนตัวกลับไป พยักหน้าตอบ“ครับ มาแล้ว”
นักฆ่าหนุ่มเดินกลับมาที่โซฟา ยกภาพเขียนในห่อกันกระแทกขึ้นมาถือด้วยสองมืออย่างทะนุถนอม เขาเดินมาที่ประตู น้าตองรีบวิ่งมาเปิดประตูให้ พีภัทรเหลียวหน้ากลับไปมองน้าตองอีกครั้งเมื่อเดินผ่านประตูออกมา
“ผมไปก่อนนะครับน้า ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย” เขาพูด
น้าตองยืนส่งอยู่ตรงธรณีประตู หล่อนตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “คุณพัตเองก็ระวังตัวด้วยนะคะ ขอให้โชคดีมีชัย เดินทางโดยสวัสดิภาพค่ะ”
“ขอบคุณครับ” พีภัทรผงกศีรษะส่งยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย ก็หันหน้ากลับมา ใช้สองมือประคองภาพเขียนอย่างระมัดระวัง และขยับเท้าก้าวไปบนทางเดินที่ปูด้วยอิฐสีซีด มุ่งตรงสู่รถตู้สีดำซึ่งจอดรออยู่ในความสงบนอกรั้วบ้านคันนั้น
----------------------------
แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 55 17:11:49
แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 55 16:37:37
จากคุณ |
:
ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ก.พ. 55 16:28:13
|
|
|
|
 |