29
ความลับไม่มีในโลก คำกล่าวนี้ยังเป็นจริงเสมอ เพียงแค่อีกสองสามวันต่อมา ภาพที่ชายหนุ่มไปหาเธอถึงอพาร์ทเม้นท์ก็ถูกส่งสำเนาต่อ ๆ กัน แถมมีช่องคำพูดเสร็จสรรพว่า ในที่สุดลูกน้องนายเข้ก็รับผิดชอบ ‘เด็ก’ ของเจ้านายด้วยงานแต่งงาน
ให้ตายสิ บัณฑิตาเริ่มคิดว่าตำบลนี้มีกล้องตามติดชิวิตเธอเหมือนกับ The True man โชว์หรือเปล่า เธอคิดขณะช่วยบรรดาครูเตรียมงานเลี้ยงปลายภาคหลังจากที่การสอบเสร็จสิ้นแล้ว เธอตรวจนับบัตรเข้างานที่จะขายให้ผู้ปกครอง แยกรายห้องตามรายชื่อนักเรียน
“ไม่รู้ว่าจะสงสารครูบุ้งหรือว่าคุณกบดีนะเนี่ย”
“ยังไงล่ะ”
“ก็สงสารครูบุ้งที่จริง ๆ คงต้องการคุณเข้มากกว่าไง แต่แหม ผิดฝาผิดตัวหมดเลย”
“อ้าวแล้วว่าที่สงสารคุณกบล่ะ”
“ตรงที่ต้องรับของที่เอ่อ....เหลือไงล่ะ อุ้ย”
บทสนทนานั้นเป็นของเพื่อนครู นำโดยครูผึ้งกับครูปลาและหยุดลงอย่างไม่เป็นธรรมชาติเมื่อเดินเข้าไปอยู่ในระยะสายตา
บัณฑิตาทำหูทวนลม ได้ยินแล้วแต่ทำได้แค่เดินหนี ไม่มีอารมณ์ต่อปากต่อคำ ขนาดจะจบข่าวด้วยความจริงก็ยังไม่วายวิพากษ์วิจารณ์ คนเรามันก็เป็นเสียแบบนี้ ลำพังจะนินทาว่าเธอแรดแจ๋นแจ๋ขนาดไหนก็ได้ ถ้าไม่มีชื่อธรณิศ ที่หนักอกเหมือนพกหินคลุกถมถนนก็เพราะยังเป็นห่วงของใจชายหนุ่มมากกว่า
คำที่บอกขอแต่งงานคือการขอโอกาส แต่ความคิดเขาคือทางที่เธอไปไม่ถึงอยู่ดี จะไปโทษใครไม่ได้ เธอก่อมันขึ้นมาเอง ฝึกทำใจเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยยัยหนอนบุ้ง เธอคิด พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอปุริมา
“ไปกินข้าวกันบุ้ง”
บัณฑิตายกคิ้ว คิดยังไงมาชวนเธอ
“ไปกินที่ร้านเจ๊หงส์กัน ชาร์คกับเหมียวก็จะไปด้วย ไปเถอะ จะได้รีบกลับมาทำงานต่อ” พูดพลางพยักหน้าสรุป พร้อมเอื้อมมือมาจับแขนคล้ายกับจะให้กำลังใจ เพราะปุริมารู้ดี ที่ตรงนี้ของสาวสวยก็คือตำแหน่งที่เธอเคยได้รับอย่างไม่เต็มใจนั่นเอง
พอเดินกลับมาหาเพื่อนอีกสองคนที่รออยู่ เหมียวกลับเปลี่ยนใจ
“เหมียวว่าซื้อมากินดีกว่าปูนิ่ม ดอกไม้ยังไม่ได้ทำเลย เดี๋ยวเสร็จไม่ทัน” เธอหมายถึงดอกไม้ที่จะเตรียมไว้ขายให้ผู้ปกครองได้ซื้อเพื่อมอบเป็นกำลังใจให้ลูกหลานที่จะขึ้นแสดง
ปุริมาไม่มีข้อแย้ง หยิบกระดาษกับปากกา จดชื่ออาหารตามคำของบรรดาครู “กินอะไรจดเมนูกันเลย เดี๋ยวโทรหาป้าไก่ เขาบอกว่าคุณเข้อยู่ที่ร้านพอดี เดี๋ยวมาส่งให้”
คนจดชะงักมือเล็กน้อย เช่นเดียวกับบัณฑิตา
“งั้นบุ้งไปรับมาให้ดีกว่า”
มีสายตาของหญิงสาวคนจดรายการมองมา “พอดีบุ้งมีธุระกับพี่เข้พอดี นะคะพี่เหมียว เดี๋ยวบุ้งจะกินก่อนแล้วกลับมาทำงานตอนพวกพี่พักก็แล้วกัน” ด้วยคำขอแกมสรุปทำให้เหมียวไม่ค้านอะไร
บัณฑิตาลุกไปหยิบกระเป๋าสะพาย ชาร์คขยับ “บุ้งไปคนเดียวจะถือหมดเหรอ ผมไปช่วยไหม”
ชายหนุ่มอาสา บัณฑิตาเห็นแววตาของเขาแล้วชะงักเล็กน้อย พลอยหายใจไม่สะดวกเพราะพอเข้าใจความมุ่งหมาย และมันหายไปเมื่อมีข่าวลือของเธอกับธรณิศ
“ดีเหมือนกัน จะได้ช่วยกันถือ” เหมียวบอก
ชายหนุ่มส่งยิ้มจริงใจกลับมา เป็นการยืนยันว่าเข้าใจเรื่องทุกอย่าง ครูสาวยังรู้สึกดีใจอยู่ประการหนึ่งคือ ตั้งแต่เธอตกเป็นดาราข่าวลือ เขาไม่เคยแสดงพฤติกรรมรังเกียจเดียจฉันท์ใด ๆ เลย ยังปฏิบัติกับเธออย่างมิตรที่ดีเสมอ
คนเรา มีทั้งประเภทตัดสินคนแค่ที่เสื้อผ้า แต่บางคน ก็อดทนอ่านหนังสือเล่มนั้นจนจบ
เขมรัฐเดินเข้ามาในร้าน สั่งอาหารกับป้าไก่ จะเคลื่อนตัวมานั่งก็นึกขึ้นได้
“เป็นไงบ้างป้า ขอลูกสะใภ้สำเร็จไหม”
แม่ครัวใหญ่เปิดเตาแก๊ส ตั้งท่าจะพูดแต่ถอนใจ “ทำไมเหรอ”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เออ นายเข้รู้ไหมว่าพ่อเลี้ยงของบุ้งนี่เขาอยู่กับแม่บุ้งมากี่ปีแล้ว”
คนหนุ่มทำท่าคิด “ร่วมสิบปีได้แล้วมั้ง”
“แม่เขาดูอ่อน ๆ” ป้าไก่แสดงความเห็น
เขมรัฐไหวไหล่ “บุ้งมันน่าสงสารนะ พี่ชายตาย พ่อเลี้ยงก็แบบนั้น ต้องออกจากบ้านมาหาเงินส่งตัวเองเรียน”
คนฟังทำเสียงรับรู้ ครุ่นคิดในใจช้า ๆ ภาพที่เห็น หญิงสาวดูก๋ากั๋นแก่นเซี้ยวอย่างคนสมัยใหม่ แต่ลึก ๆ แล้วก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งซึ่งถูกความไม่สมประกอบของครอบครัวพรากผ้าห่มอันอบอุ่น
“ได้แล้วจ้ะ”
เธอยื่นจานข้าวผัดให้ เขมรัฐรับ “ดีใจด้วยนะ ผมล่ะนึกกลัวมาตลอดว่ากบจะเป็นเกย์”
“แหม พูดเข้า ไปตะลอนราตรีด้วยกันบ่อย ๆ ยังจะแซวอีก” คนเป็นแม่ค้อน “แล้วทำไมไม่เป็นนายเข้ล่ะ”
เขายักคิ้ว “ก็บุ้งไม่ได้ชอบผมนี่”
พูดแล้วก็เคลื่อนกายมาที่โต๊ะ ปล่อยป้าไก่งงอยู่ชั่ววินาทีว่า สาวสวยชอบใคร ก่อนจะบางอ้ออย่างคาดไม่ถึง
“อ้าว”
แม่ครัวเปลี่ยนกริยาหันไปตามเสียงที่เจ้านายหนุ่มแสดงตอบ เห็นชายหญิงคู่หนึ่งมากับมอเตอร์ไซค์ เขมรัฐส่งยิ้มและรับคำทักทายจากชาร์ค
“เหลือต้มยำ กับผัดพริกปลานะ ข้าวผัดของบุ้งกำลังจะทำให้”
“สองที่เลยครับ” ชาร์คว่า อีกฝ่ายพยักหน้า เขมรัฐหันมอง ลูกค้าสาวจึงอธิบายว่ามาสั่งอาหารกลับไปกินที่โรงเรียน ส่วนของเธอกับชาร์คจะกินที่นี่ คนฟังรับรู้ มิน่าล่ะ เห็นอ่องตักข้าวใส่กล่องวางเรียงรายเอาไว้
“เตรียมงานเลี้ยงกันเหรอ”
“ครับ วุ่นกันใหญ่ พอดีครูบางคนต้องคุมสอบอยู่ เหลือไม่กี่คนเลยเร่งกันอยู่” ชาร์ครับจานข้าวผัด อีกจานส่งให้หญิงสาว “คุณเข้คงไม่พลาด ปีนี้มีอะไรมาโชว์ครับ”
เขมรัฐยิ้มกว้าง “แน่นอน แต่คงไม่ใช่ผมหรอกนะ”
อีกคนเงยหน้ามองอย่างสงสัย “นอกจากจะมีงานแสดงของทุกห้องแล้ว ทุกปีจะมีการแสดงพิเศษ ปีที่แล้วคุณเข้ร้องเพลงดีดกีตาร์ ผู้ปกครองสาว ๆ กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่”
“ไม่กรี๊ดสิแปลก” เธอพูดยิ้ม ๆ พลางตักกุ้งเข้าปาก เขมรัฐสบตาหญิงสาว ในนั้นมีรอยวิตกเจือจาง ไม่นานทั้งสองก็กินเสร็จ อาหารที่สั่งก็เสร็จพอดีเช่นกัน ชาร์ครวบถุงพลาสติกหลายใบเข้าด้วยกัน พยักหน้าเรียกเพื่อนครู
“พี่ชาร์คเดินไปก่อนแล้วกัน”
ชายหนุ่มทำตามไม่อิดออด บัญฑิตายืนอยู่กับเขมรัฐ ดึงชายหนุ่มออกมาอยู่ชายคานอกร้าน ห่างพอไม่ให้ป้าไก่ได้ยินเสียง
“ว่าไง”
เพราะอ่านใจออกจึงรู้ว่าท่าทีรีรอของเธอคืออาการอยากระบายความในใจ “ป้าไก่บอกได้ฤกษ์แล้วนี่ ไม่ดีใจเหรอ ทำหน้าเหมือนโดนประหารเลยว่ะ”
คนฟังยิ้มเจื่อน สีหน้าครุ่นคิด พึมพำว่าอาจจะเหมือนการประหารจริง ๆ
“พี่เข้...บุ้งคิดว่าบางทีอาจจะยังไม่ต้องแต่งก็ได้”
“ทำไมล่ะ”
อีกฝ่ายพึมพำว่าไม่รู้ อยากจะรอดูก่อน
"ไม่ต้องดูแล้ว รีบ ๆ แต่งเหอะ เดี๋ยวปีหน้าผัวแพง"
หญิงสาวเขิน “บ้า”
“พูดเป็นเล่นไป ผัวก็เหมือนสินค้าเกษตรนั่นแหละ บางปีราคาดี บางปีราคาตก เดี๋ยวหมดฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะแย่งกัน” ชายหนุ่มท่าทางรื่นเริง “เอ ยิ่งกว่าอีกมั้ง พี่ว่าผัวเหมือนทองเลยนะ นับวันจะยิ่งแพงขึ้น ๆ”
“พี่เข้นี่...” เธอส่ายหน้า ทำท่าจะผละออกไป เขมรัฐเรียกไว้
“พี่เอาใจช่วยบุ้งนะ พี่บอกแบบนี้กับกบด้วย”
บัณฑิตาจ้องหน้าชายผู้ซึ่งเธอรักและเคารพนับถือเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง ครั้นแล้วก็พยักหน้า ไม่ควรปล่อยให้คำพูดของคนที่ไม่จริงใจก่อสร้างความลังเล ยังมีอีกหลายคนที่หวังดี เธอช่วยจะเชื่อมั่นในตัวเองเหมือนเดิม
“ขอบคุณค่ะ”
งานเลี้ยงปลายภาคจัดบริเวณถนนตรงหน้าอาคารอำนวยการ เริ่มประมาณหกโมงเย็น ผู้ปกครองทยอยเดินเข้างานตั้งแต่ห้าโมง พอยื่นการ์ดเชิญที่โต๊ะลงทะเบียนก็จะได้ข้าวกล่องกับข้าวสองอย่างผลไม้ ขนมน้ำ เป็นค่าบัตร ตรงซุ้มข้างเวทีขายดอกไม้ปลอมจัดช่อขนาดต่าง ๆ ราคาตั้งแต่ยี่สิบถึงสองร้อยบาท ถัดออกไปด้านข้างก็มีของกินง่าย ๆ จำพวกส้มตำ ลูกชิ้นทอด ผัดหมี่กะทิ ซึ่งส่วนใหญ่ครูทำกันเองหารายได้เข้าโรงเรียน รวมทั้งร้านของเล่นและอื่นๆที่ไม่ใช่ของกินซึ่งเป็นร้านจากคนอื่นมาเช่าที่ขาย
เปิดงานด้วยการรำถวายพระพร เพลงโรงเรียนบรรเลงจากวงดุริยางค์ประจำโรงเรียน และตามด้วยการแสดงพิเศษ
พอโขงเดินขึ้นเวทีหลังคำประกาศของพิธีกรคู่เดิมคือปุริมากับชาร์ค ก็เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากบรรดาเพื่อนพ้องและผู้ปกครอง เด็กชายสวมเสื้อยืดกางเกงยีน มีแจ็คเก็ทสีฟ้าสวมทับ ในมือถือกีตาร์โปร่งไฟฟ้า เขาจัดแจงเสียบสาย เทสต์เสียงเล็กน้อยแล้วขยับขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ตัวสูง ไม่เอ่ยคำพูดใด ๆ เลย
“วันนี้ฝนตก...ไหลลงที่หน้าต่าง เธอคิดถึงฉันบ้าง ไหมหนอเธอ...”
คนดูปรบมือเกรียวกราว เสียงร้องและเสียงนิ้วที่ดีดเกากีตาร์สอดประสานได้จังหวะและไพเราะ สร้างความเพลิดเพลินและคำชื่นชม
“เก่งนี่นาเจ้าเด็กคนนี้” ผู้ปกครองคนหนึ่งออกความเป็น เขาขยับขาเป็นจังหวะ
“หลานเจ๊หงส์ไง” อีกคนตอบ คนชมบางอ้อ
“เออ มิน่าว่าเคยเห็นที่ไหน ลูก...นายเข้ใช่ไหม งั้นไม่แปลกใจล่ะ” เขาหัวเราะแผ่ว
ที่โต๊ะผอ. คเชนทร์ มีคุณหงส์นั่งอยู่ด้วย
“เจ้าโขงเก่งจริง ๆ นะครับคุณหงส์ ถึงจะต้องบอกว่าหลานคุณหงส์แสบ แต่เรื่องดนตรีนี่ยอมรับเลย” ผอ.โรงเรียนชมจากใจจริง คนเป็นย่ายิ้มรักษาท่าที
“สอนกันมาตั้งแต่ตัวยังเล็กกว่ากีตาร์ สมัยโขงยังแบเบาะร้องเพลงกล่อมก็ไม่นอน ต้องให้พ่อเขาดีดกีตาร์ให้ฟัง ถึงจะหลับ”
“แบบนี่เขาเรียกว่าอยู่ในสายเลือด”
“ได้มาจากพ่อเขาหมดนั่นแหละค่ะ ทั่งเรื่องแสบเรื่องดนตรี” เธอบอก อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ
เขมรัฐนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยได้แต่ยิ้ม ๆ กับคำแซวเพราะสายตาไปเตร่อยู่ที่อื่น หรือจะเรียกให้ถูกคือ แถว ๆ ที่มีครูปูนิ่มอยู่นั่นเอง เพราะครูสาวเป็นพิธีกรจึงไม่ได้นั่งประจำ
โขงร้องเพลงจบแล้ว แต่บรรเลงดนตรีขึ้นอีกครั้ง
“จันทร์คืนแรมวับแวมอยู่บนปลายฟ้า คงล้าอ่อนแรงทอแสงแหว่งเว้าครึ่งดวง...” คราวนี้เจ้าของเสียงหวานใสคือครูภาษาไทยที่กำลังเป็นที่พูดถึงนั่นเอง บัณฑิตาสวมเดรสพื้นขาวลายดอกกุหลาบสีชมพู มีหมวกสานประดับดอกไม้เสริมให้ดูสวยหวานเรียบร้อย มีเสียงฮือฮาแทรกประปรายแต่เมื่อจบเพลงก็เป็นคำขอบคุณที่ให้พร้อมเสียงปรบมือ มีนักเรียนบางคนเอาดอกไม้ไปให้
ทั้งสองลงจากเวที พิธีกรคู่เดิมขึ้นมาอีกครั้ง บอกการแสดงของแต่ละห้อง ซึ่งจะเริ่มจากการแสดงของอนุบาลก่อนจนกระทั่งมัธยม เขมรัฐลุกจากโต๊ะเดินไปหลังเวที
โขงพูดขึ้นก่อน ยืดอกกับฝีมือของตนเอง “เป็นไงบ้างพ่อ”
เขาไหวไหล่ “ตีคอร์ดผิดไปท่อนหนึ่ง”
“ได้ยินด้วยเหรอ”
“ใครสอนเอ็งล่ะ แต่โอเค เก่งมากไอ้ลูกหมา” พ่อตบไหล่คนเป็นลูก แม้จะชมแบบกวน ๆ แต่ก็แฝงความภูมิใจ
“มาหลังเวทีทั้งที ไม่มีดอกไม้เลยเหรอพี่เข้” บัณฑิตาพูดยิ้ม ๆ
“พี่ว่าไม่ได้อยากได้ดอกไม้กันเท่าไหร่หรอกมั้ง”
“ก็ไม่ได้หมายถึงว่าต้องเอาให้บุ้งเท่านั้นนี่” นักร้องสาวปรายตาไปยังพิธีกรคู่ซึ่งกำลังตรวจเช็คคิวการแสดง ปุริมาได้ยินและหันมาพอดี เขมรัฐส่งยิ้มหวานให้ อีกฝ่ายตอบด้วยสายตาดุ ๆ
“บุ้งไปหาอะไรกินก่อน พี่เข้จะอยู่จนถึงงานเลิกเลยไหม ขอติดรถกลับด้วยนะ”
เขมรัฐละภาพพิธีกร หันกลับมา “เรื่องอะไร มีคนขับรถส่วนตัวแล้วนี่”
หญิงสาวลดรอยยิ้มทันที พึมพำว่าธรณิศคงไม่รู้เรื่องหรอกว่าเธอทำอะไร “มันไม่มาตอนนี้หรอก เดี๋ยวเป็นข่าว งานเลิกคงมานั่นล่ะ เชื่อขนมกินเลยเดี๋ยวก็โทรมา” ชายหนุ่มพูดเรื่อย ๆ บัณฑิตาไม่ตอบอะไรแล้วเคลื่อนกายออกไปหาของกิน ส่วนโขงขอตัวไปดูเพื่อนร่วมห้องซึ่งกำลังร้องเพลง seasons in the sun ชายหนุ่มมองปุริมาแล้วก็เดินออกไปเช่นกัน
... ต่อ
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
22 ก.พ. 55 09:27:24
|
|
|
|