Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องสั้น...สั้น :เสียงสวรรค์ ติดต่อทีมงาน

เป็นเรื่องสั้นคั่นเวลาที่แต่งขึ้นเมื่อช่วงเวลาพักเที่ยงที่ผ่านมา ขอความกรุณาช่วยวิจารณ์ด้วยนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะลูกสาว


================
เรื่องสั้น...สั้น :เสียงสวรรค์
================


ผืนป่ารกชัฏเริ่มมืดลงทุกขณะ ราตรีกาลอันน่าสะพรึงแทรกซึมคืบคลานเข้ามาโดยรอบทุกทิศทาง ชายนักเดินทางเนื้อตัวมอมแมมเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นเพื่อให้พ้นป่าทึบทึมออกไปเสียที เขายากจะยอมรับว่าตนนั้นหลงทาง นักท่องไพรที่หลงใหลในการสำรวจดินแดนเขียวขจีมาจวบจนครึ่งค่อนชีวิตอย่างเขาจะพลาดท่าหลงป่าได้อย่างไรกัน?


ชายกลางคนก้มลงมองแป้นเข็มทิศในมือ เขาแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นว่าเข็มของมันนั้นหมุนวนไม่หยุดนิ่ง ดวงตาสิ้นหวังนั้นแหงนเงยมองผืนฟ้าที่เห็นเพียงแสงสลัวรำไรซึ่งรอดพ้นใบไม้หนาทึบ ความมืดปกคลุมมากขึ้นทุกทีและรัตติกาลนี้เขาคงต้องซุกตัวอยู่ที่ซอกหลืบใดเพื่อให้พ้นภัยจากสัตว์ร้ายยามค่ำคืนอีกหน


ร่างใหญ่ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นเฉอะแฉะ ชายหลงป่าควานหาสัมภาระจากกระเป๋าเป้สะพายหลัง ทั้งไฟแช็คและไฟฉายนั้นเสียหายทั้งหมดจากสายฝนที่กระหน่ำเทลงมาเมื่อหลายชั่วโมงก่อน อาหารประทังชีวิตนั้นไม่เหลือหลอตั้งแต่เมื่อช่วงสายของวัน เพราะนี่คือคืนที่สามที่เขารอนแรมอยู่ในที่แห่งนี้ มือกร้านยกกระบอกน้ำขึ้นดื่มแต่ทว่าความกระหายไม่อาจถูกชะล้างให้จางลงไปได้ด้วยน้ำเพียงไม่กี่หยด เขาขว้างกระบอกพลาสติกออกไปจนสุดแรงด้วยความเดือดดาล


“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันโว้ย! “ ชายกลางคนสบถอย่างหัวเสีย พลันหางตาก็เห็นบางสิ่งที่ทำให้เขาหนาวยะเยือกจับขั้วหัวใจ


ผู้หลงทางหันกลับไปมองจนเต็มตา ภาพที่เขาเห็นแทบทำให้ก้อนเนื้อที่กลางอกนั้นหยุดเต้น ร่างทะมึนภายใต้ผ้าคลุมสีดำสนิทยืนตระหง่านอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ไม่ห่างจากชายนักเดินทางมากนัก ดวงตาเรืองแสงสีแดงฉานดุจไฟจากนรกโลกันต์จ้องเขาเขม็ง ริมฝีปากแสยะยิ้มเย้ยหยัน สิ่งที่เห็นชัดตานั้นไม่ใช่มนุษย์เป็นแน่แท้


ร่างหนาตะกายหนีลนลาน สองขาที่เมื่อยล้านั้นกลับฝืนเรี่ยวแรงอีกครั้ง เขาต้องหนี หนีให้พ้นความตายที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ ชายกลางคนวิ่งด้วยพละกำลังทั้งหมดของชีวิต แต่แม้นเขาจะวิ่งเร็วสักเพียงใดหากแต่เหลียวกลับมาครั้งไหนร่างปีศาจร้ายนั้นก็กลับไม่ห่างไปกว่าเดิม


ร่างใหญ่หมดแรงล้มคว่ำลงกับพื้นที่กองสุมด้วยเศษซากใบไม้ที่เปื่อยยุ่ย ลมหายใจกระเส่าราวจะขาดห้วง ริมฝีปากหนาพึมพำร้องขอชีวิต เขายังไม่อยากตาย ยังไม่พร้อมยอมรับ ยังไม่ได้เตรียมใจในสิ่งนั้น


สายลมแรงวูบหนึ่งกรรโชกเข้าปะทะแผ่นหลังที่ชุ่มชื้นทั้งน้ำฝนและหยาดเหงื่อ ความเย็นจัดเรียกสติที่กำลังจะหลุดลอยของเขาให้ฟื้นคืน


“เชื่อมั่นในข้า ข้าคือผู้นำสาส์นจากพระเจ้า” เสียงแว่วแผ่วพลิ้วดังอยู่ที่ข้างหู “จงศรัทธาและเชื่อมั่นโดยไร้ข้อกังขาแล้วพระเจ้าจะคุ้มครองเจ้าเอง” เสียงนั้นย้ำ


และก็ราวกับมีปาฏิหาริย์ ร่างกายที่อ่อนล้าของเขากลับเหมือนมีพลังแห่งชีวิตอีกครั้ง ชายนักเดินทางผุดลุกขึ้นนั่ง เขาเหลียวหาร่างของมัจจุราชร้ายซึ่งติดตามเขามาแต่กลับไม่พบ เขาพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหยัดตัวยืนขึ้นเพื่อปีนเถาวัลย์แห้งหนาขึ้นไปพักบนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง


“ข้างบนนั้นอันตรายเจ้าจงอย่าปีนขึ้นไป” เสียงกระซิบดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ชายหลงทางชะงักค้างก่อนจะแหงนคอตั้งบ่าแล้วก็ปรากฏแสงสีแดงราวกับเปลวเพลิงจ้องมองมาที่เขา ชายสูงวัยปล่อยมือทันทีแล้วร่างทั้งร่างก็ร่วงหล่นลงกระทบพื้นเบื้องล่าง แต่ด้วยการทับถมที่แน่นหนาของเศษใบไม้ร่างกายของเขาจึงไม่ได้บอบช้ำเสียเท่าไร


“เกือบไปแล้วไหมล่ะ เกือบไปแล้ว” ชายนักเดินทางหอบหายใจจากอาการใจเต้นรัว


เขาหยัดตัวยืนขึ้นอีกครั้งแล้วพลันความเจ็บปวดจากปลายเท้าก็แล่นขึ้นจนชาทั้งร่าง เขาเหลียวมองที่ยอดไม้สูงนั้นอีกครั้งแต่นั่นหาใช่เป็นอสรพิษร้ายแต่กลับกลายเป็นอสูรกายใต้ผ้าคลุมสีดำต่างหาก ชายหลงทางสะดุ้งสุดตัวจากนั้นจึงฝืนพาร่างกายที่บาดเจ็บเดินกะปลกกะเปลี้ยให้ห่างจากจุดเดิมโดยเร็วรี่


ร่างใหญ่ซวนเซล้มคะมำเพราะสะดุดกับรากไม้ในความมืดหลายต่อหลายหน หากแต่เสียงกระซิบที่ดังให้รับรู้เป็นระยะๆ กลับทำให้เขานั้นก้าวเดินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ สุ้มเสียงอารีที่ได้สดับฟังเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจที่กำลังเหี่ยวแห้งให้กลับเจริญงอกงาม เขาเชื่อมั่น เขาศรัทธา และเขาจะต้องได้รับความเมตตาตามที่ผู้นำสาส์นบอกกล่าว


ชายหลงทางเดินตามเส้นทางที่ถูกชี้นำตลอดค่ำคืนจนกระทั่งรุ่งสางเขาจึงหลุดพ้นออกมาจากผืนป่ารกทึบ และภาพงดงามที่ปรากฏตรงหน้าคือลำธารใสเย็นที่สะท้อนแสงระยิบระยับของแดดเช้า ชายนักเดินทางคุกเข่าลงกับพื้นกรวดคู้ตัวคำนับกับลมฟ้าหลายต่อหลายหน หยาดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติหลั่งรินไม่ขาดสาย เขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่คุ้มครองและส่งผู้นำทางมาให้แด่เขา


“ตุ้บ! “ ปลาตัวเขื่องกระโจนออกมาจากสายน้ำและตกอยู่บนพื้นตรงหน้า
ชายที่ร่างกายอ่อนระโหยจากการขาดอาหารและน้ำมาเป็นเวลานานจ้องมองเจ้าปลานั้นด้วยดวงตาเป็นประกายแห่งความหวังว่าจะรอดชีวิต เขาตะครุบมันที่ยังคงดิ้นเร่าไว้ทั้งสองมือ


“เจ้าปลานั่นยังมีชีวิต ละเว้นมันเสียเถอะ” เสียงจากผู้นำสาส์นดังขึ้นอีกครั้ง


“แต่ว่า...” ชายนักเดินทางอุทธรณ์จากลำคอที่แห้งผากจวนเจียนเป็นผุยผง


“เชื่อข้า เจ้าต้องพิสูจน์ศรัทธาที่เจ้ามีแล้วพระเจ้าจะคุ้มครองเจ้า” เสียงกระซิบสั่งความ


ชายหลงทางจับปลาใหญ่ที่ยังหายใจพะงาบๆ ไว้มั่น ก่อนจะพาร่างที่แทบจะทรงตัวไม่อยู่ลุยลงลำธารเพื่อปล่อยให้สิ่งที่เกือบจะตกเป็นอาหารประทังความหิวโหยของเขาแหวกว่ายสู่สายน้ำอีกครั้ง


“ดีมาก นี่คือบททดสอบความศรัทธาที่เจ้ามีต่อพระผู้เป็นเจ้าและเจ้าก็ทำได้” เสียงกระซิบเอ่ยชม


ชายนักเดินทางฝืนยิ้มอย่างฝืดเฝือ พยายามปัดเป่าความขุ่นข้องหมองใจให้หมดไปจากห้วงความคิดด้วยเกรงจะล่วงรู้ถึงผู้เป็นใหญ่ เขาก้มตัวลงหมายจะดื่มกินสายน้ำที่ไหลเอื่อยเพื่อชำระล้างความกระหาย แต่เพียงแค่ความชุ่มชื้นนั้นสัมผัสริมฝีปากเสียงที่เคยได้ยินเพียงแผ่วๆ ก็ดังลั่น


“หยุดนะ! เจ้ากำลังไม่เชื่อมั่นในพระเจ้า! ” เสียงที่ไร้ตัวตนนั้นเอ็ดอึง


“แต่ผมกำลังจะตายหากไม่ได้ดื่มน้ำและกินอาหาร” ชายหลงทางร้องประท้วง


“ความเชื่อมั่นจะทำให้เจ้ารอด แต่หากเจ้าละทิ้งและพ่ายแพ้ต่อความอยากในตัว พระองค์จะหันหลังให้กับเจ้า”


“ทำไมพระองค์จึงต้องทรมานผมขนาดนี้? นี่ผมยังพิสูจน์ความศรัทธาที่มีไม่เพียงพออีกหรือ? “ ชายผู้สิ้นหวังถามอย่างเคลือบแคลง


“ความสำเร็จไม่อาจได้มาโดยง่าย เจ้าต้องพยายาม เจ้าต้องเชื่อข้า” เสียงที่ดังก้องนั้นเสียดแทง


ยังไม่ทันที่ชายนักเดินทางจะโต้เถียงใดๆ อีก พลันความเย็นยะเยือกก็บังเกิดจนเขาหนาวสั่นไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย ขนอ่อนที่ต้นคอนั้นลุกชัน และเมื่อเหลียวหลังก็พบกับร่างทะมึนที่ห่อหุ้มด้วยผ้าคลุมสีดำสนิทยืนตระหง่านอยู่ไม่ห่างนัก


ชายหลงทางตาลีตาเหลือกจ้ำพรวดๆ ให้พ้นจากสายน้ำ เขาหยิบฉวยท่อนไม้ขนาดเหมาะมือมาค้ำยันร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงให้ยังคงตั้งตรงและเยื้องย่างต่อไปได้ ความตายกำลังจับจ้องเขาอยู่ พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยให้เขารอดพ้นจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังเผชิญอยู่ได้


“ผมเชื่อมั่นในพระองค์ ผมศรัทธาในพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดคุ้มครองผมด้วย” เขาพึมพำอ้อนวอนทั้งน้ำตาแห่งความหวาดหวั่นที่ไหลพราก


พระอาทิตย์ร้อนแรงสาดแสงจ้าส่องอยู่เหนือศีรษะของชายนักเดินทางที่อ่อนล้า ดวงตาเหม่อลอยแห้งแล้ง ริมฝีปากแตกระแหงลอกเป็นแผ่น ฝ่ามือกร้านทั้งสองข้างที่กำท่อนไม้พยุงร่างของตนไว้นั้นสั่นระริก สองเท้าที่ก้าวเดินหนักอึ้งจนแทบยกขึ้นไม่ไหว เขาเดินทางลัดเลาะตามสายน้ำนี้โดยปราศจากอาหารและน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตมานานเท่าใดแล้วก็ไม่อาจรู้ เขาสืบเท้าไปข้างหน้าได้อีกเพียงก้าวเดียวร่างใหญ่ของตนก็ล้มลงกระแทกกับพื้นกรวดที่ทอดยาวราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด


ชายนักเดินทางนอนหายใจรวยระริน


“ท่านผู้นำสาส์นท่านอยู่ที่ใด? พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทอดทิ้งผมแล้วหรือ? “ ชายผู้รับรู้ถึงวาระสุดท้ายของตนพร่ำรำพันอย่างระทดท้อ “นี่ผมยังมีศรัทธาไม่เพียงพออีกหรือไร? “ เขาปรือตาปิดลงอย่างอ่อนล้า ปล่อยชีวิตให้ถูกปลิดไปโดยดุษฎี หมดสิ้นแล้วซึ่งความหวังทั้งปวง...


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ชายนักเดินทางรู้สึกถึงแรงฉุดมหาศาลที่ดึงให้เขาหยัดยืนลุกขึ้น เขายังคงมึนงงจึงได้แต่เหลียวมองไปรอบกาย สายตาของเขาพบกับร่างหนาใหญ่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำแห่งรัตติกาลที่ยืนอยู่ด้านข้าง หากแต่ในคราวนี้เขากลับไม่รู้สึกถึงความน่าสะพรึงที่เคยกระตุ้นเร้าให้หลีกหนีอีกต่อไป ลำแสงสีทองสาดส่องทะลุผืนผ้า ใบหน้างดงามราวกับเทพบุตรนั้นหันมาที่เขา ดวงหน้านั้นช่างอบอุ่นและเต็มเปี่ยมด้วยพลังอย่างสุดจะหาสิ่งใดในโลกนี้มาเปรียบเปรย


ฝ่ามือเรืองรองปลดผ้าผืนใหญ่ออกจากกายก่อนจะสะบัดคลุมร่างที่นอนนิ่งไร้ลมหายใจที่พื้น ชายนักเดินทางมองกิริยาของชายผู้มีรัศมีเปล่งประกายอย่างจะจดจำไว้ในทุกอิริยาบถ ใบหน้าที่พ้นจากผืนผ้าสีดำของร่างไร้วิญญาณนั่นคือเขา เขาผู้ซึ่งพิสูจน์ความเชื่อมั่นที่มีด้วยชีวิตของตน


ซากศพไร้ชีวิตแห้งเหี่ยวราวกับรากไม้ ก่อนจะละลายกลายเป็นเศษทรายและฝุ่นผงปลิวกระจายไปทั่วตามสายลมที่พัดโบกมาวูบหนึ่ง สรรพสิ่งมลายไปในชั่วพริบตาเดียวราวกับไม่เคยมีร่างของผู้จบชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ จากนั้นกายเจิดจรัสก็เก็บผ้าคลุมของตนมาห่มร่างไว้เช่นเดิม


“พระเจ้าทอดทิ้งผม! ” ชายนักเดินทางตะโกนบอกเมื่อร่างงดงามนั้นกำลังจะจางหาย


“พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งใคร” สุรเสียงเสนาะหูราวกับระฆังแก้วดังกังวาน แล้วร่างสว่างไสวราวแสงฉานของรุ่งอรุณก็ปรากฏอีกครั้ง


“ถ้าพระองค์ไม่ทอดทิ้งผม แล้วเหตุใดผมจึงเป็นเช่นนี้? “ ชายกลางคนถาม


“หากว่าสิ่งยิ่งใหญ่ที่เจ้าหวังพึ่งคือพระผู้เป็นเจ้า จงรู้ไว้ว่าพระองค์อยู่กับเจ้าเสมอ พระองค์หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกายเนื้อและเลือดที่ไหลเวียนในตัวเจ้า พระองค์คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่สรรค์สร้างสรรพสิ่งให้อุบัติขึ้นบนโลกใบนี้” ร่างเรืองรองภายใต้ผ้าคลุมเยื้องย่างไปข้างหน้าช้าๆ ในขณะที่ชายหลงทางนั้นก้าวตามอย่างไม่ลดละ


“ธรรมชาติจะช่วยเหลือคนที่ช่วยตนเองก่อน ธรรมชาติมอบลมหายใจพร้อมกับสมองที่มีไว้ใช้ตรึกตรองให้กับทุกคน พระองค์ประทานหนทางรอดหลายต่อหลายหนแต่เจ้ากลับปฏิเสธ ทั้งที่พระองค์บอกกับเจ้าถึงสิ่งที่เจ้าสมควรกระทำจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย หากแต่เจ้ากลับละทิ้งทุกสิ่งที่พระองค์หยิบยื่นให้อย่างน่าเสียดาย” น้ำเสียงไพเราะกล่าวเนิบนาบ


“แต่ผู้นำสาส์น...” ชายนักเดินทางครางโหย


“เหตุใดเจ้าจึงเชื่อมั่นในสิ่งนั้นมากกว่าเสียงของธรรมชาติที่ร่ำร้องในใจตน? ธรรมชาติสร้างมนุษย์ให้ดำรงชีวิตรอดด้วยเหตุและผล หากเจ้าละทิ้งไปก็ไม่ต่างจากการหันหลังให้กับพระองค์ แต่ถึงกระนั้นธรรมชาติก็ยังต้อนรับผู้ฝ่าฝืนกลับสู่อ้อมกอดเสมอ” น้ำเสียงทรงอำนาจทว่าเอื้ออารีกล่าว


“ผมมันช่างโง่เขลาสิ้นดี” ชายหลงทางต่อว่าตนเองด้วยความเจ็บใจ


“ไปกันเถอะ” สิ้นเสียงกังวานร่างทั้งสองก็หายวับไปพร้อมกัน


ที่ริมลำธารนั้นคงเหลือเพียงแค่ท่อนไม้ที่ครั้งหนึ่งเคยใช้เพื่อพยุงเดินของนักเดินทางที่พลัดหลงเข้ามายังผืนป่าอันรกร้างไร้ผู้คน สายลมหวีดหวิวพัดมาอีกวูบหนึ่ง แล้วสรรพสิ่งก็สงบลงและดำเนินต่อไปตามครรลองที่พระผู้เป็นเจ้าที่ชื่อว่าธรรมชาตินั้นรังสรรค์ไว้อย่างบรรจงตามวิถีทางของมัน...


===========================================
ขอบพระคุณที่แวะมาอ่านค่ะ leaf

แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 55 21:03:40

 
 

จากคุณ : กาแฟเย็นเพิ่มช็อต
เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 55 15:33:31




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com