Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
~PSYCHO FEAR (ปี 2) ....๐ เรื่องที่ 3 : ช่องห่างระหว่างใจ (ครึ่งหลัง)๐..... ติดต่อทีมงาน

ครึ่งแรก
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11705136/W11705136.html

หากท่านใดมีข้อชี้แนะกรุณาบอกกล่าวให้ทราบด้วยนะคะ ยินดีรับฟังทุกคำวิจารณ์ค่ะ ลูกสาว

==========================
เรื่องรักเล็กๆ : ช่องห่างระหว่างใจ love
==========================

(ครึ่งหลัง)

เมื่อบานประตูปิดลงปรีติมาลย์ก็คลานเข้าไปใกล้กับกรวิชญ์ทั้งที่เท้าสองข้างนั้นถูกพันธนาการไว้ หญิงสาวคุกเข่าใกล้กันกับร่างสูงสองมือดึงทึ้งโซ่เหล็กที่คล้องด้วยแม่กุญแจซึ่งมัดผู้เป็นสามีอยู่สุดแรง


“คุณจะสู้เหล็กได้อย่างไรปริม” ชายหนุ่มหัวเราะขัน พยายามสร้างความผ่อนคลายให้กับภรรยาสาว


“กรเป็นอย่างไรบ้างคะ? เจ็บมากหรือเปล่า? ไม่น่าตามปริมมาเลย” ปรีติมาลย์ยกมือลูบไล้ร่องรอยที่โหนกแก้มซึ่งเริ่มบวมขึ้นอย่างแผ่วเบา


“ไม่เจ็บหรอกจ้ะ” สามีหนุ่มยิ้มให้กับภรรยา เป็นยิ้มที่สร้างความชุ่มชื่นหัวใจให้กับหญิงสาวอย่างที่สุด


ผู้เป็นภรรยาปาดเช็ดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาเป็นพัลวัน น้ำตาซึ่งรวมทั้งความหวาดกลัว หวั่นไหว และตื้นตันระคนปนเป


“ปริมพอเถอะไม่ร้องแล้วนะ มาใกล้ๆ ผมนี่ ผมมีอะไรจะบอก” ชายหนุ่มกระซิบกระซาบ หญิงสาวจึงถัดตัวไปใกล้จนชิดอย่างว่าง่าย “ผมซ่อนโทรศัพท์ไว้ที่ถุงเท้า ปริมหยิบออกมาโทรหาคุณพ่อเร็ว”


ปรีติมาลย์ลนลานหยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องเล็กที่ถูกมัดไว้ด้วยเชือกผูกรองเท้าแล้วตลบทับด้วยถุงเท้าสีดำซึ่งกรวิชญ์นั้นสวมอยู่ ความหวังที่จะรอดพ้นจากภยันตรายที่คืบคลานใกล้เข้ามานั้นเรืองรองสดใส หญิงสาวจรดนิ้วลงกดหมายเลขของผู้เป็นบิดาอย่างว่องไวแม้นิ้วเรียวจะสั่นระริกอยู่ก็ตามที รอไม่เท่าไรปลายสายก็รับ


“คุณพ่อคะ คุณพ่อ” ปรีติมาลย์กรอกเสียงใส่โทรศัพท์อย่างร้อนรน


“ปริม ลูก...” ถ้อยคำต่อจากนั้นไม่อาจได้ยินอีกแล้ว เพราะเครื่องมือที่จะช่วยทั้งเธอและผู้เป็นสามีได้นั้นถูกกระชากออกไปทางด้านหลังทันทีที่ประตูเปิดออก


“จะทำอะไรน่ะ! “ ใบหน้าโกรธเกรี้ยว(ถมึ๋ง)ทึงของคนร้ายจ้องเขม็งมายังเหยื่อทั้งสอง


มือกร้านดำกำของที่ฉวยไว้แน่นก่อนจะเขวี้ยงลงที่พื้นไม้ขัดเงาอย่างแรงจนโทรศัพท์เครื่องเล็กนั้นแตกกระจาย ไม่เท่านั้นเขายังกระทืบเท้าลงบนเศษซากชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับครั้งไม่ถ้วนจนมันบี้แบนไม่มีชิ้นดี


ปรีติมาลย์ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงกรีดร้องจากความตกใจ ความหวังของเธอนั้นมลายหายไปพร้อมกับกองวัตถุที่แหลกละเอียดจนมองแทบไม่ออกว่ามันเคยเป็นอะไรมาก่อน


“นี่ผมยังปรานีให้ไอ้หมอนี่อยู่เป็นเพื่อนคุณในคืนนี้ แต่ผมเตือนไว้ก่อนนะ ถ้าคุณยังจะเล่นตุกติกอีกล่ะก็ ผมจะส่งไอ้นี่ไปเฝ้ายมบาลตอนนี้เลย“ ว่าจบชายคนร้ายก็วางจานข้าวกระแทกลงบนพื้น และหยิบปืนออโตเมติกสีดำด้านออกมาจากเอว ขึ้นลำแล้วจ่อปลายกระบอกไปใกล้กับศีรษะของกรวิชญ์ที่นั่งหลังตรง


“อย่า! “ หญิงสาวผวาไปกอดร่างของผู้เป็นสามีไว้แนบแน่นราวกับจะใช้ตัวของเธอเป็นเกราะกำบังให้แก่เขา


“กินข้าวซะ แล้วอย่าทำให้อะไรๆ มันยุ่งยากไปกว่านี้อีก” เขาลดนกและเข้าเซฟก่อนจะเก็บมัจจุราชร้ายไว้ที่เดิมแล้วผละไป  


“กรคะปริมขอโทษ” ปรีติมาลย์ร่ำไห้สะอึกสะอื้น ทั้งเสียใจและละอายใจที่ตนเป็นต้นเหตุให้อับจนหนทางทุกอย่างแล้ว


“ไม่ใช่ความผิดของคุณเลยปริม โชคดีแล้วที่มันไม่ได้ทำร้ายคุณ กลัวมากไหม? แล้วปริมเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? “ ผู้เป็นสามีถามอย่างห่วงใยนึกขัดใจที่ตนไม่สามารถกอดปลอบร่างกายอันสั่นเทาของผู้เป็นดั่งดวงใจได้
“ปริมกลัวค่ะกร กลัวว่าพวกเขาจะทำอะไรคุณ” ปรีติมาลย์สารภาพพร้อมกับสะอื้นฮั่กๆ จนตัวโยน


“ไม่ต้องกลัวนะ เราจะต้องรอดไปด้วยกัน ตอนนี้คุณพ่อกับท่านผู้บัญชาการคงพยายามหาทางช่วยพวกเราอยู่ โทรศัพท์เมื่อสักครู่น่าจะบอกจุดที่อยู่ของพวกเราได้ ปริมใจเย็นๆ นะ” กรวิชญ์พยายามปลอบใจแม้แท้ที่จริงแล้วความเชื่อมั่นนั้นจะริบหรี่สักเพียงใดก็ตาม


“เพราะปริมแท้ๆ กรถึงต้องมาอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแบบนี้ ปริมขอโทษนะคะ” ภรรยาสาวก้มหน้าซบหน้าผากลงบนบ่าของสามีอย่างจะขอพึ่ง


“อย่าโทษตัวเองอีกเลย บางทีหากผมไปที่เขตเร็วกว่านี้คุณอาจไม่ถูกจับตัวมาก็ได้” สิ้นถ้อยคำของชายหนุ่ม หญิงสาวก็ชะงักถอยออกมาราวกับคิดอะไรได้ อะไรบางอย่างซึ่งเขากำลังจะบอกว่าพร้อมที่จะสะบั้นความสัมพันธ์ระหว่างกันให้เร็วขึ้นกว่าเดิม


ปฏิกิริยาที่แปรเปลี่ยนอย่างกะทันหันของผู้เป็นภรรยาทำให้กรวิชญ์รู้ว่าเธออาจตีความหมายในคำพูดของเขาผิดไป แท้ที่จริงแล้วเขาพร่ำโทษตนเองมาตลอดการเดินทางว่า หากเขาไม่มัวอ้อยอิ่งอยู่คงไม่มีโอกาสที่เหล่าคนร้ายทั้งหลายจะจับตัวเธอมาได้ เธออาจรอดพ้นเมื่อไม่ได้อยู่ตามลำพัง หรือหากคนเหล่านั้นยังคิดการอันอุกอาจเขาก็จะใช้ทั้งชีวิตปกป้องเธอ แต่ถึงกระนั้นการแก้ต่างจะสำคัญอะไรในเมื่อเขายอมแล้วที่จะปล่อยเธอไปให้เป็นอิสระ


ปรีติมาลย์ถดตัวออกห่างร่างใหญ่ของกรวิชญ์อีกเล็กน้อย แม้เธอจะคิดว่าชายผู้กำลังจะเป็นเพียงอดีตนั้นไร้ซึ่งความผูกพันต่อตัวเธอแล้ว แต่ทว่าไออุ่นที่แผ่ออกมาจากเนื้อตัวที่เธอแสนคะนึงหาก็ยังจำเป็นต่อเธอดุจดั่งอากาศที่หากจะขาดไปคงต้องแดดิ้น ร่างบางที่ไหวเพราะแรงสะอื้นบางเบานั่งกอดขาวางคางของตนเกยไว้บนหัวเข่า นัยน์ตาเหม่อลอยสิ้นหวังมีม่านน้ำตาฉาบคลออยู่


“ทานข้าวเถอะปริม คุณจำเป็นต้องมีเรี่ยวแรงเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ชายหนุ่มเตือนเสียงเรียบ


หญิงสาวหยิบจานข้าวขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย ดวงตาฉ่ำน้ำก้มมองอาหารตรงหน้าอย่างชั่งใจ มือบางจับช้อนตักไข่เจียวที่โปะอยู่บนข้าวให้พอดีคำ ก่อนที่จะยกขึ้นไปจ่อที่กลีบปากของผู้เป็นสามีแทนที่จะเป็นตัวเธอเอง


“ปริมทานเถอะผมไม่หิวหรอก” กรวิชญ์หันหน้าหนีแม้หัวใจนั้นจะเต็มตื้นไปด้วยความซาบซึ้งในความอาทรที่ผู้เป็นภรรยานั้นมอบให้


“กรเป็นโรคกระเพาะอย่าอดข้าวเลยค่ะ” ปรีติมาลย์ยื่นช้อนเข้าใกล้ปากของเขามากขึ้น


สามีหนุ่มอ้าปากรับอาหารที่ภรรยาสาวบรรจงป้อนให้โดยไม่เกี่ยงงอนอีกต่อไป เขาค่อยๆ บดเคี้ยวคลุกเคล้าข้าวที่อยู่ในโพรงปากอย่างละเมียดละไม ปลายลิ้นรับรู้รสชาติอันแสนจืดชืดทว่ากลับสัมผัสได้ถึงความหวานล้ำอุ่นซ่านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย


กรวิชญ์กลืนกินความปรารถนาดีจากปรีติมาลย์ลงไปทีละคำๆ จนกระทั่งข้าวในจานนั้นพร่องไปเกือบครึ่ง เขาจึงเม้มปากไว้แล้วส่ายหน้า


“อิ่มแล้วเหรอคะ? กรเพิ่งทานไปได้นิดเดียวเอง” ผู้เป็นภรรยาข้องใจ


“ปริมเองก็ต้องทานบ้าง ว่าแต่...นานเท่าไรแล้วนะที่ปริมไม่ได้ป้อนข้าวให้ผมทานแบบนี้? ” ชายหนุ่มหลุดปากรำลึกถึงความหลังอันหวานชื่นซึ่งแทบจะหลงลืมไปแล้วว่าล่วงเลยมาขนาดไหน


“คงนานพอๆ กับที่กรไม่แตะต้องปริมกระมังคะ” ถ้อยคำประชดประชันที่กลั่นออกมาจากความน้อยใจทำให้รอยยิ้มที่เพิ่งแย้มพรายบนใบหน้าของกรวิชญ์นั้นเปลี่ยนเป็นเครียดขึงขึ้นมาในบัดดล


ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีเสสายตามองไปทางอื่น ภรรยาสาวค่อยๆ ตักข้าวขึ้นรับประทานบ้างอย่างเงียบงัน ความห่างเหินอันเย็นเยียบค่อยๆ คืบคลานเข้ามาแทนที่ความอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่เมื่อครู่เสียสนิท ความเหว่ว้าเปลี่ยวเหงาทิ่มแทงทำร้ายปรีติมาลย์อีกครั้ง หญิงสาวกลืนอาหารลงคอพร้อมกับก้อนสะอื้นคำแล้วคำเล่า หยาดน้ำตาร่วงหล่นหยดแล้วหยดเล่าโดยไร้การปลอบประโลมจากผู้เป็นสามี


“กรคะ กรบอกปริมทีว่าปริมทำผิดตรงไหนกรถึงได้ทอดทิ้งปริมอย่างนี้? และอะไรที่ทำให้เราห่างเหินกัน? ” ผู้เป็นภรรยาทิ้งจานข้าวแล้วหันกลับมาเผชิญหน้า ความเปล่าเปลี่ยวไม่อาจเก็บงำไว้อีกต่อไปแล้ว


“กรก็เป็นอย่างนี้เรื่อยเลย ไม่เคยบอกให้ปริมได้รู้แม้กระทั่งในวันนี้ วันที่เรากำลังจะหย่ากัน” หญิงสาวพูดเสียงเบาด้วยความระทดท้อ เหนื่อยล้าเหลือเกินกับการพยายามเข้าไปถึงก้นบึ้งในหัวใจของผู้เป็นสามี


“ปริมน่ารังเกียจขนาดที่คุณยังไม่ยอมมองหน้าเลยเหรอคะ? “ ปรีติมาลย์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ขาดห้วง


“ไม่ใช่อย่างนั้นเลยปริม ผมต่างหากที่น่ารังเกียจ” กรวิชญ์แทรกขึ้นก่อนที่ผู้เป็นภรรยาจะโทษตัวเองไปมากกว่านี้


“หมายความว่าอย่างไรคะกร? “ หญิงสาวสงสัย ดวงตาสุกใสจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีดำนิลอย่างจะค้นหาความจริงที่ซุกซ่อนอยู่


“ผมต่างหากที่น่ารังเกียจ เป็นคนเดินดินไม่เจียมตัวริไปดึงปริมมาตกระกำลำบากด้วย ผมมันน่าสมเพช น่าสมเพชแม้กระทั่งตอนนี้ ดูสิ แค่จะพาปริมหนีไปผมยังไม่มีปัญญาเลย” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะขื่นขมแล้วหลบสายตาด้วยความละอายใจอีกครั้ง


“กรกำลังพูดถึงอะไรอยู่คะปริมงงไปหมดแล้ว? “ ปรีติมาลย์มึนงงไม่เข้าใจในสิ่งที่สามีกำลังพูด


“ผมเคยเชื่อว่าสองมือและสองขาของผมจะตะเกียกตะกายไปจนทัดเทียมกับคุณโดยที่คุณไม่ต้องยอมละทิ้งชีวิตสวยงามแล้วลงมาเพื่อให้พอดีกับผม แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ทำให้ผมตระหนักแล้วว่าเราแตกต่างกันเกินไป และแม้ว่าผมจะตรากตรำทำงานมากขึ้นขนาดไหนผมก็ไม่มีทางมอบข้าวของสวยหรูที่อาจเป็นเพียงเศษเงินสำหรับพวกคุณเพื่อเป็นของกำนัลแด่คุณได้ ผมเจ็บปวดเสมอที่เห็นว่าปริมต้องอดทนทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อผม แล้วมันก็น่าเศร้าเหลือเกินที่ผมไม่สามารถตอบแทนสิ่งที่คุณทำได้เลย สิ่งที่ดีที่สุดซึ่งผมจะทำเพื่อปริมได้อาจเป็นการปล่อยคุณไปตามเส้นทางที่สวยงามอย่างวิถีเดิมของคุณ” ความคิดที่กัดกร่อนจิตใจซึ่งกักเก็บไว้พรั่งพรูออกมาจากปากของกรวิชญ์โดยไม่ปิดบังอีกต่อไป หากว่าชีวิตของเขาจะหาไม่แล้ว เขาก็ลาจากโดยที่ไม่ทำให้ภรรยาต้องค้างคาในสิ่งใดอีก


“แค่รักที่กรมีให้ก็มากมายและมีค่าที่สุดสำหรับปริมแล้ว ปริมไม่เคยอยากได้สิ่งของใดจากกร กรก็น่าจะรู้ดี” หญิงสาวพยายามบอกกล่าว


“ใช่ผมรู้ แต่มันไม่พอหรอกปริม ถึงผมจะรักคุณสุดหัวใจและพยายามเท่าไรมันก็ไม่อาจถมความต่างระหว่างเราให้เท่ากันได้”


“แล้วปริมล่ะ ปริมที่รักกร กรก็สามารถทิ้งไปได้โดยไม่ใยดีอย่างนั้นเหรอ? “ ปรีติมาลย์ตัดพ้อ


“ผมยอมเฉือนเนื้อตัวเองเพื่อความสุขในวันข้างหน้าของคุณ หากการที่คุณไปจากผมจะทำให้ชีวิตของคุณสุขสบายกว่าที่ต้องทนทุกข์อยู่ในบ้านหลังเล็ก ได้ลิ้มลองอาหารรสเลิศไม่ใช่ฝืนกินข้าวแกงถุงจากตลาดในแต่ละมื้อ และเพราะอย่างนั้นถึงผมต้องกลืนเลือดผมก็จะทำ” กรวิชญ์ยังคงยืนกรานเหตุผลของเขา  


“ทำไมกรถึงไม่เข้าใจสักที? ปริมตัดสินใจแต่งงานกับกรเพราะสิ่งที่กรเป็น ทุกสิ่งที่กรว่ามันสวยหรูดูดีนั้นกลับว่างเปล่าสำหรับปริมหากไม่มีความรักจากกร”


“ปริมจะต้องมาทนทรมานอยู่กับผมทำไม? หากคุณมีทางเลือกที่ดีกว่าก็จงทิ้งผมไปเถอะ”


“ก็ในเมื่อปริมเลือกกรแล้ว แล้วทำไมกรถึงยังจะผลักไสปริมไปอีก? “ ผู้เป็นภรรยาเริ่มเสียงดัง


“เพราะผมไม่คู่ควร ตลอดเวลาที่คุณทำหลายสิ่งเพื่อผมมันก็มากมายเกินกว่าที่ผมจะรับไหวแล้ว” ความรู้สึกต่ำต้อยยังไม่อาจจางลงได้โดยง่าย


“ท้ายที่สุดแล้วกรรักหรือเกลียดปริมกันแน่คะ? “ ภรรยาสาวฝืนข่มอารมณ์แล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอีกครั้ง


“ผมรักคุณปริม รักมากกว่าสิ่งใดๆ ทั้งหมด แต่ผมไม่อาจทนเห็นคุณต้องฝืนอีกต่อไปแล้ว...”


“พอแล้วค่ะกร เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” ปรีติมาลย์วางสองมือนุ่มประคองใบหน้าของชายที่รักยิ่งก่อนจะบดกลีบปากของตนลงบนริมฝีปากของผู้เป็นสามีเพื่อหยุดยั้งถ้อยคำที่วนเวียนอยู่เพียงความแตกต่างระหว่างเขาและเธอ คำพร่ำรำพันซึ่งเธอไม่อยากได้ยินอีกต่อไป


รสจุมพิตที่หวานกำซาบซึ้งตราตรึง รอยสัมผัสที่นุ่มนวลละมุนละไม พาเอาดวงใจที่กำลังจะแตกสลายสองดวงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง กรวิชญ์และเล็มชิมความหวานที่แสนคิดถึงอย่างอ้อยอิ่ง รสจูบที่โหยหาจนสุดชีวิตซึ่งไม่ว่าเท่าไรก็ไม่มีวันพอ


เป็นหญิงสาวที่ถอนกลีบปากออกโดยที่ริมฝีปากของผู้เป็นสามียังคงติดตามไปไม่ลดละ เธอจุมพิตเขาอีกหนแต่เป็นจุมพิตที่แตะต้องเพียงบางเบาก่อนที่ปรีติมาลย์จะซุกหน้าลงบนอกของชายหนุ่ม สองแขนที่ไร้พันธนาการของเธอโอบกอดร่างใหญ่ที่ถูกตรึงไว้กับต้นเสาด้วยโซ่เหล็ก กรวิชญ์เอี้ยวคอมากดปลายจมูกลงบนเรือนผมหอมจรุงใจ


“ทั้งๆ ที่เราต่างก็รักกันขนาดนี้แล้วเราจะหย่ากันทำไมคะ? “


“ปริมก็รู้เหตุผลของผมแล้วไงล่ะคนดี” ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงนุ่มหวาน


“เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย และเป็นเรื่องที่ใจร้ายมากสำหรับปริม” ปรีติมาลย์ทำเสียงกระเง้ากระงอด


“ผมขอโทษ แต่คนต่ำต้อยอย่างผมก็มีเหตุผลเพียงเท่านี้”


“เราเสมอกันค่ะกร ความรักทำให้เราเท่าเทียมกัน” หญิงสาวยื่นหน้าขึ้นจูบที่แก้มสากจากไรหนวดของผู้เป็นสามีอย่างออดอ้อน เรียกรอยยิ้มชื่นหัวใจให้ผุดพรายกลบเกลื่อนร่องรอยบอบช้ำที่อยู่บนใบหน้าแทบหมดสิ้น


เมื่อเข้าใจถึงสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างก็เก็บงำไว้ ความห่างเหินเย็นชาที่เคยกางกั้นก็พังทลายลง ความห่างไกลนั้นถูกบีบกระชับเข้าหากันจนไม่อาจมีสิ่งใดมาแทรกกลาง คู่ชีวิตพูดจาออดอ้อนออเซาะกันอีกคราราวกับว่าจะชดเชยที่ปล่อยให้ความหมางเมินเข้ามาหยิบฉวยเวลาอันแสนสุขไปจากดวงใจทั้งสอง


แม้รัตติกาลอันมืดมิดจะทำให้ภายในห้องพักของคนทั้งคู่เหลือเพียงแสงแห่งจันทร์เดือนหงายที่เล็ดลอดมาทางหน้าต่างบานกระทุ้งที่ถูกแง้มไว้ ทว่าเสียงจำนรรจาเจื้อยแจ้วผสานกับเสียงหัวเราะของคู่รักกลับดังแว่วออกมาเป็นระยะโดยราตรีที่ไร้ซึ่งแสงไฟหาได้มีความหมายแต่ประการใด


บรรยากาศอันน่าหวาดหวั่นถูกปัดเป่าออกไปด้วยไอรักที่แผ่ขยายรายล้อมสองร่างที่อิงซบกัน ก่อนที่ความสงบเงียบซึ่งมีเพียงเสียงจิ้งหรีดกรีดปีกดังอยู่ ณ ที่ไกลๆ จะมาเยือนอีกครั้งเมื่อเวลาดึกดื่น  


ใต้ต้นไม้ใหญ่หนาแน่นใกล้กันกับบ้านไม้ที่ขังคู่สามีภรรยาทั้งสองไว้ กองไฟที่เริ่มมอดส่องแสงแดงวาบๆ ตามแรงลมเอื่อยที่พัดผ่าน เปลญวนซึ่งผูกโยงที่โคนต้นยางพารากำลังแกว่งไกว ร่างใหญ่ที่เป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ ในชุดพรางนอนอยู่โดยใช้ผ้าขาวม้าปัดไปมาตามลำตัวเพื่อขับไล่ยุงร้าย บนใบหน้านั้นเหยียดยิ้มกว้าง


“...ความรักศักดิ์ศรี รักไม่มีพรหมแดน รักไม่มีศาสนา  แม้นใครบุญญา ได้ครองกันมา พรหมลิขิตพาชื่นใจ...”[๑]  ริมฝีปากหนาขยับเป็นเพลงบุพเพสันนิวาสเพียงแผ่วๆ ให้ได้ยินแต่ผู้เดียวอย่างอารมณ์ดี


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

รุ่งเช้าที่นกน้อยบินมาขับขานบทเพลงเสนาะหูที่ริมหน้าต่างปลุกปรีติมาลย์ที่นอนคุดคู้หนุนศีรษะอยู่บนตักของผู้เป็นสามีให้ลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้าๆ พื้นกระดานแข็งๆ ซึ่งใช้เป็นที่นิทราตลอดทั้งคืนทำให้เธอนั้นปวดเมื่อยเนื้อตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หญิงสาวเขย่าที่ขาของกรวิชญ์เพื่อเรียกให้เขารู้สึกตัว


“กรคะ ตื่นเถอะค่ะ” ผู้เป็นภรรยาเรียกเสียงเบา


แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะหายจากความง่วงงุนบานประตูก็ถูกเปิดออกเสียงดัง ชายฉกรรจ์ร่างทะมึนสี่คนตรงรี่เข้ามาถึงตัวคู่สามีภรรยาทั้งสอง ชายคนหนึ่งฉุดร่างของปรีติมาลย์ให้ลุกขึ้นในขณะที่ชายอีกคนย่อลงไขกุญแจที่คล้องกับโซ่ซึ่งพันอยู่กับข้อเท้าของเธอออก ส่วนชายอีกสองคนที่เหลือคนหนึ่งสาดน้ำจากกระบอกโลหะเข้าใส่ใบหน้าของกรวิชญ์โดยที่อีกคนหนึ่งจับศีรษะของเขาให้เงยขึ้น


“เอ้า! มีอะไรจะสั่งเสียไหม? “ ชายที่ในมือถือกระบอกน้ำแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม


กรวิชญ์ทอดสายตามองนวลหน้าของภรรยาสาวที่ซีดขาวราวกับกระดาษและมีหยาดน้ำเต้นระริกฉาบอยู่บนดวงตาที่ตื่นตระหนก


“ขอให้ปริมมีชีวิตที่งดงามตลอดไปนะจ๊ะ“ กลีบปากที่เอ่ยเอื้อนคำลาแด่ผู้เป็นที่รักยิ่งคลี่ยิ้มอย่างที่จะให้เธอนั้นตราตรึงไว้ ว่าภาพสุดท้ายในความทรงจำคือใบหน้าอิ่มเอมสุขใจของเขา


“ไม่ยักกะบอกรักแฮะ” ชายคนร้ายที่คุกเข่านั่งบนส้นเท้าใกล้กับกรวิชญ์พูดขึ้นด้วยสีหน้าแปลกใจ


สามีหนุ่มหลุบตาลงซ่อนแววอันขื่นขมที่กำลังจะพรากจากภรรยาสุดที่รักโดยไม่มีวันหวนคืน ริมฝีปากขบเม้มแข็งใจกักเก็บความในใจไว้จนแน่น หากปาฏิหาริย์ที่เขาภาวนาขอตลอดทั้งคืนไม่อาจเป็นจริงได้ คำรักที่เป็นบ่วงร้ายซึ่งจะผูกมัดเธอไปจนชั่วชีวิต เขานั้นไม่มีวันปล่อยให้มันหลุดรอดออกจากปากไป


“ไปได้แล้ว! “ ชายสองคนที่คุมตัวตัวปรีติมาลย์ลากร่างบางให้ตามติดออกไป


“ไม่นะ! ปล่อยเขาด้วย ปล่อยเขาออกไปกับฉันด้วย ได้โปรด อย่าฆ่าเขาเลย ได้โปรดเถิดนะ” หญิงสาวกรีดร้องอ้อนวอนพร้อมกับร่ำไห้อย่างน่าเวทนา หญิงสาวดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิตเพื่อให้หลุดออกจากการรัดรึง แต่เรี่ยวแรงของเธอก็หาอาจต่อกรกับชายกำยำทั้งสองที่ตรึงลำแขนของเธอไว้ได้ไม่


ปรีติมาลย์ถูกหิ้วลอยออกมาจากบ้านไม้ที่เธอถูกกักขังไว้ทั้งคืน พ้นมาได้ไม่เท่าไรพญามัจจุราชก็ส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ราวกับจะหยุดนิ่ง ความว่างเปล่าขาวโพลนบังเกิดอยู่ในหัวสมองของหญิงสาว ร่างบางเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นก้อนน้ำแข็งที่พร้อมจะแตกหักสูญสลายเพียงแค่แรงกระทบบางเบา ความหนาวเหน็บสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย ก้อนเนื้อที่กลางอกดั่งถูกปลิดออกไปพร้อมกันกับเสียงปืนที่แผดปะทะโสตประสาท


เสียงฝูงนกตีปีกโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าฉุดหญิงสาวให้หลุดออกมาจากภวังค์ ปรีติมาลย์สะบัดแขนทั้งสองข้างสุดแรงและก็เป็นผลเมื่ออุ้งมือกร้านนั้นเผลอปล่อยให้เธอหลุดออกจากการเกาะกุม สองเท้าของเธอวิ่งกลับไปยังบ้านไม้ที่เพิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต มือบางผลักบานประตูเข้าไปอย่างแรง แล้วภาพที่ปรากฏให้เห็นก็ทำให้เธอรู้ซึ้งว่าหัวใจสลายนั้นเป็นเยี่ยงไร


กรวิชญ์ที่ก้มหน้าคอพับคออ่อนและมีชายคนหนึ่งย่อตัวอยู่ด้านข้างโดยมือหนึ่งเอียงศีรษะของเขาไปมา ภาพชายตัวใหญ่อีกคนยืนค้ำหัวผู้เป็นสามีของเธอโดยในมือนั้นกำปีศาจร้ายสีดำด้านไว้ก่อนจะเก็บเข้าที่เอวทำให้น้ำตาของเธอไหลทะลัก ปรีติมาลย์หวีดร้องพร้อมกับกระโจนเข้าหาร่างไร้สติของชายอันเป็นที่รักในเวลาเพียงเสี้ยววินาที


“ฆ่าเขาทำไม!? ฆ่าเขาทำไม!? “ ผู้เป็นภรรยากอดรัดร่างที่ยังคงถูกตรึงอยู่กับต้นเสาไว้แน่น


ชายทั้งสองไม่เสวนาด้วยแต่ต่างคนก็ต่างผละจากไป


“ฆ่าฉันด้วย ยิงฉันให้ตายอีกคน ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา ได้โปรด...ฆ่าฉันที ฆ่าฉันสิ กรฟื้นสิ ตื่นมาคุยกันก่อน กรคะเรายังมีเรื่องมากมายที่ยังไม่ได้ทำร่วมกันนะคะ ไหนคุณบอกกับปริมเมื่อคืนว่าจะชดเชยเวลาที่เสียไปให้กับปริมไม่ใช่เหรอ กร กรอย่าทิ้งปริมไปแบบนี้...กร” ปรีติมาลย์เปลี่ยนน้ำเสียงที่กล่าวหาเป็นอ้อนวอนโหยไห้ ร่างบางสั่นไหวจากการสะอื้นที่รุนแรง ฝ่ามือบางเขย่าร่างที่แน่นิ่งอย่างจะให้ฟื้นคืน


เสียงฝีเท้ากระทบลงบนพื้นไม้ซึ่งไกลห่างออกไปเรื่อยๆ ราวกับจะปิดตายความหวังที่จะได้ติดตามไปพบเจอกับชายผู้เป็นดั่งดวงใจของเธออีกหน ภรรยาสาวคู้ตัวซบลงที่หัวเข่าที่พับกึ่งขัดสมาธิของสามีร้องไห้โหยหวน สองแขนโอบรอบเอวของชายคนรักซึ่งไร้การไหวติง


สรรพสิ่งดูเหมือนจะสิ้นสุดลงด้วยความร้าวรานที่ปรีติมาลย์ต้องเผชิญในการจากไปของกรวิชญ์ จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงย่างก้าวของคนสองคนใกล้เข้ามาอีกครั้ง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นด้วยหัวใจที่เริงร่าอย่างยินดี ความหวังที่กำลังดับแสงนั้นคุโชนขึ้นอีกหน แม้ว่าเป็นความปรารถนาอันน่าสิ้นหวัง ที่เธอจะวอนขอให้ถูกคร่าชีวิตตามผู้เป็นสามีไปก็ตาม


“ปริม” น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจที่เธอคุ้นเคยทำให้ปรีติมาลย์ต้องเหลียวหลังไปหาอย่างรวดเร็ว


“คุณพ่อ... พี่ปราบ...” หญิงสาวครางราวกับละเมอเมื่อพบกับผู้เป็นบิดาและพี่ชายซึ่งเดินเข้ามาหาช้าๆ พร้อมๆ กัน


ความรู้สึกที่ตีวนราวกับพายุร้ายอย่างไม่ปรานีภายในกายจนร่างบางแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ นั้นไม่อาจเปิดปากให้เอ่ยถ้อยคำใดออกไปได้ ปรีติมาลย์ทำได้เพียงโหยไห้ปริ่มจะขาดใจต่อหน้าบุคคลทั้งสองพร้อมกับฟุบตัวลงบนตักของผู้เป็นสามีอีกครา...


===========================================


[๑]  บุพเพสันนิวาส คำร้อง : สุรัฐ พุกกะเวส ,ทำนอง : เวส สุนทรจามร

 
 

จากคุณ : กาแฟเย็นเพิ่มช็อต
เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 15:25:57




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com