Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
คือแสงแห่งใจ # 6 & 7 ติดต่อทีมงาน

บทนำ & ตอนที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11655079/W11655079.html

ตอนที่ 2 & 3  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11680057/W11680057.html


ตอนที่ 4 & 5  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11714293/W11714293.html


ตอนที่ 6


แสงตะวันก้าวเท้าเข้ามาในร้านอาหารบรรยากาศร่มรื่นด้วยความสนใจ ร้านอาหารที่มีบรรยากาศแบบธรรมชาติแบบนี้หาได้น้อยเต็มที่ในเมืองหลวงที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ร้านที่เขากำลังยืนอยู่ไม่ได้ตั้งอยู่กลางเมืองแต่ก็ไม่ได้อยู่นอกเมือง ถนนที่ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ขึ้นชื่อว่ามีร้านอาหารเปิดให้บริการมากที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ

‘บ้านพิมพัฒ’ ตกแต่งร้านได้อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตัวร้านไม่ได้ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ อย่างร้านอื่นๆ ที่มักให้ร้านอาหารของตนอยู่ด้านหน้าและลานจอดรถอยู่ด้านหลัง แต่สำหรับบ้านพิมพัฒแล้วตรงกันข้าม เพราะด้านหน้าของร้านเป็นลานจอดรถ ถัดเข้าไปถึงจะเป็นตัวร้าน

ด้านในของร้านแบ่งออกเป็นสองส่วนคือด้านหน้าเป็นบรรยากาศแบบเปิด โต๊ะและเก้าอี้เลียนแบบธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสบายและความร่มรื่น ส่วนด้านในร้านนั้นเป็นบรรยากาศแบบปิด เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว

แสงตะวันเลือกนั่งบริเวณด้านนอกของร้านเพราะต้องการสัมผัสบรรยากาศแบบธรรมชาติ ซึ่งเป็นบรรยากาศที่เขาชื่นชอบอยู่แล้ว ชายหนุ่มเลือกสั่งอาหารเบาๆ เพื่อรองท้อง เพราะค่ำนี้เขามีนัดทานข้าวกับหุ้นส่วนใหญ่ของโรงแรมที่เขาทำงานอยู่ ความจริงเขาควรจะเผื่อเวลาไว้สำหรับการนัดหมาย แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำให้เขาอยากมาที่นี่ก่อนโดยไม่ทราบสาเหตุ

ภายในร้าน พัฒนะซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์คอยดูแลความเรียบร้อยต่างๆ กำลังเพ่งสายตามองไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ริมระเบียง ก่อนเดินออกจากเคาน์เตอร์ตรงไปยังชายหนุ่มคนนั้น

“คุณแสง” พัฒนะทักขึ้นเมื่อเดินมาถึงโต๊ะ แสงตะวันซึ่งกำลังมองรอบๆ บริเวณของร้านหันมองตามเสียง

“สวัสดีครับคุณพัฒน์” ชายหนุ่มทักพร้อมก้มศีรษะเป็นเชิงทักทายก่อนผายมือให้เขานั่งร่วมโต๊ะด้วย

“มานานหรือยังครับ ทำไมไม่บอกเด็กล่ะครับ ผมจะได้ออกมาต้อนรับ”

“ไม่รบกวนดีกว่าครับ ร้านคุณพัฒน์แต่งสวยมากเลยนะครับ บรรยากาศก็ดีมากเลย”

“ขอบคุณครับ ก็ช่วยกันกับน้องสาวน่ะครับ คุณแสงสั่งอาหารหรือยังครับ” พัฒนะถามขึ้น ในขณะที่แสงตะวันพยักหน้ารับ ก่อนชวนคุยฆ่าเวลาระหว่างรออาหารที่สั่งไว้

“เปิดร้านมานานหรือยังครับ”

“สองสามปีแล้วครับ” พัฒนะเริ่มต้น ก่อนเล่าคร่าวๆ ถึงร้านที่เขาและน้องสาวร่วมกันสร้างขึ้นมา

ก่อนหน้านี้เขาทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง แต่เพราะพิษเศรษฐกิจทำให้ต้องออกจากงานและหันมาเปิดธุรกิจของตัวเอง ส่วนพริมานั้นเรียนจบบริหารแต่มีฝีมือในการทำอาหาร และฝีมือของเธอก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า ทำให้ร้านเล็กๆ เมื่อสองสามปีก่อน กลายเป็นร้านขนาดกลางที่สามารถรองรับลูกค้าได้มากกว่ายี่สิบโต๊ะ

‘บ้านพิมพัฒ’ เปิดให้บริการสองช่วง คือสิบโมงเช้าจนถึงบ่ายสอง ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานบริษัทซึ่งด้านในซอยมีสำนักงานให้เช่าอยู่หลายแห่ง ส่วนอีกช่วงเวลาคือหกโมงเย็นจนถึงห้าทุ่ม ลูกค้าในช่วงเวลานี้ส่วนใหญ่จะมานั่งทานข้าวและกินบรรยากาศยามเย็นของร้าน

ช่วงเวลาหกโมงกว่าๆ ร้านเพิ่งเปิดให้บริการในช่วงที่สอง ลูกค้าจึงยังน้อยอยู่ ทำให้พัฒนะนั่งคุยกับแสงตะวันได้อย่างไม่ขาดตอน การสนทนายังดำเนินอย่างต่อเนื่องแม้ว่าอาหารจะถูกนำมาเสิร์ฟแล้ว น่าแปลกที่ทั้งสองพูดคุยถามไถ่เรื่องราวต่างๆ อย่างสนิทสนมและเป็นกันเอง ทั้งๆ ที่การเจอกันในครั้งนี้เป็นครั้งที่สองเท่านั้น

“เราไม่เคยรู้จักกันแน่นะครับคุณแสง” พัฒนะถามอย่างติดตลก หลังจากนั่งทานนั่งคุยกันเกือบครึ่งชั่วโมง จากตอนแรกที่นั่งคุยกันเฉยๆ ตอนนี้กลายเป็นนั่งทานข้าวด้วยกันไปเสียแล้ว

แสงตะวันหัวเราะเบาๆ ให้กับคำพูดนั้น ก่อนพูดประโยคคล้ายๆ กัน

“นั่นสิครับ ผมน่าจะถามคุณพัฒน์มากกว่า บ้านเราเคยอยู่ใกล้กันหรือเราเคยเรียนที่เดียวกันหรือเปล่าครับ”

พัฒนะส่ายหน้าเป็นการยืนยันว่าไม่เคยรู้จักกับเขากันมาก่อนอย่างแน่นอน เพราะเขาและน้องสาวเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด และตั้งแต่จำความได้เขาไม่เคยไปเที่ยวฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของแสงตะวันเลย

เสียงขลุ่ยฟังสบายดังขึ้นเบาๆ ช่วยขับกล่อมบรรยากาศโดยรอบให้สบายยิ่งขึ้น ลานด้านนอกซึ่งมีลมพัดมาเอื่อยๆ เหมาะแก่การนั่งทานนั่งคุยและปล่อยอารมณ์อย่างยิ่ง แสงตะวันยิ้มและพยักหน้าช้าๆ อย่างพึงใจเมื่อได้ยินเสียงเครื่องดนตรีโปรดของเขา

“เสียงขลุ่ยฟังสบายๆ บวกด้วยบรรยากาศเย็นๆ ไม่แปลกใจเลยนะครับว่าทำไมคนถึงเยอะแบบนี้” แสงตะวันพูดชม ตอนนี้เป็นเวลาเกือบทุ่มแล้ว แขกที่มาใช้บริการที่ร้านแห่งนี้เริ่มหนาตาขึ้น โดยเฉพาะโต๊ะด้านนอก ซึ่งถูกจับจองจนเกือบเต็ม

“ความคิดของพิมเขาน่ะครับ ความจริงผมอยากได้เสียงขลุ่ยจากนักดนตรีจริงๆ มากกว่า แต่ก็จนใจเพราะไม่รู้จักใครเลย เลยต้องหาเสียงขลุ่ยจากพวกซีดีต่างๆ มาเปิดแทน” พัฒนะบอก

“แล้วตอนนี้ยังอยากได้เสียงขลุ่ยของจริงอยู่อีกหรือเปล่าครับ” แสงตะวันถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย

“คุณแสงรู้จักคนที่เป่าขลุ่ยได้หรือครับ” พัฒนะถามขึ้น แสงตะวันยิ้มบางๆ ก่อนพยักหน้ารับ

“ก็ผมนี่ไงครับ” ชายหนุ่มเฉลย ทำเอาพัฒนะถึงกับหัวเราะเมื่อเจอกับจุดใต้ตำตอ

“หรือครับ ผมคิดว่าคุณแสงเล่นเป็นแต่เครื่องดนตรีนอกซะอีก” เจ้าของร้านเปรย เพราะก่อนหน้านี้ แสงตะวันบอกว่า เขามีอาชีพเป็นครูสอนคลาริเน็ตอยู่ในสถาบันดนตรีแห่งหนึ่งและเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นอาชีพเสริมในโรงแรมบางกอกเจ้าพระยา ซึ่งเป็นโรงแรมหรูติดอันดับของกรุงเทพมหานคร

“ก่อนหน้าที่จะมาเล่นคลาริเน็ตผมเป่าขลุ่ยมาก่อนครับ แต่เพราะเครื่องดนตรีไทยไม่ค่อยมีใครนิยมกันทำให้ผมต้องหันไปสนใจเครื่องดนตรีนอก แต่ผมก็ไม่เคยทิ้งเครื่องดนตรีไทยที่ผมรักนะครับ คิดไว้ว่าสักวันผมจะเปิดโรงเรียนสอนขลุ่ยเพื่อให้เด็กไทยหันมาสนใจเครื่องดนตรีของเราเอง”

“แล้ว...คุณแสงสนใจที่จะมาเป่าขลุ่ยที่ร้านเล็กๆ แบบนี้หรือเปล่าครับ” พัฒนะถามอย่างไม่แน่ใจ แสงตะวันเป็นถึงครูสอนดนตรีในสถาบันมีชื่อแถมยังมีที่เล่นประจำอีกด้วย  

นักดนตรีหนุ่มรีบพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าคุณพัฒน์ไม่รังเกียจว่าผมจะมายืนเกะกะร้านหรือไม่กลัวว่าเสียงขลุ่ยจริงๆ จะสร้างความรำคาญให้กับแขกที่มานั่งในร้าน ผมก็เต็มใจอย่างยิ่งครับ”

พัฒนะหัวเราะเต็มเสียงให้กับคำพูดนั้น “ใครจะกล้ารังเกียจครูสอนดนตรีอย่างคุณแสงได้ล่ะครับ ถือเป็นเกียรติเสียด้วยซ้ำที่คุณแสงสละเวลามาเล่นที่ร้านของผมแบบนี้”

“เอาเป็นว่าตกลงนะครับ แล้ววันมะรืนผมจะแวะมาทดลองงานก่อน แต่คงไม่สามารถมาได้ทุกวัน คุณพัฒน์คงไม่ว่าอะไรนะครับ”

“ไม่มีปัญหาครับ ว่าแต่เรื่อง เอ่อ...” พัฒนะพูดติดขึ้น เพราะแสงตะวันตอบตกลงมาเล่นที่ร้านของเขา ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ตกลงเรื่องค่าตอบแทนเลย และดูเหมือนชายหนุ่มจะอ่านท่าทางของเจ้าของร้านออกจึงรีบพูด

“ผมมาเล่นให้ฟรีครับ ถือว่าเป็นการตอบสนองความต้องการของตังเอง”

“จะดีหรือครับ คุณเสียเวลาแย่” เจ้าของร้านพูดอย่างไม่สบายใจ ถึงเขาจะรู้สึกถูกชะตากับแสงตะวันและพูดคุยถูกคอต้องอัธยาศัย แต่สำหรับเรื่องการทำงานแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่ควรเอาเปรียบคนที่เพิ่งรู้จักกันแบบนี้

“ไม่เสียเวลาเลยครับ เพราะขลุ่ยเป็นเครื่องดนตรีที่ผมชอบเล่นอยู่แล้ว นะครับคุณพัฒน์ ผมไม่คิดค่าอะไรจริงๆ ครับ” แสงตะวันพูดด้วยรอยยิ้มเหมือนเรื่องแค่นี้ไม่ใช่ปัญหา พัฒนะหยุดคิดไปครู่ก่อนพยักหน้า

“เอาเป็นว่าผมให้คุณแสงทดลองมาเล่นที่นี่สักครึ่งเดือนก่อน ถ้ามีแขกเพิ่มมากขึ้น ถึงตอนนั้นคุณแสงต้องรับค่าเสียเวลาจากผมนะครับ” เจ้าของร้านต่อรอง ทำเอานักดนตรีหนุ่มถึงกับหัวเราะเบาๆ ให้กับทางออกที่พัฒนะพยายามหาก่อนพยักหน้ารับ

นั่งพูดคุยเรื่องราวจิปาถะกันอยู่พักใหญ่ แสงตะวันก็ขอตัวกลับเพราะมีนัด โดยมีพัฒนะเดินไปส่งเพื่อนใหม่ของเขาบริเวณลานจอดรถซึ่งอยู่ด้านหน้า

“เสียดายจังนะครับ คุณแสงยังไม่เจอกับยายพิมเลย ช่วงเย็นๆ ค่ำๆ แบบนี้กับช่วงเที่ยงพิมเขาค่อนข้างยุ่งน่ะครับ เพราะต้องทำงานอยู่ในครัว” พัฒนะพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย ในขณะที่แสงตะวันพยายามทำหน้าให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้เจ้าของร้านสังเกตว่าเขาสนใจ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาพูดอย่างไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะต่อไปเขาก็จะได้เจอกับพริมาในช่วงเวลาเย็นอยู่แล้ว

“เจอกันวันมะรืน นะครับ” แสงตะวันเอ่ยก่อนเปิดประตูรถ

“ได้ครับ ขอบคุณคุณแสงมากเลยนะครับ” พัฒนะอดที่จะพูดอย่างเกรงใจไม่ได้อีกครั้ง แสงตะวันยิ้มให้เขาก่อนขับรถออกจากลานจอดไป

เขาต่างหากที่ต้องขอบคุณพัฒนะที่ให้เขามาเล่นดนตรีที่นี่ การได้มาที่ร้านแห่งนี้และได้เจอกับพริมา นั่นก็เป็นค่าตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับเขาแล้ว



.
.

จากคุณ : latics1
เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 55 11:41:19




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com