30
“น้องชื่ออะไรจ้ะ”
นี่เป็นคำถามที่บัณฑิตาได้ยินร่วมสิบครั้งจากการมาช่วยป้าไก่ที่ร้านริมเลเจ๊หงส์เพียงแค่ห้าวันเนื่องจากว่ามีลูกค้าหน้าใหม่ ๆ เข้ามา แต่กลายเป็นว่าเธอต้องมาตอบรับคำถามและคำจีบหลังจากงานแต่งงานซึ่งไม่ใช่เรื่องสนุก “บอกหน่อยน้า น้องคนสวย” หญิงสาวถอนใจ หันไปยิ้มนิด ๆ ให้ชายผิวเข้มวัยประมาณยี่สิบปลาย ๆ ที่โต๊ะประกอบด้วยชายสี่คน “ชื่อบุ้งค่ะ” “อุ้ย แค่ชื่อก็คันแล้วว่ะ” เพื่อนร่วมโต๊ะทำเสียงฮือฮา เจ้าตัวออกอาการแทบจะเรียกว่ากระดี้กระด๊า
“คันอะไรพี่ อย่าบอกนะว่าคันหู ผู้ชายเขาไม่คันกันหรอก” เด็กหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปตอบแทน เปิดโอกาสให้พนักงานเสริ์ฟสาวจำเป็นเดินออกมา เธอยักคิ้วเชิงขอบคุณ
“รับอะไรเพิ่มไหมครับ ยำรวมมิตรดีไหม”
โขงทำหน้าแป้นแล้น บรรดาลูกค้าร้องโห่ หันไปกินกันต่อ แต่สายตาของชายคนนั้นยังไม่ ยอมแพ้
ดังนั้น พอบัณฑิตาเดินมาใกล้ก็เอ่ยเสียงหวานอีก “น้องบุ้งจ๋า จะรังเกียจไหมถ้าพี่จะขอเบอร์โทรศัพท์”
หญิงสาวอยากเอาน้ำสาด ชีวิตเธอจะหนีพวกขี้หลีไม่พ้นเลยหรือไงนะ พวกนี้เหมือนแมลงสาบ ไปที่ไหนก็เจอ ทั้งกลางวันและกลางคืนเลย
“กินครบล้านเมื่อไหร่แล้วบุ้งจะให้นะคะ”
“จริงรึเปล่า รู้ไหมพี่เป็นคนไม่ยอมให้ใครมาท้านะ”
“ไม่รู้จักลูกชายร้านขายทองซะแล้ว” เพื่อนอีกคนว่า
“คนอย่างพี่ไม่ค่อยได้มากินร้านแบบนี้หรอก โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ นะจ้ะ”
บัณฑิตาหรี่ตา อาการชะลอฟังของเธอทำให้อีกฝ่ายได้ใจขึ้นมาเล็กน้อยว่า ‘ฐานะ’ เรียกความสนใจได้ หญิงสาวเปิดยิ้มหวาน
“เริ่มสนใจแล้วล่ะสิ”
“ค่ะ บุ้งก็เริ่มคิดแล้วเหมือนกันว่าผู้ชายแบบพี่นี่หายากมาก หาที่ไหนก็ไม่เจอ ต้องหยอดปูนขาวถึงจะโผล่ออกมาได้” แล้วก็เดินไปทั้งที่ใบหน้าเกลื่อนยิ้มระบาย ปล่อยชายหนุ่มห่อปากที่ถูกตอกอย่างเจ็บแสบ
“อูยยยย”
“ปากแบบนี้ น่าจับบุ้งมาถอนขนจริง” เขาพูดแล้วมองด้วยสายตาหมายมาด ก่อนจะเรียกเก็บเงิน
“ทั้งหมด สามร้อยแปดสิบบาทครับ” โขงบอก อีกฝ่ายยื่นธนบัตรให้
“ไม่ต้องทอน”
อีกฝ่ายค้อมศีรษะ พอเงยหน้ามาก็เห็นแบงก์ร้อยอีกใบ “อันนี้ให้เลย ถ้าได้เบอร์พี่สาวคนสวยนั้นมาแลก”
เด็กชายตาเป็นประกาย แต่ทำทีรักษาฟอร์ม “จะดีเหรอพี่ ผมไม่ได้เห็นแก่เงินนะ”
“เอาน่ะ คิดเสียว่าเป็นทิปไง นะ พี่เห็นนายสนิทกับคนสวยนั่น ต้องมีเบอร์แน่นอนใช่ไหม”
“แต่...” โขงเกาหู “ผมก็ไม่อยากยุให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยกนะ เห็นทีต้องไปถามผัวพี่เขาก่อน อ้ะ! โน่นไง เดินมานั่นแล้ว” เด็กชายทำตาโตชี้มือ
จังหวะที่เขาหันตามที่เด็กเสิร์ฟบอก แบงก์ร้อยถูกดึงออกไปอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณค้าบ”
“อ้าวเฮ้ย!” และปรากฎว่าไม่มีใครเดินมาแม้แต่คนเดียว
ชายหนุ่มก็ได้แต่เดินขุ่นเคืองออกไปที่ปลูกลูกป้อลูกยอไม่สำเร็จ ทั้งยังเสียหน้าเพราะถูกเพื่อนแซวอีกยกใหญ่
บัณฑิตามองตาม แค่นยิ้ม แต่ชะงักเพราะชายอีกคู่ที่เดินสวนเข้ามานั่นคือ คนที่เพิ่งถูกอ้างถึงไปสด ๆ ร้อน ๆ
“โห วันนี้คนเยอะเลย”
เขมรัฐบอกยิ้ม ๆ ธรณิศสบตากับบัณฑิตาแว่บหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรเพราะถูกหญิงสาวเชิดใส่
“คนเยอะสิพ่อ มีพี่บุ้งมาเป็นนางกวักทั้งที” โขงพูดหน้าระรื่น “แบบนี้สงสัยต้องมาให้ช่วยทุกวันแล้วมั้งครับ พ่อรู้เปล่ามีคนมาจีบพี่บุ้งเยอะเลย ช่วงนี้ป้าไก่ผัดข้าวมือเป็นระวิง”
“โขง” บัณฑิตาปรามเสียงแข็ง อีกฝ่ายกรอกตา “พูดเวอร์ไปแล้วนะ”
“เปล่าสักหน่อย ก็เมื่อกี้ผมเห็นพี่บุ้งยิ้มหวานอยู่เลย”
“ก็ลูกค้านี่ จะให้พี่ทำหน้าเป็นจวักเหมือนใครบางคนได้ยังไง”
‘ใครบางคน’ ซึ่งไม่ได้ระบุ แต่รู้ตัวว่าธนูดอกนั้นแล่นมาปักอกตนเองดังปึก อยากหายตัวไปดื้อ ๆ แต่อีกใจก็อยากรู้เรื่องอะไรก็ตามที่เด็กชายอาจจะเล่าออกมาได้อีก
“พี่กบ ๆ เมื่อกี้มีคนมาขอเบอร์พี่บุ้งด้วย”
“นี่โขง!” หญิงสาวแหว “เอาอะไรมาพูด พี่บอกแล้วไงว่าไม่ต้องพูดเรื่องนี้ พี่กบเขางานยุ่งจะตาย ไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้หรอก”
“ก็...”
“มานี่เลย มาช่วยเก็บโต๊ะก่อน” บัณฑิตาดึงแขนโขงออกไป ไม่มีใครทันสังเกตว่าหญิงสาวแอบยิ้ม
เขมรัฐยกคิ้ว หันไปทางผู้ช่วย
“มีคนมาขอเบอร์เมียนี่เรื่องเล็กหรือเปล่าวะกบ”
อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่หัวใจสูบฉีดเลือดช้าลง เขาผ่อนลมหายใจ ซ่อนความเจ็บอยู่ในสีหน้าเรียบเฉยขณะตักข้าวกิน ไม่เข้าใจว่าหญิงสาวไม่พอใจอะไรอีก เขาก็เพียงแค่อยากค่อย ๆ ใช้เวลาในการปรับตัวและเรียนรู้กัน ได้อยู่ร่วมบ้านนอนร่วมห้องมาก็หลายวัน แต่คำที่พูดกันน้อยเต็มที
ยิ่งเขาพูดไม่เก่ง พอบัณฑิตาเฉยก็หมดทางเริ่มต้น ได้แต่พยายามทำอะไรที่เลี่ยงการไม่พอใจของเธอ อย่างน้อยหญิงสาวเข้ากับพ่อแม่ได้ดี ดูว่าเป็นลูกสะใภ้ที่ดี แต่...พอมีเขาร่วมวง รอยยิ้มกับคำพูดก็ลดลง บางครั้งก็เดินหนีไปดื้อ ๆ
ชายหนุ่มอุตส่าห์ดีใจขึ้นมาบ้างเมื่อโรงเรียนปิดเทอม ลดการได้ยินคำนินทาและสายตาเหยียดหยัน แต่กลายเป็นว่าพอเธอมาช่วยป้าไก่เสิร์ฟอาหารที่ร้านกลับทำให้เขาหวั่นไหวยิ่งกว่า
“โขง...”
บัณฑิตายกมือ คนถูกเรียกหันมาแปะมือทันที เธอยิ้ม “รู้เหรอ เรื่องอะไร”
“ไม่รู้ครับ” เด็กชายแกล้งทำตาใสแล้วเดินไป หญิงสาวหัวเราะ
นี่ขนาดไม่รู้นะเนี่ยยังรับส่งชงมุกขนาดนี้ ทำเอาตากบหน้าจืดเป็นเต้าหู้เลย สมน้ำหน้า เธอคิดขณะเก็บจาน ความเป็นจริงก็ไม่จำเป็นต้องยั่วแหย่อะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเองนั่นแหละ
คนบ้าอะไร แต่งงานแล้วกลับไปนอนพื้น ปล่อยเจ้าสาวรอเก้อเป็นแม่สายบัว
ให้เกียรติกันผิดเวลาไปแล้วย่ะ เจ้าบ่าวในกะลา
พอถามตัวเองว่าเธอโกรธเหรอ คำตอบคือใช่ โกรธ และมากด้วย อะไรกัน มาขอโอกาสก็ให้แล้วไง ผีสางตนใดหรือจิ้งจกตัวไหนไปทักอีกล่ะ แม่อยากจะยิงทิ้งนัก
สายตามันฟ้องอยู่ว่าเปี่ยมด้วยความรู้สึกที่ตรงกัน แล้วทำไมถึงกระทำตรงกันข้าม ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรได้แล้ว กบซื้อบื้อ เต่าในกะลา ช้าอืดอาด ทำอะไรก็ไม่รีบทำ นิ่งเสียจนนึกว่าเป็นหอยทากบาดเจ็บ
นี่แค่บทเรียนแรกเท่านั้น คอยดูเถอะ โทษฐานปล่อยปละละเลยสาวสวย จะเอาคืนให้เจ็บเลย
วันเวลาดำเนินไปสู่ฤดูกาลที่พระอาทิตย์เข้าใกล้โลกส่งอุณภูมิสูงทำให้ความร้อนปกคลุมไปทั่วประเทศ ไม่พ้นแม้แต่บ้านน้ำทองและฟาร์มปูนิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเที่ยงวัน
“ข้าวมาส่งจ้า”
บัณฑิตาจอดมอเตอร์ไซค์แล้วถือปิ่นโตกับถุงผ้าพะรุงพะรังเดินตรงมา เขมรัฐถอดหมวกปีกกว้างมาโบกคลายร้อน ส่วนธรณิศกำลังล้างมือ
“พี่เข้อยู่พอดี มากินข้าวกัน”
“ขอบคุณพระเจ้า”
“ขอบคุณทำไมพระเจ้า ขอบคุณน้องบุ้งสิ”
เขาหัวเราะ รับของที่หญิงสาวส่งให้ พยักหน้าให้ลูกน้อง
“เมียทำมาส่ง มื้อนี้ท่าจะหรอยอย่างแร๊งว่ะ”
ธรณิศกับบัญฑิตาสบตากับแว่บหนึ่ง หญิงสาวทำเชิดนิด ๆ และเดินไปก่อน เขาถอนใจตามเข้าไปในสำนักงาน
บนโต๊ะ หญิงสาวจัดแจงถอดปิ่นโต ธรณิศหยิบจานช้อนส้อมมาวาง เขมรัฐขยับเก้าอี้เตรียมนั่งอย่างเคย
“โอ๊ะ ลืมไป พี่เกี่ยวด้วยไหมเนี่ย”
“ไม่ต้องมาแอ๊บพี่เข้ รู้ทัน บุ้งทำมาเผื่อแล้ว นั่งเลย”
‘คนแอ๊บ’ ยิ้มกว้าง หญิงสาวคดข้าวจากทัปเปอร์แวร์ใส่จานตัวเอง ใส่จานส่งให้ชายหนุ่ม เสร็จแล้วก็หยุดวางไว้ที่เดิม ธรณิศเก้อ ต้องขยับมาหยิบไปตักเอง
“พี่เข้ ชิมไข่เจียวแหนม บุ้งทำเองนะ”
เธอกุลีกุจอตักให้ ชายหนุ่มตักเข้าปาก “เออ อร่อยดีนี่”
เขาพยักหน้า “บุ้งทำอร่อยดีนะ ของโปรดกบนี่หว่า ไข่เจียวแหนม”
“เหรอ บุ้งเห็นมันเหลือ ๆ เลยลองเอามาใส่รวมกันแค่นั้นแหละ”
ไข่แทบจะติดคอ ชายหนุ่มรีบกลืนลงคอ เขมรัฐยิ้มเจื่อน
“พี่เข้ชิมนี่ด้วย เปรี้ยวหวานสะตอ อันนี้บุ้งให้แม่สอนให้”
เธอตักให้เขาอีก เขมรัฐไม่รู้ตัวก็พยักหน้าชมอีก “เออ อันนี้ก็อร่อยดี กะปิกับสตอนี่มันของคู่กันจริง ๆ”
หญิงสาวยิ้มแฉ่ง มื้ออาหารดำเนินไปสักพัก เธอก็รินน้ำสองแก้ว สำหรับตัวเอง นายฟาร์มอีกแก้ว แล้วก็วางไว้เหมือนเดิม ซึ่งชายอีกคนก็ต้องลุกมารินเองเหมือนเดิม
“พี่เข้ น้ำ”
“อ้อ ขอบคุณ”
“ถ้าชอบ วันหลังบุ้งจะทำมาส่งทุกวันเลยดีไหม”
“ไม่ต้อง ๆ” เขาบอก เริ่มรู้สถานการณ์ “พี่ต้องขอบคุณกบที่พลอยเผื่อแผ่ลาภปากมาให้ น่าอิจฉา”
เธอเชิดหน้า “เออ ดีเนอะ ไม่ขอบคุณคนทำ ไปขอบคุณใครก็ไม่รู้ ทีหลังไม่เอามาให้แล้ว”
ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน พยายามจะดึงลูกน้องเข้าสู่บทสนทนาแต่ดูเหมือนหญิงสาวจะผลักออกไปทุกครั้ง ธรณิศอิ่มก่อนจึงลุกก่อน เขาหยิบจานตัวเองไปล้าง บัณฑิตากำลังละเลียดต่อ
เขมรัฐมองตามลูกน้องแล้วหันมาทางรุ่นน้องซึ่งทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
“อะไรวะไอ้บุ้ง อากาศมันร้อนจัดจนจำสามีไม่ได้หรือไงว่าคนไหน”
“ก็ไปถามสามีบ้างสิว่าลืมไปหรือเปล่าว่ามีภรรยาเป็นของตัวเองแล้ว”
โดนสวนทันควันทำเอาเข้ชะงักไปหลายวินาที
“อะไรวะ นี่มันยังไม่เลิกบ้าอีกเหรอ ก็แสดงว่า...”
หญิงสาวทำหน้าคว่ำแทนคำตอบ
เขมรัฐจุ๊ปาก “ไอ้บ้าเอ้ย ทำเสียของ”
พอหันมองคนร่วมโต๊ะซึ่งกำลังกินข้าวอย่างเซ็ง ๆ ผิดกับกริยากระตือรือล้นก่อนหน้าก็เข้าใจว่าเธอคงหงุดหงิดกับความคิดมากของธรณิศอยู่เหมือนกัน
“บอกมันไปเลยตรง ๆ พี่กบจ๋า บุ้งเป็นเมียพี่แล้วนะ ทำอะไรก็ทำเถอะ ขืนนานกว่านี้จะกลายเป็นฟอสซิลซะหมด”
คนฟังหลุดหัวเราะ
“หรือกลัวมันไม่รู้ว่าอะไรคือฟอสซิลก็พูดว่าหินปูน”
“พี่เข้!” เธอตีแขนเขา หน้าแดง “พอแล้ว”
“อะไรวะ นี่กำลังช่วยนะ กับกบน่ะไปเหนียม ๆ ใส่ไม่ได้กินหรอก”
“จะบ้าเหรอ บุ้งเป็นผู้หญิงนะ” เธอแหว เขายิ้มระรื่น
“ทีงี้ทำเป็นอาย แล้วใครมันนั่งต่อปากฉอด ๆ ตรงหน้าพี่เนี่ย“
หญิงสาวค้อน “บุ้งรู้น่า บุ้งก็กล้ากับพี่เข้เท่านั้นแหละ”
เขมรัฐขยับมาจ้องคนอ่อนวัยกว่า “บุ้ง ถามจริงเถอะ แกชอบกบตรงไหนวะ”
หญิงสาวหน้าแดงจัด ขวยอายจนไม่กล้าสบตาคนถาม ถึงจะถูกล่วงรู้ความในใจมานาน แต่เป็นครั้งแรกที่พี่ชายนอกสายเลือดถามตรง ๆ
เธอเคยถามตัวเองมาบ้างแล้ว แต่คำตอบไม่ชัดเจน ไม่มีอะไรมากไปกว่าก็แค่ชอบ ทั้งที่เขาไม่ใช่คนพูดเก่ง ไม่ใช่คนทำตลกให้คนอื่นหัวเราะ ออกจะนิ่งจนน่าอึดอัด แต่เธอก็ชอบเขา
อาจจะเป็นเพราะความหนักแน่น เขาดูเป็นผู้ชายที่มั่นคงนั่นกระมัง เพราะถ้าเปรียบชีวิตเธออยู่ท่ามกลางระลอกคลื่น เขาจะเป็นเรือลำใหญ่ที่ไม่หวาดหวั่นแม้พายุ
“ก็...ตรงที่ไม่มีอะไรเหมือนพี่เข้เลยไง”
เธอก้มหน้า ตักเข้ากินเป็นคำสุดท้ายแล้วรวบช้อน
เขมรัฐรู้ว่าใจของคนสองคนตรงกันอยู่แล้ว แค่รอว่าเมื่อไหร่จะเชื่อมกันก็เท่านั้นเอง...แต่อดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไรลูกน้องอายุวัยมากกว่าคนนี้ถึงได้คิดเล็กคิดน้อยไม่สมกับวัย ทุกอย่างน่าจะเคลียร์เหมือนน้ำใส แต่ใยจึงมีขุ่นตะกอนฟุ้งอีก
บัณฑิตาล้างจานเสร็จ เช็ดมือแล้วเดินกลับมา เห็นสายตาอยากรู้อยากเห็น
“อะไรอีกล่ะ”
ชายหนุ่มนั่งท้าวคาง จับจ้องดวงหน้าหญิงสาว “พี่กำลังสงสัยว่า กบมันเป็นอะไรขึ้นมาอีก ทำตัวเหมือนตุ่นตื่นเสียงดูหวาดระแวงสงวนท่าทีผิดปกติ”
อีกฝ่ายเป่าปาก นิ่วหน้า “ถ้าให้เดา ก็คืนงานแต่งที่พูดเข้พูดว่าบุ้งเสร็จ เอ้ย ตายเพราะกบนั่นแหละมั้ง สงสัยจะไปสะกิดต่อมอ่อนไหวคุณท่านเข้าไปอีก”
เขมรัฐยกคิ้ว นึก “พี่พูดเหรอ เออ แต่พี่ไม่ได้คิดอะไรนะ เมา ๆ มึน ๆ พูดเอามันไปงั้น”
“ไม่มีใครเขาคิดกันทั้งนั้นแหละ” บัณฑิตาพูดอย่างฉุน ๆ หยิบปิ่นโตใส่เถาด้วยกิริยากระแทกกระทั้น ชายหนุ่มถอนใจยาว
“เอาใจช่วยแล้วกัน แต่บอกไว้ก่อนนะ พี่ไม่เป็นพ่อสื่อเด็ดขาด ไม่รับทำคุณไสยเสน่หายาแฝด หงส์ร่อนมังกรรำอะไรทั้งนั้น...”
“เพราะพี่เสน่ห์แรงอยู่แล้ว”
บัณฑิตาแทรกอย่างรู้ทัน คนฟังหัวเราะชอบใจ
“ก็หนอนน่ารักแบบนี้ กบไม่หายตาฟางให้รู้ไปสิ”
ต่อค่ะ
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
2 มี.ค. 55 11:01:01
|
|
|
|