Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 3 ติดต่อทีมงาน

สวัสดีครับเพื่อนนักอ่านทุกท่าน
วันนี้ตอนบ่ายกำลังจะโพส บทที่ 3 ไฟฟ้าก็ดับพรึ่บลงพอดี จากนั้นเนตก็ต่อไม่ได้อีกเลย จนเพิ่งมาสำเร็จเอาไม่นานนี่เองครับ

ขอบคุณกิฟต์จากคุณ Setakan, npuiy, นารีจำศีล, mimny, wor_lek, เพชรรุ้งพราย, กุหลาบมอญ, ใยไหมกะใบม่อน, Travel to the moon, kdunagin,และคุณ Hermosa ด้วยครับ

สำหรับล่องกัลปาลัย ตอนที่ 2 ที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11749679/W11749679.html

และตอนที่ 3 ครับ



       บัดนี้นิยาย "เล่ห์สังหาร "ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งจากแฟนนักอ่านและนักวิจารณ์อย่างท่วมท้น จนคนเขียนเองก็ยังงงๆกับความสำเร็จ


             “ผลงานสะเทือนขวัญสั่นประสาทที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง!”


           “ผู้เขียนสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความน่ากลัวของอาชญากรรม ราวกับนำพาผู้อ่านให้เดินทางเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ”


            “สมจริงเสียจนคิดว่าไม่ใช่นิยาย!!”


           “เจ้าแม่นิยายสืบสวนคนใหม่แห่งบรรณพิภพ!!”

            “เทพธิดาพยากรณ์แห่งวงการน้ำหมึกยุคปัจจุบัน!!”


                หลากหลายคำชมเหล่านั้น แม้แต่คำชมท้ายๆที่แหม่งๆพิกล จนปีระกาเองคิดไม่ตกว่าหล่อนจะยึดอาชีพเป็นนักเขียนดี หรือเป็นเจ้าแม่ หรือไม่ก็เปิดสำนักเทพธิดาพยากรณ์กันไปเลย? แต่ก็ทำให้หล่อนกลายเป็นนักเขียนนิยายสยองขวัญคลื่นลูกใหม่ไปในเวลาข้ามคืน เตชิตนั่นเองที่โทรศัพท์เข้ามารายงานข่าวเกือบทุกระยะด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้หล่อนกลายเป็นนักเขียนขายดีของสำนักพิมพ์ไปเรียบร้อยแล้ว


               “เฮ้ย ไอ้ปี ฉันสั่งเพิ่มยอดพิมพ์แล้วนะ เอาสักสามพันเล่มก่อนก็แล้วกัน นี่แค่พิมพ์ครั้งแรกก็เกลี้ยงตลาดไม่เกินสัปดาห์เดียวเอง ขนาดเราไม่ได้ประชาสัมพันธ์อะไรเลยเห็นมั๊ย พี่เต๋ว่าแล้ว... พอคนอ่านเขาพูดไปปากต่อปาก มันก็ดัง!”


           พี่เต๋ พูดฉอดๆ ลืมนิยาย “แป้กสนิท” เรื่องก่อนหน้า ไปในพริบตา


         “เอ่อ...”


           ปีระกามัวแต่รับหูโทรศัพท์ทำอะไรไม่ถูก บอกอคนเก่งจึงเริ่มพูดต่อทันที


           “แล้วเตรียมเขียนเรื่องใหม่ไว้ได้เลยล่ะ ไอ้ปี ตกลงเขียนแนวนี้แหละ คนชอบ แล้วก็ลืมเรื่องยัยหัวฟูติงต๊อง ซาดองก๋อย ซาดองแกอะไรนั่นไปได้เลย”


            หล่อนวางหูไปเรียบร้อยแล้ว แม้จะเป็นเรื่องน่ายินดีอยู่ไม่น้อย ในขณะที่เพื่อนคนอื่นยังหางานทำตัวเป็นเกลียว แต่หล่อนกลับสามารถเขียนหนังสือขายมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ใครจะรู้ว่าข้อมูลทุกอย่างมันมาจากความจริงล้วนๆ ความจริงของดวงวิญญาณที่ตายไปแล้ว แต่ยังวนเวียนอยู่ในโลกใบนี้ แล้วย้อนกลับมาบอกเล่าเรื่องราวให้เขียนออกมานั่นเอง!


           เริ่มจากคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญเมื่อหลายเดือนก่อนนั่นเอง อันเป็นที่มาของนิยายเล่ห์สังหาร


             เมื่อมีคนพบศพของชายหนุ่มนิรนาม ในบ่อน้ำสาธารณะแห่งหนึ่ง มีร่องรอยถูกแทงด้วยวัตถุมีคมหลายสิบแผลจนขาดใจตาย ไม่ปรากฏทรัพย์สินใดๆเหลืออยู่เลยนอกจากเสื้อผ้าติดตัว จนนำไปสู่ข้อสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ เนื่องจากรูปคดีนั้น ผู้ตายไม่มีประวัติอื่นใดน่าสงสัย จึงทำให้ตำรวจมุ่งประเด็นไปยังสาเหตุเดียวเพื่อหาตัวคนร้ายมาลงโทษ


           ระหว่างช่วงเวลาของการสืบหาตัวคนร้ายอย่างสับสนของตำรวจอยู่นั้นเอง ปีระกาก็ตีพิมพ์นิยายเรื่องเด็ดออกมาพอดี


           “ลพ”ชายหนุ่มในนิยายเรื่องนี้ ถูกฆาตกรรมในลักษณะแบบเดียวกัน แต่ฉีกประเด็นข้อสันนิษฐานของตำรวจชนิดตีแสกหน้า สะเทือนไปทั้งสถานี


                “ผมเคยรักกับสุภามาก่อน แต่แล้วพอสุภาไปติดพันกับผู้ชายคนใหม่ที่ชื่อไอ้วันชัย ผมก็เลยมีโอกาสได้มาพบกับดาริน”


             “เสียง”แหบพร่าของดวงวิญญาณนั้นเล่าเสียจนแทบชิดริมหู เป็นครั้งแรกที่ปีระกาคิดว่าหล่อนไม่น่ารนหาที่เลยจริงๆ แต่ความอยากเป็น “นักประพันธ์”มีมากกว่าความกลัว จึงทำให้ต้องฝืนอดทนฟังต่อจนจบ


            “แล้วยังไงล่ะ แฟนเก่าของนายก็กลับมาขอคืนดีใช่มั๊ย? แล้วในที่สุดก็เลยทะเลาะกัน จนแทงนายตายทั้งคู่”


        “เอ... คุณนี่ยังไงนะ! หยุดพูดซะมั่งก็คงจะดีขึ้นเยอะเลยล่ะ ตกลงจะฟังให้จบหรือเปล่า? ไม่งั้นผมไม่เล่าแล้วนะ”


            คราวนี้ถึงคราววิญญาณผู้ตายเริ่มมี “น้ำโห” ปนใจน้อยเอามั่งแล้ว น้ำเสียงเลยเข้มขึ้นจนเป็นสีแสดจ้า ปีระกาเลยต้องรีบสงบปากสงบคำโดยด่วนจี๋ ไม่จู้จี้เซ้าซี้ซักถามมากเกินเหตุต่อไป เดี๋ยวเกิดวิญญาณนายลพไม่เล่าขึ้นมา พลอตเรื่องใหม่ๆมีหวังอดกันพอดี


            “อันที่จริงผมก็ควรจะแต่งงานอยู่กินกับดารินอยู่แล้ว ถ้าเกิดไม่ไปรู้ความจริงบางอย่างเข้าเสียก่อน ก็นังดารินมันเคยมีสามีมาก่อนแล้วและยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน มันโกหกผม”


            น้ำเสียงวิญญาณนั้นเศร้าสร้อย จนหล่อนคิดว่าเจ้าตัวก็คงจะมีความทุกข์อยู่มิใช่น้อย ธามนะธาม อุตส่าห์หาตัวอย่างเด็ดๆมาเล่าเรื่องซะหล่อนพลอยน้ำหูน้ำตาซึมไปด้วย


             “ดารินไม่เคยรักผมเลย แต่มันต้องการแต่งงานกับผม เพราะอยากจะได้ทรัพย์สมบัติที่ผมมีอยู่ มันรู้จากสุภาว่าผมเป็นคนยังไง ชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร?”


            “หมายความว่า แฟนของคุณทั้งคู่รู้จักกัน?”


          “ใช่! วันชัยคือสามีเก่าของดาริน!”


             หล่อนแทบจะดีดนิ้วดังเปาะ พล็อตประเภทที่ความสัมพันธ์ของตัวละครผูกย้อนกันไปย้อนกันมาอย่างนี้แหละ น่าจะสนุกนัก ก็แค่เปลี่ยนชื่อตัวละครสักหน่อยพอไม่ให้สมจริงเกินไปนัก ก็แค่นั้น


          “แล้วจากนั้น ล่ะ?”


            “ผมก็ขอเลิกกับนังดารินน่ะสิ รู้แบบนี้ใครจะไปทนอยู่กับผู้หญิงกะล่อนพรรค์นั้นได้ แต่ไอ้วันชัยมันไม่ยอม มันแค้นที่ผมบอกเลิกกับอดีตเมียของมัน เพราะความจริงแล้วพวกมันวางแผนจะเสวยสุขจากมรดกของผม มันก็เลยจ้างคนมาฆ่าผมซะและกลบเกลื่อนหลักฐานไม่ให้ใครสาวตัวไปถึงมันได้”


              “แสดงว่านายรู้น่ะสิ ว่ากลบเกลื่อนหลักฐานอะไร”


              คราวนี้เสียงของลพยิ่งดังขึ้น


            “ก็รู้น่ะสิ ถามบ้าๆ เสียแต่ตำรวจตรวจหาไม่พบเท่านั้นแหละ”


           “ถ้างั้น นายบอกฉันมาสิ... ฉันจะช่วย”


             วิญญาณผู้ตายคงจะเล่าต่อไปอีกอย่างไม่รู้จบด้วยความคั่งแค้นอารมณ์ ถ้าธามไม่รีบพากลับไปเสียก่อน ปีระกาแอบบ่นพึมในใจ เมื่อไม่อาจจะเก็บข้อมูลได้มากกว่านี้ แม้ว่าอย่างน้อย หล่อนก็ได้ข้อมูลบางอย่างเอาไว้ในกำมือนั้นแล้ว


              ข้อมูลที่แม้แต่ตำรวจยังหาไม่พบ!


             “ธามนะธาม กำลังฟังเพลินๆ มาขัดจังหวะเอาซะได้ ไหนบอกจะช่วยกันไง”


              “เขาพูดมากเกินไปแล้ว ทุกอย่างเป็นไปเพราะผลกรรมของเขาเองด้วย ทำให้ตำรวจต้องคว้าน้ำเหลวกับการสืบสวนหาฆาตกรในตอนแรก แต่เวลานี้มาถึงแล้ว ส่วนเจ้าก็มีหน้าที่ฟังเรื่องแล้วนำไปเขียนปะติดปะต่อเองก็พอแล้ว ไม่ใช่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลละเอียดยิบเสียจนจะเอาไปพิพากษาคดีซะเอง”


               ธามไม่วายเทศนาต่อ แต่แค่นั้นก็เพียงพอเกินพอที่ปีระกาจะเอาชีวิตและข้อมูลหลักฐานของฆาตกรในคดีนี้ ไปเขียนเป็นนิยายเล่ห์สังหาร ใส่บุคลิกบทบาทของทั้งดาริน และ สุภาในชื่อใหม่ ให้เชือดเฉือนกันมันหยด โดยมีนายลพอยู่ตรงกลางเรื่อง และไม่วายทิ้งท้ายปมปริศนาการฆาตกรรม ก่อนจะมาหักมุมตอนจบลงอย่างสวยงาม ด้วยข้อมูลลับชิ้นสำคัญข้อมูลนั่น แน่นอน หล่อนแอบใส่บทบาทตัวเองลงไปด้วย ในนามนักสืบสาวพราวเสน่ห์และแสนฉลาด... ปรีชญา มารศรี!


                หลายคนที่อ่านเล่ห์สังหารบอกตรงกันว่า เหมือนคนเขียนเข้าไปนั่งอยู่กลางใจผู้ตายในคดีนี้ไม่มีผิด!


             แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นอย่างที่หล่อนคิดไม่ถึงก็คือ นามปากกา ปีระกา กลายเป็นที่จับตามองของตำรวจไปด้วย!

            ***********************


                นิยายสืบสวนสยองขวัญจำนวนห้าเรื่องในปัจจุบัน บัดนี้ถูกจับจองไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์เรียบร้อยแล้ว โดยผู้จัดคนดัง ในรูปแบบซีรีย์สืบสวนสอบสวน ผ่านตัวละครนักสืบสาว ปรีชญา มารศรี ตัวละครเอกที่วางตัวดาราสาวสุดเซ็กซี่ชื่อดังของเมืองไทยเอาไว้ ร่วมกับนายตำรวจหนุ่มจอมกวน ผู้กอง ปาษาณ สุรเสน นายตำรวจสืบสวนสอบสวนที่หล่อนถูกพี่เต๋ บังคับให้ใส่บทบาทนี้เข้ามาให้เป็นพระเอกคู่กับนักสืบสาวด้วย ทั้งที่ตอนแรกก็ไม่ค่อยอยากเขียนบทตัวละคร ตัวนี้สักเท่าไร


               เพราะอยากให้ “ยายปี” หรือ ปรีชญา โชว์ความสามารถแบบวันวูแมนโชว์เสียมากกว่า แต่ ท่าน บอกอ เตชิต อีกนั่นแหละ ที่สำทับให้หล่อนเพิ่มบทพระเอกให้มีสีสันเข้ามาด้วย


            “ได้ไง เขียนนิยาย ไม่มีพระเอก มีแต่นางเอกโชว์พาวอยู่คนเดียว อย่างงี้คนอ่านก็โวยวายตายโหง ไม่ได้นะโว้ย! ห้ามเด็ดขาด นะยายปี แกต้องเขียนให้มีบทโรมานซ์ผสมสักหน่อยด้วยนะ พอให้คนอ่าน อ่านแล้วเลือดลมกระชุ่มกระชวย หรืออ่านไปจิกหมอนไปซะหน่อย ขืนมีแต่ฆ่ากันเลือดสาดอย่างเดียว มันจะซาดิสม์เกินไป”


               นั่นแหละทำให้บทผู้กองหิน หรือผู้กองปาษาณถูกเพิ่มเข้ามาในเล่ห์สังหาร และเดินเรื่องคู่กับนักสืบสาวปรีชญาไปพร้อมกันทุกตอน


               แต่สิ่งน่าเบื่อที่สุดขอปีระกา คือการถูกสัมภาษณ์ถามตลอดถึงที่มาของนิยายเรื่องเด็ดทั้งหลายที่สร้างขึ้น ตามรอยฆาตกรรมที่ยังไม่อาจคลี่คลายของสำนักงานตำรวจ แต่ในนิยายของปีระกากลับมีบทสรุปของทุกเรื่องเอาไว้อย่างชัดเจน ราวกับเข้าไปเห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเอง ทั้งที่คดีทั้งหลายเหล่านี้ยังไม่ข้อสรุป


           “หรือว่าแกเป็นฆาตกรซะเองวะ ไอ้ปี?”


               ชลธรเคยถามอย่างติดตลก เมื่อเห็นหล่อนรับโทรศัพท์เป็นว่าเล่น ทั้งจากบรรดานักข่าว นักอ่าน และ ตำรวจ จนต้องคอยหลบคำถามคนเหล่านี้ราวกับเป็นผู้ร้ายซะเอง


             “บ้าน่ะสิ แค่เขียนสนุกๆเท่านั้น มันบังเอิญเท่านั้นหรอกน่า”


          “แต่ก็น่าแปลกนะ ข้อสันนิษฐานของแกทุกเรื่อง ตั้งแต่ เล่ห์สังหารเอย มายาฆาตกรรมเอย ล้วนกลายเป็นสิ่งช่วยชี้เบาะแสให้กับตำรวจจนคลี่คลายคดีไปตั้งห้าคดีแล้วสิ แล้วเรื่องใหม่นี้ล่ะ จะเป็นคดีไหน?”


              ตอนนี้ หล่อนกำลังคร่ำเคร่งกับนิยายเรื่องที่หก “กุหลาบอาเพศ”นับจากนิยายหวานแหววเรื่องแรกเรื่องเดียวที่เขียน และอีกห้าเรื่องในแนวสยองขวัญนามปากกาปีระกา โดยได้รับไอเดียจากพี่เต๋ ให้เรียงชื่อเรื่องต่อเนื่องสอดคล้องกันตามมาเป็นลำดับ


       เล่ห์สังหาร – พยานปริศนา – มายาฆาตกร –ละครบาป และ กุหลาบอาเพศ นี่แหละ เป็นเรื่องล่าสุด


           ณ ที่บัดนี้ ปีระกาไม่ต้องเขียนรวมเล่มส่งรวดเดียวอีกต่อไปแล้ว หล่อนสามารถส่งต้นฉบับเป็นตอนๆตีพิมพ์ลงในนิตยสารสตรีรายสัปดาห์ชื่อก้อง “ยอดเยาวมาลย์” และได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงอยู่ในขณะนี้ เหตุการณ์ในเรื่องกำลังเข้มข้นขมวดเกลียว และใกล้จะเฉลยตัวฆาตกรอยู่ในอีกไม่กี่บทข้างหน้าแล้ว


          ยอดเยาวมาลย์ ก็คือนิตยสารในเครือเดียวกับสำนักพิมพ์ของพี่เต๋นั่นเอง เมื่อเตชิตเล็งเห็นว่างานของหล่อนได้รับความนิยมมากขึ้น ก็เลยเสนอให้เขียนนิยายขนาดยาวลงเป็นตอนๆควบคู่กันไปด้วยเลย แล้วค่อยนำมารวมเล่มทีหลัง


            “แบบนี้คนอ่านจะได้ไม่ต้องรอ แถมแกยังได้ได้รายได้สองเด้งเลยไงล่ะไอ้ปี คราวนี้ก็จะได้ยึดเป็นอาชีพนักเขียนเต็มตัวไปซะเลย มีรายได้ประจำด้วย รายได้รวมเล่มด้วย คุ้มโคตรๆ”


             พี่เต๋วางแผนให้เสร็จสรรพและหล่อนเห็นด้วย หลังจากเข้ามาสู่วงการน้ำหมึกแห่งนี้ได้สักพัก ก็ชักจะเริ่มติดใจ จนแทบจะหลงๆลืมๆวิชาที่เคยเรียนในสมัยปริญญาตรีไปบ้างแล้ว ในที่สุดปีระกาก็เลยตอบตกลงทันที แต่สิ่งที่ตามมาอย่างไม่คาดคิดมาก่อนก็คือ


             การถูกทวงต้นฉบับทุกเดือน!


              และคนโทรมาตามก็คือท่านบอกอหญ่ายยย... พี่เต๋ ตัวแสบ นั่นเอง...


         แถม “นายหน้าธาม”ที่พา แหล่งข้อมูลมาเล่าเรื่องราวก็ดันมาบ้างไม่มาบ้างเสียด้วย ทำเอา “นักเขียนหญ่าย”อย่างหล่อนถึงกับต้องกุมขมับ ปะติดปะต่อเรื่องเองบ้างเพื่อเอาตัวรอดไปให้ได้ในแต่ละเดือน


               “อัตตาหิ อัตโนนาโถ จำเอาไว้ อย่ามัวแต่หวังเพิ่งขึ้นคนอื่น รู้ไหม?”


             วิญญาณที่มีแต่เสียง ย้อนกลับเทศนาอีกอย่างน่ากวนโมโหแทน ปีระกาคิดว่า สงสัยต้องหลบหน้าหนีทุกคนเพื่อไปบิวด์อารมณ์ที่บ้าน แทนที่จะมาซุ่มเขียนที่คอนโดแห่งนี้แทนซะแล้ว


                 หล่อนนึกไปถึงคุณบุษกรมารดาที่เริ่มสูงวัยและเจ็บป่วยออดๆแอดๆอยู่ที่บ้าน ภายหลังจากคุณชูชีพผู้เป็นบิดาเสียชีวิตไปก่อนหน้าไม่นานด้วยอุบัติเหตุ ตอนนั้นหล่อนก็เคยชวนท่านให้มาอยู่ด้วยกัน แต่คุณบุษกรก็ปฏิเสธ เธอชินกับการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเล็กๆสงบเงียบชานเมือง มากกว่าการเข้ามาอยู่ในใจกลางเมืองหลวงอันพลุกพล่านปัจจุบันนี้


            “อยู่ที่นี่ไม่ต้องห่วงหรอกหนูปี คนแถวนี้เรารู้จักกันหมดตั้งแต่ปากซอยยันท้ายซอย แล้วหนูก็แวะมาหาแม่ทุกอาทิตย์อยู่แล้วนี่นา”


             ผู้เป็นมารดาให้เหตุผลที่ทำให้ต้องยอมจำนน แม้ว่าจะอดห่วงไม่ได้ก็ตาม


            วางสายจากพี่เต๋ไปไม่ทันไร โทรศัพท์สายที่สองก็ดังขึ้นอีก ทำให้คนที่ลุกไปนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ถึงกับหน้าบูด นอกจากถูกทวงต้นฉบับแล้ว ไม่รู้จะถูกทวงอะไรอีก?


           “สวัสดีค่ะ ปีระกาพูดค่ะ”


                 พูดยังไม่จบ เสียงห้าวกังวานจากปลายสายก็ดังขึ้นทันที จนปีระกาไม่ทันตั้งตัว


                   “สวัสดีครับคุณปีระกา ผมผู้กองคมจักร จากสถานีตำรวจ... อยากจะขอพูดคุยสัมภาษณ์บางอย่างกับคุณสักหน่อยครับ”


             เสียงทุ้มห้าวราวกับเสียงพระเอกหนังสักเรื่องดังมา ถ้าไม่บอกว่าเป็นตำรวจมาสอบปากคำ หล่อนคงจะรู้สึกดีมากไปกว่านี้


             “พูดคุย เรื่องอะไรคะ?”


             หล่อนย้อนถามด้วยสังหรณ์ประหลาด


              “เรื่องของการตามรอยคดีฆาตกรรมที่คุณเขียนลงในนิยายเรื่องกุหลาบวิปริต... เรื่องล่าสุดนี้แหละครับ...”


             “บ้าน่ะสิ! กุหลาบอาเพศย่ะ ใครบอกว่ากุหลาบวิปริต”


             คราวนี้เสียงหล่อนแว้ดออกมาตามสายโทรศัพท์ทันทีเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ

              **********************


             ร้อยเอกคมจักร จักษุราช มองใบหน้าเรียวระหงได้รูปเบื้องหน้า ด้วยความรู้สึกยากบรรยาย เขาเก็บความรู้สึกเอาไว้ในสีหน้าตัวเองไม่ให้แสดงความประหลาดใจออกมาเป็นอันดับแรก ที่ได้พบกับนักเขียนนิยายชื่อดัง “ปีระกา”


             หลังจากได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้อ่านนิยายทั้งห้าเล่มจนจบ เพื่อสอบเทียบกับคดีฆาตกรรมที่ตำรวจยังไม่สามารถสรุปสำนวนได้ชัดเจนทั้งห้าคดีแล้ว ยิ่งทำให้เขาอยากรู้จักหล่อนเป็นการส่วนตัวมากขึ้น


            คมจักร ยอมรับว่าเขาไม่เคยอ่านนิยายมาก่อน นอกจากตำรับตำราเรียน แต่เมื่อมีโอกาสได้อ่านเล่ห์สังหาร จนมาถึง กุหลาบอาเพศ ทำให้เขาอดทึ่งในตัวคนเขียนไม่ได้ แล้วก็พาลนึกไปว่า “ปีระกา” ผู้เขียนนิยายเรื่องสยองเหล่านี้คงจะเป็นสาวแก่วัยดึก ที่มีใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาอะไรปานนั้น


                  ตราบจนได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้รับหน้าที่โดยตรงในการติดต่อกับหล่อน เขาจึงตัดสินใจโทรศัพท์ติดต่อมาก่อน ไม่คิดว่าตัวจริงของนักเขียนนิยายสยองขวัญ ฆาตกรรมอำพรางชนิดบรรยายเลือดสาดกระจุยกระจาย จะเป็นหญิงสาวหน้าอ่อน ไว้ผมสั้นๆระต้นคอ เหมือนเพิ่งพ้นวัยมัธยมมาเมื่อวานซืนเสียมากกว่า ซ้ำยังมีบุคลิกท่าทางที่ดู “ก๋ากั่น” อย่างทอมบอย แก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่า ประเภทนั้น มีเฉพาะนัยน์ตากลมโตที่โดดเด่นใสแจ๋ว ที่ตรึงสายตาเขาไว้ตลอดเวลา ของการซักถามพูดคุย จนคมจักรมองเพลิน และอดคิดไม่ได้ว่า หญิงสาวตรงหน้านี้...


             ไม่น่าจะเป็นนักเขียนตัวจริงเสียงจริงเสียด้วยซ้ำ!


             น่าขันที่การสนทนาทางโทรศัพท์ที่ควรจะราบรื่นเหมือนทุกครั้ง กลายเป็นการสร้างศัตรูตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า ถ้าไม่เพราะเขาดันเผลอจำชื่อนิยายของหล่อนผิดไปนิดเดียว... นิดเดียวจริงๆ ให้ตายเหอะ!


             คมจักร อยากจะเกาหัวตัวเอง ไม่เข้าใจว่าผู้หญิงอย่างแม่นักเขียนสาวคนนี้จะ “เซนซิทีฟ”อะไรนักหนา ก็แค่จากกุหลาบอาเพศ ของหล่อนไปเป็น กุหลาบวิปริต จริงๆแล้วเขาก็ว่าความหมายมันครือๆกันน่ะแหละ อาเพศ วิปริต ไม่เห็นจะแตกต่างอะไรกันเลยสักนิด


             แต่หล่อนทำเหมือนเขามีความผิดฉกาจฉกรรจ์เสียจนเป็นเรื่องคอขาดบาดตายซะอย่างนั้น ดังนั้นหลังจาก “ปรี๊ดแตก” ใส่โทรศัพท์เป็นการสร้างความประทับใจครั้งแรกแล้ว เมื่อได้สอบปากคำเป็นการส่วนตัวครั้งแรก เขาจึงเห็นหล่อนเอาแต่นั่งหน้างอเป็นหมากรุกอยู่ตลอดเวลา จนอดรู้สึกขันกับท่าทางงอนเป็นเด็กๆอย่างนั้นไม่ได้


           แต่กระนั้น ด้วยสายตาช่างสังเกตของนายตำรวจ คมจักรยังมองเห็นแวววูบไหวบางอย่างในดวงตากลมโตโดดเด่นคู่นั้น เหมือนกำลังซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ เมื่อเขาถามถึงแรงจูงใจในการเขียนพลอตนิยายแต่ละเรื่อง


               “ก็ ดิฉันศึกษารูปแบบคดีฆาตกรรมต่างๆมาก่อนน่ะสิคะ เคยอ่านข่าวแล้วก็เลยเอามาคิดต่อยอดออกไปอีกที”


               จริงๆก็อยากจะเชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน แต่รายละเอียดบางอย่างในเชิงลึกที่แม้แต่ตำรวจเองยังไม่ค้นพบ หญิงสาวหน้าแบ๊วคนนี้ กลับเขียนบรรยายเสียอย่างละเอียดลออ หล่อนซ่อนอาการไม่พอใจเอาไว้พอสมควร เมื่อเขาไล่ถามแต่ละประเด็นอย่างละเอียด


            “ไม่นึกว่าผู้กองจะอ่านนิยายกะเขาด้วยนะคะ”


              มีการ “จิก”เล็กน้อย เมื่อเขายกประโยคบรรยายในนิยายเรื่องต่างๆมาเทียบกับผลการชันสูตรของตำรวจ และดูเหมือนว่ารายละเอียดในนิยายเหล่านั้น จะเดินนำหน้าผลการพิสูจน์หลักฐานไปก้าวหนึ่งเสมอ


              หล่อนแบมือแล้วยักไหล่ ด้วยท่าทางที่คมจักรเองก็ต้องข่มความหมั่นไส้ไว้เต็มทน เขาทำทีเป็นหมดความสงสัย และอำลากลับ แอบเห็นท่าทีหล่อนค่อยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก คมจักรคิดว่า เห็นทีจะต้องจับตา แม่สาวนัยน์ตาแบ๊วคนนี้เอาไว้ ไม่ให้คลาดสายตาเสียแล้ว


              ถึงจะไม่คิดว่าหญิงสาวคนนี้จะเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ตายทั้งหลายโดยตรง แต่ต้องมีอะไรบางอย่างที่สัมพันธ์กันอย่างแน่นอน


           และก็ได้แต่หวังว่า “ฆาตกร”ที่ยังลอยนวลอยู่ในคดีสุดท้าย ในนิยายเรื่องที่ห้าของเจ้าหล่อน จะไม่เกิดไหวตัวไปด้วยเสียก่อนเหมือนกัน


        คมจักรไม่อาจรู้เลยว่า สังหรณ์จากสัญชาตญาณของเขากำลังจะกลายเป็นจริง!!

            **************************

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 55 19:09:37




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com