+ + + + + ขอเสียงวิจารณ์ค่ะ + + + + +
|
 |
วรรณกรรมเยาวชนชุด เด็กหญิงข้าวนาง
ตอนที่ 1 หน้าที่และพี่น้อง
เสียงไก่ขันแว่วมาแต่ไกล เริ่มจากตัวต้นเสียงแล้วตามมาด้วยตัวขานรับ จากหนึ่งเสียง สองเสียง สาม สี่ ห้า จนกลายเป็นการประสานเสียงเจื้อยแจ้วระงมไปทั่วทั้งหมู่บ้าน อากาศใกล้รุ่งเย็นฉ่ำเนื่องจากฝนตกหนักเมื่อค่ำวานแทรกผ่านฝาบ้านเข้ามา ข้าวนาง พลิกตัวคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมโปงมิดชิดป้องกันตัวเองจากความหนาวเย็นและเสียงรบกวนทั้งหลายทั้งมวล
“ นางเอ๊ยนาง ตื่นหรือยังล่ะลูก ตื่นสายเดี๋ยวเมะใส่บาตรไม่ทันนะ ” เสียงย่าตะโกนออกมาจากห้องอีกฝั่งหนึ่งของตัวบ้าน ข้าวนางขานรับคำย่าเสียงอือออ พร้อมกับดึงผ้าห่มให้กระชับขึ้นอีก “ นาง..นาง ตื่นรึยัง แคน ล่ะ แคนก็ตื่นได้แล้วนะสายแล้ว ” เสียงย่าปลุกเตือนมาอีกเป็นคำรบสอง แคนขวัญ น้องชายคนที่เกิดถัดจากข้าวนาง ซึ่งปูฟูกนอนข้างๆกัน ยื่นขาออกมาถีบพี่สาวเป็นการช่วยย่าปลุกอีกแรงหนึ่ง และอีกนัยหนึ่งเป็นการเกี่ยงให้พี่สาวตื่นก่อน หากพี่สาวตื่นแล้วย่าก็จะไม่ร่ำไรปลุกให้ใครต่อใครตื่นอีก ตัวเองก็ไม่ต้องตื่นเช้าตามไปด้วย เท่ากับยืดเวลานอนต่อออกไปได้อีกนานโข ด้วยวัยที่ห่างกันเพียงปีกว่าๆ ข้าวนางกับแคนขวัญจึงเป็นทั้งพี่น้องและเพื่อนวัยเดียวกัน เป็นคู่ปรับกันมาตลอด
เมื่อน้องชายถีบมา พี่สาวก็ถีบกลับไปอย่างไม่มีการยอมลงให้ เริ่มจากการปลุกแบบเบาๆอย่างหยอกล้อสนุกสนาน ก็ลุกลามหนักขึ้นๆ อย่างไม่มีใครยอมใคร จากเสียงหัวเราะคิกคัก กลับกลายเป็นเสียงฮึดฮัด ฮือ ฮือ และจากที่นอนอันอบอุ่น ก็กลายเป็นสังเวียนฟาดแข้งไปในที่สุด
ข้าวนางลุกขึ้นเก็บที่นอนอย่างลวกๆ แล้วรีบเดินแผล็วเข้าครัวอย่างรวดเร็วเพื่อทำงานในหน้าที่รับผิดชอบ ก่อนที่ย่าหรืออาจะลุกขึ้นมาดูศึกฟาดแข้งเจ้าสังเวียนของเช้ามืดวันนี้ อันที่จริงเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำแทบจะเรียกว่าเป็นเหตุการณ์ปกติ ถ้าหากเช้านี้แคนขวัญไม่พลาดท่าถูกถีบแถมเข้าให้ที่แผลมีดบาดนิ้วชี้เมื่อวันก่อน ขณะที่ยกมือขึ้นป้องกันตัวจากการถีบของฝ่ายพี่สาว ทำให้แผลที่ยังไม่สมานดีปริออกมาใหม่และมีเลือดซึมออกมา เด็กชายอายุหกขวบ แหกปากร้องไห้ลั่นราวกับว่าเจ็บนักหนา เจ็บจนทนไม่ไหว ใจนี้จะขาดรอนๆ โลกจะถล่มทะลาย
หลังจากจุดเตาถ่านเอาข้าวใส่หวดค้างบนเตาไฟเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่รอข้าวสุก ข้าวนางก็ฉวยไม้กวาดไปกวาดบ้านรอให้ พี่ภูคำ พี่ชายตื่นขึ้นมาถูบ้านอันเป็นหน้าที่หรือกิจวัตรประจำวันของแต่ละคนที่ย่าและอา ได้จัดแบ่งอย่างลงตัวให้แต่ละคนทำก่อนไปโรงเรียน ความจริงข้าวนางมีหน้าที่ตื่นเช้านึ่งข้าวเพื่อให้ย่าทันใส่บาตร ตักน้ำใส่ตุ่มให้เต็มทุกตุ่ม ตักน้ำรดต้นไม้ทั้งไม้ดอกไม้ประดับ ไม้ผล และพืชผักสวนครัว ที่ย่าและอาช่วยกันปลูกเอาไว้แทบทุกหนทุกแห่งในบริเวณบ้านเต็มไปหมด แต่เช้านี้ข้าวนางไม่ต้องตักน้ำให้เหนื่อยเนื่องจากฝนตกหนักเมื่อคืน ซึ่งย่ากับอาได้ลุกขึ้นมาช่วยกันรองน้ำฝนเอาไว้ใช้เต็มทุกตุ่ม ต้นไม้ใบหญ้าต่างก็ได้รับน้ำฝนชุ่มฉ่ำ ดินอุ้มน้ำฝนไว้เต็มที่ ซึ่งจะทำให้ข้าวนางไม่ต้องตักน้ำรดต้นไม้ไปได้อีกอย่างน้อยก็ 2 วัน
การตักน้ำของข้าวนางนั้น ต้องไปตักเอาจากบ่อน้ำสาธารณะของหมู่บ้านซึ่งจะขุดเป็นบ่อสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณด้านละสองเมตร ลึกลงไปในพื้นดิน ความลึกของบ่อขึ้นอยู่กับตาน้ำในบริเวณที่ขุด โดยเอาไม้กระดานมากั้นเป็นฝาผนังล้อมรอบยกสูงขึ้นมาจากขอบดินประมาณฟุตกว่าๆ เพื่อกันไม่ให้หน้าดินถล่มและกันไม่ให้สิ่งสกปรกไหลลงบ่อ ทั้งยังให้เป็นจุดสังเกตไม่ให้คนหรือสัตว์เดินพลัดตกลงไป ชาวบ้านจะช่วยกันขุดบ่อน้ำเอาไว้ใช้ร่วมกันแยกเป็นจุดตามคุ้มต่างๆของหมู่บ้าน
การตักน้ำต้องใช้ไม้ขอเกี่ยวกับครุถังหย่อนลงไปจ้วงตักเอาน้ำ แล้วสาวไม้ขอดึงขึ้นมาทีละครุถัง จึงถือว่าเป็นงานที่ค่อนข้างหนักสำหรับเด็กหญิงตัวเล็กๆอายุแปดขวบอย่างข้าวนาง โชคดีที่บ่อน้ำอยู่ใกล้บ้านเพียง 50 เมตร และบ่อนั้นมีน้ำใส และไม่ลึกมากนัก
ถึงแม้อาป้อมจะเป็นครูและมีงานที่ต้องทำประจำวันก่อนไปโรงเรียนมากมาย แต่วันไหนที่อาป้อมเสร็จงานเร็วหรือน้ำแห้งตุ่มมาก อาป้อมก็จะมาช่วยข้าวนางตักน้ำอีกแรงหนึ่ง
ข้าวนาง กวาดบ้านไปพลางหูคอยฟัง ตาคอยชำเรืองไปยังเจ้าตัวต้นเรื่อง ที่ตอนนี้ย่าได้เข้ามาปลอบให้หยุดร้องไห้แล้ว และกำลังใส่ยาแดงพร้อมกับพันแผลให้ใหม่ เสียงย่าแว่วมา “แคนไม่ต้องร้องแล้วนะลูก เป็นผู้ชายจะต้องอดทน เจ็บนิดหน่อย ก็ร้องเสียงดังแบบนี้ อายคนอื่นเขานะ เดี๋ยวเมะจะให้อาป้อมดุพี่นางให้ จะมาถีบน้องได้ยังไง ตัวก็เป็นผู้หญิงมาใช้เท้าได้ยังไง เมะไม่เคยสอนให้แก่นแก้วกระโหลกกะลาแบบนี้” ตอนแรกเป็นการพูดสั่งสอนหลานชาย ตอนหลังเป็นการบ่นในความแก่นแก้วของหลานสาว
“ เมะ ! วันนี้แคนไม่ล้างชามนะ แคนเจ็บนิ้ว ถ้ามันโดนน้ำมันจะแสบมากเลย เดี๋ยวนิ้วแคนก็จะบวมอีก เมะให้พี่นางล้างแทนนะ” “เอาล่ะ แคนไม่ต้องล้างชามก็ได้ แต่แคนต้องช่วยพี่ๆเขาทำงานเบาๆ ซักอย่างหนึ่งนะลูก เอาเปรียบกันมันไม่ดี” เสียงย่าแกล้งตกหลุมพรางเจ้าตัวดีดังโครมใหญ่ นั่นไงล่ะ คิดแล้วเชียวมันต้องเข้าอีรูปแบบนี้ เมื่อสองวันก่อนเห็นว่าไปช่วยพี่ภูคำตัดหญ้ามาให้กระต่าย ตัวเองทำมีดบาดนิ้วชี้ข้างซ้ายพอได้เลือดออก นั่นก็ทำให้ไม่ต้องล้างชามตามหน้าที่มาแล้วถึง 2 วัน มาวันนี้มีการต่อรายการส่งเสริมการขี้เกียจออกไปอีก อาจจะหนึ่ง หรือ สองวัน ด้วยกลัวว่านิ้วจะบวมเน่า เผลอๆ อาจเป็นมะเร็งลุกลามติดคนนั้นคนนี้ให้ยุ่งยากเข้าไปอีก เออ..มันช่างคิดได้ ! ข้าวนางค่อนขอดน้องชายในใจ
กวาดบ้านเสร็จก็พอดีข้าวสุก ข้าวนางจึงเลี่ยงไปคดข้าวใส่ในกระติ๊บข้าวเหนียว โดยแบ่งเป็นกระติ๊บข้าวใส่บาตรและไปเพลของย่า ซึ่งจะต้องเป็นข้าวใหม่ทั้งหมด คือต้องไม่มีข้าวเย็นที่เหลือจากเมื่อวานแล้วนำมาอุ่นใหม่ติดไปด้วย ย่าสอนเสมอว่าของถวายพระต้องเป็นของที่ดีที่สุด สะอาดที่สุด ใส่ใจมากที่สุด จะทำให้ตัวเราได้บุญมาก ชาติหน้าเกิดมาจะได้สวยๆ ร่ำรวยมากๆ ข้าวนางจึงจำคำสอนนี้มาตลอด ด้วยหวังอยู่ลึกๆ ว่าชาติหน้าจะได้เกิดมาเป็นผู้ชายอย่างแคนขวัญบ้าง จะได้ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามาตักน้ำ นึ่งข้าว อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ แต่ เอ...เจ้าแคน มันก็มีหน้าที่เหมือนกันนี่นา ยิ่งหน้าที่ล้างถ้วยชามด้วยแล้ว ยิ่งน่าเบื่อไปใหญ่ นึ่งข้าวตักน้ำอย่างเดิมก็ดีแล้ว สุดท้ายข้าวนางก็เปลี่ยนความคิดกลับมาอยากเป็นผู้หญิงแบบเดิม
นอกจากกระติ๊บข้าวสำหรับไปวัดของย่าแล้ว ยังมีกระติ๊บข้าวใหญ่สำหรับครอบครัว และกระติ๊บข้าวสำหรับห่อไปกินที่โรงเรียนของสามพี่น้อง ซึ่งอย่างหลังนี้จะมีเฉพาะบางวันเท่านั้น ส่วนใหญ่เวลาพักกลางวัน พี่ภูคำ ข้าวนาง และแคนขวัญ จะกลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้านกับย่ามากกว่า อาป้อมเดินเข้ามาในครัวเพื่อเตรียมทำกับข้าวในตอนเช้า จึงดุข้าวนางเรื่องใช้เท้าถีบน้องและลงโทษให้ล้างชามแทนแคนขวัญ “แต่แคนถีบนางก่อนนะอาป้อม นางก็ต้องเอาคืนบ้างสิ ” ข้าวนางฟ้องบ้าง “นางเป็นผู้หญิงและเป็นพี่จะใช้เท้ากับน้องหรือกับใครมันไม่ดีทั้งนั้น จะเอาอะไรมากกับน้อง แค่น้องหยอกเล่นนิดๆหน่อยๆ จะเอาคืนให้ได้เชียวรึ ทะโมนมากเกินไปแล้วนางน่ะ ไปล้างชามเร็วๆเข้า แล้วจะได้รีบกินข้าวเตรียมตัวไปโรงเรียนแต่เช้า วันนี้ไม่ต้องตักน้ำไม่ใช่รึ ” อาป้อมดุแกมบ่นข้าวนางยาวเหยียดเป็นชุด “อาป้อมกับเมะก็ดีแต่จะถูกไอ้แหง็บขี้เกียจหลอกเอานะสิ จ้างให้นางก็ไม่ล้างชาม ให้พี่ภูล้างเลย นางกวาดบ้านให้พี่ภูแล้วด้วย ” ข้าวนางไม่ยอมเอาง่ายๆ พร้อมกับยกเอาปริมาณงานที่ตัวเองได้ทำก่อนหน้านั้นมาหักล้างกับการที่ไม่ต้องล้างชามประกอบเหตุผลให้อาป้อมฟังเพื่อการพิจารณา “ อะไร? ใคร ไอ้แหง็บ? เดี๋ยวอาจะมาจัดการข้าวนางทีหลัง ให้อาเข้าห้องน้ำออกมาก่อน ” อาป้อมส่ายหน้าระอากับการเถียงคำไม่ตกฟากและความเฮี้ยวของหลานสาวแต่ก็ต้องอมยิ้มกับฉายา “ไอ้แหง็บ” ที่ข้าวนางตั้งให้น้องชายก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
จากคุณ |
:
เพชรน้ำนิล
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ก.พ. 55 20:54:25
|
|
|
|