 |
บทที่ 6
เมืองลำปาง, ห้างฉัตร รีสอร์ท กลิ่นเกสร สาขาลำปาง
พีภัทรยืนอยู่ที่ระเบียงของห้องพัก ทอดสายตามองทิวเขาที่โอบกอดรอบรีสอร์ทอันงดงามด้วยหมู่ไม้ตามธรรมชาติ นักฆ่าหนุ่มสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายลมหายใจออกมาช้าๆ เขาอนุญาตให้ตนเองปล่อยความคิดล่องลอยตามสายลมที่โชยผ่านกายเล็กน้อยก่อนจะต้องเดินทางไปที่คฤหาสน์บุษบายุธในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
สายลมเย็นสบายยามบ่ายพัดมาปะทะใบหน้าของพีภัทร เส้นผมดำขลับของเขาปลิวไสวตามแรงลม มันเปิดเผยให้เห็นรอยแผลเป็นรูปกากบาท พีภัทรเพิ่งลบแป้งแปลงโฉมออกเมื่อตอนเช็คอินเข้าห้องพักเมื่อเช้านี้
ไม่มีใครรู้ว่าเขามีแผลเป็น แต่ในยามนี้ พีภัทรไม่คิดปกปิด เพราะในระเบียงห้องพักที่สูงขนาดนี้ คงไม่มีใครสามารถเห็นรอยแผลของเขาได้นอกจากนกที่บินอยู่บนฟ้า
พีภัทรกำลังคิดถึงนางศโรรัตน์ เขาคิดว่าหากแม่บุญธรรมได้มาสูดอากาศบริสุทธิ์อย่างนี้บ้างก็คงดีไม่น้อย เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้มาเที่ยวกับพ่อแม่บุญธรรมคือเมื่อไหร่ พวกท่านสองคนยุ่งอยู่กับการจัดการร้านอาหารทั้งสามสาขาในพัทยาใต้จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนเป็นของตัวเอง ซึ่งการคร่ำเคร่งอย่างนั้นก็ยังผลให้นางศโรรัตน์ป่วยเป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตสูงตั้งแต่อายุ 45 ปี ส่วนนายพงศธรนั้นแข็งแรงดี เขาคงอายุยืนถ้าไม่โดนลูกตะกั่วเจาะขมับนัดนั้น
พีภัทรหลับตาลง ความหลังเก่าก่อนถั่งท้นโถมทับห้วงคำนึง เขาปล่อยให้มันเป็นไป เขาอนุญาตให้ตนเองหลุดพ้นจากโลกปัจจุบัน หลบเร้นตัวเองสู่โลกของชายหนุ่มผู้ไม่เคยรู้จักการฆ่าฟันมาก่อน มันเป็นโลกสีขาวที่สว่างไสว ไม่ใช่โลกสีเทาแกมดำที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างนี้
ชีวิตนี้ในโลกทั้งสองใบของพีภัทร เขาเป็นหนี้บุญคุณภุชงค์มากมายเหลือเกิน พีภัทรจำได้ดี ก็เพราะภุชงค์นี่แหล่ะที่ทำให้เขารู้ความจริงว่านายพงศธรกับนางศโรรัตน์ซึ่งเป็นพ่อแม่บุญธรรมรับตัวเขามาเลี้ยงได้อย่างไร
ภุชงค์เป็นคนบอกให้พีภัทรรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา นายพงศธรกับนางศโรรัตน์รู้ว่าพ่อแม่ของเขาเป็นใคร แต่พวกท่านไม่ยอมบอกความจริง
แน่นอน ก่อนหน้านั้นพีภัทรทราบดีว่าตนเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนายพงศธรกับนางศโรรัตน์ พ่อแม่บุญธรรมของเขาเลือกที่จะบอกความจริงให้เด็กชายพีภัทรฟังเมื่อเขาอายุสิบขวบเพราะคิดว่าหากปล่อยให้โตไปมากกว่านี้ ความเสียใจก็คงทวีขึ้นตามความเติบโต
เด็กในวัยสิบขวบ ที่ไม่เด็กเกินไปและไม่โตเกินไป จะจัดการกับความเสียใจได้รวดเร็วกว่าในความคิดของพ่อแม่บุญธรรมของเขา
ทั้งสองอธิบายให้เด็กชายพีภัทรฟังว่า เขาเป็นเด็กกำพร้าที่ใครบางคนคลอดแล้วนำมาทิ้งไว้บริเวณป้ายรถเมล์ นายพงศธรกับนางศโรรัตน์ผ่านไปพบเข้าด้วยความบังเอิญ จึงนำมาเลี้ยงและทำเรื่องขอรับเป็นลูกบุญธรรมเพราะนายพงศธรเป็นหมัน ไม่สามารถมีบุตรไว้สืบสกุลได้ นั่นคือสิ่งที่พ่อแม่บุญธรรมอธิบายให้พีภัทรฟัง ซึ่งมีความจริงอยู่เพียงครึ่งเดียว
ความจริงคือ พ่อบุญธรรมเป็นหมันจริงๆ
แต่เขาไม่ได้พบทารกน้อยพีภัทรที่ป้ายรถเมล์
พีภัทรในยามเป็นทารกถูกนำมาส่งให้ที่บ้านเก่าของนายพงศธรที่พัทยาด้วยรถยนต์ยี่ห้อดังคันหนึ่ง แม่ของภุชงค์ซึ่งอยู่บ้านตรงกันข้ามเป็นพยานแอบเห็นตลอดเวลาที่ชายผิวขาว ท่าทางมีเชื้อจีน บนใบหน้ามีแผลเป็นเหมือนถูกไฟลวกคนหนึ่งลงมาจากรถพร้อมกับผู้หญิงตาตี่หน้าอาหมวยซึ่งอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมอก
พวกเขาหายเข้าไปในบ้านของนายพงศธรกับนางศโรรัตน์พักใหญ่ ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้งด้วยสีหน้าโล่งใจ และทารกน้อยก็ไม่ได้อยู่กับพวกเขาอีกต่อไป แต่กำลังร้องแว้ๆ อยู่ในอ้อมอกของนางศโรรัตน์ที่เดินมาส่งแขกพร้อมสามี
นายพงศธรกับนางศโรรัตน์ยืนมองรถยนต์ของผู้มาเยือนจากไป และชายผู้มีแผลเป็นบนใบหน้ากับอาหมวยหน้าสวยคนนั้นก็ไม่เคยกลับมาที่พัทยาอีกเลย
พีภัทรได้รู้เรื่องนี้จากปากของภุชงค์ตอนอายุสิบสาม มันสร้างความตกตะลึงให้กับเขาไม่น้อย แต่ถึงกระนั้น พีภัทรก็ไม่เคยบอกให้พ่อแม่บุญธรรมทราบว่าเขารู้ความจริงแล้ว เขายังคงปล่อยให้พวกท่านเข้าใจตามที่ต้องการต่อไป
พีภัทรก็ไม่รู้ว่าชายคนที่มีแผลเป็นบนใบหน้ากับหญิงหน้าหมวยจะใช่พ่อแม่ของเขาจริงๆ อย่างที่ภุชงค์บอกหรือเปล่า แต่มันช่างบังเอิญเหลือเกินที่ชายคนนั้นมีแผลเป็นบนแก้มซ้ายเช่นเดียวกับเขา ทว่าแผลเป็นไม่ได้สืบทอดผ่านพันธุกรรมสักหน่อย ใครๆ ก็มีแผลเป็นกันได้ทั้งนั้น
แต่พีภัทรคิดว่า ต่อให้ชายหญิงคู่นั้นเป็นพ่อแม่ของเขาจริงๆ เขาก็คงไม่สนใจไปตามหาให้เหนื่อย เพราะในเมื่อสองคนนั้นนำตัวเขามาให้นายพงศธรและนางศโรรัตน์เลี้ยงดู ย่อมหมายความว่าพวกเขาไม่ต้องการตัวพีภัทรอีกแล้ว
ดังนั้น มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะวิ่งตามคนที่เขาไม่เห็นคุณค่าในตัวของเราอีก
พีภัทรเติบโตมาเช่นนั้น จิตใจของเขาจึงเข้มแข็ง วัยเด็กของพีภัทรส่วนใหญ่จะขลุกอยู่กับภุชงค์ซึ่งบ้านอยู่ตรงข้ามกัน เขากับภุชงค์ผู้มีชื่อเล่นว่ากระชอน แต่ตัดออกให้เหลือสั้นๆ ฟังเหมือนชื่อฝรั่งเท่ๆ ว่าชอนเป็นเด็กที่ทโมนตั้งแต่เล็ก พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน เข้าเรียนระดับอนุบาล ระดับประถมและระดับมัธยมก็ที่โรงเรียนเดียวกัน
สองหนุ่มสุดแสบเพิ่งมาแยกจากกันก็ตอนที่นายพงศธรส่งพีภัทรไปเรียนต่อด้านศิลปะที่อเมริกาตามคำแนะนำของแขกฝรั่งคนหนึ่งที่เข้ามาทานอาหารในร้านและเห็นภาพเขียนฝีมือพีภัทรที่นายพงศธรแขวนโชว์ไว้บนผนังร้านด้วยความภาคภูมิใจ
ฝรั่งคนนั้นเป็นอาจารย์ในสถาบัน The School of Visual Arts ซึ่งโด่งดังในการปลุกปั้นศิลปิน นักวาดภาพ นักออกแบบและนักวาดการ์ตูนชื่อดังมากมาย
พีภัทรมีพรสวรรค์ในด้านการวาดภาพ เขาได้รับรางวัลชนะเลิศประกวดวาดภาพระดับจังหวัดทุกรายการที่ลงแข่งทั้งในระดับเยาวชนและระดับบุคคลทั่วไป แต่ในขณะเดียวกัน พีภัทรก็มีพรสวรรค์ในด้านการต่อสู้ พ่อของภุชงค์เปิดค่ายมวยเล็กๆ ในพัทยาไว้สำหรับสอนนักท่องเที่ยวที่สนใจชื่อว่าค่าย Heavy Gym ซึ่งเป็นค่ายที่ไม่ได้มีนักมวยส่งขึ้นชกตามเวทีอย่างจริงจัง มีเพียงนักมวยรุ่นต่างๆ ที่ฝึกไว้สำหรับต่อยโชว์มวยไชยาให้นักท่องเที่ยวดูตามผับตามบาร์เท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่มาเข้าเรียนมวยไชยาที่นี่ ต่างก็ได้รับหลักสูตรการเรียนการสอนที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่ฝรั่งที่มาเรียนจะพอใจกับการเสียเงินและแอ็คท่าถ่ายรูปในชุดของนักมวยเฉยๆ มากกว่าที่จะเรียนรู้วิชาการต่อสู้อย่างจริงจัง
ในค่ายเฮฟวี่ ยิมจึงมีเพียงเด็กน้อยสองคนเท่านั้นที่กระตือรือร้นในการซ้อม การฝึก และการขึ้นชกบนเวที แม้มันจะเป็นการขึ้นชกโชว์สำหรับมวยรุ่นจิ๋วก็ตาม
และเด็กสองคนนั้นก็คือพีภัทรกับภุชงค์
หมู่บ้านในพัทยาของพวกเขาตั้งอยู่ไม่ห่างจากค่ายมวยเฮฟวี่ ยิมสักเท่าไหร่ ภุชงค์จึงพาพีภัทรปั่นจักรยานไปที่ค่ายด้วยกันตั้งแต่หกขวบ
ภุชงค์ใช้อำนาจในความเป็นลูกเจ้าของค่าย นำพีภัทรเข้าฝึกด้วยกันโดยไม่ต้องเสียเงิน ภุชงค์เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัว พ่อแม่จึงรักเขามาก ลูกชายอยากได้อะไรเป็นตามใจหมด
แต่เมื่อภายหลังนายพงศธรกับนางศโรรัตน์ทราบเรื่องเข้า จึงจ่ายเงินค่าฝึกสอนให้ถูกต้องเพราะเห็นว่ามันเป็นความต้องการของพีภัทรจริงๆ
หลังจากนั้นพีภัทรกับภุชงค์ ก็เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้อันเก่าแก่ของไทยมาด้วยกัน ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะยอมรับว่า การฝึกจิตใจและร่างกายให้เข้มแข็งตั้งแต่เด็ก กลายมาเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงกับอาชีพนักฆ่าของพีภัทรในปัจจุบัน
มันทำให้พีภัทรรู้ว่าบนร่างกายของมนุษย์มี ‘จุดอ่อน’ อยู่ตรงไหนบ้าง เขาควรจะซัดหมัด ฝ่ามือ หรือปลายนิ้วไปบนบริเวณใดของร่างกายเพื่อทำให้คู่ต่อสู้เป็นอัมพาตชั่วขณะหมดแรงขัดขืน
มันเป็นศิลปะการป้องกันตัวชั้นเลิศและคุ้มครองเขาได้ดีกว่าอาวุธปืนเสียอีก
สมัยเรียนอยู่ที่อเมริกา พีภัทรเคยถูกแก๊งเด็กผิวดำต้อนเข้าไปในตรอกลับตาคนแห่งหนึ่ง คราวนั้นเขาโดนล้อมกรอบสามต่อหนึ่ง แม้พีภัทรจะเป็นคนที่มีรูปร่างสูงโปร่ง แต่พวกนั้นก็ตัวใหญ่กว่าเขามาก และหากเขาไม่คิดขัดขืน เขาก็คงกลายเป็นกระสอบทรายรองรับอารมณ์โทสะจากสามคนนั้นไปเรื่อยๆ เหมือนเด็กผิวเหลืองคนอื่นที่นอกจากโดนทุบตีแล้ว ยังโดนไถเงินและของมีค่าภายในตัวอีกด้วย
พีภัทรไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างของสามคนนั้นแน่ ตลอดเวลาที่อยู่นอกแผ่นดินเกิด ร่างกายของเขาก็ยังคงได้รับการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอในโรงยิมของทางสถาบัน แม่ไม้มวยไชยาไม่เคยห่างหายไปจากสมองและจิตใจ พีภัทรสร้างความตกตะลึงให้กับสามคนนั้นโดยการกระโดดฟันศอกใส่กกหูของเด็กผิวดำผู้เป็นหัวโจกซึ่งถึงกับทรุดลงไปนอนนับดาวอย่างคาดไม่ถึงว่าไอ้หน้าอ่อนจากเอเชียจะคิดต่อสู้
ลูกน้องอีกสองคนของมันถลาเข้ามาพร้อมชักมีสปริงวูบวาบ พีภัทรไม่รู้ว่าสองคนนั้นตั้งใจจะแทงเขาจริงๆ หรือเพียงชักออกมาข่มขู่
เขามุดหลบและตวัดขาเตะหัวเข่าคนทางซ้ายดังกร็อบ ก่อนกระโดดยันเท้ากับกำแพงเพื่อเป็นแรงส่งในการปล่อยหมัดใส่ดั้งจมูกของคนทางขวาจนลงไปนอนกุมจมูกดิ้นพราดๆ เหมือนหมูถูกน้ำร้อนบนพื้นคอนกรีต ในตรอกแห่งนั้นก้องสะท้อนไปด้วยเสียงครวญคราง เสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวด และเสียงสบถก่นด่าของอันธพาลผิวหมึกทั้งสามขณะพีภัทรเดินจากออกมาพร้อมชัยชนะในสองมือ
มันเป็นการต่อสู้นอกสังเวียนโชว์ครั้งแรกของเขา พีภัทรรู้สึกทั้งภูมิใจและสะใจที่ได้สั่งสอนให้พวกนั้นรู้ว่าคนผิวเหลืองใช่ว่าจะมารังแกกันได้ง่ายๆ
แม้ผิวหมึกสามคนนั้นจะตะโกนไล่หลังมาว่าจะต้องถลกหนังหัวของพีภัทรเป็นการแก้แค้นให้ได้ แต่หลังจากนั้น พวกมันก็ไม่เคยมายุ่งกับพีภัทรหรือเด็กผิวเหลืองคนอื่นๆ ในสถาบันอีกเลย
พีภัทรเริ่มมีเพื่อนต่างชาติ ทั้งผิวขาวและผิวดำ(ที่นิสัยดีก็มีไม่น้อย) เครือข่ายแห่งการติดต่อระหว่างศิลปินต่างชนชาติก่อตัวขึ้นอย่างแนบแน่นในอีกสามปีต่อมา ทุกคนต่างมีความฝันบนถนนแห่งศิลปินในทิศทางเดียวกัน ต่างก็หวังว่าจะได้เป็นนักวาดภาพชื่อดัง พีภัทรก็คือหนึ่งในนั้น เขาหมายมั่นจะเป็นศิลปินที่ทั่วโลกรู้จัก เป็นศิลปินที่ตวัดพู่กันครั้งเดียว ทุกคนก็อ้าปากหวอและพร้อมประมูลมันด้วยราคาที่สูงอย่างบ้าคลั่ง
แต่ทุกอย่างก็พังทลายลงเมื่อมีโทรศัพท์สายด่วนจากนางศโรรัตน์เรียกให้เขากลับไทยโดยเร็วที่สุด ขณะนั้น พีภัทรกำลังเรียนอยู่ปีสุดท้าย อีกไม่กี่เดือนเขาก็จะจบการศึกษา พีภัทรกำลังจะกลายเป็นหนึ่งในคนเพียงไม่กี่คนในสถาบัน The School of Visual Arts ที่สำเร็จการศึกษาด้วยวัยเพียงสิบเก้าปี
นางศโรรัตน์บอกว่าเกิดเหตุร้ายกับนายพงศธร
แต่แม่บุญธรรมก็ไม่ยอมบอกอะไรต่อจากนั้นอีกนอกจากว่านายพงศธรถูกยิงที่ศีรษะ
เมื่อวางโทรศัพท์จากแม่บุญธรรม พีภัทรก็โทรศัพท์ข้ามประเทศมาที่ภุชงค์ซึ่งติดต่อกันเป็นประจำอยู่แล้วผ่านทางอีเมล์ พีภัทรขอให้ภุชงค์บอกเล่าความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายพงศธรเพราะคิดว่าภุชงค์ต้องรู้ดี และภุชงค์ไม่เคยปิดบังความลับกับเขามาก่อน
เป็นจริงดังคาด ภุชงค์ก็คือภุชงค์ เขาบอกให้พีภัทรทราบว่านายพงศธรถูกมือปืนยิงขณะกำลังจะขับรถออกจากบ้าน กระสุนนัดนั้นเจาะขมับซ้ายฝังอยู่ในกะโหลก เสียชีวิตคาที่ สร้างความปวดร้าวในจิตใจให้พีภัทรเป็นอย่างมาก
ในวันนั้น เขาเก็บของจากอพาร์ตเม้นต์แล้วทำเรื่องลาหยุดกับทางมหาวิทยาลัย จองตั๋วเครื่องบินและเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยในวันรุ่งขึ้น
พีภัทรพบว่าคนที่มารอรับเขาที่สนามบินคือภุชงค์
เพื่อนซี้ผู้เติบโตเป็นนักเรียนช่างกลขับรถของบิดาเจ้าของค่ายมวยมารับพีภัทรถึงกรุงเทพ ตลอดทางจากกรุงเทพถึงชลบุรีภุชงค์เล่าให้พีภัทรฟังว่านางศโรรัตน์มีสภาพจิตใจที่แย่มาก นางกำลังช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ในขณะนี้นางสุพรแม่ของภุชงค์กำลังอยู่เป็นเพื่อนช่วยรับแขกที่งานศพ รอให้พีภัทรกลับไปไหว้ศพนายพงศธร
พีภัทรถามภุชงค์ว่าใครเป็นคนส่งมือปืนมา เขาเองก็กำลังช็อค แต่ไม่ช็อคเกินไปกว่าที่จะรับรู้ว่า การส่งมือปืนมาสังหารใครสักคนต้องมีที่มาที่ไป มันต้องมีเหตุผล แต่เหตุผลนั้นคืออะไร?
แล้วเขาก็ได้คำตอบในไม่ช้า
ภุชงค์เล่าให้ฟังว่าในระยะหลัง ร้านอาหารของนายพงศธรทั้งสามแห่งมีปัญหาเรื่องหุ้นส่วนแอบยักยอกเงินในร้านเข้ากระเป๋าตัวเอง แถมยังมีข่าวว่าหุ้นส่วนคนนั้นยังจำหน่ายยาเสพติดให้นักท่องเที่ยว ยังไม่นับเรื่องการค้าบริการทางเพศที่แอบแฝงในรูปแบบต่างๆ
พูดง่ายๆ ก็คือ หุ้นส่วนคนนั้นกำลังจะทำให้ร้านอาหารของนายพงศธรกลายเป็นแหล่งอโคจรเต็มรูปแบบนั่นเอง
พีภัทรรู้จักหุ้นส่วนของพ่อบุญธรรมเพียงผิวเผิน เขาจำได้ลางๆ ว่าชายคนนั้นชื่อไผท ชื่นครองใจ เป็นคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนายพงศธร แต่นายพงศธรไม่เคยพาหุ้นส่วนคนนี้มาที่บ้านเลย ซึ่งนึกๆ ไปแล้วก็นับเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอยู่เหมือนกัน
กว่ารถกระบะที่ภุชงค์ขับจะไปถึงงานศพของนายพงศธรซึ่งจัดอยู่ในวัดดังประจำเมืองชลบุรีก็เป็นเวลาค่ำแล้ว ลานจอดรถด้านหน้าศาลามีรถเต็มไปหมด ภุชงค์จึงอ้อมไปจอดทางด้านหลัง ซึ่งยังมีรถมาจอดไม่กี่คัน และการกระทำอย่างนั้น ก็ส่งผลให้ชีวิตของพีภัทรไม่เหมือนเดิมอีกเลย
ขณะที่พีภัทรลงจากรถ เดินตรงไปที่ยังประตูด้านหลังของศาลาสวดศพพร้อมกับภุชงค์ ณ มุมหนึ่งในความมืดข้างศาลา เขาเห็นนางศโรรัตน์ยืนคุยอยู่กับใครบางคนด้วยใบหน้าซีดเซียวและริมฝีปากสั่นระริกอันบ่งบอกถึงความหวาดหวั่น
พีภัทรจะเดินเข้าไปทัก ภุชงค์คว้าแขนห้ามไว้แล้วกระซิบบอกว่าผู้ที่นางศโรรัตน์กำลังคุยด้วยคือนายไผท ชื่นครองใจ หุ้นส่วนที่มีปัญหากับนายพงศธรคนนั้น พีภัทรจึงเปลี่ยนความตั้งใจ จากจะเดินไปทัก มาเป็นย่องไปแอบฟังว่าแม่บุญธรรมกับหุ้นส่วนของร้านกำลังคุยอะไรกันอยู่
ด้านข้างของศาลามีไฟเปิดเพียงดวงเดียว แถมยังมีข้าวของเครื่องใช้วางกองอยู่สูงชันเป็นแหล่งกำบังกายได้อย่างดี พีภัทรกับภุชงค์แอบย่องเข้าไปนั่งหลังกองของใช้กองนั้นซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดที่นางศโรรัตน์ยืนคุยอยู่กับนายไผทเสียเท่าไหร่ คำสนทนาระหว่างคนทั้งสองลอยมาเข้าหูสองหนุ่มอย่างชัดเจน
พีภัทรรับฟัง รู้สึกเย็นเยียบไปทั้งกายเหมือนโดนน้ำแข็งสาด
“ – เจ๊ก็น่าจะรู้นะ เดี๋ยวนี้ร้านไหนๆ เขาก็มีขายกันแบบนี้ทั้งนั้น ผมไม่ผิดสักหน่อย และถ้าเจ๊ยังหัวแข็งเหมือนพี่พงผัวเจ๊ ผมก็ไม่รับประกันนะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น” มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันของผู้ชาย
“ไผท แกยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าแกฆ่าคุณพง!” นี่คือเสียงของนางศโรรัตน์
“เปล่านะเจ๊ ผมไม่ได้ฆ่า มือปืนนั่นฆ่าต่างหาก” พูดจบก็หัวเราะหึๆ
“แต่แกเป็นสั่ง แกเลวมาก ไผท ฉันจะแจ้งตำรวจ!”
“ถ้าเจ๊แจ้ง ลูกชายเจ๊ก็ไม่รอดนะ”
“แก...แกหมายความว่ายังไง?”
ไผทส่งเสียงหัวเราะก่อนตอบ
“ไอ้พัตลูกเจ๊น่ะ ผมเห็นมันมาตั้งแต่ตัวเท่าลูกหมา ผมรู้นะว่าเจ๊เรียกมันกลับไทยวันนี้ ผมส่งคนคอยติดตามไอ้พัตตั้งแต่มาถึงสนามบินเรียบร้อยแล้ว ถ้าเจ๊ยังไม่ยอมยกร้านให้ผม คนที่ผมจะเล่นงานเป็นรายต่อไปจะไม่ใช่เจ๊ แต่เป็นลูกชายเจ๊ต่างหาก”
“แก – ”
“ - คราวนี้จะไม่เกิดเหตุหน้าบ้านอีกแล้ว แต่ผมจะส่งคนไปยิงมันต่อหน้าเจ๊เลยล่ะ เอามั้ยล่ะ ผมจะทำให้ดูพรุ่งนี้เลยก็ได้”
พีภัทรกัดฟันกรอด เขาจะลุกพรวดกระโจนออกไป แต่ภุชงค์เหนียวแขนให้นิ่งเอาไว้เพื่อนั่งฟังต่อไป
“อย่ามายุ่งกับลูกชายฉันเด็ดขาดนะ ไผท ตาพัตไม่รู้เรื่อง!”
“โอ๊ย จะรักอะไรกันนักกันหนา กะอีแค่เด็กเก็บมาเลี้ยง แต่เอาเถอะ เจ๊จะรักลูกกาฝากยังไงมันก็เรื่องของเจ๊ ส่วนเรื่องของผมมีเพียงว่า ร้านทั้งสามร้านตอนนี้เป็นของผมแล้วนะ พรุ่งนี้เซ็นยกร้านให้ผมด้วยก็แล้วกัน ผมจะแบ่งยลประโยชน์ให้สักห้าเปอร์เซ็นในฐานะที่รู้จักกันมานาน คงจะพอใช้จ่ายกินไปเดือนต่อเดือนอยู่หรอก นึกเสียว่าทำบุญให้หมูให้หมา” พูดจบก็ส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง
“ร้านทั้งสามร้าน ฉันกับคุณพงสร้างมากับมือ แกจะมาชุบมือเปิบแบบนี้ได้ยังไง ฉันไม่มีวัน – ”
“ – คิดดูดีๆ นะเจ๊ เมื่อกี้ผมเพิ่งพูดอะไรไป ใช้สมองหน่อย รึว่าเจ๊อยากเห็นไอ้พัตมันหัวกระจุยตามผัวเจ๊ไปจริงๆ ผมไม่ได้ขู่นา ผมเป็นคนพูดจริงทำจริง เจ๊ก็น่าจะรู้”
เงียบ พีภัทรไม่รู้ว่าแม่บุญธรรมกำลังทำอะไร แต่เดาเอาว่านางคงพยักหน้าหรืออะไรทำนองนั้นเพราะนายไผทพูดต่อทันทีว่า
“ไงล่ะ เห็นมั้ยว่าเจ๊ไม่มีทางเลือกแล้ว เซ็นให้ผมดีๆ ก็จบเรื่อง ไม่ต้องไปไหนหรอก พรุ่งนี้ผมจะเอาใบโอนมาให้ที่วัดนี่แหล่ะ โอเคนะ”
เงียบอีกครู่ใหญ่ ก่อนที่เสียงของนางศโรรัตน์จะดังขึ้นอีกครั้งอย่างแผ่วเบา
“สักวันกรรมจะตามสนองแก ไผท”
แล้วพีภัทรกับภุชงค์ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของนางศโรรัตน์เดินจากไป
“เฮอะ กรรมตามสนองงั้นเรอะ ให้มันตามมาจริงๆ เถอะ อยากรู้นักว่าเวรกรรมเจอกระสุนเข้าไปมันจะเป็นยังไง”
แล้วเสียงฝีเท้าของนายไผทก็เดินจากไปอีกคน
ภุชงค์แอบโผล่ศีรษะออกไปดู ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว เขาลุกขึ้นยืน ในขณะที่พีภัทรได้แต่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้น ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว “อย่าเพิ่งคิดมากเว้ย ลุกขึ้นเข้าไปไหว้ศพลุงพงก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยว่ากัน” ภุชงค์ดึงให้เพื่อนรักลุกขึ้นยืน
“ไอ้ชอน เมื่อกี้มันบอกว่ามันส่งคนสะกดรอยตามเรามาตั้งแต่อยู่ที่สนามบิน ทำไมพวกเราไม่รู้ตัวเลยวะ?” พีภัทรถามด้วยสีหน้าที่ผสานไปทั้งอารมณ์เสียใจและเดือดดาล
ภุชงค์ส่ายศีรษะ “ไม่มีใครตามมาหรอก ไอ้ไผทนั่นมันแค่พูดขู่แม่แกเฉยๆ เท่านั้น”
พีภัทรขมวดคิ้วไตร่ตรองก็ไม่พูดอะไรอีก เขาปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดขณะเดินเข้าสู่ศาลาสวดศพทางประตูหลังไปพร้อมกับภุชงค์
เมื่อเดินมาถึงกลางศาลาอันเป็นบริเวณที่ตั้งโลงศพ สองหนุ่มก็พบว่าเก้าอี้ภายในศาลามีคนนั่งรอฟังการสวดอภิธรรมเต็มพรึบไปหมด ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะในยามมีชีวิตอยู่ นายพงศธรเป็นที่รู้จักของคนหมู่มากในฐานะอาเสี่ยเจ้าของร้านอาหารผู้ใจดี เมื่อมีงานศพ จึงมีคนมาร่วมงานไว้อาลัยมากมาย
นางศโรรัตน์ผู้นั่งอยู่ข้างนางสุพรที่มุมหนึ่งลุกขึ้นยืน พีภัทรสังเกตเห็นนายไผทซึ่งนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งยกมือกอดอกมองมาที่เขาด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มบนมุมปาก พีภัทรแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เขาเดินเข้าไปสวัสดีแม่บุญธรรมกับนางสุพร ก่อนจะจัดการจุดธูปแล้วนำไปปักในกระถางหน้าโลงศพของนายพงศธรผู้เป็นพ่อบุญธรรม แล้วกลับมานั่งบนเก้าอี้ข้างนางศโรรัตน์ เขากุมมือของนางตลอดเวลาและน้ำตาของนางที่ไหล มันทำให้เขาทรมานในหัวใจมากที่สุดในชีวิต
การสวดอภิธรรมมาถึงและผ่านไปอย่างพร่ามัวหม่นหมอง พีภัทรรู้สึกแสบตาขณะหันไปเห็นนายไผทกำลังยืนคุยอยู่กับนายตำรวจยศร้อยตำรวจเอกคนหนึ่งด้วยท่าทีสนิทสนม นายไผทกำลังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างถูกใจอะไรสักอย่าง พีภัทรได้แต่อดทนจ้องมองโลงศพของพ่อบุญธรรมอย่างข่มอารมณ์สลับกับเหลือบมองใบหน้าอันซีดเซียวไร้สีเลือดของนางศโรรัตน์
แล้วพีภัทรก็พบว่า นางหน้าซีดมากจนเขาใจหาย พีภัทรเห็นมือของแม่บุญธรรมสั่นน้อยๆ เขากำลังจะเอ่ยปากถามนางว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่นายไผทกับตำรวจยศร้อยตำรวจเอกคนนั้นเดินเข้ามา เอ่ยปากร่ำลาด้วยน้ำเสียงเยาะหยันที่ไม่ปิดบังเอาไว้เลย
“ผมกลับก่อนนะเจ๊ พรุ่งนี้จะมาใหม่” นายไผทพูดพลางหัวเราะและพยักพเยิดไปทางนายตำรวจผู้ยืนอยู่ด้านข้าง “อ้อ นี่ผู้กองเชน ผมพามาให้รู้จัก ผู้กองเขาจะเป็นคนมาทำคดียิงพี่พงนี่แหล่ะ เจ๊คงยังไม่เจอสินะ”
“สวัสดีครับคุณน้า เรื่องคนผิดไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะรีบดำเนินการสอบสวนให้เร็วที่สุด” ผู้กองหน้าเจ้าเล่ห์พูด แต่ในดวงตากำลังบ่งบอกว่าไม่ได้ใส่ใจจริงจังกับสิ่งที่พูดเลยสักนิด
“ผมหวังว่าผู้กองคงเป็นตำรวจที่ดี ไม่รับใต้โต๊ะและเมินเฉยต่อความยุติธรรมนะครับ” พีภัทรโพล่งขึ้นเสียงเย็น ดึงสายตาของนายตำรวจหันมามอง
“ลื้อพูดอย่างงี้หมายความว่าไงวะ?” นายตำรวจถามกลับห้วนสั้น แสดงว่ายังไม่รู้ว่าพีภัทรเป็นลูกบุญธรรมของผู้ตาย
นางศโรรัตน์เอื้อมมือมาจับแขนพีภัทรเมื่อเห็นเขาลุกพรวดขึ้นยืน นางลุกขึ้นยืนตาม อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่นายไผทก็กล่าวขึ้นเสียก่อนว่า
“ใจเย็นน่าผู้กอง เด็กมันเพิ่งเสียพ่อ คงกำลังเสียใจน่ะ อย่าไปใส่ใจเลย”
นายตำรวจหันมองนายไผทและเหลือบมามองพีภัทรอีกครั้งก่อนถาม “ลื้อเป็นลูกของนายพงศธรเรอะ?”
พีภัทรพยักหน้าตอบ สีหน้าแข็งกระด้าง “ฮะ ผมเป็นลูกคุณพ่อ”
รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนายตำรวจแวบหนึ่ง มันเป็นรอยยิ้มแห่งความสมเพช
“งั้นคราวนี้อั๊วจะไม่ถือสาในสิ่งที่ลื้อพูดนะ เห็นยังเด็กยังเล็ก ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แต่ถ้าคราวหลังอั๊วได้ยินลื้อปากมอมอย่างนี้อีก ลื้อจะมีความผิดโทษฐานดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ เข้าใจมั้ย?”
พีภัทรจับจ้องมองนายตำรวจเอื้อมมือมาตบใบหน้าของเขาเบาๆ เหมือนผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็ก พีภัทรไม่พูดหรือแสดงอากัปกิริยาตอบสนองอื่นใดอีกนอกจากยืนขบกรามกรอดและนึกถึงใบหน้าของนายพงศธร เขาไม่อยากมีเรื่องในงานศพของพ่อ โดยเฉพาะมีเรื่องกับตำรวจที่จะเป็นคนสืบคดีด้วยแล้ว มีแต่จะทำให้เรื่องเลวร้ายลงมากขึ้นเท่านั้น
“เอาล่ะๆ ในเมื่อปรับความเข้าใจกันแล้ว ผมว่าเรากลับกันดีกว่านะผู้กอง คืนนี้ไม่ต้องอยู่เวรไม่ใช่หรือครับ ไปต่อที่ร้านของผมดีมั้ย รับรองผมจะให้เด็กๆ มาดูแลผู้กองอย่างดีเลยเชียว”
นายไผทพูดเพื่อดึงความสนใจ นายตำรวจหันกลับไป พยักหน้ายิ้มแย้มตอบรับว่า
“ดีเลยครับ ช่วงนี้งานเยอะด้วย ไม่ค่อยได้พักผ่อนมานานแล้ว”
พีภัทรแทบทนไม่ไหวเมื่อเห็นนายไผทเหลือบตามายิ้มเยาะนางศโรรัตน์วูบหนึ่ง
‘ร้านของผม’ ที่นายไผทพูด พีภัทรรู้ดีว่ามันเป็นหนึ่งในร้านของพ่อเขา แต่ขณะนี้ชายจอมกลอกกลิ้งคนนี้กลับกำลังจะฮุบทุกอย่างที่พ่อแม่บุญธรรมของเขาสร้างขึ้นไปอย่างซึ่งๆ หน้า
พีภัทรกำมือเป็นหมัด เขาอยากเหวี่ยงหมัดใส่จมูกบานๆ นั้น แต่ก็ต้องข่มกลั้นไว้สุดฤทธิ์ แม่บุญธรรมของเขาหน้าซีดมากที่สุดเท่าที่พีภัทรเห็นในชีวิต เขารู้สึกได้ว่ามือของนางที่จับแขนเขาอยู่สั่นระริกเหมือนคนที่กำลังจะหมดแรงและเป็นลม
นายไผทเป็นที่รู้จักมากพอๆ กับเจ้าของงานศพ มีแขกในงานที่เดินผ่านไปผ่านมาแวะทักไม่น้อย เขาพูดคุยอย่างคึกคักแจ่มใสกับคนเหล่านั้นครู่หนึ่ง เมื่อศาลาสวดศพมีคนบางตาลงกว่าครึ่ง เขาก็หันกลับมาร่ำลานางศโรรัตน์เป็นครั้งสุดท้าย
“ดึกแล้ว งั้นผมไปก่อนนะเจ๊ อย่าลืมเรื่องที่เราตกลงกันไว้ล่ะ” พูดจบก็หันมาทางพีภัทร “อาไปก่อนนะพัต ดูแลแม่แกดีๆ ด้วย ถ้าไม่ระมัดระวัง ศพพ่อยังไม่ทันเผา ประเดี๋ยวก็ต้องจัดงานศพให้แม่อีก อาเป็นห่วงจริงๆ นะนี่”
พูดจบก็ยิงฟันยิ้ม ไม่มีวี่แววของความเป็นห่วงบนใบหน้า เขาหันไปพยักพเยิดกับนายตำรวจเชน ก่อนพากันเดินออกจากศาลาไปสมทบกับลูกน้องที่ยืนรออยู่ในลานจอดรถด้านนอกภายใต้ฟ้ามืดและอึกทึกด้วยเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อขับรถออกจากวัดกลับสู่ที่หมายของตนเอง
ในศาลา พีภัทรหันมาทางนางศโรรัตน์ ด้านข้างมีภุชงค์ นางสุพรยืนอยู่ แขกเริ่มทยอยกลับกันหมดแล้ว
“แม่เป็นอะไรหรือเปล่าฮะ หน้าซีดจัง” พีภัทรพูดอย่างเป็นห่วง จะประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ แต่แม่บุญธรรมกลับปฏิเสธ
“แม่ไม่เป็นไรหรอกจ้ะพัต ปล่อยแม่เถอะ แม่เดินไหว แม่มีอะไรจะไปคุยกับพ่อเขาหน่อย”
พีภัทรอ้าปาก แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา นางศโรรัตน์แกะมือของเขาออก นางช้อนสายตาเหลือบใบหน้าของบุตรบุญธรรม พีภัทรพบว่าขอบตาของนางทั้งบวมแดงและเป็นรอยคล้ำเหมือนคนที่ไม่ได้หลับนอน นางส่งยิ้มให้เขา ก่อนหันกลับและค่อยๆ ก้าวเท้าไปยังโลงศพของนายพงศธรผู้เป็นสามี
“แม่เราน่ะเขาชอบเข้าไปพูดข้างโลงศพคุณพงมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว” นางสุพรกระซิบเบาๆ บอกพีภัทรที่ยืนไม่เข้าใจว่าการเข้าไปเคาะโลงศพและพร่ำพูดกับคนที่ตายแล้วจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่เขาก็ทราบดีว่าแม่คงยังทำใจไม่ได้ พีภัทรมองรูปถ่ายของนายพงศธรอย่างเศร้าใจ เขาหวังว่าความทุกข์ระทมครั้งนี้คงจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น
นางศโรรัตน์ยืนหันหน้าเข้าหาโลงศพ หันหลังให้พีภัทร สองแม่ลูกยืนห่างกันประมาณสามเมตร เขาเห็นแม่บุญธรรมยืนไหล่สั่นสะท้าน นางกำลังร้องไห้ พีภัทรไม่รู้ว่าแม่ ‘คุย’ กับพ่อว่าอะไรบ้าง เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อภุชงค์เอื้อมมือมาตบไหล่จากด้านหลัง พีภัทรหันมองเพื่อน ภุชงค์กระซิบบอก
“แขกกลับหมดแล้ว พาแม่แกกลับบ้านเหอะว่ะ คืนนี้ฉันกับพวกในค่ายจะนอนเฝ้าศพลุงพงให้เอง”
พีภัทรเกรงใจ หน้าที่นอนเฝ้าศพควรเป็นของเขา แต่ก็คิดว่าหากพาแม่กลับบ้านคงเป็นทางที่ดีกว่าให้แม่อยู่ที่งานศพแบบนี้ เขาจึงพยักหน้าขอบใจภุชงค์ หันกลับมาจะเดินไปหานางศโรรัตน์ ก็พบว่ามันเป็นจังหวะเดียวกับที่แม่บุญธรรมหมุนตัวกลับมาอย่างโงนเงน นางพยายามเอื้อมมือหาที่ยึดเยาะ แต่สองเท้าที่ปัดโซเซเหมือนคนที่อยู่บนเรือก็ทำให้นางทรงตัวไม่อยู่
ใบหน้าอันซีดเซียวของนางแสดงความเจ็บปวด พีภัทรตระหนักแล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
เขาเบิกตาโต สับเท้ากระโจนเข้าไปหมายรับร่างของแม่ที่ทรุดฮวบลง แต่พีภัทรช้าไปเพียงวินาทีเดียว เขาไม่สามารถรับร่างของแม่บุญธรรมไว้ได้ทัน ศีรษะของนางศโรรัตน์ฟาดพื้นกระเบื้องอย่างแรงเสียงดังสะท้านศาลาสวดศพ
“แม่!”
พีภัทรได้แต่ตะโกนขณะช้อนศีรษะของนางขึ้นมาและพบว่านางหมดสติ เขาเขย่าตัวแม่ แต่แม่ไม่มีสติอีกแล้ว พีภัทรจึงอุ้มร่างของนางขึ้นจากพื้น ภุชงค์รู้ว่าพีภัทรกำลังต้องการอะไร เขากระโจนนำทางไปยังประตูหลัง พีภัทรอุ้มร่างของแม่ตามออกมา สองหนุ่งพุ่งตรงไปที่รถกระบะ
ภุชงค์ช่วยพีภัทรประคองร่างของนางศโรรัตน์ขึ้นกระบะหลัง แล้วพีภัทรจึงกระโดดตามขึ้นมาใช้ตักตนเองให้แม่หนุนต่างหมอน เขารู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นๆ ที่ไหลซึมเปียกขาของเขาจากศีรษะด้านหลังของแม่
ภุชงค์กระโจนสอดตัวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย พารถเคลื่อนออกจากที่ด้วยความรวดเร็ว แต่โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้วัดที่สุดก็อยู่ห่างเกือบยี่สิบกิโลเมตร ถึงภุชงค์จะเหยียบคันเร่งจนมิด ถึงรถกระบะจะทะยานไปเร็วเหมือนเหาะ แต่ผลสรุปที่ออกมา ทุกอย่างก็ยังคงสายเกินไปอยู่ดี
แม่ไม่เคยฟื้นอีกเลยนับจากนั้นเป็นต้นมา
(ต่อข้างล่าง)
จากคุณ |
:
ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ก.พ. 55 13:42:46
|
|
|
|
 |