Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ชีวิตใหม่ของก๊องส์ ติดต่อทีมงาน

ชีวิตใหม่ของก๊องส์เป็นเรื่องสั้นลำดับที่สองในชุด Let's Love,Not War(เขียนครบสิบห้าเรื่องเมื่อไหร่จะจับรวมเล่มแล้วส่งสำนักพิมพ์ดู อิอิ) ได้รับการตีพิมพ์ในขายหัวเราะ ฉบับที่ 1178 ประจำสัปดาห์ที่ 29 กุมภาพันธ์ - 6 มีนาคม พ.ศ.2555

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ ^^

--------------------------

ชีวิตใหม่ของก๊องส์

“ว่าไง  ตื่นแล้วหรือ?”

เสียงแหลมสูงที่ผ่านการสังเคราะห์ดังบาดหูออกมาจากลำโพงของ “หุ่นกระป๋อง” ตัวนั้นที่กำลังยืนอยู่ข้างเตียงที่ก๊องส์กำลังนอนเหยียดยาว จอรับสัญญาณภาพของก๊องส์เริ่มทำงาน มันรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่างอันเขรอะสนิมขณะยันกายลุกขึ้นนั่งและพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องนอนที่กว้างขวางห้องหนึ่ง

“ที่นี่คือที่ไหนกัน” ก๊องส์ถาม หันศีรษะทรงสี่เหลี่ยมมาทางเจ้าหุ่นทรงกระป๋องที่มีความสูงเพียงสามฟุตจากพื้นเห็นจะได้ “อ้อ – โทษทีครับ – แล้วคุณเป็นใครหรือ?”

“สวัสดี ข้าชื่อลุยจิ เป็นหุ่นยนต์รับใช้ที่เจ้านายข้าประกอบขึ้นเองกับมือ” ลุยจิหุ่นกระป๋องหรือที่ใครๆ ชอบเรียกหุ่นประเภทนี้ว่า ‘หุ่นยนต์ทำมือ’ กล่าวเสียงอู้อี้ ไฟสีแดงที่ประดับเป็นลูกตากลมโตกระพริบวิบๆ บ่งบอกความตื่นเต้นที่ได้สนทนากับหุ่นยนต์ด้วยกัน “และที่นี่ก็คือบ้านพักของผู้ดูแลสถานีคัดแยกขยะประจำกรุงลอนดอน”

“สถานีคัดแยกขยะ?” ก๊องส์ทวนคำอย่างไม่เข้าใจ “ผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรครับ คุณลุยจิ?”

“ก็ถูกเค้าทิ้งมาน่ะซี่ นี่ดีนะเจ้านายข้าพบเจ้าก่อนที่หุ่นยนต์คัดแยกขยะจะเจอ ไม่งั้นเจ้าถูกย่อยเป็นเศษเหล็กชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้ว” ลุยจิพูดเจื้อยแจ้ว ทำให้ก๊องส์รู้ได้ทันทีว่าเจ้าหุ่นรับใช้ตัวนี้มีนิสัยชอบพูดชอบคุยผิดปกติวิสัยของหุ่นยนต์

“ผมถูกทิ้งหรือครับ? ไม่น่าเป็นไปได้...”

ก๊องส์พยายามทบทวนความทรงจำสุดท้ายที่มีอยู่ แต่มันก็นึกไม่ออก ทั้งที่หุ่นยนต์ซึ่งผลิตและส่งออกมาจากโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นตัวมันได้ถูกติดตั้งหน่วยความจำที่สามารถเก็บความทรงจำติดต่อกันได้เป็นเวลาถึงสองร้อยปี แต่น่าแปลกที่ขณะนี้มันกลับรู้สึกว่าในหน่วยความจำมีแต่ความว่างเปล่าราวกับไม่เคยมีอะไรให้จดจำเลยสักนิด

“เป็นได้ซี่ ทำไมจะไม่ได้ มนุษย์ก็แบบนี้แหล่ะ อะไรแก่นิดเก่าหน่อยก็โละทิ้ง ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเกิดสงครามโลกไปแล้วถึงห้าครั้งทั้งที่ยังไม่ขึ้นปีสามพันด้วยซ้ำ” ลุยจิหมุนศีรษะไปทางอื่น ทำเสียงพ่นลมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายทั้งที่ศีรษะกลมๆ ของมันไม่มีรูจมูก

แต่คำพูดของเจ้าหุ่นกระป๋องก็ทำให้ก๊องส์เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แม้กระทั่งวัน เดือน ปีที่เป็นอยู่ในเวลาปัจจุบัน ก๊องตัดสินใจถามลุยจิ ซึ่งเจ้าหุ่นกระป๋องก็ตอบด้วยความเต็มใจว่า

“ตอนนี้เจ้ากำลังอยู่ในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ.2912 ซึ่งเป็นปีแห่งการฟื้นฟูหลังสงครามโลกครั้งที่ห้า – ที่ข้าเชื่อว่าคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่ๆ – เพิ่งจบสิ้นลงเมื่อหกเดือนก่อน” เว้นวรรคนิดหนึ่งขณะเคลื่อนกายด้วยล้อยางตีนตะขาบเข้ามาที่ขอบเตียง “หากเจ้าจำอะไรไม่ได้ก็ไม่ต้องแปลกใจหรอกนะ  เพราะเจ้านายข้าเค้าบอกแล้วว่าหน่วยความจำของเจ้าถูกกระแทกระหว่างบีบอัดมาในรถขนขยะจนเกิดความชำรุด ตอนนี้เค้ากำลังไปหาชิ้นส่วนมาซ่อมให้ ซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ ความทรงจำทุกอย่างของเจ้าก็จะกลับมาดังเดิม”

“หรอครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขอขอบคุณมากครับ” ก๊องส์พูดด้วยความเบาใจ มันจึงมีเวลาสังเกตว่ามือขวาของมันไม่ใช่มืออีกต่อไปแล้ว แต่กลับเป็นตะหลิวที่ใช้สำหรับทำกับข้าวซึ่งมันคงไม่ได้ถูกผลิตออกมาจากโรงงานด้วยมือสภาพนี้แน่ๆ

“ฝีมือเจ้านายข้าเองล่ะ” ลุยจิกล่าวขึ้นเมื่อพบว่าก๊องส์กำลังจับจ้องมือตะหลิวที่แขนขวาอย่างแตกตื่น “ร่างกายของเจ้ามันชำรุดหลายส่วน เจ้านายข้าเค้าจึงเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ให้เท่าที่หาได้ นอกจากแขนขวาแล้วก็ยังมีขาทั้งสองข้างอีก เปิดผ้าห่มดูเสียก่อนสิ จะได้ไม่ต้องตกใจ”

เจ้าหุ่นยนต์รีบพลิกผ้าห่มที่ปกคลุมส่วนล่างของลำตัวออก เผยให้เห็นขาสองข้างที่ความรู้สึกแจ้งเตือนทันทีว่านี่ไม่ใช่ขาที่แท้จริง เพราะโทนสีและคุณภาพชิ้นเหล็กแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แถมเท้าทั้งสองข้างก็ไม่ใช่เท้าที่สำหรับใช้เดิน แต่มันกลับเป็นขดสปริงที่ใช้สำหรับกระโดดเท่านั้น

ก๊องส์นึกอยากเห็นหน้าผู้ชุบชีวิตใหม่ให้มันตกอยู่ในสภาพนี้ขึ้นมาจับใจ

“นอนพักเสียก่อนเถอะ  เดี๋ยวถ้าเจ้านายข้ามา ข้าจะบอกให้เองว่าเจ้ารู้สึกตัวแล้ว” ลุยจิยืดมือที่เป็นคีมหนีบสามแฉกขึ้นมาตบไหล่ก๊องส์ที่นั่งสับสนอยู่บนเตียง  เสียงเนื้อเหล็กของหุ่นยนต์ทั้งสองตัวกระทบกันดังแก๊งๆ ท่ามกลางความเงียบงันที่สยายตัวปกคลุมรอบบริเวณ

********

เจ้านายของลุยจิชื่อว่ามาร์ติน คุสเบิร์ก หรือที่คนงานทุกคนเรียกว่าลุงมาร์ติน

เขาเป็นชายสูงอายุวัยประมาณหกสิบ รูปร่างผอมแห้ง  บนศีรษะเถิกสูงมีผมสีขาวพองฟูเหมือนดั่งวิทยาศาสตร์ชื่อดังในตำนานหนึ่งพันปีก่อนที่ชื่ออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ลุงมาร์ตินคุยให้ก๊องส์ฟังว่าตนเองมีเชื้อสายทางแม่เป็นญาติห่างๆ กับนักวิทยาศาสตร์แห่งตำนานคนนั้น และก๊องส์ก็เชื่อเขา

นั่นเป็นเพราะว่าลุงมาร์ตินเป็นคนที่เก่งมาก เขาจัดการซ่อมแซมก๊องส์จนความทรงจำทั้งหมดถูกกู้คืนมาได้ในเวลาสองชั่วโมง ดังนั้น ในตอนนี้หุ่นยนต์หนุ่มจึงทราบที่มาที่ไปแล้วว่าตัวเองเป็นใคร ชื่ออะไร มาจากไหน และถูกทิ้งได้อย่างไร

“ผมชื่อก๊องส์ อายุ 97 ปี เป็นหุ่นยนต์รับใช้ประจำตระกูลเมลวิน หนึ่งในตระกูลที่รวยที่สุดในลอนดอน ” ก๊องส์กล่าวให้ลุงมาร์ตินและลุยจิฟังหลังความทรงจำกลับคืน “คุณพูดถูกครับลุยจิ ผมถูกเจ้านายรุ่นที่สามโละทิ้งเพราะผมเก่าเกินไป พวกเขาซื้อหุ่นยนต์ตัวใหม่ไว้คอยรับใช้แล้ว”

“แก่เกือบร้อยปีแล้วรึเนี่ย  มิน่าล่ะสนิมเกาะเกรอะกรังเชียว” หุ่นกระป๋องลุยจิส่งเสียงพูดอย่างอดรนทนไม่ไหว “ถ้าเทียบอายุกันแล้ว เจ้าเป็นปู่ข้าได้เลยนะ เห็นอย่างนี้ก็เถอะ ข้าเพิ่งมีอายุได้สิบสองปีเท่านั้น”

“เงียบน่า ลุยจิ” ลุงมาร์ตินหันไปดุเบาๆ “ปล่อยให้เพื่อนใหม่ของเราเล่าเรื่องของเขาให้จบเสียก่อน แล้วเจ้าค่อยพูด”

หากเป็นในเวลาปกติ ก๊องส์อาจจะหัวเราะให้กับท่าทีอันน่าขบขันของเจ้านายและหุ่นกระป๋องคู่นี้ แต่ทว่าในตอนนี้ ตอนที่ตัวมันกลายเป็นหุ่นยนต์ไร้เจ้าของ ก๊องส์กลับรู้สึกขมขื่นที่เห็นลุยจิมีเจ้านายที่รักใคร่อย่างลุงมาร์ติน

มันอดคิดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าหากคุณหนูรุ่นที่สามของมันมีจิตใจเมตตาอย่างลุงมาร์ตินได้สักครึ่งก็คงจะดีไม่น้อย...ก๊องส์พยายามปัดความน้อยเนื้อต่ำใจออกไปจากชิพประมวลผลขณะกวาดตามองหนึ่งมนุษย์หนึ่งหุ่นยนต์ที่นั่งอยู่ข้างเตียงในขณะนี้

และทั้งสองกำลังจ้องมองมาที่ก๊องส์ด้วยสายตาใคร่รู้ว่าประวัติชีวิตของมันเป็นอย่างไรบ้างถึงได้ถูกโยนทิ้งใส่ถังขยะราวกับเป็นขยะชิ้นหนึ่ง ก๊องส์เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้เปิดเผยทุกอย่างกับมนุษย์ มันจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องในอตีตตลอดระยะเวลาเก้าสิบหกปีที่ผ่านมาอย่างช้าๆ ให้ลุงมาร์ตินและลุยจิฟังด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะอธิบาย

********


ตระกูลเมลวินสั่งซื้อก๊องส์มารับใช้เมื่อเก้าสิบหกปีก่อน ซึ่งเป็นตอนที่สงครามโลกครั้งที่สี่อุบัติขึ้นในทุกทวีป ไฟสงครามทำให้ตระกูลที่ร่ำรวยอย่างเมลวินต้องอพยพไปอยู่ที่อื่นที่สุขสงบ ไม่มีเสียงปืน เสียงระเบิด เสียงเครื่องจักรกลยาตราทัพตลอดวันตลอดคืน

พวกเขาหลบไปอยู่ประเทศที่เป็นมิตรสำหรับทุกคนอย่างสวิตเซอร์แลนด์ และก๊องส์ก็เริ่มต้นรับใช้งานครอบครัวเมลวินอย่างเป็นทางการที่นั่น

เจ้านายโดยตรงของก๊องส์ชื่อว่าเดวิด เมลวิน เป็นนายธนาคารหนุ่มนิสัยดี เขาใช้ให้ก๊องส์คอยดูแลคุณผู้หญิงระหว่างที่ตนเองออกไปทำธุระข้างนอก ก๊องส์เป็นทุกอย่างตั้งแต่หุ่นยนต์ทำความสะอาด หุ่นยนต์ทำครัวปรุงอาหาร ไปจนถึงหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยคอยยืนโยงอยู่ยามตอนกลางคืน

และมันก็ทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ  

หลังจากนั้น เจ้านายอยู่สวิตเซอร์แลนด์ได้หกปีสงครามโลกก็ยุติลง ครอบครัวเมลวินเดินทางกลับอังกฤษ แม้ในคฤหาสน์เมลวินจะมีคนรับใช้อยู่แล้ว แต่เดวิด เมลวินก็ยังคงให้ก๊องส์อยู่ช่วยงานคอยหยิบจับรับใช้เล็กๆ น้อยๆ ต่อไป จนกระทั่งเขาและภรรยามีลูก หน้าที่ของก๊องส์จึงกลายเป็นหุ่นยนต์พี่เลี้ยงเด็กไปโดยปริยาย

เจ้านายน้อยของก๊องส์มีอยู่ด้วยกันสองคน หนึ่งหญิง หนึ่งชาย  อายุห่างกันสามปี และภาพที่ทุกคนในคฤหาสน์คุ้นชินดีก็คือหุ่นยนต์ตัวใหญ่ขนาดร่างกายเท่ามนุษย์เที่ยวเดินท่อกๆ ตามหาเด็กน้อยสองคนไปทั่วคฤหาสน์จากการเล่มเกมซ่อนหา

ซึ่งแน่นอนว่า เกมทุกเกมก๊องส์ไม่เคยเป็นผู้ชนะเลยสักครั้งเดียว

กาลเวลาหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี และจากปีเป็นสิบปี  เจ้านายน้อยทั้งสองเติบใหญ่เป็นหญิงงามชายสง่า พร้อมกับการมาถึงในความตายของเดวิด เมลวินที่สิ้นชีวิตลงด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันขณะเดินขึ้นบันไดเข้าสู่ออฟฟิศด้วยวัยห้าสิบปี

ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของก๊องส์ เริ่มบังเกิดขึ้นทีละนิดหลังจากนี้

คุณนายเมลวินเสียใจมากกับการจากไปอย่างไม่คาดฝันของสามี ก๊องส์ยังคงอยู่รับใช้นางได้อีกหนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่นางจะดื่มยาพิษฆ่าตัวตายในคืนหนึ่งพร้อมทิ้งจดหมายลาตายกล่าวฝากฝังเรื่องราวทุกอย่างไว้ให้บุตรสองคนที่อยู่ข้างหลังจัดการ

และเนื้อความส่วนหนึ่งในจดหมายก็มีชื่อของก๊องส์เกี่ยวข้องอยู่ด้วย

คุณนายเมลวินสั่งให้ลูกคนใดคนหนึ่งรับก๊องส์ไปดูแล ตอนนั้นก๊องส์ยังเป็นหุ่นยนต์ที่หนุ่มแน่น ร่างกายยังไม่ชำรุด อุปกรณ์ภายในร่างกายยังไม่สึกหรอ พร้อมสำหรับการทำงานทุกอย่างไม่ว่าหนักหรือเบา และบุตรทั้งสองของเจ้านายก็รักก๊องส์มาก ถึงกับแย่งกันเอาก๊องส์ไปอยู่ด้วย

แต่สุดท้าย คนน้องที่มีชื่อว่าเคอร์ติสก็เป็นผู้ชนะในการแย่งชิงหุ่นยนต์รับใช้ตัวนี้

เคอร์ติส เมลวินเป็นเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าที่ถอดแบบบิดาผู้ลาลับมาทุกรูปแบบ ทั้งรูปร่างหน้าตา ท่าทางการยืน เดิน นั่ง รวมไปถึงอุปนิสัยใจคอ เขาพาก๊องส์ไปด้วยทุกที่ราวกับเป็นเพื่อนสนิท ซึ่งช่วงเวลานี้เองที่ก๊องส์รู้สึกว่าตัวเองใกล้ชิดความเป็นมนุษย์มากที่สุดในชีวิต

เจ้านายมีคฤหาสน์อยู่ที่แมนเชสเตอร์ เขาพามันไปเที่ยว แนะนำให้รู้จักเพื่อนฝูงที่เป็นกลุ่มต่อต้านสงครามและความรุนแรง วันไหนที่เจ้านายกับพรรคพวกเดินขบวนชูป้ายประท้วงตามท้องถนน ก๊องส์ก็จะติดสอยห้อยตามไปด้วย และมันก็ได้รับหน้าที่ชูป้าย “ไม่มีสงคราม ไม่มีความตาย” ที่ใหญ่เกินกว่ามนุษย์เพียงคนเดียวจะยกไหว ก๊องส์ภูมิใจมากกับหน้าที่นี้  เพื่อนของเจ้านายเริ่มพากันตั้งสโลแกนประจำตัวให้ก๊องส์ว่า

“ขนาดหุ่นยนต์อย่างผมยังถวิลหาสันติภาพ แล้วมนุษย์อย่างคุณล่ะ ยังกระหายใคร่เข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกันเองอยู่อีกหรือ?”

ประโยคนั้นถูกฝังอยู่ในหน่วยความทรงจำจนเป็นประโยคติดปากของก๊องส์ไปในเวลาไม่นาน แต่กิจกรรมเดินขบวนของกลุ่มต่อต้านสงครามและความรุนแรงของเจ้านายก็จัดตั้งได้เพียงไม่กี่เดือน พวกเขาก็ถูกตำรวจสลายการชุมนุมในวันอาทิตย์วันหนึ่งในเดือนสิงหาคมที่จัตุรัสเซนต์.ปีเตอร์ เนื่องจากข้อหาซ่องสุมกำลังคนที่อาจจะก่อเหตุไม่สงบแก่ประเทศชาติ

ซึ่งไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย

การสลายการเดินขบวนครั้งนั้นส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตสองคน แต่ทั้งสองคนนั้นล้วนเป็นเพื่อนสนิทผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มต่อต้านสงครามฯ พร้อมกับเจ้านายทั้งสิ้น  จิตใจของเจ้านายจึงถูกกระทบกระเทือนมากพอๆ กับตอนที่บิดาเสียชีวิต ก๊องส์ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยืนมองเจ้านายนั่งซึมเศร้า ไม่จับต้องอะไรที่เกี่ยวกับการเดินขบวนประท้วงและไม่เคยใช้ชีวิตอย่างกระตือรือร้นอีกเลย

ชีวิตของเคอร์ติสผู้เป็นนายดำเนินไปกับหยดน้ำตา จนกระทั่งหญิงคนนั้นก้าวเข้ามา

นางแก่กว่าเจ้านายหกปี มีนามว่า วาเนสซ่า เทอร์เนรี่ย์ เป็นหญิงงามที่เปิดกิจการบาร์เหล้าเล็กๆ ซึ่งเจ้านายชอบไปนั่งดื่ม ก๊องส์เข้าใจว่าความรักระหว่างหนุ่มสาวคืออะไร แต่มันไม่เข้าใจว่าทำไมความหลงที่เจ้านายมีต่อนางเทอร์เนรี่ย์นั้น ถึงมีพลังมหาศาลจนทำให้เจ้านายแต่งงานกับนางในอีกหนึ่งปีต่อมา และยอมให้นางปั่นหัวครอบครองมรดกที่เจ้านายได้รับจากพินัยกรรมไว้อย่างเบ็ดเสร็จเหมือนคนที่ใช้ชีวิตโดยไม่มีสมอง

เจ้านายไม่สนใจก๊องส์อีกต่อไป หุ่นยนต์หนุ่มถูกไล่ให้มาทำงานที่โรงครัว ซึ่งก๊องส์แน่ใจว่าหากมันไม่สามารถทำงานได้หรือเป็นประโยชน์กับใครอีก มันก็คงจะถูกไล่ออกจากบ้านและปล่อยทิ้งในทันที

ดังนั้นมันจึงพยายามทำตัวเองให้เป็นประโยชน์อย่างที่สุด คนครัวและเด็กรับใช้ทุกคนต่างก็สงสารในชะตากรรมของก๊องส์ ทว่าก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้

และเป็นอีกครั้งที่กาลเวลาหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี และจากปีเป็นสิบปี

พี่สาวของเจ้านายถึงแก่ความตายด้วยอายุสี่สิบสองปีในอุบัติเหตุเครื่องบินตกในปี ค.ศ.2867 และจากการที่เธอไม่ได้แต่งงานและไม่มีบุตร มรดกทรัพย์สินในส่วนของเธอจึงตกเป็นกรรมสิทธ์ของเคอร์ติสผู้เป็นน้องชาย จากที่รวยอยู่แล้วก็รวยเพิ่มขึ้นอีก  แม้นางเทอร์เนรี่ย์จะแอบนำบางส่วนไปสูญเสียในวงพนัน แต่นั่นก็ไม่เป็นการสั่นคลอนฐานะของเจ้านายแต่อย่างใด

ก๊องส์แก่ขึ้นมาก ชิ้นส่วนบางชิ้นของมันเริ่มชำรุด และต้องหยอดน้ำมันบ่อยกว่าที่เคย อีกทั้งเวลาขยับเท้าเดินก็เริ่มมีเสียงอ๊อดแอ๊ดจากเหล็กที่ขึ้นสนิม มันไม่ต้องทำงานในโรงครัวอีกเพราะเจ้านายเรียกให้ขึ้นมาคอยรับใช้ส่วนตัว ก๊องส์พบว่าการที่นางเทอร์เนรี่ย์มัวหมกมุ่นอยู่ในบ่อนคาสิโนก็มีข้อดีอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือนางไม่สนใจที่จะคอยปั่นหัวเป่าหูหลอกล่อให้เจ้านายตกอยู่ใต้อำนาจของนางอีกต่อไป เพราะฉะนั้น เจ้านายจึงเกือบจะกลับมาเป็นคนเดิมได้อีกครั้ง

แต่โชคร้ายที่นางเทอร์เนรี่ย์ก็สังเกตพบความเปลี่ยนแปลงในข้อนี้ นางไม่ยอมแน่ที่จะปล่อยให้เคอร์ติสหลุดพ้นจากความลุ่มหลง  แต่ในขณะเดียวกัน นางก็ไม่อยากปล่อยทิ้งห้วงเวลาแห่งความสนุกสนานในวงพนันให้ผ่านเลยไป นางเทอร์เนรี่ย์อยากเล่นพนัน แต่ก็อยากควบคุมให้เคอร์ติสอยู่ในกำมือ ดังนั้นทางออกเดียวสำหรับนางที่จะทำให้ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวก็คือ การมีลูก

ลูกจะเป็นโซ่ทองคล้องใจให้เคอร์ติสลุ่มหลงและยอมเชื่อฟังนางต่อไป
และนางก็ทำสำเร็จในอีกหนึ่งปีต่อมา

ลูกที่นางเทอเนรี่ย์คลอดออกมาเป็นลูกสาว ซึ่งยิ่งโตก็ยิ่งถอดแบบนิสัยของผู้เป็นแม่มาทุกกระเบียด ทั้งการเอาแต่ใจตัวเอง สั่งสิ่งใดต้องได้สิ่งนั้น หากถูกขัดใจก็จะอาละวาดใส่ทุกคนที่ขวางหน้า(ก๊องส์เคยถูกเขวี้ยงด้วยแจกันใส่ดอกไม้หนหนึ่ง) น่าแปลกที่เคอร์ติสเห็นว่าพฤติกรรมนี้ช่างน่ารักน่าชัง ทุกคราวที่คุณหนูอาละวาด เคอร์ติสจะหัวเราะชอบใจและยืนดูอยู่ด้านข้างอย่างเดียวเท่านั้น

เจ้านายไม่เคยกลับมาเป็นคนเดิมได้อีกเลยแม้กระทั่งวันเสียชีวิต เขาจากไปในปี ค.ศ. 2900 อันเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่ห้าลุกโชนจากความขัดแย้งของสองทวีปคือยุโรปและอเมริกา เจ้านายกลายเป็นชายชราวัย 72 ผู้เตรียมอพยพครอบครัวไปอยู่ประเทศที่ปลอดภัยกว่า

แต่รถที่เขากับนางเทอร์เนรี่ย์ในวัย 78 ปีนั่งไปยังสนามบินนั้นถูกระเบิด ทรัพย์สมบัติทั้งหมดจึงตกมาอยู่ในการครอบครองของโลล่า เมลวิน บุตรสาวเพียงคนเดียวประจำตระกูลที่ขณะนั้นอพยพไปอยู่ที่อื่นเรียบร้อยแล้ว

********

“ผมคือหนึ่งในทรัพย์สินที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคุณหนูโลล่า แต่เธอไม่สนใจผมเลย ผมใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลเมลวินตลอดเวลาสิบสองปีที่เกิดสงคราม  เฝ้าหวาดหวั่นว่าคฤหาสน์จะโดนระเบิดหรือเปล่า มันเหมือนปาฏิหาริย์มากที่คฤหาสน์รอดพ้นระเบิดมาได้และคุณหนูโลล่าก็กลับประเทศอีกครั้งเมื่อสงครามสิ้นสุดลงเมื่อหกเดือนก่อน” ก๊องส์เล่า หากมันปรับน้ำเสียงได้ เสียงพูดของมันคงเศร้าสลดไม่น้อย “แต่คุณหนูเธอก็กลับมาเพื่อขายคฤหาสน์ทิ้ง”

“รวมถึงขจัดเจ้าทิ้งด้วยสินะ” ลุยจิกล่าวขึ้น “หุ่นยนต์เก่าๆ สนิมเขรอะๆ มนุษย์ไม่ชอบหร๊อก ร้อยทั้งร้อยก็ตัดสินกันด้วยรูปลักษณ์ภายนอกทั้งนั้นแหล่ะ ข้าพนันได้เลยว่าหล่อนตั้งใจจะพาเจ้าไปทิ้งทันทีที่แรกเห็นโดยไม่สนใจเลยว่าเจ้าอยู่เฝ้าคฤหาสน์ให้หล่อนมาถึงสิบสองปี”

“ผมไม่อยากโทษคุณหนูเธอหรอกครับ เธอมีหุ่นยนต์รับใช้รุ่นใหม่ล่าสุดจากนอร์เวย์ แถมสามีเธอก็เป็นวิศวกรเครื่องจักรกลด้วย เขารู้วิธีที่จะประดิษฐ์หุ่นยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ใช้งานได้ดีและฉลาดกว่ารุ่นของผม” ก๊องส์ก้มมองเท้าทั้งสองของตัวเองที่วางอยู่บนที่นอน มันนึกภาพไม่ออกเลยว่าด้วยเท้าที่เป็นสปริงแบบนี้ มันจะเดินได้อย่างไร

“แล้วคุณหนูของเจ้าก็ปิดสวิตช์ พาเจ้ามายัดทิ้งใส่ถังขยะเลยงั้นรึ” ลุงมาร์ตินถาม เมื่อก๊องส์ผงกศีรษะตอบว่าใช่ ลุงมาร์ตินก็รำพึงเบาๆ “ใจร้ายกันจริงไอ้คนสมัยนี้  แล้วเจ้าจะเอาอย่างไรต่อไปดีล่ะนี่?”

นั่นสินะ จะเอาอย่างไรดี?

ก๊องส์เองก็ไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรเหมือนกัน


********
 
“ฉันดีใจที่เจ้าเลือกอยู่กับเรานะก๊องส์ มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้ว” ลุงมาร์ตินพูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเมตตาหลังก๊องส์เข้ามาแจ้งจุดประสงค์ที่จะอยู่ช่วยงานในสถานีคัดแยกขยะให้ลุงมาร์ตินฟังในห้องทำงาน

“ใช่ ข้าก็ดีใจเหมือนกัน” ลุยจิซึ่งแอบฟังอยู่หน้าประตูห้องโพล่งขึ้นอย่างลืมตัว  “ข้าจะได้มีเพื่อนคุย ไม่เหงาอีกต่อไป”

“ผมต้องขอบคุณคุณมาร์ตินกับคุณลุยจิมากกว่าครับที่ไม่รังเกียจหุ่นยนต์เก่าๆ อย่างผม” ก๊องส์ตอบอย่างถ่อมตัว  มันรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของลุงมาร์ตินและลุยจิมากเหลือเกินที่คอยดูแลและฟื้นฟูมันจนสามารถกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้งในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

ก๊องส์สามารถปรับตัวกับร่างกายใหม่ที่ไม่มีเท้าเดินเหมือนก่อนได้เป็นอย่างดี แม้จะต้องใช้ขดสปริงกระโดดดึ๋งๆ ไปตลอดทางเหมือนผีจีนที่เคยเห็นในภาพยนตร์ก็ตาม แต่มันก็สามารถกระโดดไปไหนมาไหนได้รวดเร็วยิ่งกว่าตอนเดินเสียอีก แถมยังใช้งานมือตะหลิวงัดแงะแกะสิ่งต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย

“ไม่ต้องคิดมากน่า” ลุงมาร์ตินพูดพลางเดินมาวางมือลงบนไหล่ของก๊องส์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน“ฉันจะบอกอะไรให้อย่างนะ  ก๊องส์  สำหรับสิ่งที่อยู่บนโลกนี้ ไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจหรอกนอกจากเราจะคิดไปเอง คนทุกคน สิ่งของทุกสิ่งล้วนแล้วแต่มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเองทั้งนั้นล่ะ  ใครจะรู้ว่าสิ่งของสิ่งหนึ่งอาจไม่มีค่ากับคนๆ หนี่ง แต่มันอาจจะไปมีค่ากับคนอีกคนหนึ่งก็ได้”

“เจ้านายข้าพูดดีมั้ยล่ะ” ลุยจิพูดอย่างภูมิใจ ขณะเคลื่อนกายด้วยล้อตีนตะขาบเข้ามาในห้อง มาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ที่ก๊องส์นั่ง

“พวกคุณมอบชีวิตใหม่ให้ผม” ก๊องส์กล่าวด้วยความตื้นตันจากใจจริง ตอนนี้มันไม่เคยคิดถวิลหาคืนวันเก่าๆ ที่เคยอยู่กับเจ้านายรุ่นที่หนึ่งเดวิด เมลวิน หรือเจ้านายรุ่นที่สอง เคอร์ติส เมลวินอีกแล้ว และถึงแม้หน่วยความจำของมันจะไม่ได้ชำรุด แต่มันก็ลืมเลือนความเลวร้ายที่เจ้านายรุ่นที่สามได้กระทำกับมันเกือบหมดแล้วเช่นเดียวกัน

มันเป็นเพราะก๊องส์เรียนรู้แล้วว่า หากใครสักคนต้องการมีชีวิตใหม่ ก็สมควรที่จะลืมเลือนเรื่องราวเลวร้ายในอดีตที่ผ่านมาเสียบ้างนั่นเอง

-----------------------------------

แก้ไขเมื่อ 01 มี.ค. 55 21:04:22

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 55 20:20:29




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com