Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
วันสุดท้ายของต้นไม้(ที่พูดได้)ต้นสุดท้ายของโลก ติดต่อทีมงาน

เรื่องสั้นเรื่องนี้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการฟังเพลงแนว Post - Rock และมันได้ตีพิมพ์ด้วยนามปากกาเธียร อาชาปราชญ์ในขายหัวเราะ ฉบับ 1177 ประจำสัปดาห์นี้ (เลขเบิ้ลหน้าเบิ้ลหลังเลยเนอะ 55+)

ขอแนะนำให้ผู้ที่หลงเข้ามาในกระทู้นี้ เปิดเพลงที่อยู่ในกระทู้ฟังไปด้วยจะได้อารมณ์มาก เพราะมันเป็นเพลงที่ผมเปิดฟังวนไปวนมาขณะเขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้  

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ ^^

----------------------------------


คงจะนับเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างที่สุดที่จะบอกว่าบนโลกใบนี้ ยังคงมีต้นไม้ต้นหนึ่งที่สามารถพูดคุยสนทนากับทั้งมนุษย์ และสัตว์ป่าได้ มันเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ แต่ทว่ามีอยู่จริงในป่าแห่งหนึ่งของดินแดนที่ถูกเรียกว่า “โลกที่สาม” ที่ไม่มีใครล่วงรู้ว่าอยู่ที่ไหน

แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่ต้นไม้ต้นนั้นได้ตายลงเสียแล้วด้วยไฟแห่งสงครามที่มันไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยเลยแม้แต่น้อย

ไม่ใช่แค่พูดได้เท่านั้น แต่ต้นไม้ที่มีนามว่า “พาโบลผู้รอบรู้” ยังสามารถร้องเพลงได้ ขับขานบทกวีได้ และยังสามารถวิพากษ์วิจารณ์การเมืองอย่างเผ็ดร้อนได้อีกด้วย พาโพลเป็นต้นไม้ที่ตั้งอยู่ใจกลางป่า แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงากับสัตว์ที่มาพักพิงอย่างร่มเย็น มีความสูงที่คนตัวโตต้องแหงนมองคอตั้งบ่า และมีขนาดลำต้นที่กว้างขวางประมาณสามสิบคนโอบ

ไม่มีใครทราบว่าพาโบลผู้รอบรู้มีอายุอานามเท่าไหร่ เพราะเมื่อลืมตาถือกำเนิดเกิดขึ้นมา พวกเขาก็เห็นพาโบลตั้งต้นเจริญเติบโตอยู่ตรงนี้มาก่อนแล้ว ปริศนาอายุของพาโบลดำมืดพอๆ กับปริศนาที่ว่าพาโบลคือต้นไม้ชนิดใด ทำไมถึงมีหูมีตามีปาก พูดได้ทั้งภาษาคนและภาษาสัตว์ แต่กลับไม่ออกดอกออกผลให้เชยชมหรือขบกินเลยนอกจากใบเขียวขจีที่สะพรั่งตลอดปีไม่มีร่วง

ไม่มีใครทราบคำตอบเหล่านั้น แม้กระทั่งตัวของพาโบลเอง

และเขาก็ไม่ร้อนใจที่จะเร่งเร้าหาคำตอบ เพราะพาโบลไม่รู้ว่าหากได้คำตอบแล้วจะเกิดประโยชน์อะไรขึ้น ไม่ว่าจะรู้คำตอบหรือไม่ เขาก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปเช่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลง พาโบลคิดว่าทุกคำถามย่อมต้องมีคำตอบ  เพียงแต่ว่าบางคำตอบก็เป็นการเสียเวลาเปล่าที่จะค้นหา

ดังนั้น พาโบลจึงใช้เวลาทั้งวันคอยช่วยแก้ไขปัญหาดำมืดในจิตใจของคนอื่นๆ มากกว่าปัญหาของตนเอง เขาจึงเป็นเสมือนศูนย์กลางปรับทุกข์ในป่าสำหรับสัตว์ป่าทุกตัว

แต่นับแต่นี้ไป จะไม่มีการปรับทุกข์อันใดอีกต่อไปแล้ว...

เนื่องเพราะวันนี้เป็นวันกำหนดการอพยพของชาวป่า ก่อนที่ระเบิดชุดแรกจะถูกโปรยทิ้งลงมาจากนกเหล็กเวลาหกโมงเย็นด้วยผลพวงความขัดแย้งไม่เข้าใจกันของผู้นำทั้งสองซีกในประเทศ คือซีกตะวันตกและตะวันออก ซึ่งดูเหมือนว่าประเทศที่ล้าหลังมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ หากไม่ถูกฝ่ายอื่นรุกราน ก็ต้องรุกรานกันเองเพื่อก่อสงครามแย่งชิงความเป็นหนึ่ง

พาโบลรู้สึกดีใจที่ตนเองเกิดมาเป็นต้นไม้ ไม่ใช่มนุษย์ที่น่ารังเกียจอย่างนั้น

********

วันนี้พาโบลต้องรับแขกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเมื่อนกฮูกที่ชื่อคลีฟบินมาเกาะบนกิ่งไม้เพื่อร่ำลาก่อนอพยพหนีไฟสงครามไปอยู่ที่อื่น

“อรุณสวัสดิ์  วันนี้มาแต่เช้ามืดเชียวนะ” พาโบลถามเป็นภาษานกฮูก  เขาทราบดีอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมาเพื่ออะไร

“อรุณสวัสดิ์ พาโบล” คลีฟกรีดเสียงตอบระห้อย “ข้ามาเพื่อบอกลาท่าน”

“อ้อ ขอบคุณมาก” ต้นไม้ขยับปากหัวเราะอย่างแจ่มใส “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะ แล้วจะอพยพไปไหนล่ะนี่?”

“มุ่งหน้าขึ้นเหนือน่ะ” นกฮูกถอนหายใจ ขยับตัวและกระพือปีกสลัดขนเบาๆ “ว่าแต่ท่านตัดสินใจที่จะอยู่ต่อที่นี่จริงๆ หรือ?”

“อื้อ ข้าตัดสินใจแล้ว” พาโบลตอบ กิ่งก้านสาขาของเขากระพือไหว เสียงใบไม้เสียดสีกันดังเกรียวกราวเมื่อลมยามเช้าโบกโบยมาทักทาย

“ทำไมล่ะ พาโบล” เจ้านกฮูกพูดเหมือนจะอ้อนวอน “ข้าคิดว่าหากท่านต้องการ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในป่าต้องมาช่วยกันขุดรากท่านและอพยพไปอยู่ที่อื่นด้วยแน่นอน ขอเพียงท่านเอ่ยปากเท่านั้น”

“ไม่มีประโยชน์หรอก คลีฟ” ต้นไม้ฉีกยิ้ม “ข้าเกิดที่นี่ รากของข้าอยู่ที่นี่ สวรรค์เลือกให้มันเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงต้องตายที่นี่เท่านั้น”

มันเป็นการตัดสินใจเด็ดขาดของพาโบลตั้งแต่มีการประชุมสมัชชาชาวสัตว์ป่าเมื่อวานนี้ว่าใครจะอพยพไปกับใครบ้าง  สัตว์ทุกตัวต่างประหลาดใจที่พบว่าพาโบลผู้รอบรู้เลือกที่จะอยู่เผชิญระเบิดที่ป่าแห่งนี้ไม่ไปไหน ซึ่งการตัดสินใจอย่างนั้น ก็เท่ากับเป็นการเลือกฆ่าตัวตายนั่นเอง

ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมพาโบลถึงเลือกเช่นนั้น แม้สัตว์หลายตัวที่เป็นเพื่อนสนิทกันมานานอย่างผู้เฒ่าตะพาบหรือลุงช้างป่าจะเข้ามาเกลี้ยกล่อมแต่ก็ไร้ผล

พาโบลตัดสินใจแล้วและจะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของเขาได้ทั้งนั้น

********

นกฮูกคลีฟจากไปในที่สุดพร้อมความล้มเหลวที่จะโน้มน้าวจิตใจให้พาโบลอพยพ

สองชั่วโมงให้หลัง เมื่อดวงตะวันเริ่มโชนแสงที่เหลี่ยมเขา ผู้ที่เข้ามาร่ำลาต้นไม้ใหญ่เป็นรายต่อมาก็คือหัวหน้าฝูงสิงโตเพศผู้ที่ชื่อกรั๊นจ์ ซึ่งพาโบลเคยให้คำปรึกษาเรื่องการควบคุมลูกฝูงให้อยู่ใต้อำนาจเมื่อสองสามเดือนก่อน

พาโบลส่งมิตรภาพให้กรั๊นจ์ด้วยการคำรามทักทายเป็นภาษาสิงโต ซึ่งสิงโตเองก็คำรามตอบโต้กลับมาอย่างมีไมตรีต่อกัน หากใครได้ผ่านเข้าไปแถวนั้นในเวลานั้น ทุกคนก็จะได้เห็นสิงโตตัวหนึ่ง นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ยักษ์ท่ามกลางลำแสงของอรุณรุ่งที่ผลิบานในเช้าวันใหม่อันสดใส

แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไป และสิ่งนั้นก็คือสรรพเสียงแห่งความเบิกบานของชาวสัตว์ป่าทุกตัว

“ข้ากำลังจะพาลูกฝูงอพยพไปแล้ว คงคิดถึงท่านมากทีเดียว หากไม่มีท่านแล้ว ข้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใครดีเมื่อเกิดปัญหาในฝูง” กรั๊นจ์รำพึงรำพันทำเอาพาโบลอดสงสารไม่ได้ที่สิงโตหนุ่มซึ่งยังไม่ถึงวัยผู้นำกลับต้องรับช่วงสวมหัวโขนจ่าฝูงต่อจากบิดาผู้เสียชีวิตลงเพราะพรานล่าสัตว์หัวทอง

“เข้มแข็งไว้เถิด อย่าลืมว่าเจ้าเป็นทายาทของกรัต สิงโตที่ทุกคนหวาดเกรง และเจ้าก็ชนะในการต่อสู้ชิงตำแหน่งจ่าฝูงตัวใหม่มาแล้ว” ต้นไม้พูดด้วยเสียงหนักแน่น

“ก็ถ้าไม่ถูกแม่บังคับ ข้าจะไม่ลงชิงชัยต่อสู้หรอก” จ้าวป่าถอนหายใจ “ข้าไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่เกิดมาเป็นบุตรของกรัตผู้ยิ่งใหญ่ ทุกคนต่างคาดหวังกับข้าไว้สูงมากเหลือเกิน ข้ากลัวว่าหากข้าทำได้ไม่ดีเพียงพอ มันจะส่งผลเสียกระเทือนไปถึงบิดาผู้เป็นนิรันดร์ของข้า”

“เจ้าเป็นสิงโตที่คิดมากไปแล้ว ลูกเอ๋ย สิ่งมีชีวิตทั้งหลายมักจองหองอวดตนเกินกว่าที่เป็น แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีสิ่งมีชีวิตอีกหลายตนที่มักประเมินคุณค่าของตัวเองต่ำไป” พาโบลพูด “เช่นตัวเจ้า กรั๊นจ์ เจ้ามักดูถูกความสามารถของตัวเอง เจ้าชอบนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับบิดา ซึ่งในวัยหนุ่มเช่นนี้ เจ้าไม่มีทางสู้เขาได้แน่ แต่ทำไมเจ้าต้องเปรียบตนกับผู้อื่นเล่า เจ้าก็คือเจ้า จงมั่นใจในตัวเองให้มากที่สุดเถิด นั่นแหล่ะคือสิ่งที่จะทำให้เจ้ากลายเป็นจ่าฝูงที่ลูกฝูงทุกตัวเคารพบูชา”

คำพูดของพาโบลมักเป็นเช่นนี้เสมอ เรียบง่าย แต่อบอุ่นเข้าไปถึงหัวใจผู้รับฟัง สิงโตหนุ่มพยักหน้าด้วยความรู้สึกหัวใจพองโตเสมือนได้รับกำลังใจจากสวรรค์ มันรู้ดีว่าข้อเสียประจำตัวคือไม่มีความมั่นใจในตัวเองเท่าที่ควร แต่มันก็ยังแก้ไม่หายสักที

ทุกครั้งที่มาปรึกษาพาโบลผู้รอบรู้ กรั๊นจ์ก็จะกลับไปที่ฝูงต่อด้วยความมุ่งมั่น แต่ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับลูกฝูงบางตัวที่ทำตนกระด้างกระเดื่องทีไร  ความมุ่งมั่นก็ถูกบั่นทอนลงทีละเล็กละน้อยจนสุดท้ายก็กลับมาเป็นกรั๊นจ์ - สิงโตหนุ่มผู้ไร้ประสบการณ์และขาดความมั่นใจตัวเดิม

“ท่านไปกับข้าไม่ได้หรือ พาโบล ท่านเป็นคนเดียวที่ทำให้ข้ามีกำลังใจในการคุมฝูงต่อไป หากไม่มีท่าน ข้าจะทำอย่างไรเมื่อหมดความมั่นใจ เมื่อเผชิญความท้อแท้ เผชิญความสิ้นหวัง” กรั๊นจ์ส่งเสียงอ้อนวอนอย่างที่นกฮูกเคยทำเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

พาโบลยิ้มไม่พูดอะไร  สะบัดกิ่งก้านเบาๆ ปลิดใบไม้หลุดออกจากขั้วลอยละล่องตกมาอยู่บนพื้นดินเบื้องหน้าสิงโตหนุ่มใบหนึ่ง

“เก็บใบไม้ใบนั้นเอาไว้ กรั๊นจ์ มันจะเป็นตัวแทนของข้าสำหรับเจ้า หากเจ้าหมดความมั่นใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง โปรดควักมันออกมาดู และนึกถึงคำที่ข้าพร่ำบอก เจ้าต้องเป็นราชสีห์ที่ทุกคนครั่นคร้ามได้อย่างแน่นอน” ต้นไม้ใหญ่กล่าวอย่างเมตตา “ขอแค่มั่นใจในตัวเอง ชีวิตนี้ก็จะไม่มีอะไรที่เจ้าต้องหวาดกลัวอีกแล้ว”

กรั๊นจ์ก้มมองใบไม้สีเขียวสดใบนั้นซึ่งเป็นใบไม้วิเศษที่ไม่มีวันเหี่ยวแห้ง แล้วน้ำตาของสิงโตหนุ่มก็ไหลย้อยหยดร่วงออกจากดวงตาตกลงบนพื้นดินเมื่อรับรู้ว่าในอีกไม่ถึงสิบสองชั่วโมงหน้า ระหว่างที่ตัวมันเองคุมลูกฝูงอพยพไปไกลลิบ พาโบลจะถูกระเบิดกลายเป็นเถ้าถ่านพร้อมกับต้นไม้ส่วนที่เหลือของป่าแห่งนี้  

“ขอบคุณมาก พาโบล ท่านจะอยู่ในใจข้าเสมอ” กรั๊นจ์กล่าวอย่างตื้นตัน มันก้มกายหมอบคำนับให้กับต้นไม้ใหญ่อย่างนอบน้อมที่สุด ก่อนจะคาบใบไม้ใบนั้นที่พาโบลมอบให้ เดินจากมาโดยข่มใจไม่ให้ตัวเองหันหลังมองกลับไปอีกเลย

********

ใจกลางป่าวันนี้คึกคักเป็นพิเศษ แต่เป็นความคึกคักที่เต็มไปด้วยความเศร้าและคราบน้ำตา เพราะทุกชีวิตที่ตั้งใจมาหาพาโบลในวันนี้ก็เพื่อมาบอกลา...ลาจากตลอดกาลโดยที่ต่างฝ่ายต่างก็รู้ดีว่าจะไม่มีทางหวนคืนมาเจอกันใหม่อีกแล้ว  

สัตว์ป่าทุกตัวทราบดีว่านี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะได้เห็นพาโบลยืนต้นตระหง่านง้ำค้ำเมฆอยู่เช่นนี้ แต่หากถึงกำหนดการที่เครื่องบินจะมาทิ้งระเบิดเมื่อไหร่ ก็ไม่มีใครอยากคิดแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ดังนั้น พื้นดินรอบๆ ลำต้นของพาโบลในขณะนี้จึงเปียกชื้นไปด้วยน้ำตาซึ่งสัตว์ทุกตัวที่เข้ามาลาต้องทิ้งเอาไว้เป็นอนุสรณ์  น้ำตาเหล่านั้นซึมซาบจากหน้าดินลงสู่ใต้ดิน และก็ซึมต่อลงมาให้รากที่ขยายเขตกว้างขวางใต้ผืนดินของพาโบลดูดซับไปดื่มกินใช้ประโยชน์

วันนี้จึงเป็นวันแรกและวันสุดท้ายที่พาโบลได้กินน้ำตาของเพื่อนร่วมป่าเป็นอาหาร

สัตว์ทั้งหลายที่ทยอยกันมาลาพาโบลตั้งแต่เช้ายันเที่ยงล้วนมีหลากหลายชนิด นับตั้งแต่ฝูงมด หมาป่า หมีควาย กระทิง ไล่เรื่อยไปจนถึงพญาช้างสาร ซึ่งทุกชีวิตต่างก็พากันก่นด่าเหล่ามนุษย์ที่ชอบก่อสงครามและส่งผลเดือดร้อนไปทั่วให้พาโบลผู้รอบรู้ฟัง แต่ต้นไม้ใหญ่ก็มักจะปลอบทุกตัวเหมือนๆ กันหมดว่า

“ใจเย็นๆ เถิดน่า สักวันมนุษย์พวกนั้นก็คงรู้เองว่าการก่อสงครามและฆ่าฟันกันเองนั้นเป็นเรื่องที่ไร้สาระอย่างยิ่ง”

คำพูดประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากของพาโบลอย่างง่ายดาย มันช่างเป็นคำพูดที่ไม่น่าจะออกมาจากผู้ที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะต้องตายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ประโยคสั้นฟังเรียบง่าย แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ลำต้นของเขา พาโบลก็แอบสะทกสะท้อนใจในพฤติการณ์ของมนุษย์อยู่บ้างเหมือนกัน

พวกมนุษย์มัวแต่กลัวกันว่าโลกจะแตกเพราะธรรมชาติลงโทษ แต่ไม่เคยเหลียวมองเลยว่าโลกจะถึงกาลอวสานเพราะสงครามนิวเคลียร์เสียมากกว่า เพราะตราบใดที่ยังมีการรบราฆ่าฟันแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อผลประโยชน์โดยเอาประเทศชาติบังหน้า ตราบนั้นความเป็นไปของโลกก็ยิ่งเลวร้ายลงเสียยิ่งกว่าวิกฤตการณ์โลกร้อนเสียอีก

“ข้าเหนื่อยใจเหลือเกิน พาโบล ข้าอยากบินไปในดินแดนที่ปราศจากสงคราม ข้าอยากบินไปอยู่ในดินแดนที่มีแต่ความสุขสงบ ไม่มีการรบรา ไม่มีเด็กกำพร้าเพราะพ่อแม่ตายในสงคราม ไม่มีความอดอยาก ไม่มีการแบ่งชั้นระหว่างคนจนกับคนรวย ข้าอยากให้โลกนี้กลายเป็นดินแดนแบบนั้นจริงๆ มันคงเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ขึ้นมาก”

พิราบขาวตัวหนึ่งที่ชื่อพีซกล่าวขณะมาเยี่ยมเยือนพาโบลเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะมุ่งหน้าขึ้นเหนือร่วมกับพรรคพวกในฝูง

“แต่ตราบใดที่โลกนี้ยังคงมีมนุษย์  ดินแดนที่เจ้าใฝ่ฝันไม่มีทางเกิดขึ้นจริงหรอก พีซ” พาโบลพูดด้วยเสียงปกติ แล้วจึงส่งเสียงหัวเราะอย่างขมขื่นให้กับเจ้านกน้อยที่ถอนหายใจอย่างกระฟัดกระเฟียดอยู่บนกิ่งก้านกิ่งหนึ่งบนตัวเขา

********

ในตอนที่จัดการประชุมสมัชชาชาวสัตว์ป่า ณ ใจกลางป่าเมื่อวานนี้เพื่อพูดคุยถึงเรื่องการอพยพนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนเห็นพ้องต้องกันว่าเวลาที่ทุกคนควรอพยพออกจากป่าให้หมดสิ้นคือเวลาก่อนเที่ยง ด้วยว่าพวกเขาไม่ประมาทเผื่อเครื่องบินทิ้งระเบิดจะมาก่อนกำหนดเวลาหกโมงเย็น

ด้วยเหตุนั้น พาโบลจึงไม่คาดคิดว่าในขณะที่ดวงตะวันลอยโด่งแขวนตัวเองอยู่กลางท้องฟ้า  ป่าทั้งป่าเงียบสงัดปราศจากสรรพสำเนียงของสิ่งมีชีวิตจนน่าวังเวง จะมีเด็กน้อยชาวป่าสองคนเดินจับมือกันมาตามทางเดินที่รกร้าง มุ่งหน้ามาหาเขาด้วยสองเท้าน้อยๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งรองเท้าสวมใส่

เด็กน้อยชายหญิงคู่นั้นเป็นพี่น้องกัน พวกเขาเดินมาหยุดอยู่ใต้ลำต้นของพาโบลที่แสงแดดไม่สามารถส่องทะลุหลังคาใบไม้ลงมาได้ แล้วก็เป็นฝ่ายพาโบลเองที่เอ่ยทักทายขึ้นก่อนด้วยภาษามนุษย์ว่า

“ยังไม่อพยพกันอีกหรือ  จารีล – มีฮาล?”

จารีลคือชื่อของพี่ชาย มีฮาลคือชื่อของน้องสาว ทั้งสองคนเคยหลงป่าเมื่อปีที่แล้ว และได้พาโบลนี่เองที่ให้ความช่วยเหลือบอกเส้นทางกลับออกจากป่า แถมยังไหว้วานให้ลิงอุรังอุตังตัวหนึ่งคอยดูแลระหว่างทางอีกด้วย

เด็กน้อยทั้งสองคนทราบว่าพาโบลเป็นต้นไม้ที่ผิดแผกแปลกประหลาดจากต้นอื่น ซึ่งต้นไม้ใหญ่ก็ได้ขอร้องไว้ว่าอย่านำเรื่องนี้ไปบอกใครเพราะนอกจากสัตว์ป่าแล้วก็ไม่มีใครรู้ถึงการมีอยู่ของเขาอีก หากเรื่องนี้หลุดไปถึงหูบรรดามนุษย์เมื่อไหร่ ป่าทั้งป่า และชีวิตทั้งชีวิตของพาโบลก็คงไม่ได้พบความสงบอีกต่อไปอย่างแน่นอน

เด็กน้อยสองพี่น้องได้ฟังดังนั้นก็ทำตามอย่างเคร่งครัด พวกเขาไม่ปริปากบอกใครเรื่องต้นไม้มหัสจรรย์ใจกลางป่า แต่พวกเขาก็มักกลับมาหาพาโบลบ่อยๆ เวลาที่เบื่อไม่มีอะไรจะทำ โดยไม่สนใจคำเตือนจากพาโบลเลยว่าในป่าจะมีสัตว์ดุร้ายมากมาย อันหมายถึงอันตรายที่สามารถปลิดชีวิตหนูน้อยทั้งสองได้ในพริบตา

แต่วันนี้ – ตอนนี้ – นาทีนี้ แม้ในป่าจะไม่มีสัตว์ป่าทั้งที่ดุร้ายและไม่ดุร้ายหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ทว่าพาโบลกลับรู้สึกเป็นห่วงชีวิตน้อยๆ ของเด็กคู่นี้มากกว่าที่เคย เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าหากเครื่องบินทิ้งระเบิดมาก่อนเวลา จารีลกับมีฮาลจะหนีรอดได้อย่างไร?

แล้วปัญหาที่ทำให้ต้นไม้ใหญ่หนักใจก็ค่อยๆ คลายลงเมื่อจารีลเป็นคนกล่าวตอบ

“พ่อข้าพาพรรคพวกมาตัดไม้ในป่าฝั่งขะโน้น พวกเขาจะนำไม้ไปสร้างบ้านในที่ๆ เรากำลังจะอพยพไปอยู่ใหม่  ข้าเลยพามีฮาลมาร่ำลาท่าน อีกชั่วยามพวกเราก็จะไปกันแล้ว”

“ขอบคุณที่นึกถึงกัน ข้าซึ้งใจมาก  แต่พวกเจ้ารีบกลับดีกว่านะ ประเดี๋ยวพ่อแม่จะเป็นห่วง” พาโบลกล่าว เสียงพูดในภาษามนุษย์ของเขาย้ำเตือนถึงอายุที่ยืนยาว  หากเป็นมนุษย์ เสียงของเขาก็คือเสียงของชายชราคนหนึ่งนี่เอง

“แต่มีฮาลอยากได้ยินท่านร้องเพลงเป็นครั้งสุดท้าย” จารีลพูด ยกมือลูบศีรษะน้องสาวที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันด้วยความรักใคร่ “ช่วยร้องเพลงให้น้องข้าฟังหน่อยเถิด”

“เจ้าอยากฟังเพลงใดเล่า สาวน้อย?” พาโบลถามพร้อมส่งรอยยิ้มให้เด็กหญิงที่น่าจะมีอายุไม่ถึงสามขวบ

“ข้าอยากฟัง...” มีฮาลยกนิ้วแตะคางทำท่านึก และเธอก็นึกออกในฉับพลัน “...เพลงที่ท่านร้องเพื่อปลอบให้ข้าหยุดร้องไห้ในวันนั้น!”

มีฮาลหมายถึงวันที่ตนกับพี่ชายเข้ามาหาผลไม้ป่าจนหลงทางและเป็นเหตุให้เดินมาเจอต้นไม้พูดได้โดยบังเอิญ

พาโบลเข้าใจความหมายของเด็กน้อย แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเพลงที่เขาร้องในวันนั้น เป็นเพลงที่เขาแต่งขึ้นมาร้องสดๆ โดยหวังปลอบขวัญหนูน้อยที่กำลังตื่นตระหนก ซึ่งพาโบลก็คงร้องได้แค่ตอนนั้นครั้งเดียว เพราะเขาจำเนื้อเพลงไม่ได้แล้วว่าร้องอะไรออกไปบ้าง

“เอาอย่างนี้ดีไหม  แม่สาวน้อย” ต้นไม้ใหญ่พยายามหาทางออกอย่างนุ่มนวลที่สุด

“อะไรหรือท่านปู่ต้นไม้?” มีฮาลถามกลับด้วยความสนใจ เธอมักเรียกพาโบลว่าท่านปู่ต้นไม้เสมอ

“ข้าจะแต่งเพลงใหม่ให้เจ้า มันเป็นเพลงที่แต่งขึ้นมาเพื่อการจากลาของพวกเราในวันนี้” พาโบลพูด และรอดูปฏิกิริยาจากเด็กหญิงตัวเล็กที่ยืนตาแป๋วรอคอยคำตอบ

“ร้องเลย ร้องเลย!” มีฮาลกระโดดดีใจ วิ่งเข้ามาเกาะลำต้นของพาโบล “ข้าอยากฟังท่านร้องเพลง!”

พาโบลถอนหายใจโล่งอก  จารีลเดินเข้ามายีหัวน้องสาวอย่างเอ็นดูเมื่อต้นไม้ใหญ่อ้าปากกว้าง และเริ่มต้นขับขานบทเพลงแห่งการจากลาก้องสะท้อนไปทั่วป่าที่เงียบงัน  

เพลงๆ นั้นอาจจะลอยไปถึงหูบรรดาชาวบ้านที่เข้ามาตัดไม้ก่อนเคลื่อนขบวนอพยพ แต่พาโบลไม่สนใจอีกแล้ว เขารู้ดีว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงเขาก็ต้องตาย และมันก็คงไม่มีข้อแตกต่างอีกแล้วว่าใครจะล่วงรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ของเขาหรือไม่

พาโบลสนใจเพียงแค่วินาทีนี้ เขาจะทำให้มีฮาลมีความสุขมากที่สุดก่อนที่จะต้องจากกันไปตลอดกาล

********

เมื่อสนธยามาเยือนพร้อมฝูงเครื่องบิน พาโบลภาวนาให้เพื่อนพ้องของเขา(อันรวมถึงจารีลและมีฮาลด้วย) เดินทางห่างไกลไปจากป่าแห่งนี้มากพอที่แรงระเบิดจะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อพวกเขา

ในตอนนี้ป่าทั้งป่าเหลือสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ยังยืนตระหง่านอยู่ที่เดิม สิ่งนั้นคือพาโบล

ฝูงเครื่องบินทิ้งระเบิดมาตรงเวลา ไม่มีขาดหรือเกินสักนาทีเดียว

เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้น จากตอนแรกที่ฟังดูไกลๆ แต่ไม่นานนักเสียงนั้นก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทีละนิด เช่นเดียวกับพื้นดินที่ทวีความรุนแรงของการสั่นสะเทือนราวเกิดแผ่นดินไหว  เสียงคำรามของเครื่องบินทิ้งระเบิดดังแหลมสูงทรมานโสตประสาทของพาโบลยิ่งกว่าเสียงใดๆ ที่เคยได้ยินมาในชีวิตขณะที่พวกมันบินผ่านยอดไม้ของเขาไป

ต้นไม้ใหญ่หลับตาลง ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวใดสามารถแผ้วพานเข้ามาในจิตใจอันสุขสงบของเขาได้ พาโบลรู้สึกดีใจที่แม้แต่วันสุดท้ายในชีวิต เขาก็ยังสามารถช่วยให้คำปรึกษา และมอบความสุขให้กับเพื่อนร่วมโลกอย่างสิงโตกรั๊นจ์และหนูน้อยสองพี่น้องได้อย่างไม่มีอะไรให้เสียใจ

สำหรับต้นไม้อย่างเขา ทำได้แค่นี้ก็นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนลำต้นอันกว้างขวาง  ระเบิดชุดนั้นถูกโปรยออกจากท้องเครื่องบิน ลอยละลิ่วร่วงหล่นเหมือนม่านฝนจากนรก

ระเบิดลูกหนึ่งตกลงมากลางกิ่งก้านสาขาที่แผ่สยายของพาโบล นั่นคือวินาทีสุดท้ายในโลกใบนี้สำหรับเขา เพราะวินาทีต่อมา ระเบิดลูกนั้นก็ทำงานพร้อมกับพลพรรคของมันที่ตกกระจายเกลื่อนพื้นป่า รอบบริเวณกึกก้องด้วยเสียงกัมปนาทปานฟ้าจะถล่ม  ลำต้นขนาดหลายสิบคนโอบของพาโบลถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไฟโลกันต์พวยพุ่งตามด้วยละอองดินที่ตลบคลุ้งกระจายตัวทั่วอากาศเป็นหมอกทึบหนา

ผู้ที่ก่อสงคราม ผู้ที่ออกคำสั่งโจมตี ผู้ที่เป็นคนขับเครื่องบินในการทิ้งระเบิดครั้งนี้ พวกเขาไม่มีวันรู้เลยว่า เพราะอำนาจที่แก่งแย่งชิงดีกันแท้ๆ พวกเขาถึงได้ปลิดชีวิตต้นไม้ที่พูดได้ต้นสุดท้ายของโลกลงเสียแล้วอย่างน่าเสียดายที่สุด

------------------------------

แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 55 22:09:45

แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 55 21:55:53

แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 55 21:47:59

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 22 ก.พ. 55 21:39:30




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com