Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 2 ติดต่อทีมงาน

สวัสดีวันศุกร์ครับ

ขอบคุณความคิดเห็นและกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่านครับ
คุณรุริกะ, คุณ Setakan, คุณ SONG982,คุณ นารีจำศีล,คุณ กุหลาบมอญ, คุณTravel to the moon, คุณเพชรรุ้งพราย, คุณ kdunagin,คุณ แก้วกังไส,คุณ รพิชา, คุณสุชาดาวดี, คุณmimny, และคุณ เรียวรุ้ง ครับ

สำหรับล่องกัลปาลัย ตอนที่ 1 ครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11728435/W11728435.html

เชิญติดตาม บทที่ 2 ต่อได้เลยครับ

บทที่ 2


             บ่ายวันนั้นชูชีพเกิดประสบอุบัติเหตุระหว่างกำลังเดินทางกลับบ้านพอดี รถยนต์คันหน้าเจ้ากรรม จู่ๆก็เกิดเบรกกะทันหัน จนทำให้เขาซึ่งขับรถตามมาด้วยความเร็วไม่ต่างกันถึงกับเบรกจนตัวโก่ง แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว แรงกระแทกฉับพลันแม้จะไม่ก่ออาการบาดเจ็บจนสาหัสต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ก็ต้องเสียเวลารอคอยตัวแทนบริษัทประกันภัย เพื่อมาดำเนินเรื่อง กว่าเขาจะมีเวลาติดต่อกับภรรยาได้สำเร็จก็เกือบหกโมงเย็นเข้าไปแล้ว


                โชคดีบุษกรกลับมาถึงบ้านแล้ว ปกติหญิงสาวทำงานเป็นครูสอนหนังสือโรงเรียนประถมใกล้บ้านและอยู่ตรวจงานจนเสร็จจึงค่อยกลับมาบ้าน ในขณะที่เขาเองทำงานบริษัทแห่งหนึ่ง เลยต้องใช้รถเก๋งคันเล็กที่มีอยู่เพียงคันเดียวของครอบครัว และรับหน้าที่ไปรับ-ส่งลูกสาวตัวน้อยที่โรงเรียนเองไปโดยปริยาย


              ยกเว้นวันนี้เท่านั้นที่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นเสียก่อน


               “ไม่เป็นไรค่ะชีพ เดี๋ยวบุษไปรับยายปีเอง ป่านนี้คงนั่งรอจนหน้าบูดไปแล้วมั๊ง”


                 แม้จะรู้ดีว่าปีระกาเป็นเด็กใจแข็ง ไม่ใช่คนตกใจกลัวอะไรง่ายๆผิดกับเด็กส่วนใหญ่ทั่วไป แต่เคยมีบ้างเหมือนกันที่ชูชีพไปรับแม่หนูช้ากว่าปกติเพราะรถติด อย่างมากปีระกาก็จะทำท่างอนให้พ่อโอ๋ซักพักก็หาย


                  นอกจากนี้บุษกรเองก็รู้ว่าทางโรงเรียนมีภารโรงประจำคอยดูแลเด็กๆอยู่แล้ว อย่างน้อยปีระกาก็คงจะไม่เหงาหรือร้องไห้งอแงเป็นแน่ ยกเว้นเมื่อกลับบ้านถึงบ้านแล้ว นั่นก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


               บุษกรเรียกแทกซี่ ให้รีบไปส่งที่โรงเรียนพอดี แสงไฟข้างทางเปิดสว่างไสวแล้วเมื่อหล่อนมาถึงหน้าโรงเรียน เห็นลุงเล็ก ภารโรงสูงวัยกำลังจะปิดประตูรั้วด้านหน้าพอดี


             “ลุงคะ แล้วหนูปีล่ะคะ?”


                ชายชราละมือที่กำลังคล้องสายยูแล้วเงยหน้ามองด้วยสีหน้าประหลาดใจ


                 “อ้าว! ผมนึกว่าคุณพ่อมารับแกไปซะแล้วอีก เมื่อกี้ยังเห็นนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนบันไดหน้าตึกอยู่เลยครับ พอผมออกมาอีกทีก็ไม่อยู่แล้ว”


                “ปีระกา ลูกแม่!”


               หัวใจคนเป็นแม่หล่นวูบจนแทบลงไปอยู่ปลายเท้า เมื่อเดินตามภารโรงชราเข้าไปตามหาจนทั่วทั้งตึกแต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ แม้จะพยายามร้องตะโกนเรียกจนเสียงแหบเสียงแห้งก็ไม่มีวี่แววขานรับ เหมือนกับเด็กหญิงไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว


               “ปี ไปไหน ลูกจ๋า...”


                  เมื่อนั้นหางตาของบุษกรก็มองเห็นประตูเล็กด้านข้างกำแพงรั้วที่เคยปิดตายไว้ตลอดกลับไหวพะเยิบ และบัดนี้มันก็เปิดกว้างออกจากกันอย่างเป็นปริศนา

           *********************


                  พวกเด็กๆชอบเล่าเรื่อง “บึงผี”กันอยู่บ่อยๆ


                 “เธอรู้ป่าว พ่อฉันเขาบอกว่ามีพวกลักขโมยเด็กไปขาย มันชอบมาหลอกเด็ก แล้วจับตัวไปขังไว้ที่กระท่อมกลางดงไม้ แถวนั้นนะ”


                     ยายเจี๊ยบ เด็กแก่แดดคนหนึ่งในห้องจีบปากจีบคอเล่าฉอดๆ เจ้าหล่อนก็ช่างคุยอยู่ไม่น้อยหน้าใครในห้องเหมือนกัน แต่ก็เล่าได้เพียงแค่นั้นตามประสาเด็กเท่าที่จดจำมาได้


               “มีกระท่อมด้วยเหรอ? แล้วจับไปทำไมล่ะเจี๊ยบ เอาไปขายได้เท่าไรเหรอ? แล้วพ่อแม่เขาล่ะ”


               คราวนี้ พอเพื่อนๆรุมซักถามต่อ เด็กหญิงเจี๊ยบก็เอาแต่ส่ายหน้าจนผมกระจาย ตอบได้แค่คำเดียว


              “ไม่รู้สิ”


                  “แต่อี๋ได้ยิน เขาบอกว่ามีคนถูกฆ่าตาย แล้วเอาไปทิ้งในบ่อนั่นน่ะเจี๊ยบ ลุงเล็กบอกว่า มีเสียงล้องโหยหวนด้วยล่ะ น่ากัว”


           “เธอรู้ได้ไงเกี้ยมอี๋?”


              อี๋หรือเด็กหญิงเกี้ยมอี๋เพื่อนอีกคนหนึ่งรีบเล่าแข่งกับเด็กหญิงเจี๊ยบ เด็กหญิงผมม้าคนนี้มีเชื้อจีนตามบรรพบุรุษ นัยน์ตาจึงเรียวรี เวลายิ้มทีนอกจากจะเห็นฟันหน้าหลอเป็นรูโบ๋แล้ว ยังแทบไม่เห็นนัยน์ตาทั้งสองข้างอีกด้วย ยิ่งตอนนี้ เด็กหญิงเล่าไป หยีนัยน์ตาไปจนแทบจะหลับตาปี๋ด้วยความกลัว

“ก็คูมัลลิกาไงล่ะ คูเล่าให้เลาฟัง”


              เด็กหญิงใช้ทั้ง ร เรือ และ ล ลิง ผสมเป็นอักษรตัวเดียวพูดให้ถนัดปาก แต่ก็ไม่มีใครสนใจ เด็กๆกำลังฟังเรื่องราวอย่างตั้งอกตั้งใจ เห็นจะมีแต่เด็กหญิงปีระกาเท่านั้นแหละที่ตอบออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ


               “ไม่ใช่หรอกเกี้ยมอี๋ ที่นั่นมีวิญญาณอยู่”


             “วินยาน? เทอ พูดถึงอะไร แปว่าผีน่ะเหลอ?”


             เกี๋ยมอี๋ทำหน้าเหรอหรา ปีระกายิ้มน้อยๆ


               “ก็เป็นแบบนั้นแหละ เป็นคนที่ตายแล้ว ตกน้ำตาย แล้วยังไม่ไปผุดไปเกิดน่ะแหละ”


            ปีระกาเล่าไปตามที่ “ธาม”เคยกระซิบให้ฟังนั่นเอง แต่เขาก็แค่เล่าเพื่อ “ขู่”ไม่ให้เด็กหญิงออกไปวิ่งเล่นแถวนั้นเสียมากกว่า เพราะพอถามมากๆเข้า ธามก็ตัดบทหายต๋อมไปตามเคย จนไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอะไรเป็นอะไรกันแน่


               บึงผีที่ได้ยินเด็กๆพูดกันบ่อยคือบึงน้ำที่อยู่หลังโรงเรียน แต่ก็ไม่เห็นครูคนไหนพูดถึงกันเลยสักคน และเมื่อความสนใจของเด็กๆเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น เรื่องราวทั้งหมดก็จบลง


             ยกเว้นในเวลาพลบค่ำวันนี้นั่นแหละ ที่ความทรงจำนั้นกลับคืนมาอีกครั้ง


              มันเกิดขึ้นเพียงพริบตา เมื่อก้าวพ้นออกไปจากเขตรั้วโรงเรียน เหมือนหลับตาลงเพียงชั่วขณะเท่านั้น ไม่มีพี่คนสวย ไม่มีช็อคโกเลตรสอร่อย นอกจากความเวิ้งว้างยามสนธยา ที่มีเพียงบึงน้ำขนาดใหญ่ ร่มครึ้มไปด้วยต้นไทรยักษ์ระย้าย้อย ทุ่งหญ้าคาเต็มไปด้วยวัชพืชขึ้นปกคลุมรอบบึงแห่งนั้นจนดูรกชัฏไม่ต่างกับป่าดงดิบ


            และ “วินยาน”ที่เด็กหญิงเคยเล่าให้เพื่อนๆฟังอย่างสนุกสนานก็ค่อยๆปรากฏขึ้นอย่างช้าๆเหนือผืนน้ำสีเข้มจัดแห่งนั้น...


              ฮิ ฮิ ฮิ


             เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกดังขึ้นผสมผสานกับสายลมพัดอู้ เด็กหญิงตัวน้อยผู้ไม่เคยเกรงกลัวใครมาก่อนถึงกับยืนตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาวยะเยือกจับใจ รู้สึกคล้ายมีมือที่มองไม่เห็นกำลังยื่นยาวเหยียดออกมา แล้วลากร่างตัวเองให้ไหลเลื่อนลงไปยังสู่ขอบตลิ่ง เห็นผืนน้ำสีเข้ม มีพรายฟองผุดขึ้นมาราวกับฟองน้ำเดือด


             “มาอยู่กับพี่สิจ๊ะ ปีระกา มาอยู่ด้วยกันนนนนนนนน”


          ไม่มีช็อกโกเลตแท่งสวยๆในกำมืออีกต่อไป นอกจากเศษกระดาษเปื่อยยุ่ยสีซีด เด็กหญิงรีบขว้างมันทิ้งลงกับพื้น ความหิวจนแสบท้องหายไปเป็นปลิดทิ้ง


               “ไม่ หนูไม่ไป”


              แม้ปากจะพยายามปฏิเสธ แต่ขาทั้งสองข้างดูเหมือนจะอยู่นอกเหนือจากการควบคุมบงการ มันก้าวเท้าลงไปเรื่อยๆ เหยียบพื้นหญ้าสากระคายทีละก้าว ทีละก้าว จนลงไปสู่บริเวณชื้นแฉะของขอบบึงน้ำ


               “พี่เหงาเหลือเกินไม่มีใครยอมคุยกับพี่เลย หนูรู้ไหมว่าพี่ชอบหนูมากเลยนะ มาอยู่เป็นเพื่อนกับพี่เถอะนะ”


             เสียงเหมือนลมกระซิบดังขึ้น ความรู้สึกไม่ต่างกับมีมือที่มองไม่เห็นมาสัมผัสต้นแขน จนขุมขนลุกเกรียว ปีระกาพยายามขยับร่างน้อยๆเพื่อเบี่ยงหนี แต่ก็ไม่อาจขัดขวาง “พลัง”มหาศาลของอีกฝ่ายได้ สายลมม้วนตัวจนฝุ่นธุลีค่อยทวีความหนาแน่นขึ้นเบื้องหน้า คล้ายมีร่างๆหนึ่งปรากฏอยู่กลางบึงน้ำ เด็กหญิงพยายามอ้าปากส่งเสียงกรีดร้อง แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้ยิน


             “ไปอยู่กับพี่... นะ หนูปี...ไปปปปปปปปปปปป”


             “ไม่!”


             ออกแรงสะบัดสุดแรง จนร่างเกือบล้มคว่ำลงไปบนพื้นดินโคลนริมตลิ่ง แต่ปีระกาก็ได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยพลังแรงอันมหาศาลยิ่งกว่า


               “ฮึ่มม์ม์ม์”


                 คล้ายคลื่นสีแดงเพลิงวาบจ้า คลื่นที่เด็กหญิงสัมผัสได้ว่าเป็นพลังแห่งความโกรธเกรี้ยวของเขา ดังกระหึ่มขึ้น และเสียงของ “พี่คนสวย” ก็หวีดร้องขึ้นด้วยความตื่นตระหนก และเจ็บปวด


              “ไปเสีย นางปีศาจ จงกลับไปยังที่ของเจ้าตามเดิม เด็กคนนี้ไม่ใช่คนที่เจ้าสมควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย!”


             ไม่ต่างกับคำประกาศิต แม้ไม่อาจมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น นอกจากสดับเสียงคำรน และเกลียวสายลมที่หมุนติ้วอยู่ก็คลายตัวลง ปล่อยเศษฝุ่นละอองหนาทึบเมื่อครู่ให้หล่นกระจายลงสู่ผิวบึงน้ำราบเรียบตามเดิม


           เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้


             “ธามจ๋า... นะ-หนู... หนู... ขอโทษ”


             เด็กหญิงทรุดกายลงกับพื้น อ่อนแรงจนแทบจะก้าวขาต่อไปไม่ไหว เมื่อสัมผัสเสียงกระซิบริมหูของธามอีกครั้ง


            “ไม่ต้องไปไหน รอแม่ของเจ้าอยู่ที่นี่แหละยายปีระกา... ยายเด็กดื้อ!”


             ท้ายเสียงมีกระแสของความขัดเคืองใจอยู่ไม่น้อย เด็กหญิงเกือบอ้าปากเถียงออกไปตามความเคยชินแล้ว แต่เมื่อรู้ว่าตนเองผิดเต็มประตู จึงได้แต่เอ่ยปากเรียกอย่างเว้าวอน นึกเสียดายอยู่เหมือนกันที่ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเจ้าของเสียง มันคงบูดบึ้งไม่ต่างกับน้ำเสียงเข้มๆอย่างนั้นสักเท่าใดนักหรอก


            “ธาม... ธามจ๋า”


              ไม่มีคำตอบใดๆจากเสียงของธามอีก ดูเหมือนเขาจะเหนื่อยใจกับการจัดการกับเด็กหญิงแสนดื้ออย่างปีระกา จนไม่อยากข้องแวะด้วยอีกแล้ว...

            *************************


                  บุษกรและภารโรงชรา เดินมาถึงบริเวณขอบบึงแห่งนั้นในเวลาอีกไม่นานนัก รอยเท้าของเด็กหญิงปรากฏชัดเจนจากแสงไฟฉายจนไม่ต้องสงสัยใดๆอีกเลย ความรู้สึกของคนเป็นแม่ แทบจะเป็นลมอยู่ตรงนั้นด้วยความดีใจ เมื่อเห็นบุตรีสุดที่นั่งนั่งกอดเข่ารออยู่แล้วที่ขอบตลิ่ง ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา


              “หนูปี มาทำอะไรที่นี่ รู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงแค่ไหน...”


             ผู้เป็นมารดารีบคว้าตัวปีระกาเข้ามากอดแนบแน่น เด็กหญิงสะอื้นจนตัวโยนเมื่อได้รับอ้อมกอดและไออุ่นจากมารดา อารามดีใจเธอไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้าของลุงเล็ก ภารโรงเฒ่าที่เดินตามมาด้วยจากทางเบื้องหลัง


                 ภายใต้ท่าทีโล่งอกของชายชรา แต่ก็แฝงไปด้วยความประหลาดใจและพรั่นพรึงรวมกันอยู่ไม่น้อย


                 แกเป็นคนแถบนี้ อาศัยอยู่ที่นี่มานานหลายปีตั้งแต่เพิ่งสร้างโรงเรียนขึ้นไม่นาน สมัยนั้นบริเวณนี้ยังเป็นพื้นที่ป่ารกชัฏทั้งหมด รวมถึงบึงน้ำที่เรียกขานกันเองว่าบึงผีด้วย


              ว่ากันว่ามีหญิงสาวอกหักจากคนรักมาผูกคอตายที่ต้นไทรริมบึงรกร้าง และวิญญาณก็สิงสู่อยู่กับบึงน้ำโดยไม่ไปผุดเกิด บางครั้งก็คอยหลอกหลอนผู้คน หรือหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย


             เมื่อแรกสร้างโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นใหม่ๆ เคยมีเด็กเล็กเดินพลัดหลงเข้ามาถึงขอบบึงแถบนี้ และจมน้ำตายไปหลายคน จนทางโรงเรียนต้องหากุญแจมาคล้องประตูเล็กด้านข้างแล้วปิดตายเอาไว้ตั้งแต่บัดนั้น แต่...


              เหตุการณ์ที่ผ่านมาในวันนี้ แกก็ไม่อาจตอบได้ว่า ประตูเหล็กบานนั้น มันเปิดออกจากกันได้อย่างไร!!


                หรือมีใครอุตริมาเปิด??


                  ชายชราคิดจนหัวแทบแตกด้วยความสงสัย


               แล้วใครกันเล่าที่จะมีแกกุญแจสำรอง นอกจากตัวแกเพียงคนเดียว??


            ************************


                      แล้วธามก็มาอีกตามเคย มันเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงปีระกาจนกลายมาเป็นนางสาวปีระกา ดูเหมือนว่าทั้งเขาและหล่อนจะผูกพันกันด้วยสายใยบางเบาทว่าเหนียวแน่นอย่างที่มิอาจตัดขาดได้ จนบางครั้งปีระกาก็นึกในใจว่า ธามไม่ต่างจากเพื่อน พี่ชาย หรือแม้แต่เป็นพ่อเลยด้วยซ้ำ


                       เสียอย่างเดียว เขาจะมาก็ต่อเมื่ออยากจะมา จะไปก็ต่อเมื่ออยากจะไป โดยที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย แถมยังบังคับอีกฝ่ายไม่ได้เสียด้วย นั่นแหละที่ทำให้หล่อนรู้สึกขัดใจอยู่บ่อยๆ


               “เวลาต้องการตัวละก็ไม่เคยอยู่เลยนะ ธาม”


               “แอบบ่นอีกแล้วล่ะสิ ยายปีระกา ยายแก่เอ๋ย”


               ตอนนี้เขาไม่เรียกหล่อนว่าหนูปีอีกแล้ว และปีระกาเองก็เขินเกินกว่าจะเรียกแทนชื่อตัวเองว่า “หนู” เหมือนเมื่อก่อน บางทีธามยังเรียกชื่ออื่นล้อเลียนหล่อนอยู่บ่อยๆจนปีระกา เคยนึกสงสัยในใจว่าเจ้าของเสียงทุ้มนุ่มหูอย่างนี้ จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกันหนอ?


                อาจจะเป็นเหมือนพระเอกหนังหน้าทะเล้น เพราะหล่อนรู้ว่าเขาก็ขี้เล่น ชอบหยอกล้อหล่อนอยู่เสมอ


              หรือตัวจริงอาจจะหน้าดุ ขรึมนิ่ง ตรงกันข้ามกับเสียงอ่อนโยนที่เคยได้ยินก็เป็นได้?


                    หรือดีไม่ดี อายุออกปูนนี้แล้วเพราะคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ธามอาจจะเป็นตาแก่หลังโกง ผิวหนังเหี่ยวย่น แถมยังหน้าดุ เหมือนลุงเล็ก หรือเปล่า?


               “ไม่ต้องอยากรู้มากนักหรอกยายแก่ เจ้าเคยได้ยินไหม สุภาษิตที่ว่าความอยากรู้ฆ่าแมวน่ะ”


                    เสียงห้าวๆนั้นดักคออย่างรู้ทัน ราวกับล่วงรู้ความคิด ปีระการีบเถียงต่อทันที


                 “แต่ปีไม่ใช่แมวซะหน่อย จะได้ถูกฆ่า แล้วก็ห้ามเรียกยายแก่อีกนะ ไม่งั้นจะไม่พูดด้วยอีกเลย คอยดู… ฮึ!”


             อดขู่เล่นๆไม่ได้ แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆอยู่ข้างหูอย่างขันๆ


                 “เถียงคำไม่ตกฟากจริงๆเด็กคนนี้ ไปล่ะ ไม่อยากคุยกับคนพาลอย่างเจ้าอีก เด็กดื้อ...”


                “อ๊ะ! มาว่ากันยังงี้ ก็สวยน่ะสิธาม กล้าดียังไง ฮึ?”


                ถ้าใครเดินผ่านมาแถวนั้นคนประหลาดใจมิใช่น้อย ที่เห็นเด็กสาวก๋ากั่นอย่างปีระกา ยืนเท้าสะเอวหน้าดำหน้าแดง เหมือนกำลังทุ่มเถียงกับใครสักคน ทั้งที่ไม่มีใครยืนอยู่กับเจ้าหล่อนเลยสักคนเดียว!


                หญิงสาวกอดเอวหลวมๆ ยิ้มทะเล้นอย่างผู้ชนะเหมือนทุกครั้ง เถียงกับเพื่อนคนไหนก็ไม่สนุกเหมือนเถียงกับธาม โดยเฉพาะถ้ายุให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นมาได้บ้าง จะถือว่าประสบความสำเร็จสุดยอด!


                แต่หล่อนก็ยังไม่เคยเห็นอาการที่ว่านั้นสักที คลื่นสีที่สัมผัสรับรู้แต่พลังคลื่นเฉดสีต่างๆ แต่เฉดสีแดงเพลิงด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวเช่นนั้น ยังไม่เคยเห็นอีกเลยนับตั้งแต่เหตุการณ์โพล้เพล้ของวันนั้น


             ปีระกาเก็บมิตรภาพระหว่างตนเองกับเพื่อนผู้ไร้ตัวตนมาโดยตลอด ทำตัวให้เหมือนคนปกติทั่วไป ไม่มีเพื่อนคนใดที่หล่อนคบหาด้วยจะรู้เลยว่าระหว่างการสนทนากันอย่างออกรสในกลุ่มเพื่อนฝูง บางครั้งธามก็เข้ามารวมกลุ่มอยู่ด้วย แทบจะข้างๆกับก๊วนกลุ่มสาวๆเหล่านั้นโดยไม่มีใครรู้ตัว...


                เรื่องของเรื่อง มันเกิดขึ้นจริงๆ ก็เมื่อหล่อนริจะเป็นนักเขียนขึ้นมาอย่างจริงจังนั่นต่างหาก


               “จริงๆนะธาม ฉันอยากเป็นนักเขียน นักประพันธ์น่ะ รู้จักรึเปล่า?”


              ธามเป็นเพื่อนคนเดียว ที่หล่อนกล้าบอกเล่าความเพ้อฝันให้กับเขาฟังเสมอ


                     “รู้จักสิ แล้วแน่ใจหรือปีระกา? เจ้าต้องทำงานหนักมากเลยนะ ขนาดเรียนหนังสือยังจะเอาตัวไม่รอด”


                  ถ้าสามารถมองเห็นอีกฝ่ายได้ หล่อนคงหยิบหมอนหนุนขว้างใส่เสียแล้วโทษฐานพูดจี้ใจดำแล้วทำให้เถียงไม่ออกนั่นแหละ...  ปีระกาไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากเอ่ยเสียงกระเง้ากระงอดตามนิสัย


                “ขอทีเหอะธามจ๋า หัดพูดความเท็จมั่งได้มั๊ยจ๊ะ ไม่ต้องพูดความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้ คิดถึงใจคนฟังซะมั่งสิ”


                     เสียงห้าวของธามตอบกลับมาแบบนิ่งๆตามเดิม


            “ข้าพูดเท็จไม่ได้ดอก ข้ารู้แต่ว่า สัจจะเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรักษาเอาไว้”


               “เหอะน่า แค่นิดเดียว ดีกว่าพูดตรงๆทื่อๆตั้งร้อยเท่าพันเท่า นายรู้ไหม สมัยนี้ไม่มีใครเขาพูดอะไรขวานผ่าซากแบบนี้อีกแล้วล่ะ”


         “ก็นั่นเป็นเรื่องของพวกมนุษย์ ข้ามิเกี่ยวข้องด้วยหรอก”


                  “แล้วปีล่ะ ทำไมธามถึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะปีเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกันนี่นา”


                   คล้ายเสียงอีกฝ่ายเผลอทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ แต่ก็ไม่ยอมจำนนด้วยเหตุผลอีกฝ่ายที่ขยันยั่วแย้งยิ่งนัก


              “ข้าตอบไม่ได้เหมือนกันปีระกา มันอาจเป็นความบังเอิญ หรืออะไรบางอย่าง หรือบางทีก็ จนกว่า...”


             “จนกว่าอะไร?”


              “จนกว่าคำตอบนั้นจะมาถึงน่ะสิ”


              “ว้า เอาอีกแล้ว กวนมาแบบนี้ แล้วเมื่อไรจะรู้ซะทีล่ะนี่”


                “เมื่อถึงเวลานั้น ทั้งเจ้าและข้าก็จะรู้เองนั่นแหละ อย่ามัวซักเสียให้มากเรื่องมากความ อยากจะเป็นนักเขียน ก็จงรีบๆเขียนเข้าไปเถอะ เผื่องานของเจ้าจะมีคนอ่านมั่ง สักคนสองคนก็ยังดีใช่ไหม?”


                 ไม่วายย้อนกลับมาเทศนาต่อ หนอยแน่ะ แบบนี้มันดูถูกกันเกินไปแล้ว คนอย่างปีระกาเคยยอมให้ใครมาหมิ่นได้ซะทีไหน ผลสรุปว่านิยายเรื่องยาวเรื่องแรกในชีวิตที่หล่อนเขียนก็สำเร็จลุล่วงออกมาด้วยดีในชื่อเรื่องแสนเก๋ว่า “รักหมดใจของยัยหัวฟู”


                  ปีระกาใส่ความคิดเพ้อฝันสีชมพูของเด็กสาวแสนบริสุทธิ์สดใสกับพระเอกขี้เก๊ก หน้าหล่อสไตล์เกาหลีที่ไม่เคยมีตัวตนจริงๆนอกจากในจินตนาการลงไป


              แน่นอนมันได้รับการตีพิมพ์ เมื่อส่งไปให้ พี่เต๋ บอกอที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งที่หล่อนเคยซื้อหนังสืออ่านเป็นประจำ


                “ให้โอกาสครั้งเดียวนะไอ้ปี ถ้าแป๊ก ก็จบ”


              พี่เต๋บอกเช่นนั้น แต่ปีระกาคิดในใจแล้วว่าไม่มีทางเด็ดขาด ก็หล่อนสู้อุตส่าห์เขียนฉากโรแมนติกกุ๊กกิ๊กระหว่างพระเอกนางเอกซะเพียบ เขียนมันเกือบทุกหน้าออกอย่างนั้น รับรองคนอ่านต้องชื่นชอบเด็ดๆ


                แต่นิยายหวานแหววสุดขีด กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆทั้งสิ้น ไม่มีทั้งเสียงชม หรือเสียงด่า นอกจากความเงียบ! เงียบสนิทเสียจนคิดว่าคงมีใครแค่คนสองคนอย่างที่ธามว่าเท่านั้นกระมังที่หยิบนิยายคลาสสิคเรื่องนี้เอาไปอ่าน ปีระกาต้องกลับมานั่งทบทวนตัวเองอีกรอบ ตอนนั้นเอง ที่ธามได้เข้ามาปลอบโยน


             “เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าจะแนะนำให้เอง เจ้าลองมาเขียนเรื่องแบบนี้ดีกว่า รับรอง คนอ่านต้องชอบ”


                  “ธามจะช่วยปีเขียนนิยายด้วยหรือ?”


                  ปีระกาเงยหน้าขึ้นยิ้มทั้งน้ำตา บางครั้งหล่อนก็เป็นคน อ่อนไหว เสียจนน่าแปลกใจ


             “ข้าไม่เก่งกล้าสามารถเช่นนั้นหรอก ปีระกา แต่ข้ามีวิธีให้ข้อมูลแก่เจ้าต่างหาก”


                “ข้อมูล?”


              “ไม่ต้องมาทำหน้างง แล้วเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เองนั่นแหละ...”


                แล้วก็เป็นเพราะธามนั่นเองที่ พาใครบางคนหรือบาง “ตน”มาให้หล่อนรู้จัก และเป็นบทเริ่มต้นของนิยายสืบสวนสยองขวัญนาม “เล่ห์สังหาร” ในเวลาต่อมา...

           **********************

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 55 11:25:30




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com