Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
~ * ~ * ~ ม่านธาราเร้นดาว (ชุดมนตราอัญมณี) ตอนที่ 19-20 โดย บุลินทร ~ * ~ * ~ ติดต่อทีมงาน

อ่านย้อนหลัง

บทที่ 11-12
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11615812/W11615812.html

บทที่ 13-14
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11639279/W11639279.html

บทที่ 15-16
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11670015/W11670015.html





๑๙

ไม่ใช่คนแปลกหน้า




ท้องฟ้าเริ่มสางแล้วเมื่อทุกคนลงจากเรือข้ามเกาะ ชลธิศบอกให้ลุงเติมกลับไปพักผ่อนต่อ มาริณยกมือไหว้ขอบคุณชายวัยกลางคนแล้วจึงเดินตามชายหนุ่มไป

เกาะอิสระธาราเป็นเกาะขนาดกลาง รายล้อมไปด้วยต้นไม้ดูร่มรื่น แต่มาริณยังไม่มีโอกาสสังเกตอะไรมาก เพราะเพียงครู่เดียวชลธิศก็พาหล่อนเดินดุ่มๆมาถึงหน้าบ้านเสียแล้ว

“บ้านคุณน่ารักดีนะ” หญิงสาวบอกพลางเงยหน้ามองบ้านไม้สองชั้นหลังสีขาว หลังคามุงกระเบื้องสีฟ้าซึ่งการที่มันไม่มีรั้วล้อมรอบทำให้ดูโปร่งสบายตาเป็นอย่างยิ่ง

“คุณเป็นคนแรกที่ชมว่าบ้านผมน่ารัก”

“ก็จริงนี่ ฉันชอบบ้านแบบนี้แหละ ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป อุ๊ย มีโมบายล์หอยด้วย” หล่อนยิ้มละไมเมื่อได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งลอยมาตามลม ประกอบกับบ้านของชลธิศตั้งอยู่ไม่ห่างจากชายหาดมากนักทำให้ได้ยินเสียงคลื่นสาดกระทบฝั่งอยู่ตลอดเวลา

“เข้าบ้านเถอะ” เขาตัดบทเสียดื้อๆ

“จะรีบไปไหนเนี่ย”

“ไหนบอกว่าหิว ผมจะเตรียมบะหมี่ให้ แล้วจะได้พักผ่อนกันเสียที รีบตามมาได้แล้ว” เขาบอกเสียงเข้มราวกับครูดุๆ ซึ่งคนถูกดุก็เดินหน้าง้ำตามไปอย่างไม่เต็มใจนัก

“แล้วให้ฉันนอนที่ไหน”

“คืนนี้อาจจะต้องนอนห้องผมก่อน” ชลธิศบอกขณะกำลังไขกุญแจบ้าน

“อะไรนะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงสูงอย่างตกใจ ก่อนจะตั้งท่าปฏิเสธ “ไม่มีทาง ยังไงฉันก็ไม่นอนห้องเดียวกับคุณหรอก คุณน่าไว้ใจซะที่ไหน”

“ผมบอกว่านอนห้องผม ไม่ใช่นอนกับผม” คราวนี้เขาหันหน้ามาย้ำชัดๆ ซึ่งทำให้ฝ่ายหญิงหน้าแดงขึ้นด้วยความเขินอาย

“จะไปรู้เหรอ แล้วคุณจะไปนอนไหน” หล่อนถามเสียงอ่อย

“ผมเหรอ เดี๋ยวลงมานอนโซฟาข้างล่างก็ได้”

“บ้า ทำตัวเป็นพระเอกละครไปได้ ไม่ต้องเสียสละขนาดนั้นหรอก” หญิงสาวกล่าวอย่างนึกหมั่นไส้ แต่ก็แอบยิ้มในความมีน้ำใจของเขา

“แล้วจะให้ทำไงล่ะ ในเมื่อคุณไม่อยากนอนห้องเดียวกับผม” เขายิ้มเย้า ขณะที่ชลธิศกำลังจะผลักประตูเข้าไป มันก็เปิดออกเสียก่อนพร้อมกับไฟในบ้านที่สว่างขึ้น

“พี่เชน กลับมาแล้วเหรอคะ” หญิงสาวร่างเล็กอายุประมาณยี่สิบกว่าเอ่ยด้วยความดีใจ ก่อนที่ดวงตากลมโตจะแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยเมื่อมองมาทางมาริณ “นั่นใครเหรอคะ”

ชลธิศหันกลับมามองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก่อนจะแนะนำหญิงสาวทั้งสองให้รู้จักกัน

“นี่มาริณ เขาจะมาพักที่บ้านเราสักระยะ ส่วนนี่ชลันธร น้องสาวของผมเอง”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณชลันธร เรียกฉันว่ามีนก็ได้ค่ะ” คนแปลกหน้าค้อมศีรษะน้อยๆพลางมองเจ้าบ้านอย่างเป็นมิตร ขณะที่อีกฝ่ายยิ้มแห้งอย่างงุนงงไม่น้อยเมื่อเห็นพี่ชายพาผู้หญิงกลับมาบ้านตอนเกือบรุ่งสาง

“ค่ะ” ฝ่ายนั้นเพียงแสดงท่าทีรับรู้

“แล้วเราจะไม่บอกชื่อเล่นเหรอ” ชลธิศหันไปถามน้องสาวที่ยังอยู่ในอาการจับต้นชนปลายไม่ถูก

“อ๋อ ลันค่ะ แล้วนี่…” ยังไม่ทันที่ชลันธรจะได้พูด ชลธิศก็ยกมือขึ้นห้าม

“ไปนอนเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

“ค่ะ พี่เชนก็รีบนอนล่ะ กลับมาเหนื่อยๆ”

“รู้แล้วน่า”

แววตาของสองพี่น้องต่างเต็มไปด้วยความห่วงใย ซึ่งทำให้มาริณแอบยิ้มเล็กๆ เมื่อชลันธรเดินขึ้นไปบนบ้านแล้ว ชลธิศจึงหันมาหาหล่อน

“จะอาบน้ำก่อนไหม”

“กินก่อนดีกว่า” หล่อนตอบเสียงใส ชลธิศได้ยินก็หัวเราะเบาๆ

“แสดงว่าคงหิวมากจริงๆ เอาเถอะ ไม่อาบก็ไม่เป็นไร ตามมาในครัวดีกว่า” เจ้าของบ้านบอกแล้วเดินนำไป

ผู้เป็นแขกเดินตามไปไม่ห่าง พลางสำรวจภายในบ้านที่จัดอย่างเป็นระเบียบ มุมนั่งเล่นมีโซฟายาวสีน้ำตาลตัวใหญ่วางอยู่หน้าทีวี อีกด้านของบ้านกั้นเป็นห้องด้วยตู้หนังสือ มีชุดเก้าอี้ไม้หัวกลมไว้นั่งทำงาน ส่วนที่ว่างตรงกลางชั้นหนึ่งนั้นปูพรมสีฟ้า มีโต๊ะและเก้าอี้พลาสติกสีสันสดใสพร้อมของเล่นเด็กวางอยู่

“ของเล่นพวกนั้นของใครเหรอ” หล่อนถามขึ้นอย่างใคร่รู้ อย่าบอกนะว่าเป็นของลูกนายชลธิศ

คนตัวโตหันกลับมาชำเลืองมอง รอยยิ้มมีความสุขผุดขึ้นทั่วใบหน้า

“ของพริบดาว หลานสาวผมเอง”

มาริณพยักหน้ารับรู้และไม่ได้ถามอะไรมากกว่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่หล่อนสังเกตคือใบหน้าเขาดูอ่อนโยนขึ้นมากเมื่อพูดถึงหลานสาว

เมื่อชลธิศมาถึงในครัว เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟ ก่อนจะหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากตู้กับข้าวออกมาให้มาริณ

“หนึ่งซองพอไหม” ในดวงตาเขามีแววขัน

“ถามเหมือนฉันตะกละ ซองเดียวพอแล้ว” มาริณเอ่ยเสียงสะบัด รับบะหมี่มาจากชายหนุ่มซึ่งกำลังยิ้มกว้างอย่างชอบใจ “ยิ้มอะไรไม่ทราบ”

“เปล่านี่” ชลธิศยักไหล่ “เตาแก๊สอยู่ทางโน้น ไข่ไก่กับหมูสับอยู่ในตู้เย็น จัดการเลยนะ ผมขอไปอาบน้ำก่อน” เขาพยักพเยิดไปยังริมหน้าต่าง พูดจบจึงเดินออกจากห้องครัวไป ปล่อยให้หญิงสาวสาละวนอยู่ในนั้นเพียงลำพัง

ทว่าเมื่อจะพ้นประตู ชายหนุ่มก็หันหลังกลับไปมองมาริณอีกครั้ง พลางเดินออกไปพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆมีความหมายบนใบหน้า






เมื่อชลธิศกลับมาก็ได้กลิ่นหอมฉุยของบะหมี่หมูสับลอยออกมาแต่ไกล มาริณนั่งอยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหารสี่เหลี่ยมขนาดกลางในห้องครัว หล่อนคีบเส้นสีเหลืองนวลใส่ปาก เคี้ยวตุ้ยๆอย่างเอร็ดอร่อย ชายหนุ่มคิดว่าดีที่หล่อนไม่ยกชามขึ้นมาซดพรวดๆด้วย

เขาเคาะประตูห้องเบาๆให้สัญญาณ ดวงตาเรียวยาวสีดำขลับมองมา เมื่อเห็นว่าเป็นใคร เจ้าหล่อนจึงจัดการกับชามบะหมี่ตรงหน้าต่อ

“บอกว่าเอาอีกซองก็ไม่เชื่อ” ชลธิศกล่าวพลางมองชามกระเบื้องสีขาวที่พร่องไปกว่าครึ่ง

“ก็อิ่มพอดีไง” หล่อนบอกหลังจากเคี้ยวเสร็จ

“แต่ผมหิวขึ้นมาแล้วสิ” เจ้าของบ้านเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยราวกับจะให้สัญญาณอะไรบางอย่าง ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจเสียด้วย

“ฉันไม่ทำให้หรอกนะ”

“โธ่ บะหมี่ชามเดียว แลกกับการที่ผมช่วยคุณไว้ ไม่เห็นจะมากมายตรงไหนเลย” เขาทวงบุญคุณ รอยยิ้มระรื่นนั้นบ่งบอกว่าไม่ได้จริงจังนัก

มาริณมองเขาด้วยหางตาพลางเบ้ปากอย่างหมั่นไส้

“ย้ำบ่อยจริ๊ง รู้แล้วน่าว่าคุณเป็นผู้มีพระคุณของฉัน ถ้าไม่ได้คุณ ฉันต้องแย่แน่ๆ” แม้คำพูดที่เอ่ยออกไปนั้นจะเจือไปด้วยน้ำเสียงประชดประชัน แต่ในใจลึกๆมาริณยอมรับว่าถ้าไม่ได้ชลธิศ ป่านนี้ไม่รู้ว่าหล่อนจะเป็นอย่างไร

“โอเค งั้นเปลี่ยนคำพูดก็ได้ ถ้าคุณพอจะมีน้ำใจบ้าง ช่วยต้มบะหมี่ให้ผมสักชามได้ไหมครับ” เขาวอนเสียงอ่อนพร้อมมองหญิงสาว ดวงตาเป็นประกายอบอุ่น

“เออๆ ทำก็ได้ ว่าแต่จะใส่อะไรบ้างล่ะ” ไม่รู้ว่าทำไมต้องใจอ่อนเมื่อเห็นสายตาอ้อนวอนของชายหนุ่ม ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

“หมูสับ ไข่”

“ใส่ผักไหม” หญิงสาวว่าพลางตั้งท่าจะลุกจากเก้าอี้ไป

“ใส่ก็ดีครับ อ้อ เส้นไม่ต้องนิ่มมาก”

“ได้ทีสั่งเลยนะ รอเดี๋ยว” แม้ท่าทางจะไม่เต็มใจนัก หากสุดท้ายมาริณก็ลุกไปเปิดตู้เย็น เตรียมของออกมาทำบะหมี่ให้เขา

ชลธิศกอดอกหลวมๆ มองทุกอิริยาบถของหญิงสาวอย่างไม่คลาดสายตา ท่าทางหล่อนดูคล่องแคล่วไม่เบาเลย หยิบจับอะไรก็ไม่เคอะเขิน

“ต้มหนึ่งนาทีพอไหม แต่ฉันใส่หมูก่อนแล้วกัน เดี๋ยวมันไม่สุก” เมื่อหันกลับมาถาม มาริณถึงรู้ตัวว่าอีกฝ่ายมองอยู่อย่างไม่วางตา ใบหน้าของเขาระบายไปด้วยยิ้มอ่อนโยน แล้วไม่รู้ว่าทำไมรอยยิ้มนั้นถึงทำให้หน้าหล่อนร้อนวูบวาบขึ้นมาดื้อๆ

“ตามสบายเลยครับ” เขาพยักหน้าเบาๆ

“ถ้าไม่ถูกใจอย่าว่าแล้วกัน” พูดจบหญิงสาวก็รีบหันกลับไปเพื่อปกปิดความรู้สึกในแววตา หล่อนแสร้งทำว่ากำลังวุ่นวายกับหม้อซึ่งน้ำกำลังเดือดปุดๆ ทั้งที่การต้มบะหมี่ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน เพียงใส่หมูสับลงไปต้มจนเกือบสุก ตามด้วยบะหมี่และไข่ไก่กับผักเท่านั้นก็เสร็จ

“ให้ผมช่วยไหม” ชลธิศยืดตัวมองเมื่อเห็นอีกฝ่ายปิดเตาแก๊สและเตรียมจะยกหม้อลงเทบะหมี่ใส่ชาม

“ไม่ต้อง แค่นี้เอง”

“อย่าลืมเอาผ้ารองด้วยนะ เดี๋ยวร้อน”

“รู้แล้วน่า ใครจับมือเปล่าก็บ้าแล้ว”

เมื่อเรียบร้อยหล่อนก็ยกชามบะหมี่หอมหวนมาให้ชลธิศถึงที่ ชายหนุ่มขยับเก้าอี้นิดหน่อยเพื่อให้สะดวกในการรับประทานอาหารมื้อเกือบเช้า

“ตกลงคุณนอนไหน” มาริณถามอีกทีเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่ต้องร่วมห้องกับเจ้าของเกาะ

“ทำไม กลัวต้องนอนห้องเดียวกับผมเหรอ แค่พูดเล่น เดี๋ยวผมนอนห้องอ่านหนังสือข้างบนก็ได้” เขาหัวเราะเบาๆ และถามต่อ “คุณจะอาบน้ำเลยไหมล่ะ” เงยหน้าขึ้นถามเมื่อเห็นหญิงสาวยังไม่นั่งลง

“อยากอาบเหมือนกัน แต่ฉันไม่มีเสื้อผ้าติดตัวมาเลย” หล่อนนิ่วหน้าด้วยความลำบากใจ เพราะถุงเสื้อผ้าหายไประหว่างทาง

“ไม่ต้องห่วง ผมเอากระเป๋าเสื้อผ้าจากรถคุณมาให้แล้ว และก็ยังมีผ้าถุงที่ซื้อจากตลาดนัดตอนนั้นด้วย”

“จริงเหรอ” ดวงตาของมาริณเป็นประกายพราวพร่างขึ้น ในกระเป๋านั้นมีข้าวของเครื่องใช้จำเป็นของหล่อนมากมาย ดังนั้นการได้มันกลับมาจึงทำให้หญิงสาวดีใจมาก

“เดี๋ยวผมไปเอามาให้” ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่มาริณยกมือห้าม

“กินก่อนก็ได้”

“ไม่เป็นไร ไปเถอะ” พูดจบก็ฉวยมือบางเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ซึ่งถูกแบ่งอย่างเป็นสัดส่วน โถงทางเดินค่อนข้างกว้าง ตกแต่งด้วยภาพธรรมชาติโทนสว่าง

ทางด้านขวามือของโถงทางเดินมีสองห้อง ห้องแรกที่ใหญ่สุดนั้น ชลธิศบอกว่าเป็นห้องของเขา ส่วนถัดมาคือห้องอ่านหนังสือเล็กๆ ทางด้านซ้ายมีอีกสองห้อง เป็นห้องของชลันธรและพริบดาวหลานสาวของชายหนุ่ม ส่วนห้องน้ำถูกสร้างแยกออกมาต่างหาก

เจ้าของบ้านผลุบหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง ก่อนจะกลับมาพร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดย่อม “ห้องน้ำมีชั้นบนกับชั้นล่าง แต่คุณใช้ชั้นบนดีกว่า”

“แล้วชั้นล่างทำไมเหรอ” มาริณอดสงสัยไม่ได้ตามประสาคนช่างถาม

“ก็…อาจจะได้บรรยากาศธรรมชาติหน่อย เพราะมันอยู่นอกบ้านแล้วก็ไม่มีหลังคา ถ้าคุณอยากอาบน้ำใต้แสงดาวลองดูก็ได้” ดวงตาของเขาดูกรุ้มกริ่มจนมาริณอดเขินไม่ได้

“งั้นเอาชั้นบนนั่นแหละ” หล่อนหลุบตาลงต่ำ

“อาบน้ำตามสบายเลยนะ” เขาพูดจบก็หันหลังเดินลงบันไดไป

“อ้าว แล้วไม่อยู่ก่อนเหรอ”

“อะไรนะ ให้ผมอยู่ด้วย หมายความว่าไง” ชลธิศหันกลับมา ทำท่าตกใจ แต่ยิ้มพราย

“ก็ที่นี่บ้านคุณ แล้วฉันเป็นใครมาจากไหนไม่รู้ จู่ๆจะให้เข้านอกออกในสบายๆ ไม่เหมาะมั้ง” หล่อนขยายความก่อนที่เขาจะคิดไปไกลกว่านี้

“พูดเหมือนเราเป็นคนแปลกหน้า” เจ้าของเกาะอิสระธาราเลิกคิ้วหนาขึ้น

“หรือไม่ใช่”

“ไม่ใช่” น้ำเสียงของเขาจริงจัง “ผมอาจยังเป็นคนแปลกหน้าในสายตาคุณ แต่คุณ…ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับผม”

แม้จะเป็นเพียงคำพูดง่ายๆ หากหัวใจของมาริณกลับเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาด เจ้าของคำพูดเดินลงไปด้านล่างแล้ว หากคำพูดที่เขาทิ้งไว้ยังทำให้ใบหน้าใสร้อนผะผ่าวไม่หยุด

บ้าจริง ทำไมต้องหวั่นไหวด้วย เขามีอิทธิพลกับหัวใจหล่อนตั้งแต่เมื่อไรกัน

จากคุณ : นิชนันท์
เขียนเมื่อ : 22 ก.พ. 55 21:33:16




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com