>>>ตำนานรักลำน้ำไนล์<<< บทที่ 7
|
 |
บทที่ 7 เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ซาอิดผู้เป็นนายกองแห่งอียิปต์ออกตามหาราชินีแคโรลีนตามพระบัญชาไปทั่ว สายตาคมกริบมองชัยภูมิไปรอบ ๆ จนกระทั่งพบเบาะแสว่ามีกองกำลังที่น่าสงสัยเข้ามาป้วนเปี้ยนตามแถบชายแดนมากเป็นพิเศษ บาดแผลเป็นริ้วรอยจากของมีคมเต็มใบหน้า ทำให้บรรดาลูกน้องที่ติดตามมาอีกนับร้อยคนนึกยำเกรงและนับถือในฝีมือการรบ มันเป็นตราเกียรติยศที่บ่งบอกความกล้าหาญเก่งกาจได้ดีกว่าชื่อตำแหน่งนัก
“ตามหาทางนี้ล่ะถูกต้องแล้ว ร่องรอยบ่งบอกว่ากองกำลังของฮิตไทต์มาทางนี้ เศษลูกธนูที่พวกเจ้านำกลับมาให้ข้าดูนั่นมันเป็นของลวง ข่าวจากเมืองหลวงมีว่าอย่างไรบ้าง?”
“ฟาโรห์และราชินีเพิ่งจะส่งเสด็จกษัตริย์นาร์ตุสและเจ้าหญิงคาฟลากลับไปขอรับ”
ใบหน้าของนายกองหนุ่มปรากฎรอยยิ้มสะใจ เขาก็เป็นอีกหนึ่งคนที่รู้ว่าราชินีในเวลานี้เป็นคนละคนกับที่เขาต้องทุ่มกำลังตามหา เขาอธิบายภารกิจแก่เหล่าทหารเพียงสั้น ๆ ว่าเพื่อตามล่าขบวนเสด็จของเจ้าชายอิสมิล ซาอิดมั่นใจว่าชายผู้นี้เป็นคนลักพาตัวพระนางน้อยไป หรือถ้าพลาดหวัง อย่างน้อยก็ฆ่าศัตรูเพื่อถวายแด่ใต้ฝ่าพระบาทก็คุ้มแล้ว
“ดี! ตระเวนถามชาวบ้านแถวนี้ให้ทั่วว่าเคยพบธิดาแห่งไนล์ หรือเคยเห็นกลุ่มทหารฮิตไทต์ผ่านมาแถวนี้บ้างหรือไม่?”
“ตะแต่ข้าน้อยสงสัยเหลือเกิน ธิดาแห่งไนล์ก็ทรงกลับคืนสู่ธีปส์แล้ว ฝ่าบาทก็ทรงทะนุถนอมอย่างดี ข้าเห็นกับตาว่าทรงไปรับราชินีที่หมู่บ้านชาวประมงด้วยองค์เอง ไยต้องตระเวนถามข่าวคราวไปทั่วไม่ได้หยุดอีก?” ฝ่าเท้ายันโครมเข้ายอดอกนายทหารชั้นผู้น้อยช่างปากมากทันที ส่วนพวกที่ยังคิดสงสัยต้องหลบสายตากร้าวกระด้างกันพัลวัน
“อย่าสอดรู้เรื่องของเบื้องบน ทรงมีรับสั่งให้ถามหาข่าว ต่อให้ต้องคุยกับแพะ เจ้าก็ต้องแปลถวาย จำเอาไว้!”
พลันมีกลุ่มลูกน้องที่เขาส่งไปลาดตระเวนที่แนวป่าแถบนี้ควบม้ากลับมาแล้ว สีหน้านั้นยิ้มแย้มยินดีมาแต่ไกลจนซาอิดคิดว่ากำลังจะมีข่าวดีกลับไปถวายฟาโรห์ เสียงท่านนายกองจึงร้องตะโกนถามดังให้ได้ยินแต่ไกลและขึ้นม้าเตรียมพร้อมทันที แต่ทว่าไม่ง่ายเช่นนั้น
“มีเรื่องอันใด หัวเราะกันมาแบบนี้ พบเจอธิดาแห่งไนล์รึ?!”
“ฮ่าฮ่า เมาแดดแล้วรึขอรับท่านซาอิด ธิดาแห่งไนล์ก็ต้องประทับอยู่กับฟาโรห์สิท่าน ดูก่อนเถิดว่าพวกข้าน้อยพาใครมาด้วย!”
เหล่านายทหารอียิปต์หรี่ตามองตามที่นิ้วชี้ พวกเขาก็พบชายหนุ่มที่คุ้นเคยกันดี ซาอิดร้องอุทานและหัวเราะร่า พลางกระโดดลงจากม้าเข้าไปสวมกอดผู้มาใหม่ กาซิมผู้ทำหน้าที่จารชนสองหน้าแกล้งทำทีเป็นพบกับกลุ่มทหารสังกัดของซาอิดโดยบังเอิญ ถือว่าโชคเข้าข้างที่ทำให้การนำแคโรลีนกลับคืนสู่ราชสำนักอียิปต์ง่ายดายขึ้น
“เจ้าไปไหนมา ตั้งแต่เกิดเรื่องธิดาแห่งไนล์เสด็จกลับแม่น้ำครานั้น เจ้าก็หายไปเลย พวกข้าก็ยังคอยถามถึง”
“ข้าก็เสียใจที่ช่วยพระนางน้อยไว้ไม่ทัน จึงได้ออกเดินทางติดตามข่าวคราวธิดาแห่งไนล์ไปทั่ว ดีจริงๆที่ได้พบกันนะซาอิด แต่ข้ามั่นใจว่าพระองค์จะต้องอยู่บริเวณใกล้ๆนี้แน่ ออกตามหาธิดาแห่งไนล์กันโดยเร็วเถิดซาอิด”
ทว่ากาซิมตกใจเมื่อฝ่ามือหยาบกร้านสกปรกพุ่งเข้ามาอุดปาก นายกองใหญ่เหลียวซ้ายแลขวาแล้วจ้องเขม็งใส่ ทิ้งให้สายลับหนุ่มงงงันท่ามกลางเสียงหัวเราะเฮฮา เพื่อนทหารต่างก็ชี้นิ้วขำใส่กาซิมที่มัวแต่งมโข่งอยู่ในดงรกร้างแห่งใดจึงไม่ทราบข่าวอะไรบ้างเลย
“กาซิมเอ๋ย เจ้าเป็นองครักษ์อารักขาใกล้ชิดราชินีแคโรลีนประสาอะไรวะ ทรงกลับมาตั้งนานแล้วก็ยังไม่รู้อีก ตอนนี้ฟาโรห์ทรงยินดีมาก แถมมีข่าวแจ้งมาว่าธิดาแห่งไนล์ทรงตะเพิดไอ้พวกนูเบียไปจนเกลี้ยงเลยด้วยซ้ำ”
“ธิดาแห่งไนล์?... ก็ทรง?”
กาซิมสับสนและไม่เชื่อคำพูดอีกฝ่ายเลย ซาอิดจึงเริ่มหมดความอดทนและเบื่อที่จะต้องปกปิดอีก อีกทั้งคนตรงหน้าก็คือคนสนิทแห่งราชินีซึ่งพิสูจน์ตนเองหลายครั้งแล้วว่ายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเจ้านาย เขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะโกหกกันอีกแล้ว
“เงียบ! หยุดหัวเราะใส่กาซิมได้แล้ว จงฟังคำที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ให้ดี ราชินีที่เจ้าเห็นคือ นายหญิงมาเรีย ทรงเป็นฝาแฝดกับธิดาแห่งไนล์ ท่านรับปากว่าจะช่วยตบตาอาณาจักรอื่น ๆ ในขณะที่พวกเรากำลังตามหาราชินีตัวจริงให้กลับคืนมา เข้าใจสาเหตุแล้วรึไม่เจ้าพวกโง่!”
สิ้นเสียงคำรามทั้งน้ำตา เหล่าทหารหาญทั้งหลายจึงพรักพร้อมฮึกเหิมบนหลังม้าทันที เพียงแค่ได้ยินว่าเจ้าชีวิตทรงตกอยู่ในอันตราย เลือดขุนทัพก็เดือดพล่าน ต่างมุ่งตรงออกตามหาแคโรลีนกันทันควัน พวกเขารู้แล้วว่าทำไมท่านนายกองซาอิดต้องอึกอักและแกล้งเฉไฉ คำตอบก็คือความมั่นคงของชาติต้องสำคัญอันดับหนึ่งนั่นเอง
แต่ทว่าร่างกายของกาซิมกลับเย็นเฉียบ หัวสมองมึนงงไปหมด ธิดาแห่งไนล์มีสองคน ถ้าเช่นนั้น ความรักของเจ้าชายก็อาจมีหวังได้เติมเต็มอีกครั้งแล้ว
“ธิดาแห่งไนล์... ธิดาแห่งไนล์อยู่ที่ไหน โปรดตอบด้วย” เมื่อมาถึงบริเวณที่กาซิ มคะเนไว้ว่าแคโรลีนต้องระหกระเหินมาถึงแน่นอน เขาจึงแกล้งป้องปากตะโกนเรียก แล้วชะลอขบวนให้ช้าลง เสียงที่คุ้นเคยกระตุ้นให้แคโรลีนค่อย ๆ โผล่ออกมาจากที่ซ่อน เมื่อได้รู้แล้วว่าใครเรียกก็ปิติยินดีจนร้องไห้ยกใหญ่
“ซาอิด! กาซิม! ฮือ... เป็นพวกท่านจริงๆด้วย ขอบคุณสวรรค์”
“โอ เทพอามอน-ราห์ทรงคุ้มครอง เทพคเนมูทรงพิทักษ์รักษา ธิดาแห่งไนล์ ...ทรงปลอดภัยดีใช่หรือไม่? สีพระพักตร์ดูอ่อนแรงเหลือเกิน”
ทั้งหมดต่างกุลีกุจอเข้าไปหมอบแทบเท้าราชินีผู้อ่อนโยนด้วยความเปี่ยมสุขเหลือจะเอ่ย ผู้ชายตัวใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นอย่างซาอิดก็ยังร่ำไห้เหมือนเด็ก แคโรลีนส่งมือให้ทุกคนนำไปวางทูนที่เหนือศีรษะ แล้วรับน้ำและอาหารร้อน ๆ มาทานดับความหิวโหย เธอมีกำลังใจและยิ้มกว้าง แม้แต่กาซิมก็เพิ่งจะเห็นเธอยิ้มในรอบหลายวัน
“ธิดาแห่งไนล์... ทรงฟังกระหม่อมให้ดี ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทรงได้ยินได้ฟังมานั้นเป็นเรื่องลวงโลกของเจ้าฮาตูห์กับเจ้าหญิงคาฟลา องค์เรมอสมิเคยมีผู้ใดนอกจากพระองค์ ในตอนนี้ทรงวิปโยคยิ่งนัก”
น้ำตาของคนที่โง่ที่สุดร่วงพรูเป็นสาย ความจริงที่ถูกบิดเบือนได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว หากในตอนนั้นเธอเข้มแข็งกว่านี้ก็คงไม่ต้องทำร้ายตัวเองและคนที่เธอรัก ทั้งเจ็บปวดทุรนทุรายยามเผลอร้องละเมอหากัน เธอดูถูกความรักอันบริสุทธิ์ที่ทรงมอบให้ แล้วยังหวาดระแวงจนทอดทิ้งอีกฝ่ายด้วยความเห็นแก่ตัว
“แล้วตอนนี้เรมอสสบายดีหรือเปล่าจ๊ะ?”
“ขอรับ พระพี่นางมาเรียของพระองค์ก็ได้ตามเสด็จมาประทับอยู่ธีปส์ ตอนนี้ก็กำลังรอคอยให้ธิดาแห่งไนล์กลับไป ท่าทางร้อนใจนักขอรับ”
“พี่มาเรียน่ะหรือ?” น้องสาวคนเล็กของตระกูลฮิลตันสับสน ความรู้สึกปนเปทั้งดีใจและอยากพบพี่ รอยยิ้มสดใสเริ่มสลดลง ด้วยเพราะวังวนแห่งความยุ่งเหยิงในยุคโบราณกาลที่เธอได้ประสบนี้ไม่น่าพิสมัยเลย
“รีบกลับกันเถิดจ๊ะ เราอยากกลับไปหาเรมอส อยากกลับอียิปต์ อยากขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มีบางอย่างที่เราอยากบอกเรมอสเร็ว ๆ”
ซาอิดหมอบกราบพลางประคองส่งราชินีขึ้นม้าตัวเดียวกับกาซิม แล้วเดินทางมุ่งหน้ากลับคืนสู่เมืองหลวงแห่งแดนไอยคุปต์ แม้หนทางจะอีกยาวไกล แคโรลีนก็กัดฟันสู้ เมื่อเทพราห์ขึ้นตรงกลางศีรษะ แต่ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มร้องครั่นครืน เมฆเริ่มโปรยละอองฝน นายกองอียิปต์จึงบ่ายหน้าเข้าพักยังวังที่ประทับริมทะเลแห่งความตาย เหล่าม้าต่างเงียบเสียงราวกับสั่นกลัวอะไรบางสิ่ง
ราชวังศิลาแกรนิตสูงตระหง่านคล้ายป้อมปราการ ไอเกลือเข้มข้นจากทะเลเดดซีจับอยู่ตามพื้นหินและริมขอบกำแพง วังแห่งนี้จึงอัปลักษณ์ในสายตาหลายคน แต่แคโรลีนตื่นเต้นสนุกสนานที่จะได้สัมผัสอารยธรรมโบราณ ผิดกับสายตาเคืองแค้นเต็มไปด้วยจิตพยาบาทที่จับจ้องขบวนผู้มาเยือนจากบนเชิงเทินสูง
“เปิดประตู! เชิญให้มันเข้ามา”
เมเรสเยื้องกรายเงียบกริบพลางหลับตาลงข่มอารมณ์รุนแรง กลิ่นกำยานที่ฉุนรุนแรงตลบอบอวลไปทั่วโถงใหญ่ เป็นการจุดเพื่อบูชาพญางูอโพพิสศัตรูตัวฉกาจของเทพเจ้าราห์ ทำให้ผู้มาเยือนใจสั่น
พลันทุกคนก็สะดุ้งเฮือกจนตัวไหว เมื่อประตูหินหนักนับพันชั่งทิ้งตัวลงปิดทางเข้าออกจนหมดสิ้น ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง บรรยากาศมืดสลัววิเวกและเหม็นอับก็ชวนให้ใจสั่น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น เรียกความสนใจจากกลุ่มผู้หลงกลติดกับให้หันกลับไปมอง
“นาฟเทล่า! โอ... ไม่ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“มะหม่อมฉันเสียใจที่ทรงหายตัวไปเพคะ ...อะโอย จึงชักชวนเพื่อนนางกำนัลออกตามหาท่าน ตะแต่”
แคโรลีนถลาไปหาหญิงชราที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดทันที พระอภิบาลของยุวกษัตริย์และเจ้าหญิงไอยคุปต์ถูกทุบตี เพียงเพราะนางเอ็นดูและค้ำชูให้องค์เรมอสได้สมหวังในรักกับแคโรลีน กาซิมจึงชักกริชออกมาสู้ทันทีที่ร่างหนั่นงามแฝงไออำมหิตก้าวออกมาจากมุมมืด
“ยินดีต้อนรับ นังสารเลวแคโรลีนจากโลกอนาคต”
“ท่านเป็นราชินีบาบิโลเนีย ไยจึงล่วงล้ำเข้าแดนอียิปต์โดยไม่แจ้งล่วงหน้า ท่านคิดจะยึดชิงดินแดนให้พระสวามีงั้นหรือ... โอ๊ย” แคโรลีนรู้สึกเจ็บที่ใบหน้าทันที ทั้งที่ไม่มีอะไรเข้ามาใกล้ ความกลัวจึงเริ่มกัดกินหัวใจเมื่อได้สบตาเมเรส
“เจ้ามันโง่! โง่เง่าเบาปัญญา เจ้าคิดว่าทุกวันนี้ได้ชูคอเป็นราชินีอียิปต์เพราะใครกัน มิใช่เมเรสคนนี้หรอกรึที่นำตัวเจ้ามาเสวยสุขบนทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของข้า!” นางเกรี้ยวกราด พลางแผดเสียงใส่ ทว่าแคโรลีนก็เริ่มโกรธเช่นกัน
“เมเรส! คนเห็นแก่ตัวเช่นท่านช่างเลือดเย็น โหดเหี้ยมและจิตใจคับแคบยิ่งนัก แล้วใครกันเล่าที่อ้อนวอนขอให้ส่งตัวแคโรลีนคนนี้กลับบ้าน!”
“แต่ข้าต้องถูกสังเวย ต้องตกนรกอยู่ที่บาบิโลเนียทั้งเป็น เจ้าเป็นคนบอกให้เรมอสส่งข้าไปอภิเษกกับไอ้คนทุเรศเอดินสินะ”
เจ้าหญิงโฉมงามจากไอยคุปต์นึกขยะแขยงเอดินนัก แม้กษัตริย์แห่งบาบิโลเนียทรงมีศักดิ์และรูปโฉมไม่น้อยหน้าใคร วาจาก็สุภาพอ่อนหวาน ช่างเอาอกเอาใจยามมาเฝ้าขอความรัก แต่ใครจะรู้เบื้องหลังว่าทรงวิปริตในกาม เมื่อผ่านคืนวิวาห์ไปได้ไม่ถึงสัปดาห์ เมเรสที่นอนยิ้มรอฟังข่าวจากนักฆ่าที่ส่งไปสังหารแคโรลีนระหว่างทางกลับก็ต้องพบขุมนรก ชีวิตลูกผู้หญิงต้องพังทลาย แคโรลีนจึงพยายามยิ้มหวานให้แล้วค่อย ๆ ถอยหลบไปอยู่หลังแนวทหาร
“เมเรส... ท่านควรจะเลิกโกรธเกลียดเราได้แล้ว พระเจ้าทรงสอนไว้ว่าทุกคนควรมอบความรักให้แก่กัน”
“เจ้ากล้าพูดเรื่องความรักต่อหน้าข้างั้นรึนังแคโรลีน เช่นนั้นจงรับความรักของข้าไว้เสียเถิด!”
“ถอยออกมาขอรับ ...นั่นนางปีศาจสฟิงก์!” แม้ซาอิดจะบ้าบิ่นและมีวีรกรรมสงครามโชกโชนแค่ไหน แต่ก็ขลาดกลัวไม่ต่างจากทหารชั้นผู้น้อยที่ถอดใจวิ่งหนี ดาบในมือชื้นเหงื่อยกขึ้นป้องกันธิดาแห่งไนล์ไว้สุดชีวิตพลางถอยกรูด ในขณะที่เหล่าลูกน้องของเขากำลังถูกกัดกินไปทีละคน
“ตื่นสักทีนังโง่! ข้ายอมแต่งกับมันก็เพราะเงื่อนไขเพียงข้อเดียว ขอให้ทรงช่วยปลิดชีพของเจ้าทิ้งอย่างไรเล่า!”
แคโรลีนคิดว่านี่จะต้องเป็นเรื่องบ้าไปแล้ว ที่ผ่านมาเธอเคารพและให้ความนับถือหญิงอมนุษย์ ผิวเนื้อสีน้ำผึ้งสวยเริ่มปริแตก ปรากฏเป็นเกล็ดงู ส่วนลำตัวท่อนล่างเป็นสิงโต ใบหน้าคมสวยเด่นของเมเรสบวมขยายจนน่าสังเวช การใช้พิษและอุทิศตนถวายแด่ความอาฆาตแค้น ทำให้เจ้าหญิงโฉมงามยอมทำพันธสัญญากับพญาอสูรอโพพิส ความวิบัติจึงบังเกิดทั้งแก่ตนเองและผู้คนรอบข้าง “อสูรสฟิงก์ตามตำนานเป็นคนละพวกกับเทพสฟิงก์แห่งฮาร์มาคิสขอรับ มันเป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำ ต้องอาศัยอยู่ในเงามืดของคนที่มันสิงสู่”
นางอสูรร้ายถูกส่งมาเพื่อท้าทายเหล่าปวงเทพและขัดพระทัยมหาเทพสูงสุด เมเรสจะต้องคอยดักกินคนยากไร้หมดหวังในชีวิตเพื่อดูดความทุกข์และความเศร้าเพื่อแลกเปลี่ยนกับพลังอำนาจ ยามค่ำคืนก็โฉบบินไปเกาะตามบ้านที่โชคร้าย แล้วชักชวนแกมบังคับให้ผู้คนต้องตอบปริศนาที่ยากมากข้อหนึ่ง แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่มีใครตอบได้ ซากศพจึงกองพะเนินสูงขึ้นและกลืนกินวิญญาณไป
เมเรสกรีดร้องแหลมสูงราวกับภูติผีตายโหง ลูกตาแดงก่ำเป็นสีเลือด นางสฟิงก์ไล่ต้อนจนทหารพากันหนีตาย นางใช้กรงเล็บจิกกระชากเนื้อออกมาบดขยี้ทีละคน หญิงสาวผู้อ่อนโยนและเห็นคุณค่าในทุกชีวิตจึงทนไม่ได้อีกต่อไป
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเมเรส! หากเธอยังมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่บ้างก็หยุดเถิด” แคโรลีนจ้องสบดวงตาสีแดงดั่งเลือดนั้นตรงๆ นางปีศาจเมเรสที่ทำอันตรายได้แต่คนไร้กำลังใจก็กัดกินวิญญาณสูงส่งนี้ไม่ได้
“งั้นมาลองเล่นเกมตอบคำถามสนุก ๆ กันหน่อยไหมล่ะ? ง่าย ๆ เพียงนิดเดียว” “อย่านะพ่ะย่ะค่ะ อย่าหลงกลมันเด็ดขาด ตอบก็ตาย ไม่ตอบก็ตาย คำถามนั่นอาจจะไม่มีคำตอบ ปีศาจเจ้าเล่ห์ก็ต้องการชีวิตของเราเท่านั้น!”
“ถูกต้อง! ตอบผิดก็ตาย ไม่ตอบก็ต้องตาย ยุติธรรมดีไหมล่ะ” ค่าตอบแทนที่ซาอิดบังอาจพูดแทรกขึ้นมาก็คือ กรงเล็บฉีกเข้าเนื้อเป็นทางยาว แคโรลีนจึงยิ่งทวีความโกรธ
“สัญญากับเราก่อนว่า ถ้าเราตอบผิด เจ้าจะฆ่าแกงเราอย่างไรก็เชิญ แล้วปล่อยทุกคนไป จากนี้เจ้าจะต้องเนรเทศตัวเองไปอยู่ที่อื่น จะกลับมาปรากฎตัวทำร้ายผู้คนอีกไม่ได้เด็ดขาด!” นางอสูรแสยะยิ้มและตอบตกลง แต่กาซิมและซาอิดรู้ดีว่ามันปลิ้นปล้อน...
“สัตว์อะไร มีชื่อเรียกอย่างเดียวกัน แต่มีรูปร่างต่างกัน บ้างก็มีสองขา บ้างมีสี่ขา และบ้างก็มีเพียงสามขาเท่านั้น เป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวที่สามารถเคลื่อนที่ได้หลายแบบ เปลี่ยนไปตามธรรมชาติ ขึ้นบกก็แบบหนึ่ง ทะยานขึ้นสู่อากาศก็แบบหนึ่ง และลงทะเลก็อีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าเคลื่อนไหวแบบสี่ขาจะช้าที่สุด”
มันหัวเราะก้องกังวานเมื่อได้เห็นสีหน้าสับสนของแคโรลีน และรู้สึกสาแก่ใจเป็นที่สุด เมเรสจินตนาการล่วงหน้าแล้วว่าจะควักก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจออกมาเต้นนอกร่าง จากนั้นก็ค่อย ๆ กรีดใบหน้า แล้วรอเวลาที่แคโรลีนสิ้นหวังถึงขีดสุดและชิมความหอมหวานของวิญญาณแสนอร่อย ‘เยี่ยมที่สุด’
แคโรลีนกำลังมึนงงและคิดหนัก และแล้วแสงเรืองรองก็เจิดจ้าขึ้นในห้วงลึกแห่งจิตใจ
“เมเรส... เธอจำศิลาอาถรรพ์ที่เราทำตกแตกได้หรือไม่?” ดวงเนตรสีฟ้าส่องประกายแน่วแน่ โดยไม่หวั่นไหวใดๆทั้งสิ้นอีกแล้ว
“มันไม่มีทางสะกดข้าได้อีกแล้ว เด็กโง่เช่นเจ้าช่วยกำจัดมันไปได้ก็ต้องขอบใจเหลือเกิน ฮึฮึ จงตอบมาได้แล้ว อย่าคิดถ่วงเวลา”
“เธอคิดว่าเราอ่านอักขระบนศิลานั่นไม่ออกงั้นหรือ?” เพียงสิ้นคำ สีหน้าเย่อหยิ่งของเมเรสก็เป็นฝ่ายแตกตื่นบ้างแต่นางก็ยังมั่นใจว่าแคโรลีนไม่มีทางรู้คำตอบ “อักขระนั่นไม่ได้เขียนคำตอบไว้แน่นอนแคโรลีน อย่าโยกโย้ดิ้นรน คิดจะขู่ข้าด้วยศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีตัวตนนั่นอีกนะหรือ ขอเตือนไว้ว่าคิดผิดมหันต์! ไม่มีสิ่งใดสะกดข้าได้อีกแล้ว” เมเรสเกรี้ยวกราด ทว่าพลันสยบลงเมื่อแคโรลีนเอ่ยคำจารึกนั้นออกมา
“ความประเสริฐของมวลเทพย่อมพิทักษ์วิญญาณที่เชื่อมั่น ความชั่วร้ายจงพินาศ ขัตติยนารีแห่งองค์เรมอสที่ทอดร่างอยู่ ณ ถิ่นนี้จักกลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ ปวงเทพย่อมให้อภัยแก่นางผู้เคยหลงผิด”
น้ำตาพี่สาวของฟาโรห์เอ่อรินทันที เมเรสเพิ่งเคยรับรู้ถึงถ้อยความในศิลาหินที่เธอจงเกลียดจงชัง พระอนุชาไม่กล่าวโทษหรือถือโกรธพี่คนนี้เลย หากแคโรลีนไม่ได้มาเยือนโลกโบราณแห่งนี้ พระนางก็จะได้ครองคู่สมใจตามครรลอง แต่จิตด้านมืดกำลังบังคับให้กระแสกาลเวลาและหัวใจอ่อนโยนของเมเรสแหลกสลาย ที่อยู่เบื้องหน้าแคโรลีนก็คือนางปีศาจที่ไม่รับรู้เรื่องราวความทรงจำที่ดีใด ๆ อีกทั้งสิ้น!
“ตอบคำถามมา!”
“สัตว์นั้น เรียกว่า ‘มนุษย์’ เมื่อเป็นผู้ใหญ่มีสองขา แต่เมื่อเป็นเด็กทารกคลานสี่ขา ครั้นแก่ตัวลงต้องอาศัยไม้เท้าค้ำยัน กลายเป็นสัตว์สามขาไป เมื่ออยู่บนบกก็เดินและวิ่ง เคลื่อนไหวขึ้นสู่อากาศคือกระโดด เคลื่อนไหวในทะเลคือแหวกว่าย แต่เมื่อคลานก็จะช้าที่สุด!”
แคโรลีนสามารถไขปริศนาได้ถูกต้อง นางสฟิงก์ได้ยินคำตอบก็ตกใจเสียหน้า พลังอำนาจเริ่มเสื่อมถอยตามเงื่อนไขที่ถูกวางไว้ ธิดาแห่งไนล์จ้องมองเมเรสดิ้นรนภายใต้เปลือกหนังงูที่น่าอดสู แสงอาทิตย์เริ่มถักทอประกาศชัยชนะจากองค์สุริยเทพราห์เหนือพญางูอโพพิส
“ข้าไม่ยอม! ข้าไม่ยอมเด็ดขาด อโพพิส! ขอพลังแก่ข้า”
เกล็ดงูของสฟิงก์ค่อย ๆ หลุดออก แต่แววตาของนางอสรพิษมิได้ยอมจำนนเลยสักนิด เงื่อนไขเมื่อเธอพ่ายแพ้คือจะต้องสูญเสียความเป็นนิรันดร์ในภพหน้า เมเรสที่อ่อนกำลังจึงยิ่งคลุ้มคลั่ง แล้วอาละวาดทำลายไม่เลือก อุ้งเท้าสิงโตยักษ์จะตะปบใส่ร่างนาฟเทล่าที่นอนสลบอยู่ แคโรลีนจึงวิ่งเข้าไปขวางไว้โดยไม่คิดชีวิต ร่างของทั้งคู่ถูกเหวี่ยงตกลงสู่ทะเลแห่งความตาย ซาอิดกับกาซิมจึงวิ่งฝ่านางอสูรจิตทรามซึ่งกำลังกลับร่างคืนเป็นมนุษย์ดังเดิม ทั้งสองกระโดดจากริมกำแพงสูงชันติดตามลงไปช่วยแคโรลีนทันที
“ฮ่าฮ่า... สะใจ ข้าสะใจจริง ๆ จงไปตายเสียให้หมด ตาย ๆ ไปซะ จบสิ้นความแค้นกันเสียทีแคโรลีน!”
‘แต่ไยน้ำตาของข้าจึงไหล ทำไมถึงไม่หายอึดอัดหรือสบายใจขึ้นเลยสักนิด ข้าทำถูกแล้วใช่ไหม ใครก็ได้ช่วยตอบปริศนานี้ด้วย’
.............................
ย่ำสุริยายอแสง ขอบฟ้าแดงอาทิตย์อัสดง มาเรียกำลังเหม่อมองทิวทัศน์งามตาอยู่ที่ริมระเบียงเปิดโล่งในห้องอาบน้ำของตัวเอง ความรู้สึกกระสับกระส่ายและเป็นกังวลที่อธิบายไม่ได้เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น หัวใจจึงเริ่มอ่อนโรย ไม่เข้มแข็งเปี่ยมพลังเหมือนดังที่สำแดงต่อหน้าอริ ก่อนตะวันจะชิงพลบ สาวน้อยจึงขอชิงอิ่มเอมกับแสงสีสุดท้ายของวันเงียบ ๆ ตามลำพัง เธอปลดปล่อยอารมณ์และทบทวนเสียงแว่วของน้องสาว ในตอนแรกช่างสดใส แต่ไยจึงเริ่มสะอึกสะอื้นคล้ายร้องให้ช่วย
“แคโรลีน... แคโรลีน... ตอบพี่สิ เรียกพี่สิ”
ฉับพลัน! มาเรียก็รู้เจ็บท้อง แน่นหน้าอกและวูบจวนเจียนจะหมดสติ ร่างเล็ก ๆ รู้สึกว่ามีบางสิ่งกระชากเธอลงสู่ใต้ผืนน้ำ แต่สติที่เหลืออยู่น้อยนิดทำให้มาเรียตะเกียกตะกายเกาะขอบสระหินอ่อนไว้ได้ แต่หูแว่วยินเสียงกรีดร้องและเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังสนั่นปนเปในหัวสมอง เธอจึงเจ็บราวกับลำไส้กำลังถูกบิดกระชากและหมดแรงจะร้องขอความช่วยเหลือ ทำได้เพียงรอใครสักคนนึกเอะใจและกล้าเข้ามาดูราชินีที่ชอบไล่ตะเพิดนางกำนัลผู้นี้
‘แคโรลีน... น้องกำลังจะบอกอะไรพี่?’
...................................
พระพักตร์คมเข้มของฟาโรห์ในตอนนี้วิตกกังวล พลางทอดถอนหายใจและเดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องบรรทมของมาเรียได้พักใหญ่แล้ว ทรงลังเลว่าจะเป็นฝ่ายเสียหน้ามาพบหญิงสาวก่อนดีหรือไม่ ความร้อนรนที่อธิบายไม่ได้เหมือนที่มาเรียเป็นทำให้องค์เรมอสกำลังเป็นบ้า แม้ชายหนุ่มจะบรรเทาอารมณ์อัดอั้นด้วยการเสด็จออกลาดตระเวนไปทั่วเมืองหน้าด่านเพื่อสอบถามข่าวคราวก็ไร้วี่แววนาง ความเกรี้ยวกราดก็ระเบิดขึ้นแล้วมาหมดแรงที่หน้าประตูห้องนอนสาวน้อย
“ทำไมพวกเจ้าจึงออกมานั่งหน้าสลอนกันอยู่ที่นี่?!” นางกำนัลของมาเรียต่างก็ก้มหน้าลงติดพื้น เนื้อตัวสั่นเทาเมื่อรับรู้ได้จากพระสุรเสียงตวาดกร้าวลั่นว่าทรงตำหนิที่ละทิ้งหน้าที่
“ราชินีทรงโปรดอยู่ตามลำพังมากกว่าเพคะ ยามนี้คงกำลังสรงน้ำ อีกสักประเดี๋ยวคงเรียกให้พวกหม่อมฉันเข้าไปช่วยแต่งตัว โปรดรอสักครู่เถิดเพคะ”
“ข้าคือฟาโรห์ แม้แต่เจ้าเมืองอื่นก็ต้องเป็นฝ่ายรอข้า นี่มันล่วงเลยมานานมากเกินไปแล้ว!” พระบาทหนาถีบประตูไม้มะเกลือแกะสลักเข้าไปทันทีด้วยความหงุดหงิด แล้วใช้สายพระเนตรคมกริบกวาดมองไปเพียงชั่วครู่แต่ทว่าละเอียดละออตามวิสัยนักรบ แต่ก็พบห้องโถงบรรทมว่างเปล่า
เมื่อวรองค์แห่งไอยคุปต์ก้าวเข้าสู่ห้องสรงน้ำ พระพาหาก็พุ่งเข้าโอบประคองร่างปวกเปียกที่นอนเกยขอบสระขึ้นแนบพระอุระทันที แล้วตบหลังแรง ๆ ให้เธอสำลักน้ำออกมา แต่มาเรียสลบไปนานแล้วและหัวหูอื้ออึง ร่างเปล่าเปลือยแดงก่ำเพราะแช่น้ำร้อนเป็นเวลานานสองนาน มาเรียเพ้อด้วยพิษไข้จนฟังไม่ได้ศัพท์ขณะองค์เรมอสอุ้มไปส่งให้พักบนเตียง เหล่านางกำนัลวิ่งกันโกลาหลวุ่นวายและไปตามหมอหลวงให้มาดูอาการ
“ออกไปให้หมด ข้าจะดูแลนางเอง” พระบัญชาสูงสุดจากสมมติเทพฮอรัส มิมีผู้ใดกล้าขัดขืน แม้แต่หมอหลวงที่วิ่งหัวหกก้นขวิดมาจากอีกฟากของวังก็ต้องล่าถอยออกไปทั้งที่ยังมิได้เข้ามาด้วยซ้ำ
พระหัตถ์หนาเอื้อมไปปัดเส้นผมอ่อนนุ่มออกให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดเหงื่อตามไรผม วงพักตร์งามเฉิดฉายยังคงสลบไสลและหอบหายใจหนัก ไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังถูกล่วงเกินด้วยสายพระเนตร ความงามบริสุทธิ์ได้ปรากฎชัดแจ้ง ไม่มีความลับอีกต่อไปแล้ว เพียงแค่นางนอนนิ่งก็สะท้านเสน่ห์ พาให้เลือดลมบุรุษสูบฉีดแล่นทะยาน ยากนักที่จะมอดดับลง ต้องขอโอบอุ้มนางไว้กับอกก่อนจะสัมผัสแตะต้องแผ่วเบา
“มาเรีย... เจ้าสวยจริง ๆ”
หญิงสาวสำลักจูบที่โหมทะลักเข้ามาจึงบ่ายหน้าหนีตามสัญชาตญาณ พระองค์จึงรู้สึกตัวว่าได้ทำเรื่องน่าละอายลงไป แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยพระหัตถ์ง่าย ๆ เรียวโอษฐ์อ่อนโยนแตะแต้มบนสองแก้มและหน้าผากมน ก่อนที่เสียงประตูจะค่อย ๆ ปิดสนิท ทิ้งให้ความเงียบงันและเริ่มต้นความเจ็บปวดในชีวิตของมาเรียขึ้นช้า ๆ
“เมื่อยามรุ่งอรุณมาเยือน คนที่เรารักจะมีเพียงแคโรลีนเช่นเดิม”
จากคุณ |
:
natthakarn64
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ก.พ. 55 20:42:10
|
|
|
|