Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 4 ติดต่อทีมงาน

สำหรับตอนที่ 3 ที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11763148/W11763148.html

ขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่านนะครับ คุณ นวลน้ำผึ้ง, แก้วกังไส, Travel to the moon, เพชรรุ้งพราย, เรียวรุ้ง, Hermosa, นารีจำศีล, mimny, Setakan และคุณ wor_lek ครับผม

ติดตามล่องกัลปาลัยต่อได้เลยครับ

บทที่ 4


               ปีระกาแอบเบ้ปาก เมื่อมองร่างสูงหน้าเข้มของนายตำรวจคนนั้นเดินกลับออกไปแล้ว เกิดความรู้สึกหมั่นไส้เต็มประดา เขาชื่ออะไรนะ? ผู้กองคมจักรเหรอ? ทางที่ดีน่าจะเปลี่ยนเป็น “คมหอก”ล่ะไม่ว่า! ให้สมกับที่ดันมาเปลี่ยนชื่อเรื่องนิยาย กุหลาบอาเพศ อันแสนคลาสสิคของหล่อนให้กลายเป็น กุหลาบวิปริต นั่นแหละ ไม่รู้ว่าคิดได้ยังไงนะอีตาบ้า!


                 นึกแล้วยังเจ็บใจไม่หาย อยากจะยียวนตอบกลับไปให้สาแก่ใจจริงๆ ดีแต่ระงับอารมณ์เอาไว้ได้ทัน เพราะไม่อยากให้เขาสงสัยแล้วโยงไปถึงเรื่องธามขึ้นมาได้ หูตาอีตาคมหอกยิ่งแพรวพราวเป็นสับปะรดสมเป็นตำรวจนักสืบสวนอยู่ด้วยสิ


               อยากจะถอนใจอีกสักที เพราะอีตาคมหอกตัวดีนี่แหละ พูดแต่ละคำ ถามแต่ละที ทำเอาคนตอบเสียวสันหลังวาบๆ กลัวจะเผลอหลุดเรื่องธามออกมาเสียให้ได้ นี่ถ้าเกิดเขารู้ว่าหล่อนคุยกับ “ผี”ซะเอง จนเอาเขียนโม้เป็นนิยายได้ถึงห้าเล่ม ถ้าไม่คิดจับตัวส่งโรงพยาบาลบ้า ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว!


              โชคดีที่ผู้กองคมหอกไม่ซักฟอกเสียจนหล่อนจนมุมไปเสียก่อน แต่นั่นแหละ คิดๆแล้ว คนอย่างปีระกาซะอย่าง เรื่องแบบนี้เอาตัวรอดได้สบายอยู่แล้ว ในเมื่อหล่อนมีความสามารถในการโกหกเป็นไฟ และกลบเกลื่อนสีหน้าได้เก่งไม่แพ้ใคร นายผู้กองคมหอกคมจักรทื่อๆบื้อๆอย่างนั้น ไม่มีทางอ่านความคิดของหล่อนได้ออกหรอก นอกจากจะ “เก็ก”ฟอร์มท่า กอดอก ทำเป็นข่มขู่ผู้ต้องสงสัยไปยังงั้นเอง คงคิดว่า ปีระกาจะกลัวหงอ แล้วปากคอสั่นตอบทุกอย่างออกไปตรงๆอย่างนั้นล่ะสิ?


         เชอะ!


            แอบค้อนใส่ เจ้าของร่างสูงๆ ที่สตาร์ทรถลับสายตาออกไปแล้ว ปีระกาจึงยกมือแตะริมฝีปากแล้วส่งจูบอำลาทางหน้าต่างด้วยใบหน้าเยาะเย้ย


              หวังว่าอีตาผู้กองคมจักรคมหอกนั่นคงจะไม่กลับมาอีกแล้วนะ ก็เขาบอกเองว่าหมดเรื่องที่จะซักถามแล้ว หล่อนรีบหย่อนนามบัตรของนายตำรวจหน้าโหดนั่นทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ไยดี แล้วเดินนวยนาดกลับมานั่งที่หน้าโต๊ะวางคอมพิวเตอร์ตัวเดิมอีกรอบ


            “ธาม! อยู่ไหน ออกมาหาปีหน่อยสิ!!”


             คราวนี้ปีระกา แทบจะเปล่งเสียงร้องตะโกนเรียกจนลั่นไปทั้งห้อง


            “ธาม!”


               “ข้ามาแล้ว เรียกอยู่ได้ หูไม่ได้หนวกซะหน่อย”


             เสียงบ่นเหมือนตาแก่ดังขึ้นเบาๆข้างหู ทำทีคล้ายคนพูดเหนื่อยหน่ายกับเด็กสาวเจ้าอารมณ์คนนี้เสียเต็มทน


               “แล้วตกลงคุณกรรณิการ์ล่ะธาม มาด้วยหรือเปล่า?”


              หล่อนถามถึงแหล่งข้อมูลคนสำคัญโดยอัตโนมัติ กรรณิการ์ อาชาวีรชัย คือเหยื่อสาวรายสุดท้ายของคดีสังหารโหด “ล่าล้างตระกูล” ที่โด่งดังและยังปิดคดีไม่ได้นั่นเอง คดีนี้ทายาทสาวของตระกูลอาชาวีรชัยถึงสี่คน ต้องถูกสังหารโหดโดยหาฆาตกรลงมือและแรงจูงใจไม่ได้เลย ในเมื่อทั้งสี่คนคือทายาทที่เหลืออยู่ และทายาทคนสุดท้ายในตระกูลอาชาวีรชัยผู้นี้ก็คือคุณกรรณิการ์นั่นเอง


                 คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญที่เหยื่อสังหารเป็นสตรีสาวแสนโสภาทั้งสี่คน จึงถูกนำมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ของนวนิยายพิศวาสฆาตกรรม ที่กำลังโลดแล่นอยู่ในนิตยสาร ยอดเยาวมาลย์ขณะนี้ ในชื่อเรื่อง กุหลาบอาเพศ


             กุหลาบอันหมายถึงสตรีแสนโสภา และเป็นดอกกุหลาบที่นำความตายมาให้แก่สตรีเหล่านี้ไปพร้อมกัน ประหนึ่งเป็นลางบอกเหตุ ตรงตามกับที่ฆาตกรตัวจริงในคดีที่ยังปิดไม่ได้คดีนี้เกิดขึ้น


            “ไม่มาแล้วล่ะ”


                 “หา! ว่าไงนะ? แล้วปีจะเขียนต่อได้ยังไงล่ะ ยังเก็บข้อมูลได้ไม่หมดเลย ที่สำคัญ คุณกรรณิการ์ยังไม่ได้เล่าให้ปีฟังเลยว่าฆาตกรตัวจริงเป็นใคร”


             เนื้อเรื่องในกุหลาบอาเพศ ดำเนินเรื่องเริ่มต้นจากครอบครัวอาชาวีรชัย ซึ่งหล่อนสมมตินามสกุลและชื่อตัวละครขึ้นมาใหม่ไม่ให้ซ้ำกันแต่คนอ่านก็พอจะเดาได้อยู่ดี


               ครอบครัวในตระกูลใหญ่นี้ มีบรรพบุรุษเดินทางมาจากแผ่นดินจีนโพ้นทะเล โดยเริ่มต้นที่หลงจู๊เสียงหรือชื่อเดิมว่านายกิมเสียง แซ่เบ๊ อันหมายความถึงม้า ซึ่งเปลี่ยนเป็นอาชาวีรชัยในภายหลัง นายกิมเสียงเป็นผู้ก่อร่างสร้างตัวจนประสบความสำเร็จในธุรกิจส่งออกเกี่ยวกับผลิตผลการเกษตร และเจริญรุ่งเรืองมาตราบจนถึงปัจจุบัน ซึ่งหลงจู๊เสียงได้กลายเป็นผู้มีอิทธิพลและอำนาจมาก


            จากเดิมเป็นเพียงชายหนุ่มจีนโพ้นทะเลที่เข้ามาทำมาหากิน โดยเริ่มต้นจากการเป็นนายหน้ารับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนามาส่งเถ้าแก่โรงสีข้าว ชาวบ้านจึงเรียกนายกิมเสียงว่า หลงจู๊จนติดปาก แม้แต่เมื่อเขาริเริ่มขยายกิจการเป็นเจ้าของโรงสีเสียเอง แล้วพัฒนาขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นทำกิจการธุรกิจส่งออกในภายหลัง


             เมื่อเริ่มสูงวัยขึ้นจนบริหารกิจการเองไม่ไหว หลงจู๊ชราจึงส่งถ่ายโอนบทบาทอำนาจนี้ให้กับทายาทชายสองคน ทว่าน่าเสียดายที่บุตรชายทั้งสองอายุสั้น เสียชีวิตก่อนตัวเองที่มีอายุยืนยาวมาถึงเก้าสิบปีเศษ และทิ้งมรดกจำนวนมหาศาลเอาไว้ให้


               เนื่องจากตัวละครมีหลายชั้น หลายรุ่น และหล่อนก็ไม่คล่องนักกับสรรพนาม อาอี๊ อาก๋ง อากิ๋ม อาม้า ทั้งหลาย จึงต้องมีการซักถามเก็บข้อมูลจากคุณกรรณิการ์หลายรอบหลายหน กว่าจะเริ่มปูพื้นเพื่อเข้าสู่เรื่อง ยิ่งวิญญาณคุณกรรณิการ์เป็นถึงทายาทสาวคนโตของตระกูล เธอจึงมีความทรงจำต่างๆมากมาย แม้จะเสียชีวิตไปแล้วก็ยังอุตส่าห์จดจำมาเล่าได้ชนิด แทบจะต้องหาเทปมาอัดเสียงไว้ ถ้าทำได้!


       การฆาตกรรมครั้งแรกเริ่มต้นขึ้นภายหลังจากวันเปิดพินัยกรรมของตระกูล ภายหลังการเสียชีวิตของหลงจู๊เสียงครบหนึ่งร้อยวันพอดี เนื่องจากหลงจู๊เสียงมีทายาทชายสำคัญสองคน คือเสี่ยหนึ่ง และเสี่ยสอง แต่ทั้งคู่ต่างก็เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว เหลือเพียงธิดาคนโตคือคุณกรรณิการ์ ทายาทสาวโสดผู้เดียวของเสี่ยหนึ่ง และ ลูกสาวทั้งสามของเสี่ยสองคือ เบญจมาศ มัลลิกา และลัดดาวัลย์ตามลำดับ


             บุตรีทั้งสามต่างแต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว แต่ก็ยังอาศัยอยู่ภายในคฤหาสน์หลังงามของหลงจู๊เสียง และมีลูกเขยบางคนช่วยบริหารงานธุรกิจภายในครอบครัว อย่างที่เรียกว่า “กินกงสี” ด้วยนั่นเอง


            ฆาตกรรมแรกเกิดขึ้น เมื่อมีผู้พบศพของคุณลัดดาวัลย์ ภรรยาของนายแพทย์พารณเขยเล็ก นอนตายอย่างเป็นปริศนาอยู่ภายในอ่างอาบน้ำในห้องนอนส่วนตัวของเธอนั่นเอง


           สิ่งสำคัญที่น่าสงสัยก็คือ ข้างศพของลัดดาวัลย์มีดอกกุหลาบสีขาวลอยแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำด้วย!!


            “ใช่! ฉันเป็นคนไปพบศพของนังเง็กเองนั่นแหละ ใบหน้าบวมฉึ่งน่าเกลียดจริงๆ”


           กรรณิการ์เล่าอย่างใส่อารมณ์ไปด้วย หล่อนเรียกลัดดาวัลย์ว่าเง็ก หรือในความหมายว่า หยกตามชื่อจีนด้วยความเคยชิน ครอบครัวใหญ่ ที่ทายาทแต่ละคนถูกเลี้ยงมาอย่างเอาอกเอาใจ เป็นคุณหนูคนสำคัญของบ้าน จึงทำให้ต่างคนต่างรู้สึกว่าตัวเองต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ ไม่มีใครถูกกับใครสักคน แม้แต่สามสาวพี่น้องลูกเสี่ยสอง


              “แล้วคุณรู้ไหมว่าใครเป็นคนฆ่า”


               ปีระกาอดถามโพล่งออกไปไม่ได้ตามประสาคนใจร้อน  จากประเด็นที่เคยอ่านมาจากในหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ การสังหารเกิดขึ้นไล่ตามลำดับสามสาวพี่น้อง จนทุกคนคิดว่าน่าจะเป็นคุณกรรณิการ์ที่เธอได้รับส่วนมรดกมากที่สุดเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญที่สุดไปด้วย แต่น้ำเสียงของวิญญาณสาวใหญ่ผู้อารมณ์ขึ้นๆลงๆ กับตวาดใส่หล่อนเสียก่อน


               “อย่าเพิ่งถามได้รึเปล่ายะ นี่ถ้าฉันไม่เกรงใจเพื่อนของเธอ รับรองฉันไม่มานั่งหลังขดหลังแข็งเล่าเรื่องให้เธอฟังหรอกนะแม่ปรีชญา เอ๊ยปีระกา แถมเธอยังได้เงินจากการเอาเรื่องฉันไปเขียนอีกด้วยนี่นะ”


                ปีศาจสาวไม่วายทวงบุญคุณเสียอีก จนหล่อนต้องรีบรับปากว่าจะรีบทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ด้วย เพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายย้อนกลับมาโวยวายเพิ่มเติมให้หนวกหูอีก


          “ถ้างั้นก็ ฟังฉันเล่าต่อ รู้ไหมว่ายิ่งเล่าแล้วยิ่งแค้นใจเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่า...”


            เสียงคุณกรรณิการ์แผ่วไปเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ หล่อนเห็นสีแดงเพลิงเริงโรจน์ด้วยอารมณ์รุ่มร้อนผสมผสานด้วยสีดำอันแสดงถึงห้วงอารมณ์ลึกเร้นบางอย่าง อารมณ์ที่ปีระกาไม่สามารถอ่านได้ออก ก่อนที่สักเพียงครู่เดียวเจ้าตัวจะหันกลับมาแว้ดใส่เหมือนเดิมอีกครั้ง


          “เอาเป็นว่า ให้ฟังฉันเล่าอย่างเดียว แล้วห้ามขัดคอ ห้ามถามจู้จี้อีกได้มั๊ย? ฉันไม่ชอบ รู้ไว้ซะ!”


             หล่อนต้องรีบกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกใหญ่ ตามใจวิญญาณคุณกรรณิการ์ที่เจ้าอารมณ์เหลือขนาด ทั้งๆที่ภาพลักษณ์ที่เคยเห็นในจอโทรทัศน์ สาวใหญ่ผู้นี้คือนักธุรกิจผู้สุขุมนุ่มนวลและเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว


              แต่นี่คือหลังฉากคุณกรรณิการ์จริงๆ แม้จะเหนื่อยใจไม่น้อย แต่ปีระกาก็ต้องยอมทน ด้วยความอยากจะรู้เต็มที่ว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด!


               แต่แล้ว... คน เอ๊ย! วิญญาณที่เล่าเรื่องมาตลอดโดยไม่ยอมเฉลยตอนจบ ก็ดันหายตัวไปเรียบร้อย ปล่อยเรื่องที่กำลังเขียนถึงไคลแมกซ์ให้ค้างคาอยู่เช่นนั้น!


                 “แล้วฉันจะทำไงดีล่ะธาม ตายแน่ๆ!”


                เสียงธามตอบกลับมาหนักแน่น เอาจริงเอาจังผิดไปจากเดิม


             “ใช่แล้ว ปีระกา คราวนี้เจ้าตายแน่ แต่ไม่ใช่จาก ท่าน บอกอ บอหอ อะไรนั่นหรอกนะ”


              ธามพูดทิ้งท้ายอย่างเป็นปริศนา


              “หมายความว่าไง ฮึ ธาม?”


             คราวนี้ปีระกาเป็นฝ่ายมึนงงกับคำตอบที่กำกวมของธามเสียเอง


              “คุณกรรณิการ์ต้องไปตามเส้นทางของเธอแล้ว มันถูกลิขิตมาให้อยู่ในโลกของสัมภเวสีได้เพียงเท่านี้ แค่ข้าพาดวงวิญญาณของหล่อนมาเล่าให้เจ้าฟัง ก็ละเมิดกฎนั้นมามากพอแล้ว เอาเป็นว่าตอนนี้ ฆาตกรก็กำลังพุ่งเป้ามาที่เจ้าด้วยนั่นแหละ ปีระกา!”


               “เฮ้ย... ไม่นะ”


               เผลอหลุดปากโวยวายออกมาด้วยความตระหนก แม้จะคุ้นเคยกับการเขียนนิยายสยองขวัญ ชนิดฆาตกรรมเลือดสาดกระจุยกระจายมาก่อน แต่ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าที่หล่อนนำมาจินตนาการปะติดปะต่อเอง โดยไม่เคยเห็นภาพจริงๆเลยสักที แต่สำหรับคำพูดของธาม ทำให้ปีระกาหน้าซีดเหลือสักนิ้วเดียว ยิ่งพลังของจินตนาการตัวดี นั่นยิ่งแล้วใหญ่ ช่วยทำให้นึกภาพตัวเองกำลังถูกฆาตกรใจโหดที่ฆ่าหญิงสาวไปแล้วถึงสี่คนก่อนหน้านี้ กำลังวิ่งไล่ฆ่าตัวหล่อนเองเป็นศพที่ห้า!


             หน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์สั่นไหวด้วยคลื่นบางอย่างเป็นเส้นหงิกงอเหมือนมีสัญญาณจากภายนอกแทรกเข้ามา กระนั้นเสียงธามยังเตือนอยู่ช้าๆเหมือนเขาเองก็มิได้วิตกอะไรนัก


              “ยังไม่ต้องห่วงหรอก ข้ารู้ว่ามันจะยังไม่ลงมืออะไร เจ้ายังมีเวลาที่จะหนี...”


              “หนี? ว่าไงนะ?”


              หล่อนยิ่งร้องอุทานเสียงหลง


              “ใช่แล้ว หนีไปซะ จากที่นี่ ยังมีเวลาพอ”


               “เวลาบ้าอะไรล่ะธาม นายก็พูดได้น่ะสิ เพราะไม่ต้องมาถูกตามฆ่าอย่างปีนี่”


             เสียงธามเงียบไป


             “แล้วนายรู้ไหมว่ามันเป็นใคร?”


          “ข้าไม่รู้”


          คำตอบนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยสักนิดเดียว ปีระกาหันรีหันขวางรอบตัว


           “แล้วถ้ามันเกิดจะตามฆ่าปีขึ้นมาล่ะ ตำรวจ? ใช่แล้ว”


          คราวนี้นักเขียนสาวรีบก้มลงไปควานหานามบัตรของนายตำรวจหนุ่มที่แอบเกลียดขี้หน้าอยู่ อย่างเอาเป็นเอาตายในถังขยะ


              “ไม่มีประโยชน์หรอกปีระกา ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำ ก็คือต้องรีบหาที่ซ่อนตัว... รีบไปจากที่นี่เสียก่อน!”


           “แล้วจะให้หนีไปไหนล่ะ เวรจริงๆน่ะนี่?”


            หล่อนนึกในใจด้วยความมืดมน...


             ก่อนที่เหตุการณ์สำคัญไม่คาดฝัน ก็เกิดขึ้นในชีวิตของหล่อน และธาม ในเวลาต่อมา เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิต!

*******************


            ปางงิ้วดำ!


              ชลธรเปิดหน้าต่าง ให้ลมลอดผ่านกระจกรถเข้ามา ค่อยรวบผมยาวสลวยให้อยู่ในอุ้งมือแล้วทอดสายตามองถนนโรยกรวดข้างทางผ่านแนวป่ารกครึ้มเขียวขจีของผืนป่าชายแดนตะวันตกแห่งนี้


              มันเป็นถนนลูกรังขรุขระที่ส่งผลให้พาหนะคันงามเคลื่อนตัวไปอย่างทุลักทุเลตลอดเส้นทางยาวนาน จนคนนั่งต้องพยายามนับชั่วโมงที่ผ่านมาเข้ามาจากถนนใหญ่สายหลักจนอ่อนอกอ่อนใจ แสงแดดอ่อนๆทอแสงลอดผ่านแนวพุ่มไม้หนาทึบรอบด้านอย่างเจือจางเต็มทีจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากสีเขียวรกทึบตลอดเส้นทางแสนกันดารเส้นนี้ และการนั่งหัวสั่นหัวคลอนก็แทบจะทำให้เกือบอาเจียนออกมาหลายหน


                   หญิงสาวเอนหลังลงพิงพนักเบาะกลั้นอาการคลื่นเหียนสุดระงับ  ตอนแรกเมื่อเพื่อนสาวมาชวนไปเที่ยวด้วยกัน นึกแล้วมันก็น่าสนุกอยู่ไม่หยอก แต่เมื่อเจอเส้นทางวกวนไปมาระหว่างแนวเขาอย่างนี้ก็ทำเอาเมารถไม่เป็นท่าเหมือนกัน หล่อนเผลอมองหน้าคนขับตัวดีที่หัวเราะร่วนด้วยความหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย อีกฝ่ายกุมพวงมาลัยไว้หลวมๆระหว่างการขับรถเหมือนเส้นทางราดยางอย่างดี ระหว่างเหลือบมองใบหน้าซีดขาวของเพื่อนสาวคนสนิท


               “นี่แกเต็มใจจะมารึเปล่ายะยายชล? ทำหน้ายังกะจะถูกพาไปขังคุก ทั้งที่แกเป็นคนเสนอตัวมากับฉันเองนะ ห้ามปฏิเสธ”


                 ปีระกาแซวเพื่อนเมื่อเห็นชลธรทำหน้าทั้งเซ็งทั้งเมารถไปพร้อมกัน


              “กำลังนึกอยู่เหมือนกันนะยายปี สงสัยว่าฉันจะคิดผิดจริงๆด้วย”


                “เอาน่าอย่ามาทำเป็นโอดครวญ ไหนๆก็มาเป็นเพื่อนกันแล้ว ก็ถือว่าไปเที่ยวอยู่ด้วยกันสักพัก อย่างที่บอกไงล่ะ ว่ามาพักผ่อนหลังจากทำงานอยู่ในป่าคอนกรีตมาหลายเดือนจนเบื่อสังคมมนุษย์ไปแล้ว คราวนี้รับรองว่าน่าสนใจกว่าเดิมแน่ๆ”


               ชลธรทำงานเป็นพนักงานในบริษัทแห่งหนึ่ง วันๆอยู่แต่ในห้องแอร์สี่เหลี่ยม คอยรับคำสั่งจากบอสเจ้าอารมณ์ที่เหมือนคนเก็บกดอยู่เป็นนิจ จนเจ้าตัวบ่นจะลาออกอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่กล้าลาออกเสียที เพราะยังหางานที่เหมาะสมไม่ได้ หญิงสาวแสนสวยและอ่อนหวานมีความฝันว่าจะอยากจะทำงานอิสระไม่ต้องขึ้นกับใคร และความหวังสำคัญก็คือจะได้มีโอกาสพบผู้ชายดีๆสักคน ขอให้เป็นเจ้าชายผู้งามสง่า และพาออกไปจากวังวนของออฟฟิสที่น่าเบื่อหน่ายแห่งนี้


           ใครก็ได้ที่ไม่ใช่พนักงานในบริษัทของตัวหล่อนเอง ซึ่งถ้าไม่ใช่หนุ่มใหญ่ที่มีเมียแล้ว ก็มักจะเป็นชายชอบฉวยโอกาสที่ไม่ตรงเสป็คหล่อนเอาเสียเลย ดังนั้นในโอกาสนี้เมื่อปีระกาชักชวนให้มาเที่ยวพักสมองด้วยกัน ชลธรก็เลยไม่ปฏิเสธ


               “ก็หวังว่างั้นแหละนะ ว่าแต่แกเถอะ ไม่คิดจะเปิดแผนที่ดูอีกแล้วเหรอ ไหนว่าเพิ่งมาครั้งแรกเหมือนกันไง เดี๋ยวก็หลงอยู่ในป่าต้นงิ้วอะไรนี่หรอก ยังไม่อยากปีนต้นงิ้วหาทางออกนะ”


             “บ้าสิ! ปางงิ้วดำย่ะ ไม่ใช่ป่างิ้วซะหน่อยพูดซะเสียหมดเลย! เอ... ดูเส้นทางมันก็มีเส้นเดียวอย่างงี้แล้ว คงไม่ต้องเปิดแผนที่อะไรอีกแล้วล่ะ ฉันว่าอีกไม่น่าจะไกลแล้วล่ะนะ”


              หล่อนตัดสินใจชวนยายชลภายหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเหตุการณ์สำคัญสองอย่างเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน


            เริ่มตั้งแต่การหายไปอย่างกะทันหันของดวงวิญญาณคุณกรรณิการ์แหล่งข่าวสำคัญ ที่ธามมาเตือน อาจจะเป็นด้วยกระแสน้ำเสียงห่วงใยผิดไปจากเดิมของเขา ทำให้คิดว่า งานนี้คงไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกต่อไปแล้ว หญิงสาวคิดว่าจะกลับไปอยู่บ้านกับมารดาสักพัก ทั้งเพื่อหลบซ่อนตัวและพักสมองไปพร้อมกัน ตั้งใจว่าจะโทรฯบอกพี่เต๋อีกที เพราะตุนต้นฉบับ “กุหลาบอาเพศ” เผื่อเอาไว้หลายตอนอยู่เหมือนกัน ก่อนที่ “คลังข้อมูล”จะหนีจากไปดื้อๆ


            แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ได้รับข่าวไม่คาดฝัน เมื่อคุณบุษกร ส่งซองเอกสารฉบับหนึ่งมาให้


              “ลูกปี... เรามีเรื่องต้องคุยกัน”


            น้ำเสียงมารดาจริงจังเสียจนหล่อนต้องนิ่งฟัง แม่ไม่เคยมีท่าทาง เท่าที่พอจำความได้“ซีเรียส”แบบนี้มาก่อน


             “จดหมายจากทนายความของคุณย่าทวด”


                “คุณย่าทวด?”


              นั่นเป็นชื่อแรกที่หล่อนเพิ่งเคยได้ยิน เพิ่งรู้ว่าในครอบครัวจะมีคุณทวดกับเขาด้วย หญิงสาวหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมาดูแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว


            “นี่มันเป็นจดหมายพินัยกรรมนี่คะแม่...”


              คุณบุษกรพยักหน้ารับ ด้วยสีหน้าที่ปั้นยากเต็มที และสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือเรื่องราวเหลือเชื่อที่ปีระกาคิดว่าหล่อนฝันไปมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง


          และที่สำคัญมันคือสาเหตุที่ทำให้หล่อนต้องเดินทางมาที่นี่ สถานที่ที่ไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อเสียงของมันมาก่อนในชีวิต


              หมู่บ้านปางงิ้วดำ!!

             **************************


            “ปางงิ้วดำ?”


            ชลธรอุทานอย่างประหลาดใจ เมื่อปีระกาโทรศัพท์มาชวนหล่อนเอาดื้อๆ


               “เป็นชื่อตำบลที่เราจะไปกันน่ะแหละ แต่เรื่องราวที่จะเล่ามันอาจจะฟังดูประหลาดหน่อยนะยายชล แกอยากฟังมั๊ยล่ะ?”


             “ว่ามาสิ”


           หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ชลธรจำต้องตอบตกลง เพราะถูกชักชวนแกมบังคับตามสไตล์ของปีระกา หล่อนเอ่ยถึงจังหวัดชายแดนแห่งหนึ่งทางภาคตะวันตก ดินแดนที่ยังเต็มไปด้วยพื้นที่ป่าไม้ธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์มากมาย และสิ่งสำคัญที่หล่อนเล่าให้ฟัง ก็ทำให้ชลธรสนใจอยู่ไม่น้อย เมื่อรู้ว่า บ้านที่หญิงสาวกำลังจะเดินทางไป เป็นบ้านที่ได้รับมรดกตกทอดมาโดยบังเอิญที่สุด...


                 ที่มีชื่อแปลกๆว่าทับสนธยา!!


           “คำว่าทับ ก็มีความหมายเหมือนกับเรือนหรือที่พักนั่นแหละ จัดว่าเป็นบ้านของคุณทวดฉันเอง จู่ๆท่านก็เขียนพินัยกรรมยกมอบมรดกบ้านมาให้ทั้งหลัง”


               ชลธรหัวเราะขัน


            “สมบัติเจ้าคุณปู่งั้นสิ ไม่ยักรู้ว่าเธอก็มีสมบัติร้อยล้านกะเขาด้วยนะนี่”


              “ไม่ช่าย...”


              คนพูดรีบปฏิเสธ


                 “คิดว่ามันก็อีแค่บ้านหลังเดียวเท่านั้นแหละ ฉันกับแม่ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าจะมีอย่างอื่นอยู่อีกหรือเปล่า ก็นอกจากจดหมายฉบับเดียวที่ให้เราไปติดต่อเท่านั้น”


              “แล้วคุณย่าทวดอะไรนี่ก็ไม่มีทายาทอื่นเลยงั้นสิ ก็เลยเลือกเธอให้มารับมรดกแทน ยายปีระกา?”


                 ชลธรอดหัวเราะขันไม่ได้ เรื่องราวมันนิยายน้ำเน่าประเภทละครหลังข่าวชัดๆ เสียแต่พอนึกเป็นหน้าของยายปีรับบทนางเอกแล้ว มันอดนึกว่าเป็นเรื่องคอมเมดีไปไม่ได้เสียด้วย คนขับหันมาถลึงตาใส่ทันที เมื่ออ่านความหมายของชลธรออก


                 “อย่ามาหัวเราะเชียวนะยะยายชล เรื่องนี้ซีเรียส! ไม่งั้นท่านคงไม่ยกบ้านหลังนี้ให้หรอก แต่ฉันว่าสนใจที่ดินมากกว่านะ ป่านนี้ทับสนธยาอะไรนั่นก็คงจะผุพังไปไม่ใช่น้อยแล้วล่ะ แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเก่าแก่แค่ไหน ลำพังเราคงไม่มีปัญญาจะไปบูรณะอะไรหรอก นี่ก็กะว่ามาติดต่อแล้วก็พักผ่อนกินบรรยากาศชนบทสักอาทิตย์นึงก็พอ”


               “กินบรรยากาศเหรอ มันไม่ใช่ชนบทน่ะสิยายปี ฉันว่ามันกลางป่าดงดิบเลยมั๊งน่ะ”


                ชลธรคอย่น มองบรรยากาศรอบด้านที่ตรงข้ามกับที่หล่อนคิดตั้งแต่แรกอยู่ไม่น้อย เมื่อรับคำชวนครั้งแรก ก็คิดเพียงว่าเป็นบ้านที่อยู่ในเขตตัวเมืองต่างจังหวัด ที่มีบรรยากาศท้องทุ่งหรืออย่างมากก็แถบอุทยานที่มีภูเขาลำเนาไพรแสนสวย ไม่ใช่กลางป่าติดชายแดนอย่างนี้


                แล้วอย่างนี้จะมีโอกาสเจอโคบาลหนุ่มโสดในฝัน หรือเจ้าของไร่สุดเท่ ที่ขี่ม้าขาวชมไร่เหมือนในนิยายโรแมนติคที่เคยอ่านไหมนี่?


                  ปีระกาตอบเสียงอ่อยๆ


              “เอาน่า... นึกว่ามาเป็นเพื่อนกันสักหน่อย ฉันก็กะว่ามาดูให้เห็นกับตา แล้วอาจจะประกาศขายทางอินเทอร์เนตอีกที”


            ชลธรจึงจำพยักหน้ารับ ยังจำเรื่องที่ยายปีมาเล่าให้ฟังได้ดี ฟังครั้งแรกหล่อนยังนึกขัน แต่ไม่กล้าหัวเราะออกมาเท่านั้น


               เมื่อครอบครัวของปีระกาได้รับจดหมายที่มีผู้ติดต่อมาเป็นเพียงทนายความผู้รับช่วงต่อมา เท่านั้นเอง เขาไม่ได้บอกอะไรเลยด้วยซ้ำ นอกจากให้เดินทางมาพบกันที่นั่น เพื่อลงนามเจรจาในสัญญารับมอบ และคุณบุษกรก็เลยให้ปีระกาเป็นผู้ตัดสินใจดำเนินการต่อไปภายหลังจากนั้นโดยชอบธรรม


              “มากับหนูชลน่ะดีแล้ว แม่กลัวจะเดินทางไปไม่ไหวน่ะสิ ช่วงนี้โรคเบาหวานของแม่กำเริบอยู่ด้วย ยังไงก็รีบติดต่อกลับมาด้วยแล้วกันนะ”


               คุณบุษกรตัดสินใจให้ทันที เมื่อรู้ว่าชลธรจะร่วมทางไปด้วยกับปีระกา


                 หญิงสาวหยุดสนทนาไปชั่วขณะ เมื่อรถเก๋งญี่ปุ่นของปีระกาค่อยๆ ตีวงโค้งจากยอดเนินเล็กๆที่ไต่ขึ้นมาจนสุดปลายเนินแล้วหักข้อศอกอ้อมวนรอบแนวป่าโปร่งประดุจวงเวียนธรรมชาติ เพื่อทะลุออกไปสู่ลานหญ้าเรียบขจีขนาดใหญ่สุดสายตา


                 ทันทีเมื่อภาพเบื้องหน้าปรากฏ ทั้งหล่อนและชลธรถึงแทบจะลืมหายใจ ฉากม่านเขียวขจีของร่มไม้ใหญ่รอบด้านค่อยเผยกว้างออกจากกัน จนมองเห็นอาคารหลังหนึ่งตั้งโดดเด่นในระดับสายตา สีขาวนวลของเนื้อหินกระจ่างจ้าเมื่อกระทบกับแสงสะท้อนของดวงตะวันยามบ่าย


              หล่อนมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ในบัดนี้


               นี่เอง...ทับสนธยา!

                 ************************

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 55 13:14:11




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com