สวัสดีเย็นวันอาทิตย์ครับเพื่อนนักอ่านทุกท่าน สำหรับล่องกัลปาลัย บทนำ ที่ผ่านมาครับ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11713931/W11713931.html
ขอบคุณความเห็นและกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่านนะครับ
คุณ npuiy, Setakan, กาแฟเย็นเพิ่มช็อต, ปลากินเมฆ, กุหลาบมอญ, มานีโอลา, อมราวตี, Travel to the moon, นารีจำศีล, นวลน้ำผึ้ง, kdunagin, รุริกะ และคุณ XueYitan ครับผม
สำหรับบทที่ 1 ครับ
บทที่ 1
เสียงกริ่งโทรศัพท์แผดดังขึ้นในความเงียบสงัดของห้องขนาดเล็กที่รูดม่านปิดเอาไว้รอบด้าน กังวานขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีผู้ใดยอมรับสาย แต่ดูเหมือนว่าผู้โทรศัพท์เองก็ไม่ยอมย่อท้อต่อการรอคอย เสียงกรีดนั้นจึงยังแผดต่อไปไม่ยอมหยุด จนร่างที่นั่งคุดคู้จมอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คริมหน้าต่าง จำต้องลุกขึ้นมากดรับด้วยสีหน้ามุ่ย
หากเจ้าตัวก็ยังไม่วายบ่นกับตัวเอง
อะไรกันนักนะ อุตส่าห์ปิดโทรศัพท์มือถือ ก็ดันรู้เบอร์โทรห้องพักซะอีก จะบ้าตายอยู่แล้วโว้ย!
แต่น้ำเสียงที่กรอกลงไปก็แปรเป็นเสียงเสนาะหวานหู ด้วยคุ้นเคยกับมารยาททางสังคมเป็นอย่างดี
ฮัลโหล ปีระกา พูดเองค่ะ อ๋อ... พี่เต๋เองเหรอคะ แหม! ปีละคิดถึ๊งคิดถึง
ไม่รู้ว่าอีกฟากสายตอบมาอย่างไร แต่อีกฝ่ายก็หลับตาปี๋ราวกับกำลังฟังสวดชยันโตระหว่างฟังเสียงตอบกลับของ พี่เต๋ที่ว่า กระนั้นเมื่อจบประโยค ปีระกาก็ยังพูดต่อไป
ต้นฉบับตอนต่อไปน่ะหรือคะ? กำลังปั่นอยู่เลยค่ะ ใกล้คลอด เอ๊ยใกล้เสร็จแล้วค่ะ ว่าไงนะคะ ศุกร์นี้เหรอ? งั้นก็พรุ่งนี้สิคะ ว้าย! ตายแล้ว อกอีแป้น...
ประโยคสุดท้าย เจ้าตัวต้องเผลอเอามือปิดปาก แม้จะยั้งไม่ทันก็ตาม เมื่อนึกขึ้นมาได้ น้ำเสียงจึงกลับมาอ่อนหวานเหมือนปกติอีกครั้ง
โทษค่ะ พี่เต๋ ปีตกใจไปหน่อย ลืมตัวไปค่ะ แหะ แหะ
หล่อนรีบขอโทษขอโพย และรับปากกับปลายสายที่ท่าทางจะเป็นต่ออยู่ไม่น้อยอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ หากเมื่อวางสายลงเรียบร้อย ปีระกา ก็ถึงกับถอนหายใจเหนื่อยอ่อน แล้วยกมือขึ้นเสยผมที่ตัดซอยเป็นบ๊อบสั้นๆได้ระดับแนบลำคอเข้ากับศีรษะทุยได้รูป จนดูแทบไม่ต่างกับหนุ่มน้อยหน้าสวยสักคน
แต่มันก็เข้ากับบุคลิกที่คล่องแคล่ว ปราดเปรียว อันเป็นลักษณะส่วนตัวมาแต่ไหนแต่ไร แม้จะมีคนเคยยุให้ปีระกาไว้ผมยาวสลวยเหมือนนางแบบโฆษณาแชมพูสระผมดูบ้าง เจ้าตัวก็เอาแต่ส่ายศีรษะปฏิเสธลูกเดียว
ขี้เกียจสระบ่อยๆว่ะ ตัดแบบนี้แหละ ดูแลง่ายๆสบายดี เปิดฝักบัวรดๆแล้วก็ก้มหัว เอาพัดลมเป่า เดี๋ยวเดียวก็แห้งแล้ว
แกนี่มันซกมกน่าดูว่ะ ไอ้ปีเอ๊ย? เสียดายเกิดมาเป็นผู้หญิงซะเปล่า
ชลธรหรือยายชลเพื่อนสนิทคนหนึ่งเคยต่อว่าแกมประชด เพราะเจ้าหล่อนเป็นสาวบอบบางอย่างนางแบบผู้มีอารมณ์สุนทรีอ่อนไหวอยู่เป็นนิจ แถมยังนิยมไว้ผมยาวสลวยโดยไม่ยอมตัดอย่างเด็ดขาด ซึ่งมันตรงข้ามกับหล่อนราวกับไม่ใช่เพื่อนสนิท
แต่ปีระกาก็ไม่สนใจสักคำพูดของเพื่อนรักเท่าไร ยังนึกอยู่เหมือนกันว่าตัวเองน่าจะเกิดเป็นผู้ชายซะให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ออกไปเที่ยวตะลอนๆร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำได้เหมือนเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ บางครั้งก็อดอิจฉาชายหนุ่มพวกนั้นที่ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีเต็มที่ไม่ได้เหมือนกัน
แต่ถึงอย่างไร ก็รู้ตัวดีว่าหล่อนไม่ใช่สาวทอมบอย หรือมีจิตใจเบี่ยงเบนทางเพศ ในแบบที่หลายคนที่ไม่ได้รู้จักตัวตนจริงๆ แล้วมาประเมินจากภาพลักษณ์ภายนอก อย่างที่เห็นอยู่บ่อยๆเอาเองก็มี
ความจริงแล้ว เพียงแต่มีลักษณะนิสัยที่ ชิลชิล เสียจนแทบจะไม่เป็นกุลสตรีเลยสักกระเบียดมากกว่า!!
ก็แค่นั้นเอง
และแถมอาชีพการงานก็ดูจะไม่เข้ากับลักษณะตัวเองเสียอีกด้วย เพราะปีระกาพร้อมจะบอกกับทุกคนอย่างภาคภูมิใจเสมอว่าหล่อนมีอาชีพเป็น นักเขียน
เรียกอีกอย่างว่า นักประพันธ์ใส้แห้งก็ได้!
ยายชลนั่นแหละเคยต่อประโยคนี้ให้อย่างแกมประชด จริงๆแล้วมันเริ่มต้น มาจากการเขียนเรื่องสั้นฝันหวาน ตั้งแต่เรียนมัธยมต้นเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่ดูแล้วไม่เข้ากับบุคลิกเลยสักนิด จนหล่อนเรียนจบมหาวิทยาลัย และพัฒนามาเป็นการนวนิยายขนาดยาวเหยียดหลายสิบตอนเอาในที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพิ่งมาประสบความสำเร็จเอาครั้งแรก ตอนเพิ่งเรียนจบนี่แหละ ทำให้ไม่คิดจะไปทำงานอย่างอื่นเป็นชิ้นเป็นอัน นามปากกา ปีระกาจึงเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะของ...
นักเขียนนิยายสาว แนวอาชญากรรมสยองขวัญ สั่นประสาท ที่กุมหัวใจคนอ่านเกือบทุกเรื่องที่ผ่านมา...
แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าสำหรับนักเขียนนิยายลึกลับ สืบสวนสอบสวนปนสยองขวัญ อย่างปีระกา น่ะ มีรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละสองสามหมื่นเลยทีเดียว นอกเหนือจากมีนักอ่านคอยติดตามอย่างชื่นชอบในสำนวนการเขียนแล้ว หล่อนยังรู้ว่า แฟนนักอ่านอีกกลุ่มหนึ่ง ที่คอยจับตามองหล่อนเป็นพิเศษ ก็คือ ตำรวจ!!
ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากนิยายเรื่องที่สองในชีวิตของหล่อนนั่นเอง
ตอนแรก ปีระกาก็เริ่มเขียนนิยายรักหวานแหววตามยุคสมัยนิยมจนจบสมบูรณ์ นั่นคือตอนเรียนอยู่ปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัยนั่นเอง นิยายพาฝันตามแบบฉบับทั่วไปของนักเขียนหน้าใหม่ ที่มีความเพ้อฝันและจินตนาการสูงละลิ่วเกี่ยวกับความรักของตัวเองนั่นแหละ อาจจะขัดกับสายตาคนภายนอกไปบ้าง แต่ก็มั่นใจว่าสำนวนน้ำผึ้งผสมมะนาวแบบนี้ น่าจะถูกใจนักอ่านบ้างสักกลุ่มสองกลุ่ม และหล่อนก็ลองส่งไปให้สำนักพิมพ์แรกพิจารณา ท่านบอกอ คงทนเห็นเด็กสาวหน้าใสมาออดอ้อนออเซาะเกือบทุกวันจนทนไม่ไหว เลยหลับหูหลับตาพิมพ์ออกมาให้
แต่ช่างน่าเศร้า เมื่อปรากฏว่านิยายเรื่อง รักหมดใจของยัยหัวฟู นวนิยายเอกเรื่องเยี่ยมของหล่อนถูกปฏิเสธจากผู้อ่านอย่างไม่เป็นท่า จนพี่เต๋ หรือเตชิต ท่านบอกอ มืออาชีพ แทบจะเลิกทำสัญญาตีพิมพ์เรื่องต่อไปในทันที หลังจากเมื่อมันวางแผงไปได้ไม่ถึงสัปดาห์
ปีระกาต้องทั้งอ้อนวอน ขอความเมตตา จนแทบกราบกรานเพื่อให้พี่เต๋ ยอมอ่านนิยายเรื่องที่สองที่หล่อนเพิ่งเขียนเสร็จในเวลาต่อมาไม่นาน
นะคะ รับรองเรื่องนี้น่าจะถูกใจพี่เต๋แน่ๆ ลองเอาไปอ่านดูสักนิดนะคะ นิดเดียวก็ได้...
และจากนั้น เตชิต บอกอ คนเก่ง ก็เกิดถูกใจนิยายเรื่องนี้จนยอมตัดสินใจ เชื่อหัวไอ้ปีพิมพ์ออกมาขายให้เป็นเรื่องที่สองเข้าจนได้
เออ! ไอ้ปี ฉันอ่านแล้ว ลงความเห็นว่าแกเขียนเรื่องแบบนี้ เหมาะมากเลยว่ะ รับรองดังระเบิดกว่าไปเขียน ยัยเบื๊อกหัวฟูอะไรนั่นเสียอีก ฉันอ่านแล้วยังติดหนึบไม่เป็นอันหลับอันนอน มันช่างสมจริงโคตรๆ ดูไปดูมารู้สึกยังกะคนเขียนเรื่องนี้เป็นฆาตกรตัวจริงมาเขียนสารภาพบาปเอาเองซะอย่างงั้น
อ้าว เฮ้ย! พี่เต๋ พูดงี้ ปีก็ซวยน่ะสิคะ หาเรื่องให้เข้าคุกซะแล้วมั๊ยล่ะ
หล่อนแอบเบ้ปากนิดๆ โดยเฉพาะเมื่อท่านบอกอ ยังอุตส่าห์จำชื่อนิยายสุดคลาสิคเรื่องแรก รักหมดใจของยัยหัวฟู เป็น ยัยเบื๊อกหัวฟูไปแทน แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อย พระเดชพระคุณท่านก็ยังกรุณาอนุมัติให้พิมพ์เรื่องที่สองให้ ไม่ถึงกับกรวดน้ำคว่ำบาตร กับ ซาดองแก นามปากกาสุดเท่คนนี้ไปเสียก่อน ยังไม่ทันจะนึกปลื้มอะไรต่อ พี่ท่านก็รีบเอ่ยขึ้นทันทีราวกับรู้ใจนักเขียนสาว
แต่ยังไง ฉันก็ขอใช้อำนาจความเป็น บอกอ เปลี่ยนนามปากกาไปด้วยเลยแล้วกันนะ ไอ้ปี ตกลงฉันว่า เอาชื่อของแกนั่นแหละเป็นนามปากกาไปเลยแล้วกัน จำง่ายดี ไม่เหมือนใครอีกด้วย แถมไม่ต้องไปเสียเวล่ำเวลาคิดให้เมื่อยตุ้มหรอก นึกซะว่า ลืมๆเรื่องยัยเบื๊อกหัวฟูนั่นไปซะเหอะ ใส่ตะกร้าล้างน้ำใหม่ แล้วขัดถูให้ไฉไลกว่าเดิมแทน แบบนี้น่าจะเวิร์คว่ะ
พี่ท่านยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กับความคิดของตัวเอง ในขณะที่ปีระกาหน้ามุ่ย ก็หล่อนอุตส่าห์คิดนามปาก ซาดองแก เสียตั้งหลายวัน กะว่าจะได้ชื่อไม่ซ้ำแบบใคร แถมไม่เชยเฉิ่มเบ๊อะ เหมือนชื่อของตัวเอง เสียอีกด้วย
ดีนะที่หล่อนไม่เกิดปีจอ แล้วชื่อปีจอแทนปีระกา ไม่งั้นคงได้รับการแต่งตั้งนามปากกาเป็น ปีจอ หรือ ยายปากปีจอ ให้ดูไม่จืดไปเลย
แหมพี่เต๋ ทำยังกะปีฉาวโฉ่อะไรพรรค์นั้นซะนี่ นี่แค่เขียนนิยายนะคะ ไม่ใช่ไปเสียตัวให้ใครซะหน่อย ทำไมต้องมาใส่ตะกร้าล้างน้ำด้วย ฮึ?
อดเถียงเบาๆไม่ได้ เตชิตหัวเราะขัน สายตาบรรณาธิการที่ผ่านประสบการณ์มาหลายปี รู้ดีว่านิยายหวานแหววสไตล์ที่ปีระกาเขียน ท่าทางจะไม่เหมาะกับเจ้าตัวสักเท่าไร ต่างกับเรื่องใหม่ที่เพิ่งอ่านจบไป ก็แทบจะฟันธงได้เลย เสียแต่ต้องเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามให้ใหม่ เพื่อคนอ่านจะได้ไม่ติดภาพ ยัยเบื๊อกหัวฟู เรื่องนั้น ให้ตายเหอะ! ขนาดเขาเองก็ยังชื่อเรื่องไม่ได้สักที!
เออๆนั่นแหละ เอาเป็นว่าฉันอนุมัติให้พิมพ์เรื่องนี้ แต่มีข้อแม้ ให้แกไปเปลี่ยนนามปากกาซะ คราวนี้แหละจะได้เกิดในบรรณพิภพซะทีนะ ปีระกา
แล้วก็ปรากฏว่า เล่ห์สังหาร นิยาย เรื่องที่สอง หรือเรื่องแรกในนามปากกา ปีระกา เจ้าของแนวสืบสวนระทึกขวัญ ก็ดังระเบิดสมดังที่พี่เต๋พูดไว้ไม่มีผิด!
แต่ว่าไม่มีใครสักคน จะรู้ว่าความจริงที่ว่า เล่ห์สังหาร ประสบความสำเร็จ และได้รับคำชมว่าเขียนฉากฆาตกรรมได้เหมือนจริงจนอ่านไปขนลุกไปนั้น มันมีที่มาที่น่าขนลุกเสียยิ่งกว่า...
เพราะนิยายฆาตกรรมสยองขวัญเรื่องนั้น ผู้เขียนได้พลอตเรื่องมาจากประสบการณ์จริง ของเหยื่อฆาตกรรมนั่นเอง!
หล่อนได้รับฟังเรื่องนี้มาจาก เขา ผู้ที่อยู่เคียงข้างปีระกามาตั้งแต่เด็กเพิ่งจำความได้ โดยที่ไม่มีใครแม้แต่ตัวหล่อนเองที่เคยเห็นหน้าค่าตา นอกจากได้ยิน เสียง
น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูราวกับเสียงกระซิบที่สื่อตรงมาที่หล่อนเพียงคนเดียวเท่านั้น...
ใช่! เพราะ เขา ไม่ใช่มนุษย์!!
**********************
ในสมัยวัยเยาว์ ขณะที่เด็กคนอื่นมีความสามารถในการเล่นกีฬา บางคนก็ถนัดเล่นดนตรีนานาชนิด แต่ปีระกา กลับพบว่าตัวเองมีความสามารถในการ เล่าเรื่อง ได้ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
ที่สำคัญทุกเรื่องที่หล่อนเล่าออกไปนอกจากจะทำให้เพื่อนๆฟังด้วยความสนใจ จนตาโตเป็นไข่ห่านแล้ว ยังทำให้คุณครูหลายคนต้องเผลอฟังเด็กหญิงเล่าเจื้อยแจ้วอย่างเพลิดเพลินและประหลาดใจแกมขนลุกไปพร้อมกันอีกด้วย
เด็กคนนี้จำเก่งนะ ไม่รู้ไปฟังมาจากไหน เห็นเล่าเรื่องซะเป็นตุเป็นตะ ดูๆไป ก็มีจินตนาการสูงไม่ใช่เล่น
ครูอาวุโสบางท่านยังรู้สึกประหลาดใจ ที่เด็กหญิงปีระการู้เรื่องตำนานพื้นบ้านท้องถิ่น หรือเรื่องเก่าๆโบร่ำโบราณที่ยังเกิดไม่ทันในท้องที่แถบนั้น หรือแม้แต่เรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กหญิงอายุไม่กี่ขวบจะจดจำคำพูดของผู้ใหญ่มาเล่าต่อได้ ชนิดเป็นฉากๆ
แต่หนูน้อยปีระกาในเวลานั้นไม่เคยบอกเลยสักคำว่า เรื่องเล่าเหล่านั้น เจ้าตัวได้ยินมาจาก ธาม...
ธามเป็นใคร มาจากไหน เด็กหญิงก็ไม่อาจตอบได้ เพราะตั้งแต่เริ่มจำความ เสียงทุ้มนุ่มหูนั้นก็จะดังเหมือนกระซิบอยู่เคียงข้างหู ไม่ต่างกับเป็นเพื่อนเล่นเพื่อนคุยคอยเล่าเรื่องราวต่างๆที่น่าสนใจอย่างที่เด็กหญิงตัวเล็กไม่เคยรับรู้มาก่อน บางครั้งก็เป็นเสียงปลุกปลอบประโลมใจในยามที่อ่อนแอ ผิดหวัง หรือน้ำเสียงคาดคั้นเร่งเร้า เวลาที่ปีระกาทำบางอย่างไม่ได้ดังใจ แต่นั่นก็คือธาม เพื่อนแสนดี ที่หล่อนสามารถติดต่อสื่อสารกับเขาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น และเขาก็บอกแต่เพียงให้หล่อนเรียกเขาว่า ธาม
แต่แรกปีระกาเคยเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อถือ คิดว่า เป็นอาการของเด็กเล็กๆที่มีโลกส่วนตัว มีจินตนาการเป็นของตัวเอง และหล่อนก็ไหวตัวทัน ไม่เคยพูดเรื่องนี้ออกมาให้ใครฟังอีกเลย เพราะรู้ว่า เสียง ที่ได้ยินนั้น มีเพียงตัวเองคนเดียวเท่านั้น ที่รับรู้ได้
แล้วเมื่อไรฉันจะได้เห็นตัวนายซะทีล่ะ?
คงจะเมื่อถึงเวลานั่นแหละ
ธามตอบสั้นๆ และคนอย่างปีระกา ก็ไม่ใส่ใจจะซักไซ้อะไรต่อ รู้ดีว่าต่อให้เซ้าซี้มากไปกว่านั้น เสียงนุ่มๆของธามก็จะหายวับ ขาดการติดต่อไปเหมือนกับทุกครั้งอย่างรู้แกว
เด็กหญิงปีระกา จึงสามารถสื่อสารกับธาม ผ่านทางคลื่นเสียง อย่างที่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ หรือให้ใครเชื่อได้ นอกจากนึกว่าเด็กหญิงคิดเพ้อฝันไปเองตามประสาเด็กน้อย
แล้วเจ้าก็อย่าไปเล่าให้ใครฟังเด็ดขาดเชียวนะ ปีระกา
เสียงธามกำชับข้างหูด้วยความห่วงใย เด็กหญิงสามารถรับรู้กระแสความอาทรได้ชัดเจนแม้จะไม่อาจมองเห็นใบหน้าผู้พูด ในความทรงจำ เสียงพูดต่างๆเหล่านั้น ไม่ต่างกับคลื่นที่ส่งเข้ามากระทบได้ ว่ามีเจตนาเช่นไรต่อตนเอง ถ้าเป็นความหวังดี ความรัก ไม่ต่างกับคลื่นสีชมพูอ่อนหวาน ความเอื้ออารี จะมีคลื่นที่มากระทบเป็นสีเขียวน้ำทะเลอันเย็นชื่นตา ในขณะที่ความร้อนระอุด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว โมโห ก็จะเป็นคลื่นเฉดสีแสดจนถึงแดงเข้มขึ้น ตามระดับความร้อนแรงเหล่านั้น หรือแม้แต่ความเศร้าหมอง เด็กหญิงก็จะสัมผัสถึงคลื่นเสียงที่คล้ายปรากฏสีหม่นมัวมืดทึบ
ความคุ้นชินต่อเสียงกระซิบของธามผู้ไร้ตัวตน ทำให้ไม่เคยรู้สึกหวั่นกลัวหรือประหลาดใจใดๆ นอกจากสนุกสนาน ที่เขาแวะเวียนเข้ามาเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง แม้แต่ คอยพร่ำเตือนให้ระมัดระวังอันตรายต่างๆที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า...
ปีระกายังจำเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งในชีวิตได้อย่างไม่มีวันลืม นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ยังเรียนอยู่ชั้นประถมสี่
เด็กหญิงกำลังรอคอยผู้เป็นบิดามารอรับในตอนเย็นหลังเลิกเรียนด้วยความกระวนกระวายใจ เกือบหกโมงเย็นแล้ว เมื่อเพื่อนคนอื่นๆพากันกลับบ้านจนหมด ภายในเขตโรงเรียนแห่งนี้จึงเหลือเพียงเด็กหญิงตัวน้อยนั่งรออยู่ข้างบันไดตึก ทำไมวันนี้พ่อยังไม่มาสักที?
หนู... หนู ออกมานี่สิ?
เสียงเรียกเบาจากข้างรั้ว ทำให้เด็กหญิงผู้กำลังเบื่อหน่าย ถึงกับลุกขึ้นมองไปยังต้นเสียงด้วยความสนใจ ด้านข้างโรงเรียนคือประตูรั้วเล็กๆที่มักจะปิดเอาไว้ เพราะเป็นทางเดินเส้นเล็กเชื่อมต่อไปยังถนนใหญ่ หรืออ้อมยังป่าหญ้าคาด้านหลังก็ได้
ด้วยวัยอันบริสุทธิ์สดใส ทำให้ไม่เคยนึกถึงภยันตรายใดๆ โดยเฉพาะผู้ที่ยืนเกาะประตูรั้วเล็กด้านข้าง เป็นสตรีสาวใบหน้าสะสวยชวนมอง
รอคุณพ่อคุณแม่มารับหรือจ๊ะ หนู?
น้ำเสียงนั้นอ่อนหวานอย่างปรานี เด็กหญิงรีบพยักหน้ารับ พูดคุยเสียงแจ๋วอย่างมีอัธยาศัย
ค่ะ คุณพ่อยังไม่มาเลย ปีรอตั้งนานแล้วค่ะ พี่
ชื่อปีเหรอ ชื่อเพราะจัง
ปีระกาค่ะ หนูชื่อปีระกา...
พี่สาวคนสวยยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียบเรียงเป็นระเบียบเหมือนเม็ดไข่มุก มือข้างหนึ่งค่อยๆเปิดประตูรั้วเหล็กที่ไม่ได้ลงกลอนไว้ให้แง้มออกน้อยๆ เสียงรั้วไม้ขึ้นสนิมเสียดสีกันแผ่วเบาเป็นน้ำเสียงแหบพร่าเหมือนเสียงคนแก่
โถ... เย็นป่านนี้แล้ว หนูคงจะหิวล่ะสิจ๊ะ
หญิงสาวแปลกหน้ายิ้มอย่างเอ็นดู แล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋าหยิบช็อคโกเลตแท่งออกมา ซองสีแดงสวยพร้อมรูปการ์ตูนบนหน้าซอง ทำให้เด็กหญิงต้องแอบกลืนน้ำลายลงคอ เพิ่งรู้ว่าตัวเองหิวจนท้องร้องจ๊อกๆแล้วเหมือนกัน
ราวกับรู้ใจเป็นอย่างดี พี่คนสวยยื่นซองขนมตรงหน้ามาให้ ปีระกาท่าทางลังเลอยู่ไม่น้อย ทั้งพ่อและแม่คอยบอกอยู่เสมอ ไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้า แต่ท่าทางพี่คนนี้จะใจดี และเห็นใจอยู่ไม่น้อย
ออกมารับไปสิจ๊ะหนูปีระกา พี่มีอีกตั้งหลายชิ้นแน่ะ จะได้กินแก้หิวไงล่ะคะ
เจ้าตัวนิ่วหน้าเล็กน้อย แล้วยื่นห่อขนมสีสวยออกมาเบื้องหน้า เหลือเพียงแค่ก้าวออกไปรับเท่านั้นเอง
หนู... เอ้อ
แสงแดดเริ่มอ่อนจางลงทุกขณะ เมื่อความมืดครึ้มยามพลบค่ำเลื่อนคลุมลงมารอบบริเวณ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาวที่แสงตะวันอำลาฟ้าได้เร็วกว่าปกติ
ยิ่งเฉพาะในเวลาที่ต่างคนต่างกลับบ้านกันเกือบหมดแล้ว มีเพียงลุงเล็ก ภารโรงชราคนหนึ่งที่คอยดูแลความเรียบร้อยรอบบริเวณ แต่บัดนี้ลุงเล็กก็เดินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้? ปีระกาเอื้อมมือหมายจะลอดผ่านลูกกรงรั้วออกไปรับชิ้นขนมสีสวยเบื้องหน้า โดยไม่ทันสังเกตรอยยิ้มที่มุมปากของพี่คนสวยเจ้าของขนม
ออกมากินข้างนอกด้วยกันดีกว่า พี่ยื่นมือเข้าไปไม่ถนัดน่ะจ้ะ
แต่...
พี่คนสวยโบกขนมในมือไปมา
ประตูก็เปิดอยู่นี่ไงล่ะ แค่ออกมากินด้วยกันยังไงล่ะคะ หนูปีระกา... มานะจ๊ะ มากินเป็นเพื่อนกับพี่ไง
เด็กหญิงจับประตูเหล็กดัดที่เก่าคร่ำเพราะไม่ค่อยได้ใช้งาน สัมผัสเนื้อโลหะที่ขึ้นสนิมจนเขรอะ แล้วแง้มห่างออกไปเรื่อยๆ เพื่อก้าวข้ามประตูออกไป มองเห็นแต่ขนมชิ้นนั้นเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ ถ้าได้ลองชิมสักคำ...
อย่า!
เสียงร้องตะโกนลั่นอยู่ข้างหู ทำให้มือป้อมๆหยุดชะงักงัน
รับไปสิจ๊ะ? น่ากินออกเห็นไหมล่ะ?
รอยยิ้มพี่คนสวยยิ่งเบิกกว้างขึ้นทุกขณะ ปีระกาเงยหน้ามองใบหน้าอีกฝ่ายเพลินจนแทบลืมเสียงเร่งเร้าของธาม สัมผัสถึงคลื่นสีแดงทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆอย่างเร่งร้อน กระวนกระวาย
เดี๋ยวแม่ของเจ้าก็จะมาแล้วนะ ปีระกา รีบกลับเข้าไปรอข้างในตึกเรียน เดี๋ยวนี้!!
ประเดี๋ยวน่า แป๊บเดียวเอง...
ยังไม่วายอิดออด
เดี๋ยววววว นี้นะ ปีระกา!!
เสียงของธามเหมือนแผ่วจางลงไปโดยอัตโนมัติ เมื่อมือเรียวยาวกำห่อขนมเอาไว้แล้วยื่นผ่านเข้ามา ใกล้เสียจนปีระกาแทบจะได้กลิ่นหอมหวานระเหยผ่านซองพลาสติกสีแดงเนื้อมันวาวยั่วใจชิ้นนั้น ด้วยความเป็นเด็ก ปีระกามองเห็นเพียงรั้วเหล็กโปร่งที่กั้นอยู่แค่เอื้อมมือถึง เมื่อพี่คนสวยพยักหน้า เด็กหญิงจึงเปิดประตูแล้วก้าวเท้าข้ามออกไป...
*******************
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ก.พ. 55 19:02:47
|
|
|
|