Black Gun And Red Rose - กุหลาบแดงและปืนดำ - บทที่ 5
|
 |
บทที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11691462/W11691462.html
บทที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11703633/W11703633.html
บทที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11718987/W11718987.html
บทที่ 4 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11728001/W11728001.html
--------------------------
ขอบคุณกิฟท์จากคุณ Psycho man - ขอบคุณสำหรับกิฟท์ครับ อีกหน่อยเวลาเข้า ASEAN Community แล้ว พวกเราอาจได้เห็นนักฆ่าสาวชาวลาวมาบุกตลาดในไทยก็ได้นะครับอาจารย์จี อิอิ ^^
ขอบคุณกิฟท์(ที่หมด)จากคุณ zoi - ขอบคุณสำหรับการตามมาอ่านครับ คำนับ คำนับ ^^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณเพชรรุ้งพราย - ขอบคุณสำหรับกิฟท์นะครับ ขอบคุณ ขอบคุณ ^O^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณกุหลาบมอญ - ขอบคุณสำหรับกิฟท์ค้าบ ขอบคุณจากใจ ^^
ขอบคุณกิฟท์(ที่หมด)จากคุณกาแฟเย็นเพิ่มช็อต - ขอบคุณสำหรับชมคำและขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมค้าบพี่กาแฟค้าบ ^^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณริรุกะ - ขอบคุณสำหรับกิฟท์ที่แบ่งปันให้เด็กน้อยนะครับพี่รุริกะ ในเรื่องนี้กว่าจะได้กลับมาถ่ายที่ธาดา วิลเลจอีกทีก็คงอีกหลายบทเลยครับ แต่ว่ากลับไปถ่ายเที่ยวหน้า คงมีกระท่อมแถวๆ นั้นถูกระเบิดกันมั่งล่ะ คิคิ ^^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณชมภัค - ขอบคุณสำหรับกิฟท์นะครับพี่ชมภัค ขอบคุณจริงๆ ครับ ^^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณห้าสิบป่าย - ขอบคุณสำหรับกิฟท์และการติดตามครับ ขอบคุณมากๆ ^^
มาถึงบทที่ 5 แล้ว ในบทนี้พีภัทรเดินทางไปพบเพื่อนรัก ในขณะที่รัมภากลับสู่อ้อมอกของเรณู ส่วนริสาก็นอนฝันร้าย ทุกอย่างจะดำเนินไปสู่บทที่ 6 อย่างไร... ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านครับ ^^
ปล.กว่าจะโพสต์ติด โดนอุ้มไปสองรอบ เง้อ
-------------------
บทที่ 5
ชลบุรี,บางละมุง หมู่บ้านจัดสรร ธาดา วิลเลจ
ประตูของรถตู้สีดำที่จอดติดเครื่องพ่นควันโขมงอยู่หน้ารั้วเลื่อนเปิดออก หนุ่มวัยรุ่นเจ้าของศีรษะโล้นเลี่ยนกระโดดลงมาช่วยถือภาพเขียนแทนพีภัทร นักฆ่าหนุ่มผงกศีรษะขอบใจก่อนก้าวเข้าไปนั่งในรถ หนุ่มศีรษะโล้นกระโดดตามขึ้นมา หันไปวางภาพเขียนในห่อกันกระแทกลงบนเบาะแถวหลัง เสร็จแล้วจึงเลื่อนประตูปิด แล้วรถตู้ก็เคลื่อนออกจากที่ในวินาทีต่อมา
“ของที่สั่งไปเมื่อเย็นที่อู่ทำทันมั้ย จ๊อด?” พีภัทรถามเด็กหนุ่มผู้มีอายุไม่ถึงยี่สิบปี แต่มีสถานะเป็นเด็กเร่ร่อนตั้งแต่แปดขวบ
“เดี๋ยวเพ่พัตก็รู้” จ๊อดตอบ นัยน์ตาเคลิ้มฝันเมื่อนึกถึงสิ่งที่อยู่ในห้วงคำนึง “โหย พี่ชอนนะจัดให้อย่างกริ๊บ รับรองเพ่พัตตะลึงแน่”
“คราวนี้รถใคร?” พีภัทรยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงภุชงค์ผู้เป็นเจ้าของอู่ PV – Motor อู่แต่งรถแข่งชื่อดังที่สุดในพัทยา และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในบรรดานักขับรถซิ่งผู้ชื่นชอบการปิดถนนหลวงดริ๊ฟท์ท้ามฤตยูกันมากกว่าไปแข่งในสนาม
“รถลูกชายส.ส.บุญโชค พ่อมันซื้อให้เป็นของขวัญที่ไปช่วยลงพื้นที่หาเสียง มันเลยเอามาฝากไว้ที่อู่ให้พี่ชอนช่วยแต่งเมื่อวานนี้”
พีภัทรพยักหน้ารับรู้ ปลดเป้ออกจากไหล่แล้วไม่พูดอะไรอีกขณะรถตู้เคลื่อนออกจากซุ้มประตูหมู่บ้านธาดา วิลเลจและแล่นไปบนถนนสายเล็กด้วยความเร็วคงที่ บรรยากาศภายในรถเงียบสงบ พีภัทรเห็นชายหนุ่มผิวเข้มนามว่าโจ๊กผู้รับหน้าที่สารถีเอื้อมมือหยิบซีดีแผ่นหนึ่งยัดใส่วิทยุติดรถยนต์
วินาทีต่อมา เสียงอินโทรเพลง Highway To Hell ของวงร็อครุ่นพ่อ AC/DC ก็ดังกระหึ่มขึ้น
“ไอ้โจ๊ก เปิดเพลงอะไรฟังวะ เอาที่ชื่อมันเป็นมงคลหน่อยสิโว้ย” จ๊อดผู้นั่งอยู่ข้างพีภัทรบนเบาะหลังโวยขึ้น “อีกอย่างนะ เพ่พัตเค้ากำลังจะไปทำงาน อาจจะต้องการอยู่เงียบๆ ทำสมาธิก็ได้ เมิงนี่ทำอะไรไม่รู้เวล่ำเวลาเลย ไอ้ช้างยิ้มเอ๊ย”
“อ้าว เออ กรูลืมไป” สารถีผิวเข้มพูดอย่างนึกขึ้นได้ เขาเหลียวหน้าหันมายิ้มแหยๆ ให้พีภัทรทั้งที่ยังขับรถอยู่ “ผมขอโทษนะพี่ พอดีมันเคยชิน เดี๋ยวผมกดออกให้”
พูดจบก็หันหน้ากลับไป เอื้อมมือซ้ายหมายกดที่ปุ่มบนวิทยุ แต่พีภัทรก็ขัดขึ้นว่า
“ไม่ต้องหรอก จะเปิดก็เปิดไป พี่เองเวลาขับรถก็ต้องเปิดเพลงฟังเหมือนกัน”
“หรอครับ” โจ๊กพูดพลางดึงมือซ้ายกลับมากุมพวงมาลัยตามเดิม “แหม ถ้าไอ้จ๊อดเพื่อนผมมันคิดเหมือนพี่ก็ดีสิ ขามาเมื่อกี้ก็เที่ยวนึงแล้ว ผมเปิด Deep Purple ฟังม่างนั่งบ่นมาตลอดทาง”
“จะไม่บ่นยังไงวะ แต่ละเพลงที่เมิงเปิดม่างเก่าชิบ” จ๊อดสวนทันควัน
“แล้วมันไปเก่าบนหัวเมิงหรือไงเล่า ของเขาเก่า แต่ว่าเก๋าโว้ย ไอ้พวกอีโมที่เมิงฟังน่ะ ถ้าไม่มีร็อครุ่นเก่ากรุยทางมาให้ มันจะเกิดได้มั้ย อะโด่”
“กรูไม่ได้หมายความว่าของเขาไม่ดี แต่กรูแค่บอกว่ามันเก่า”
“เมิงไม่ต้องมาเถียง เมิงจะแขวะหาว่ากรูเชยล่ะสิ”
“หรือมันไม่จริง คนเราก็ต้องปรับตัวกันบ้าง ของใหม่ดีๆ ก็มีเยอะ เปิดแต่เพลงยุคที่กรูกับเมิงยังเป็นวุ้นฟัง คนเขาจะหาว่าเมิงเป็นคนหลงยุคเอาได้ง่ายๆ”
“หลงไม่หลงก็เรื่องของกรู เมิงไม่ต้องมาสอใส่กระเดือก”
แล้วตลอดทางจากหมู่บ้านในบางละมุงถึงอู่แต่งรถในพัทยา สองเพื่อนซี้คู่กัดอย่างจ๊อดกับโจ๊กก็โต้เถียงกันมาเรื่อยโดยไม่หยุด ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติมาก เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าหากวันไหนจ๊อดกับโจ๊กไม่ได้ทะเลาะกัน วันนั้นทั้งสองหนุ่มคงนอนไม่หลับทั้งคู่
พีภัทรไม่มีความเห็นว่าเพลงยุคเก่ากับยุคใหม่ ยุคไหนดีกว่ากัน เขาคิดเพียงอย่างเดียวว่ารำคาญไอ้สองตัวนี้เหลือเกิน
แต่ความรำคาญของเขาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซีดีที่โจ๊กเปิดฟังยังไม่ทันจะหมดแผ่น รถตู้ของพวกเขาก็เคลื่อนมาจอดลงหน้าอู่แต่งรถ PV – Motor ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านพัทยาเหนือ ย่านที่ขึ้นชื่อเรื่องการช็อปปิ้งและชมโชว์คาบาเร่ต์
ป้ายโลโก้ PV ติดไฟกระพริบวิบวับตัดกับความมืดเด่นหราจนดูเหมือนป้ายสถานบันเทิงมากกว่าป้ายของอู่แต่งรถ เมื่อจ๊อดเลื่อนประตูเปิดและกระโดดลงไป พีภัทรก็แว่วเสียงเพลงร็อคก้องกระหึ่มออกมาจากด้านในอู่ที่เลื่อนประตูบานพับปิดเอาไว้
มันเป็นอู่ที่ใหญ่โตพอสมควร มีสภาพเหมือนอู่แต่งรถที่เคยเห็นในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด จ๊อดเดินไปที่ประตูบานพับ เสียงประตูบานพับส่งเสียงเสียดสีแสบหูเมื่อหนุ่มศีรษะโล้นเลื่อนบานพับเหล็กเปิดออกเป็นช่องให้โจ๊กพารถตู้แล่นผ่านเข้าไปจอดด้านในซึ่งเป็นลานซีเมนต์เปิดไฟสว่าง มีรถสี่ห้าคันจอดเรียงรายอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งมีรถจอดอยู่สองคันในสภาพถูกชำแหละเป็นชิ้นจนเหลือแต่โครง ไม่ห่างกันนักก็มีอุปกรณ์เกี่ยวกับรถยนต์อย่างที่อู่ซ่อมรถและแต่งรถทั่วไปควรจะมี
เมื่อพีภัทรสะพายเป้ก้าวลงจากรถตู้ กลุ่มช่างซ่อมรถประมาณสามคนที่กำลังรุมล้อมโครงรถสัญชาติอิตาลีคันหนึ่งอยู่ก็หันมามอง พีภัทรส่งยิ้มและพยักหน้าทักทายภุชงค์ผู้ยืนอยู่ตรงกลาง ชายหนุ่มร่วมรุ่นที่คงจะหล่อเหลากว่านี้ถ้าไม่มีทรงผมที่ยุ่งเหยิงและคราบน้ำมันเครื่องเปรอะเปื้อนตามเนื้อตัวและใบหน้าพยักหน้าทักทายตอบรับ ก่อนจะหันกลับไปติดตั้งกระบอกอะไรบางอย่างลงไปในเครื่องยนต์ของรถคันนั้น
พีภัทรเดินเข้าไปหา ภายในอู่แต่งรถขณะนี้กำลังกึกก้องไปด้วยเพลง Welcome To The Jungle ของวง Gun ‘N’ Roses ที่ดังออกมาจากลำโพงตัวใหญ่บนผนัง ภุชงค์ประกอบอุปกรณ์ชิ้นนั้นเข้ากับเครื่องยนต์เสร็จพอดีเมื่อพีภัทรเดินไปถึง
“ว่าไง ทำงานหามรุ่งหามค่ำเชียวนะ” พีภัทรทักทายเป็นคำแรก
“คงไม่เท่าแกหรอก” ภุชงค์ยืดตัวขึ้น หันมายิ้มและส่ายศีรษะ หยิบผ้าสีขาวมาเช็ดคราบสีดำปื้นออกจากมือ “กลับจากพม่ามาเมื่อเช้า ตกดึกเตรียมไปต่อที่ลำปาง ให้ตายเถอะ ขยันยังไงวะไม่ได้ตังค์เลยสักงาน”
ภุชงค์พูดเสียงดังโดยไม่ต้องระวัง เพราะเด็กอู่ทุกคนรู้ดีว่าพีภัทรทำงานอะไร ทุกคนรู้ว่าเพื่อนสนิทของภุชงค์ผู้นี้เป็นนักฆ่าเจ้าของนาม Black Gun
แต่ก็เชื่อใจได้ว่าเด็กอู่ทั้งสี่คนจะไม่ปากโป้งเปิดเผยความจริง
เพราะทุกคนเก็บความลับเก่ง
และแต่ละคนเองก็ใช่ว่าจะมีอดีตที่ขาวสะอาดนัก
ไม่มีใครรู้ว่าเด็กอู่ผู้ถูกเรียกขานว่าสี่จตุเทพอันประกอบไปด้วยจ๊อด โจ๊ก แว่น และหมูจะเคยมีอดีตเป็นเด็กที่ชอบขโมยกระเป๋าตังค์นักท่องเที่ยว ชอบพิมพ์ธนบัตรเก๊กับปลอมบัตรเครติต และชอบทุบรถนักท่องเที่ยวเพื่อขโมยทรัพย์สินที่อยู่ภายในไปขายจนเป็นที่เข็ดขยาดทั่วย่านพัทยาใต้
“เอาน่า สังคมสมัยนี้มนุษย์เราควรจะทำอะไรให้คนอื่นโดยไม่หวังผลประโยชน์เสียบ้าง” พีภัทรพูดอย่างผ่อนคลาย แม้กำลังรู้สึกคัดจมูกจากกลิ่นจาระบีและกลิ่นน้ำมันเครื่องที่โชยออกมาจากตัวของคู่สนทนาก็ตาม
“แหม พ่อคนรักความยุติธรรม พ่อฮีโร่ในเงามืด” ภุชงค์จุ๊ปากเบาๆ “แกนี่มันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ คราวหลังเวลาทำงานน่าจะหายูนิฟอร์มใส่เหมือนพวกแบ็ทแมน, สไปเดอร์แมนซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”
พีภัทรหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ก็พูดขึ้นเสียงจริงจังกว่าเดิมว่า “เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ ว่าแต่ว่ารถกับของที่ฉันต้องการ แกเตรียมไว้แล้วใช่มั้ย?”
“เรียบร้อย” ภุชงค์พยักพเยิดใบหน้าไปทางอีกฟากหนึ่งของอู่แต่งรถ “โน่นไง รออยู่โน่น สีขาวคันที่สองจากขวามือ สวมทะเบียนเรียบร้อย”
พีภัทรหันมองตามสายตาของเพื่อน รถสปอร์ตราคาเหยียบสิบล้านปรากฏแก่สายตาเด่นหราอยู่ท่ามกลางรถระดับเดียวกันแต่ต่างสี
“ไปดูสิ ของที่แกสั่งก็อยู่ในรถนั่นแหล่ะ”
ภุชงค์พูด หันไปสั่งงานเด็กอู่อีกสองสามคำก็เดินนำพีภัทรข้ามพื้นซีเมนต์ไปยังรถคันที่เป็นเป้าหมาย เจ้าของอู่ PV – Motor เปิดประตูให้พีภัทรเห็นสภาพอันหรูหราด้านใน พีภัทรสังเกตเห็นกระเป๋าเอกสารใบหนึ่งบนเบาะคนขับ เขาหยิบกระเป๋าใบนั้นขึ้นมาแล้วสอดตัวเข้าไปนั่ง
“เป็นไง แตกต่างจากรถที่แกเช่ามาขับในพม่ามากมั้ย?” ภุชงค์ท้าวแขนกับขอบประตูยิงฟันยิ้ม
“รถที่จอดนิ่งๆ มันก็เหมือนกันทุกยี่ห้อล่ะวะ มีสี่ล้อกับหนึ่งพวงมาลัยเท่านั้น” พีภัทรตอบอย่างตั้งใจจะแหย่เพื่อนรักเล่น เขาได้ยินภุชงค์สรรเสริญตนเองสองสามคำขณะวางเป้ที่ใส่ปืน กล่องเก็บอุปกรณ์แต่งหน้า และเสื้อผ้าราคาแพงที่ใช้สำหรับแปลงโฉมเป็นนักธุรกิจไว้บนเบาะผู้โดยสารและเปิดกระเป๋าเอกสารออกดู
สิ่งที่บรรจุอยู่ภายในประกอบไปด้วยบัตรประชาชนปลอม ใบขับขี่ปลอม บัตรเครดิตปลอมในชื่อ วานิช มิตรนิรันดร์ เจ้าของธุรกิจผลไม้กระป๋องส่งออกนอกประเทศรายใหม่ยี่ห้อหนูมานีอย่างละหนึ่งใบ ส่วนที่เป็นปึกอัดแน่นเต็มกระเป๋านอกจากนั้นก็คือนามบัตรปลอม ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำมาเยอะขนาดนี้ทำไม
พีภัทรเงยหน้ามองภุชงค์ ดึงบัตรประชาชนปลอม ใบขับขี่ปลอม บัตรเครดิตปลอมออกมาพร้อมทั้งนามบัตรปลอมมาประมาณสี่ห้าใบก็ปิดกระเป๋าเอกสารแล้วส่งคืนให้เพื่อน
“ไอ้ชอน ฉันให้แกเตรียมไว้แค่นิดๆ หน่อยๆ แกจะอัดมาเต็มกระเป๋าทำไมวะ รู้ไหมว่ามันเปลืองกระดาษ”เขาพูดเมื่อภุชงค์รับกระเป๋าไปถือ
“ฉันก็สั่งไปแค่นั้น แต่ไอ้คนทำมันฟังผิดเองนี่หว่า” ภุชงค์พยักพเยิดไปทางเด็กอู่ร่างผอมแว่นหนาที่วุ่นวายอยู่กับการประกอบประตูเข้าสู่โครงรถสัญชาติอิตาลีร่วมกับเด็กอู่ร่างอ้วน ในขณะที่จ๊อดกับโจ๊กกำลังยุ่งอยู่กับรถอีกคันหนึ่ง
“นี่แกยังสั่งให้ไอ้แว่นทำอยู่อีกเรอะ?” พีภัทรถาม หัวเราะออกมาเบาๆ “กี่ครั้งแล้ววะที่สั่งใบเดียวได้มาเป็นโหลเลยน่ะ”
“ถึงหูมันจะตึง แต่หาใครทำบัตรปลอมได้เนียนเท่ามันอีกมั้ยล่ะ” ภุชงค์ตอบ สีหน้ายิ้มแย้มพอกันขณะหนีบกระเป๋าเอกสารเข้ากับซอกแขนซ้าย ล้วงมือขวาลงกระเป๋ากางเกงและโยนอะไรบางอย่างเข้ามาให้เพื่อนรักในรถ
พีภัทรตวัดมือรับ พบว่ามันเป็นกุญแจรถนั่นเอง
“แกจะไปเลยใช่มั้ย?” ภุชงค์ถาม ยังคงยืนท้าวประตูรถที่เปิดอยู่
พีภัทรสอดกุญแจเข้าไปใต้พวงมาลัย บิดเบาๆ เครื่องยนต์ก็ครางหึ่ง เขาหันมองภุชงค์แล้วพยักหน้าตอบ
“ใช่ แกกำหนดให้เจ้าของมารับรถวันไหนล่ะ?”
“อีกสี่วัน ระหว่างนี้แกเอาไปใช้ขึ้นเหนือล่องใต้ได้ตามสบาย”
“แล้วจะเอามาคืนให้เร็วที่สุด”
“แต่จำเอาไว้ ถ้าแกขับกลับมาในสภาพที่ไปเฉี่ยว ไปชน หรือมีสีถลอกแม้แต่น้อย ฉันจะฆ่าแก ไอ้พัต”
ภุชงค์เค้นเสียงอำมหิต แต่สีหน้ากลับตรงกันข้ามกับน้ำเสียง
พีภัทรยิ้มตอบเพื่อนรัก เขารู้ดีว่าภุชงค์พูดเล่น เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พีภัทรขอความช่วยเหลือจากภุชงค์ งานทุกงานที่พีภัทรทำในประเทศไทย เขาก็ล้วนแล้วแต่ได้ของอำนวยความสะดวกเช่นรถยนต์กับเอกสารปลอมมาจากภุชงค์หมดทั้งสิ้น
และถึงแม้พีภัทรจะไม่เคยทำรถที่ภุชงค์ยืม (โดยไม่ได้บอก) จากลูกค้าเสียหายมาก่อน แต่พีภัทรมั่นใจว่าหากเกิดเหตุเช่นนั้นจริงๆ ภุชงค์ก็คงไม่ทำอะไรเขาหรอกเพราะเขากับภุชงค์เป็นเพื่อนสนิทที่เติบโตร่วมกันมาตั้งแต่สามขวบ และพวกเขารักกันมากชนิดสามารถตายแทนกันได้โดยไม่มีความลังเลเลย
“งั้นโชคดีนะเว้ย มีปัญหาก็โทรมา เดี๋ยวโรบิ้นจะบินไปช่วย”
ภุชงค์พูดเมื่อคิดว่าได้เวลาอันสมควรแล้วที่เพื่อนจะออกเดินทางเสียที รอยยิ้มของเขายังคงค้างอยู่ในดวงตาและริมฝีปากขณะขยับตัวถอยออกไป และดันประตูรถสปอร์ตปิดสนิทแน่น
พีภัทรกดปุ่มลดกระจกลง และยื่นหน้าพูดว่า
“เออ ขอบใจ แต่คิดว่าไม่ดีกว่าว่ะ”
“หน๊อย แล้วอย่ามาขอร้องให้ช่วยก็แล้วกันนะว้อย” ภุชงค์ชูกำปั้นให้ทีหนึ่ง
พีภัทรหัวเราะ พูดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนกดกระจกรถขึ้นว่า “ภาพเขียนที่อยู่ในรถตู้ ฉันให้แกนะไอ้ชอน เก็บไว้ให้ดี อีกหน่อยมันจะมีราคา”
กระจกหน้าต่างรถเลื่อนขึ้นปิดสนิทพอดี พีภัทรจึงไม่รู้ว่าภุชงค์ตอบมาว่าอะไร เขาเห็นเพียงริมฝีปากของเพื่อนพะเยิบพะยาบแล้วก็บิดตัวเป็นรอยยิ้มกว้าง เดินถอยหลังกลับออกไปหลีกทางให้รถเคลื่อนผ่าน
พีภัทรสูดลมหายใจรับกลิ่นจากเครื่องปรับอากาศหอมฟุ้งภายในรถขณะเข้าเกียร์แล้วแตะคันเร่งเบาๆ รถสปอร์ตจากยุโรปเคลื่อนออกจากช่องจอด ประตูบานพับของอู่ยังเปิดอยู่ เขากุมพวงมาลัย เหยียดหลังตรง ผ่อนคลายจิตใจ พยายามไม่คิดอะไรเมื่อเคลื่อนรถผ่านจุดที่ภุชงค์ยืนคุมเด็กอู่ประกอบรถยนต์ทั้งสองคันให้เป็นรูปเป็นร่าง
ภุชงค์ยกมือส่งเพื่อนโดยการทำท่าตะเบ๊ะแบบตำรวจ พีภัทรยิ้มมุมปาก ใช้มือขวาตะเบ๊ะกลับร่ำลา
พีภัทรประสานสายตากับภุชงค์เป็นครั้งสุดท้ายทางกระจกส่องหลัง ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะหายลับไปเมื่อเขาพารถเคลื่อนผ่านประตูอู่ออกมาสู่อ้อมอกของราตรีกาลแห่งเมืองพัทยาที่ยังคงเป็นพัทยา แม้จะถูกความมืดกลืนกิน แต่นักท่องเที่ยวแถบถิ่นนี้ไม่เคยหวาดกลัว ขับมาเพียงไม่นาน รถสปอร์ตของพีภัทรก็ขยับขับเคลื่อนผ่านถนนที่มีร้านรวงอันคึกครื้นสองข้างทางเข้ามาแล่นอยู่บนถนนเส้นใหญ่ ร่วมผจญภัยในการจราจรไปพร้อมกับรถยนต์นานาชนิดและนานาสัญชาตินับพันคัน แต่มันก็แทบไม่มีความหมายเลยว่ารถที่ขับจะเร็วแรงหรือราคาแพงขนาดไหนเมื่อต้องเผชิญการจราจรที่ติดขัดอย่างนี้
ขณะนี้เป็นเวลาตีหนึ่งสี่สิบห้านาที พีภัทรอาศัยดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือเพราะแผงคอนโซลหน้ารถถูกปรับเปลี่ยนให้เต็มไปด้วยหน้าปัดวัดการทำงานในด้านต่างๆ ของเครื่องยนต์จนไม่เหลือที่สำหรับอุปกรณ์อื่นอีกนอกจากจอจีพีเอสและเครื่องเล่นซีดี
พีภัทรเคาะนิ้วบนพวงมาลัยเล่นขณะรถติดไฟแดงเป็นครั้งที่สอง เขาเหลือบสายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่ตั้งใจ คืนนี้ท้องฟ้าดูมืดมิดกว่าที่เคย อาจเป็นผลจากพายุที่พัดเข้าประเทศไทยในระยะสองสามวันนี้ ฟ้าแลบแปลบปลาบพอให้มองเห็นได้ไม่ขาดตา ก่อนร้องครืนครันตามมาเหมือนสัตว์ที่เพรียกหาคู่
ฝนเพิ่งหยุดตกไปเมื่อเย็น และคงจะตกใหม่ในอีกไม่เกินสองสามชั่วโมงข้างหน้า
พีภัทรรีบดึงสายตาลงมาจ้องมองท้องถนนอีกครั้ง เขาไม่กล้าจับจ้องท้องฟ้าเนิ่นนานเกินไป
เพราะท้องฟ้าในยามนี้ เตือนให้เขานึกถึงท้องฟ้าในโปสการ์ดดอกกุหลาบแดงของ Lady Red Rose ขึ้นมาจับใจ
มันทำให้มือทั้งสองของเขากำพวงมาลัยแนบแน่น
พีภัทรสูดหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ
อีกไม่นานแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะได้เจอเธอคนนั้น สุภาพสตรีกุหลาบแดง
เธอจะรู้ตัวไหมว่า ชีวิตของเธอ กำลังจะเหมือนดอกกุหลาบในโปสการ์ดใบนั้นเข้าไปทุกทีแล้ว...
++++++++
แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 55 17:19:16
แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 55 22:14:24
แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 55 21:59:28
แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 55 21:16:12
จากคุณ |
:
ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ก.พ. 55 21:08:40
|
|
|
|