บทที่ 14
06.00 ในที่สุดก็กลับถึงบ้าน “ขอต้อนรับกลับบ้าน” ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านพูดกับผมแบบนั้น ผมเปิดประตูก้าวเข้าไป ปิดประตูแล้วหลับตายืนพิงอยู่เนิ่นนาน บรรยากาศภายในบ้านเจือด้วยกลิ่นอายของนวลเนื้อที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย แค่ได้รู้สึกถึงก็คล้ายจะได้ยินเสียงกระซิบแผ่ว “กลับมาแล้วเหรอ?” ผมถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดทันทีที่เข้าห้องนอน ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าเตียง ผมเพ่งมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างสงบ ลมหายใจเต้นแผ่วบางจนแทบไม่รู้สึก ตอนเป็นเด็กแม้พ่อกับแม่จะรักผม ทว่า...ยามสุข ยามทุกข์ หัวเราะดีใจ ร้องไห้ฟูมฟาย ผมมีเพียงอ้อมกอดของแม่เท่านั้น อกอุ่นนั้นคอยให้กำลังใจและปลอบโยน เสียงหัวใจเต้นแผ่วล้า ตูมตามเร็วถี่ แสดงออกซึ่งความห่วงใยและปรีดี กับทุกความเป็นไปของผม ความอบอุ่นมากมายแผ่ซ่านออกมาให้ผมรับรู้ถึงการมีอยู่จริงของคนที่รักซึ่งอยู่เพื่อผมเสมอ นั่นเป็นสิ่งงดงาม และผมก็รักเหลือเกิน ทว่าแม่ก็จากผมไปอย่างไม่มีวันกลับมามอบคุณค่ายิ่งใหญ่นั้นกับผมได้อีก เหลือแต่พ่อที่รักผมด้วยสายตาและคำพูด ส่วนพี่ชายก็เกลียดจนไม่อยากเข้าใกล้ ผมเหงาและโดดเดี่ยวมากจนหวาดกลัว มันทั้งเดียวดาย ขาดแคลน แห้งแล้ง ตลอดเวลาผมจึงเอาแต่มองหาอ้อมกอดที่จะมอบความอบอุ่นให้ผมอย่างละโมบ ความปรารถนาอันโดดเดี่ยวนี้ไม่เคยพอ ผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ไม่ถือ เคยคิดอยู่บ้างเหมือนกัน บางทีตัวผมที่เป็นแบบนี้ไม่เพียงจะทำให้ตัวเองต้องเสียความรู้สึกแต่อาจจะพาลดึงคนอื่นมาเจ็บปวดไปด้วย แบบนั้นจะยุติธรรมฤา เสียงกรนแผ่วๆที่มาจากลมหายใจที่สม่ำเสมอ ร่างกายที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มทำให้ผมรู้สึกเต็มตื้นทุกครั้งที่กลับบ้านเสมอเมื่อก้าวเข้าบ้าน ความรู้สึกอบอุ่นนี้อบอวลอยู่ในหัวใจยามเฝ้ามองการเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาตรงหน้าไม่ว่าจะหลับหรือตื่น ผมเท้าคางมองเตียงนอนอย่างไม่คิดจะเหยียบย่างเข้าไปรบกวนนิทรารมย์ และหากเป็นไปได้ผมก็อยากให้เขาง่วงงุนหลับใหลต่อไป นับจากวันที่ที่แห่งนี้มีเมษา เวลาก็ผ่านไปกับความมั่นคง ความมั่นคงที่ผมรู้ว่า ไม่ว่าจะต้องพบกับอะไรกับนอกบ้าน จะเบาเหมือนปุยนุ่นหรือหนักหนาราวหินผา จะแค่ลมหนาวเย็นหรือพายุที่อาจทำให้โค่นล้ม ตราบใดตราบนั้นผมจะไม่เป็นไร แต่นั่นต้องหมายถึงสิ่งนั้นไม่ได้มีความหมายถึงสัมพันธ์ของเรา ถึงจะพยายามแล้ว แต่ผมก็ยังทำได้ดีไม่พอ เป็นไปได้ไหมที่ผมได้ใจจากสิ่งนี้จริงๆ.....สิ่งที่เมษามอบให้ จึงนำยาพิษสำหรับเขาและสำหรับตัวเองมาสู่เรื่องราวระหว่างเราเยี่ยงนี้ ผมยกมือขึ้นปิดหน้า....ผมนี่มันบ้าของแท้เลย “ทำอะไรอยู่ตรงนั้นหรือครับ” เสียงอู้อี้ใต้ผ้าห่มเรียกให้ผมหันความสนใจออกมาจากคำนึงของตัวเอง ผมดันตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงจากท่าเอนตัวเหลือบตามองอีกครั้งก็พบว่าเมษาได้ลุกขึ้นนั่งแล้ว เส้นผมยุ่งเหยิงชี้โด่เด่ชวนขำ ผมเลยหัวเราะออกมาเบาๆ เมษายิ้มให้ผม จากนั้นความเงียบก็ก่อตัวขึ้นระหว่างเราหลังสิ้นเสียงกระซิบหัวเราะของผม เมษายื่นมือออกมา ผมมองมือนั้นด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจจะบรรยายขณะย่างก้าวขึ้นเตียง สอดตัวใต้ผ้าห่ม เมษาขยับเอนตัวลงนอน ผมหันไปแนบหน้า จูบแผ่นอกของเขา “คุณลืมมือถือในรถอีกแล้วล่ะ ผมโทรหาแต่คุณไม่ได้รับน่ะ” เมษาเริ่มจูบผมที่ศีรษะ ตอนเช้าแบบนี้เขาคงมีอารมณ์ “ขอโทษ ที่ฉันไม่เอาไหน” ผมน้ำตาคลอ คำขอโทษอันไม่ได้เกี่ยวมือถือ เมษาบอกว่าไม่เป็นไรแล้วเลื่อนไล้กลีบปากอิ่มไปตามใบหู ซอกคอแล้วมาจบที่ริมฝีปากของผม “นี่ถ้าไม่เกิดประจำผมคงนอนไม่หลับ” เมษาจูบไปพูดไป ผมตอบสนองเขาอย่างร้อนแรง พลิกตัวทาบทับเขา ตรงนั้นของเราแนบชิดกันจนผมรู้สึกถึงความแข็งแรงอวบอ้วนของเมษา “คุณไม่เหนื่อยหรือฮะ” คำถามจากเมษาทำเอาผมอึ้งหน้าชา คำถามของเขากลายเป็นมีดปลายแหลมปักกลางอกผม กี่ครั้งกี่คราวที่ผมกับคุณทศ ผมไม่เหนื่อยหรือยังจะกับเมษาอีกหรือ ผมหน้าชาค่อยๆเคลื่อนลงจากตัวเมษา แต่เขารั้งผมไว้ “มีอะไรหรือครับ คุณเหนื่อยจากงานไหม ผมอยากทำตอนนี้ ผมกลัวคุณไม่ไหว” เมษาลูบไล้หลังเปลือยเปล่าของผม ผมส่ายหน้ายิ้ม แล้วก้มลงแนบใบหน้ากับกลางลำตัวของเขา สิ่งที่ผมรักใคร่ผมประคองมันเข้าปากแล้วให้ความอบอุ่นกับมัน เมษาลูบเส้นผมของผม พลางครางในลำคอบางเบา ขณะที่เราสองคนเพลิดเพลินกับจินตนาการรักที่ยังไม่จบสิ้น ในอ้อมแขนของเมษา จุมพิตที่เขาพร่างพรมทั่วเรือนกาย สัมผัสที่แสนอ่อนโยนลึกซึ้ง ทะนุถนอม สัมผัสนั้นทำให้ทุกอณูเนื้อของผมหวิววาบรนรานหาพิศวาสขึ้นมาในทันใด ในขณะนั้นผมตั้งต้นเริ่มคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆ สิ่งนั้นทำให้ผมคิดว่าโลกนี้มีนรกบนดินจริงหรือเปล่านะ ที่สุดแล้วผมจะประสบกับมันเข้าวันใดซินะ “จะเป็นไรไหมครับ หากผมจะไม่เข้าไป” เมษาไล้มือที่สะโพกของผมแล้วเลยไปที่ซอกอุ่นด้านหลัง “ทำไมล่ะ” ผมร้อนตัว “อืม คุณคงจะเหนื่อยมาก ทำงานหามรุ่งหามค่ำมาผมไม่ใจร้ายหรอก แล้วก็ขอบคุณนะที่ทำให้” เมษายื่นนิ้วมาเขี่ยจมูกผม ผมจับมือเขาไว้แล้วอ้าปากงับนิ้วเขาเบาๆ
เอ...หรือผมกำลังเข้าใจผิดอยู่นี่” เมษารั้งผมเข้าไปแนบกับอกกว้างของเขา “ไม่ๆๆ ไม่ใช่ซะหน่อย ถ้านายพอแค่นี้ ฉันก็พอแล้ว” “กำลังเครียดอยู่อยากคลายเครียดหรือเปล่า?”เมษาจูบผมที่ไหล่ “ไม่ทั้งนั้น เหนื่อยมากที่สุด”ผมเน้นเสียงประโยคท้ายด้วยใบหน้าที่เป็นธรรมชาติที่สุด ใจสั่นไหวที่สุดเช่นกัน “วันนี้ลาครึ่งวันพักผ่อนก็ดีน๊า” เมษาลุกขึ้นเอื้อมมือหยิบอันเดอร์แวร์มาสวม “อย่าพูดเองซิ ฉันเป็นผู้จัดการนะ” “ไม่พักผ่อนจะแย่นะครับ” “อีกสองวันนายจะบินไปเชคแล้ว...” “อืมเป็นการทำงานคนเดียวครั้งแรกตื่นเต้นซะไม่มี เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะ”เมษาทรุดตัวลงนั่งข้างผมที่เอาแต่นอนมองเรือนกายเขาอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย “นายก็เอาใจช่วยให้ฉันผ่านด่านคุณซุรุงะด้วยนะ”
“ว่าก็ว่าเถอะนะเจ้านั่นน่ากลัวมาก” “ที่สุดเลย” “คิดแล้วไม่อยากไปเลย” “บ้าน่า ถ้าเป็นนายซิ คงน่ากลัวสุดๆ นายต้องโดนหมอนั่นงาบอย่างบ้าคลั่งในแบบที่ฉันได้แต่อ้าปากค้าง ฉันไม่ใช่สเปคเขา” ผมยกมือขึ้นขยี้เส้นผมของเมษา ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่...ในห้องสมุดคืนนั้นผมยังไม่หายหวาดกลัวเลย แต่ผมไม่อาจทำให้เมษากังวลจนไม่เป็นอันทำงานได้ “นั่นซินะ เสร็จงานที่เชคแล้วแวะทำศัลยกรรมหน้าใหม่ที่เกาหลีดีกว่า จะได้ไม่เหมือนคนรักเก่าของมัน จะได้ไม่ต้องมาระแวงว่าจะถูกปล้ำเมื่อไหร่” “นี่ พูดอะไรน่ะ ไม่ยอมนะ สำหรับฉันต้องเมษาคนนี้เท่านั้น” ผมผุดลุกขึ้นดึงหน้าเมษาจนเขาร้องโอ้ย
“รักที่ใจใช่ใบหน้า” เมษาประท้วง “ไม่เอา ก็ใบหน้านี้น่ะคอยยิ้มคอยมองมาที่ฉันเพียงคนเดียวเสมอ ใบหน้านี้น่ะที่ทำให้ใจของฉันอบอุ่น” ผมประคองใบหน้าของเขา “รักที่หน้ารักที่ใจด้วย” เมษายื่นหน้ามาจูบปากผม ผมพยักหน้าแรง “ดีใจจัง” เมษาดึงผมเข้าไปกอด
“เมื่อคืนระหว่างนอนรอผู้จัดการ ตาผมก็เหลือบไปมองปฏิทินแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเราคบกันครบรอบสามเดือนแล้วนี่นา เลขสวยเชียว” “เวลาผ่านไปเร็วจังนะ” “มีความสุขจนลืมวันลืมคืนไปเลยเน๊อ นั่นเพราะผมแท้ๆเชียว” เมษาเอียงคอมองผม “น้อยหน่อย หลงตัวเองมากไปแล้ว” “นึกออกล่ะ หลังเลิกงานคืนนี้ไปฉลองกันนะ” “หาเรื่องเที่ยวกลางคืน” “ไม่ใช่สักหน่อย คู่รักที่ไหนเขาก็ทำตอนครบรอบทั้งนั้นล่ะ”เมษาทำปากยื่น
“อีกอย่างผมจะไปทำงานตั้งไกลเป็นอาทิตย์ ผู้จัดการไม่อยากทำโรม๊านซ์ให้ผมเก็บไว้คิดถึงยามไกลกันบ้างเหรอ? นะๆ” เขาจับมือผมไปจูบ “นายเลือกร้านนะ แล้วใครทำงานเสร็จก่อนก็ไปรอได้เลย” ผมถอนใจยิ้ม “แค่คิดก็อยากให้เวลาเดินเร็วๆ” “เริ่มหิวแล้วล่ะซิ” ผมหลับตาพูดยิ้มๆ ครู่เดียวก็รู้สึกว่าเมษากำลังโดดลงจากเตียง ลืมตาก็เห็นเขาวิ่งเหยาะๆออกจากประตู รอยยิ้มผมหายไปขณะพลิกตัวหันหน้ามองประตู สิ่งที่ทำไปแล้วย้อนคืนแก้ไขใหม่ไม่ได้ จะด้วยฤทธิ์ของยาหรือเพราะอย่างอื่นที่ผมไม่อยากรำลึกถึงมันอีก ความเป็นคุณทศ เสียงของเขายังระริกพล่านอยู่ในร่างกายของผมจนเผลอฟุ้งซ่านขึ้นอีกครั้ง ผมหยิบหมอนของเมษามากอดไว้ ร่างกายว่างเปล่าใต้ผ้าห่มประท้วงด้วยอาการเจ็บทั่วสพางค์กาย ความพลาดพลั้งที่ไม่น่าสบายใจนี้เกิดขึ้นลับหลังเมษา ลืมมันไปซะ ต้องทิ้งไปทั้งคำพูดและสัมผัสของคนๆนั้นเสียให้หมดแล้วดำรงชีวิตอยู่ด้วยกันกับเมษาต่อไป ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว กล้าสัญญากับตัวเองได้ไหมว่าจะรักษามันไว้อย่างดี ผมกอดรัดหมอนในอ้อมแขนแน่น ริมฝีปากเผยอครางต่ำๆ....เจ็บ ผมเขี่ยอาหารในจานขณะที่เมษาเอาแต่เหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง ข้างนอกนั้นอากาศแจ่มใส แสงแดดเรื่อแรงแสงขึ้นแต่ไม่ร้อนแรง ใบหน้าของเมษาแช่มชื่น ดวงตาเป็นประกาย ปลายนิ้วที่ท้าวคางเขี่ย ริมฝีปากอิ่มอวบที่กำลังอมยิ้มน้อยนิด ปลายแขนเสื้อเชิ้ทขาวสว่างปลดกระดุมพับลวกๆเผยผิวพรรณขาวสะอาดตา “ตั้งแต่พ่อกับแม่ตายผมคิดว่าคงไม่มีวันที่จะมีความสุขแบบสุดๆได้อย่างวันคืนเก่าๆ แต่เมื่อได้พบ ได้รัก ได้ผูกพัน ได้ดำเนินชีวิตกับผู้จัดการจนวันนี้ ณ ที่ตรงนี้ ณ เวลาที่เราสองคนอยู่ด้วยกัน ผมพูดได้เต็มปากเลยว่า มีความสุขมาก มากจริงๆนะครับ ในวันที่เราครบรอบ ผมก็อยากขอบคุณครับที่มอบสิ่งนี้ให้ผม คุณรุจน์” เมษาคลี่ยิ้มพลางเลื่อนอีกมือมาจับมือของผม รอยยิ้มบริสุทธิ์ผุดผ่องแบบนั้น ผมกระชับบีบมือของเขาตอบรับความรู้สึกของเขาที่ส่งมาอย่างเต็มเปี่ยม ใช่ผมก็ขอบคุณเมษาด้วยที่ทำให้ผมมีแต่ความสุขนับแต่วินาทีแรกที่เราพบกันเช่นกัน ผมพูดกับตัวเอง แต่แล้วในลำคอของผมก็เกิดก้อนแข็งอุดไว้จนจุกแน่นแทบยิ้มต่อไปไม่ไหว ถึงรู้สึกซาบซึ้งกับความสุขที่รับ และมันคงมากเกินไปผมจึงต้องหาเรื่องบั่นทอนมันออกไปซะ หลับตาครั้งใดผมก็ยังแลเห็นตัวเองที่ทอดกายให้คุณทศอย่างไร้แรงต้านทาน กายาที่ร้อนเร่าถ่ายทอดอารมณ์แก่กันจนถึงเนื้อใน นั่นทำให้เสียวแปลบในอกจนต้องหลบตาจากรอยยิ้มแสนซื่อของเมษา
จากคุณ |
:
vannessia
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ก.พ. 55 23:24:20
|
|
|
|