Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บ้านผีสิง...(ตอนจบ) ติดต่อทีมงาน

ตอนจบ

“ลุง !  เสียงอะไรครับ  ดังลั่นป่าเลย”  อ้ายเหวงหันไปมองที่ต้นเสียงแล้วหันมาที่ลุงเบิ้ม

“ไม่มีอะไรหรอก เสียงสัตว์ป่า มันกู่ร้องอยู่ในถ้ำ เสียงจึงดังก้องป่า ป่าดงมันก็เป็นอย่างนี้  เป็นเรื่องธรรมดา ผมได้ยินจนชินแล้ว”

“เสียงตัวอะไร หรือลุง ทำไมมันน่ากลัวแบบนั้น” ผมถาม

“เป็นพวกค่างหรือไม่ก็นกบางพวก เสียงจะแหลมๆยิ่งถ้าร้องในถ้ำจะดังมากกว่าปกติ มันร้องตอนกลางคืนจึงดูน่ากลัว บนเขาแถวนี้มีถ้ำอยู่หลายถ้ำ”

“ แหมเล่นเอาผมใจคอไม่ดี นึกว่าเสียงคนร้องซะอีก เสียงเหมือนคนจริงๆ”  อ้ายเหวงพูดด้วยความสบายใจ
รอบๆตัวปกคลุมด้วยความมืด อากาศหนาวเย็นจนสั่นสะท้าน บนท้องฟ้ามืดมิดไร้ดวงดาว พวกเราที่นั่งกันอยู่รอบกองไฟ เหมือนเป็นแสงสว่างจุดเล็กๆในผ้าดำผืนใหญ่

คนเราทุกคนตงมีจำนวนไม่มากนักที่ชอบความมืด  เพราะความมืดดูเป็นสิ่งลึกลับและน่ากลัว หากโลกเรามีแต่ความมืด ไม่มีพระอาทิตย์หรือพลังไฟฟ้าที่ให้กำเนิดแสงสว่าง มนุษย์ในโลกนี้คงต้องเฉาตาย

กินกันไปคุยกันไป  เจ้าน้ำเมาสามขวดหมดไปไม่เหลือสักหยด เวลาล่วงเลยถึงเที่ยงคืน งานเลี้ยงต้องมีการเลิกรา  

“นอนกันเถอะลุง วันนี้ดึกมากแล้ว ไม่ไหวชักเมา”  ผมบอกพลางลุกขึ้นโดยไม่รอคำตอบจากแกเพราะไม่ไหวจริงๆทั้งง่วงทั้งเมา

ลุงเบิ้มพยักหน้าเห็นด้วย เพราะแกก็คงไม่ต่างจากผม

“เจ้านายไปนอนเถอะ จานชามเดี๋ยวผมจัดการเอง ไม่ต้องห่วง”

“ครับๆๆขอบคุณมาก สำหรับคืนนี้” ผมและอ้ายเหวงพากันเดิน เซๆ ไปยังที่พัก ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล

เข้ามาในบ้านได้  ผมรี่ไปที่มุมห้องเอนตัวนอนทันที อ้ายเหวงไปอีกมุม เตรียมตัวนอนเหมือนกัน มุ้งไม่ต้องกาง อากาศเย็นจนหนาวทั้งยังมีลมพัดอีกด้วย  แบบนี้ต่อให้ซุปเปอร์ยุงก็คงบินไม่ไหว

“ลูกพี่ จะดับตะเกียงมั้ย !”

มันพูดถึงกระป๋องตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ให้แสงสว่าง แว้บๆ อยู่กลางห้อง

“ตามใจเอ็ง ถ้าไม่กลัวถูกผีหลอก ก็ดับซะ”

“โธ่ ลูกพี่ กลัวถูกผีหลอกก็ไม่บอก” อ้ายเหวงบ่นก่อนล้มตัวลงนอน

บรรยากาศมืดๆแบบนี้ถ้าดับตะเกียง มันก็เหมือนอยู่ในถ้ำ เกิดมีตัวอะไรเลื้อยเข้ามานอนด้วยแล้วจะทำยังไง อ้ายนี่ตัวใหญ่ซะเปล่า สมองเท่าหนวดกุ้ง ผมด่ามันในใจ...

ล้มตัวนอนลงแล้ว หูยังได้ยินเสียง ก๊องๆแก๊งๆ ตรงบริเวณที่เรานั่งกินเหล้ากัน ลุงเบิ้มคงกำลังเก็บจานชาม..

ผมฟังเพลินๆจนเคลิ้มหลับไป

นานเท่าไหร่ไม่รู้  ต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครมาดึงขา ลืมตาขึ้นมอง อ้าเหวงนั่นเอง

มันยื่นหน้ามาจนชิด กระซิบเบาๆ

“ลูกพี่ได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า ?”

ผมงัวเงียลุกขึ้นมา อ้ายนี่เป็นอะไรอีก นะ

“ฟังซิลูกพี่ เสียงดังอยู่ตรงแคร่ไม้”

เงี่ยหูฟัง มีเสียงดังจริงๆด้วย เป็นเสียงดังเหมือนจานชามกระทบกัน

หรือลุงเบิ้มยังเก็บไปไม่หมด อาจมีสัตว์บางชนิดมากินเศษอาหาร  แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะจานชามมีไม่กี่ใบ

แล้วใครมาทำอะไรดึกดื่นป่านนี้ ?

ด้วยความสงสัยผมมองผ่านหน้าต่างมองออกไป ด้านนอกยังมีแสงสว่างจากตะเกียงที่แขวนอยู่ตรงชายคาบ้านพอมองเห็นบริเวณแคร่ไม้ที่เรานั่งกินเหล้ากัน เพ่งสายตาดูก็ไม่เห็นมีใครอยู่ที่แคร่ไม้  และที่สำคัญเสียงดังกล่าวก็เงียบหายไปด้วย

ผมจึงไม่ได้คิดอะไร เพราะด้านนอกมีทั้งเสียงกิ่งไม้ ใบไม้ที่โดนลมพัด อาจจะเป็นเสียงที่เกิดจากลมพัดไปโดนอะไรบางอย่างก็ได้

“ไม่มีใคร เสียงก็หายไปแล้ว นอนกันเถอะ ง่วงจะตาย”  ไม่พูดเปล่าผมล้มตัวลงนอนไม่ได้สนใจว่าอ้ายเหวงจะนอนหรือไม่นอน

ล้มตัวลงนอนได้ไม่นาน อะไรกัน เสียงเดิมดังขึ้นอีกแล้ว คราวนี้มันดังเบาลงแต่ก็ยังได้ยินได้ชัดเจน อ้ายเหวงคงนอนไม่หลับ  มันขยับตัวจากมุมห้องอีกด้านหนึ่งมายังมุมที่ผมนอนอยู่

“ลูกพี่ ” มันกระซิบเบาๆ

“เออ ! รู้แล้วหูข้าไม่ได้ฝาด”



แล้วมันเป็นเสียงอะไร ?

ไม่ต้องหลับนอนกันแล้ว  ผมลุกขึ้นตั้งใจจะเดินออกไปดูให้รู้แน่ว่าเป็นเสียงอะไร

“ไป !ออกไปดูกัน”

อ้ายเหวงเดินเอามือที่เย็นเฉียบมาเกาะที่แขน

“ลูกพี่ จะออกไปดูจริงๆ เหรอ..”

“ข้าอยากรู้ว่ามันเป็นเสียงอะไร อยู่กันสองคนกลัวอะไรวะ.! ถ้าเอ็งไม่กล้าไปก็รออยู่ที่นี่” ผมไม่รอคำตอบจากมัน รีบเดินไปที่ประตู ถอดกลอนดันประตูออกไป ลมพัดพาความเย็นกระทบร่างกายจนหนาวไปทั้งร่าง แต่ความอยากรู้มีมากกว่า ผมต้องออกไปดูไม่งั้นคืนนี้คงไม่ต้องได้นอนกัน

“ลูกพี่ ผมขอไปด้วย” เสียงสั่นเป็นเจ้าเข้าของอ้ายเหวง

ผมเดินไปคว้าตะเกียงที่แขวนให้ความสว่างที่ชายคาบ้าน ยกตะเกียงชูสูงขึ้นมองเห็นแคร่ไม้อยู่ไม่ไกล


                                         *********************************

บรรยากาศด้านนอกมืดสนิท ความเย็นเยือกเกาะกุมทั่วร่างกาย ลมพัดเบาๆจนใบไม้แกว่งไกวไปตามกระแสลม แสงสว่างจากตะเกียงทาบผ่านกิ่งไม้ใบไม้เกิดเงาเคลื่อนไหวไปมาดูน่ากลัว  เราเดินออกมาจากตัวบ้านไปตามพื้นดินมีหญ้าขึ้นปกคลุมเล็กน้อย  จึงต้องถือตะเกียงอยู่ในระดับเข่า เพื่อให้เสียงสว่างสาดส่องไปให้ทั่วพื้นดินบริเวณที่เราต้องเดินไป  ค่ำมืดแบบนี้อาจมีสัตว์เลื้อยคลานซุกซ่อนอยู่ในพื้นหญ้าได้  อ้ายเหวงเดินตามหลังมือมันเกาะอยู่ที่เอวของผมแจ ระยะทางจากบ้านพักห่างจากแคร่ที่เรานั่งกินเหล้ากันประมาณ 20 เมตร เสียงดังเบาๆยังดังเข้าหูตลอดเวลา เดินไปได้ประมาณครึ่งทาง เสียงก็หยุดลงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย พอเสียงหยุดผมก็หยุดเดิน พร้อมยกตะเกียงชูสูงขึ้น ในระยะ 10 เมตรรัศมีความสว่างจากตะเกียงสาดส่องไปยังแคร่ไม้ ปรากฏทุกอย่างเป็นปกติ บนแคร่ไม้ไม่มีจานชามหรือเศษอาหารหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ

กำลังงงงันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ..

“ ตูม”

เสียงดังสนั่นอยู่ที่สะพานท่าน้ำริมลำธาร อ้ายเหวงกระโดดกอดเอวผมแน่นจนแทบจะล้มลงไปด้วยกัน

“เฮ้ย !ๆ” ผมแกะเอามือมันออกจากเอว “อ้ายบ้าเอ๊ย ทำข้าตกใจหมด เอ็งจะบ้าหรือไง”

“ลูกพี่เสียงอะไร ที่ริมน้ำ”

ผมรู้สึกว่ามีสิ่งอะไรบางอย่างมันเคลื่อนไหว  ตอนแรกมันคงอยู่ที่แคร่ไม้ พอเราถือตะเกียงออกไป มันคงกลัวเลยวิ่งไปที่ริมน้ำ กระโดดลงน้ำดังตูม แต่ที่ยังข้องใจคือทำไมมันวิ่งไปไวจริงๆ  

ผมคิดว่าจะต้องเดินไปที่ริมน้ำเพื่อจะดูว่ามันเป็นตัวอะไร

ทันใดนั้น เสียงดังซ่า  ดังขึ้น เหมือนมีอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาจากลำน้ำ และที่ทำให้ผมต้องสะดุ้งสุดตัวคือ เสียงก๊องๆแก๊งๆ ดังตามมา มันดังก้องได้ยินชัดเจนในความเงียบ ขาที่กำลังจะก้าวออกไปหยุดชะงักทันที ความตกใจและหวาดกลัวเกิดขึ้นฉับพลัน ทำให้รูขุมขนในร่างกายของผมลุกชูชันจนเหมือนตัวพองไปทั้งตัว โดยเฉพาะบริเวณหนังหัวมันตึงจนซ่าไปทั้งหัว

ไม่เหลือความกล้าอยู่อีกแล้ว ผมหันหลังกลับทันที แต่ยังไม่ทันอ้ายเหวงที่มันหันหลังวิ่งกลับล่วงหน้าไปหลายก้าว..

                                      ******************************************

เราสองคน มานั่งหอบเพราะความเหนื่อยอยู่กลางห้อง ดีที่ผมยังสามารถถือตะเกียงกลับมาได้โดยไม่เสียหายอะไร เพราะมีแค่ตะเกียงกระป๋องกลางห้องคงไม่เพียงสำหรับสถานการณ์ขณะนี้  ลมเย็นพัดมาโดนที่ตัวจนรู้สึกได้  เพราะประตูบ้านเปิดอ้าอยู่  หันไปบอกไอ้เหวงเร็ว ปรื๋อ.

“อ้าย เหวงเอ็งรีบไปปิดประตู ใส่กลอนด้วยนะ โว้ย ”  

ไม่ต้องบอกซ้ำสอง มันรีบกระโดดไปที่ประตูปิดประตูใส่กลอนทันที

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผมนึกถึงคำพูดของลุงเบิ้ม ที่พูดตอนหัวค่ำ ว่า เจ้านายเคยเห็นผีหรือเปล่า หรือว่าแกพูดจริง ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าแกพูดเล่น เจอแบบนี้เข้าผมอยากออกไปหาลุงเบิ้ม แต่จะไปได้อย่างไรแกนอนที่ไหนก็ไม่รู้ เวลาตอนนี้คิดว่าน่าจะประมาณ ตีสอง และข้างนอกก็มืดมิดแบบนั้น แล้วอ้ายเสียงบ้านั่นก็อยู่ข้างนอก

“ก๊องๆแก๊งๆ” เสียงยังแว่วมาจากริมลำธาร ผมรู้สึกว่าเสียงมันเริ่มเปลี่ยนไป เสียงมันเริ่มยานยาวยังไงไม่รู้ มันเหมือนเทปที่ยืด จนเสียงเพี้ยนไปจากความเป็นจริง

จิตใจเตลิดจนแทบจะควบคุมไม่ได้ เราจะทำอย่างไรกัน ยังคิดว่าถ้านอนอยู่คนเดียวในสภาพแบบนี้และต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้.....ต้องบ้าตายแน่

“ เฮ้ย ! เหวงช่วยกันปิดหน้าต่างกัน”  โชคดีบ้านนี้มีหน้าต่างไม่กี่บาน เราจัดการปิดจนหมด อย่างน้อยที่สุดการอยู่ในพื้นที่มิดชิด ทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น

เสียงประหลาดยังดังๆหยุดๆอยู่ตลอดเวลา  สลับด้วยเสียงน้ำแตกซ่าเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ที่หัวสะพาน แต่สำหรับเราในตอนนี้มันคือเสียงจากนรก...สักพักเสียงเงียบหายไป..แต่มีเสียงอย่างอื่นดังขึ้น

“ สวบ สวบ สวบ”  

เสียงเหมือนคนเดินดังขึ้นมา  เราสองคนใจหายวาบ  เงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ สังเกตได้ว่ากำลังเดินไปที่แคร่ไม้และหยุดอยู่ที่นั่น ไม่นานเสียงที่สั่นประสาท “ก๊องๆแก๊งๆๆ” ดังขึ้นที่แคร่ไม้อีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนว่าเป็นเสียงคนกำลังเก็บจานชาม เหมือนตอนที่เราแยกกันกลับมานอนและปล่อยให้ลุงเบิ้มจัดเก็บอยู่คนเดียว และยังมีเสียงคนไอ สองสามครั้ง เป็นเสียงลุงเบิ้มแน่นอนผมจำได้

ผมหันหน้าไปมองที่อ้ายเหวง “ข้าว่า เป็นเสียงลุงเบิ้ม นะ”

อ้ายเหวงไม่ตอบมันพยักหน้ารับ...

ทำไมลุงเบิ้มยังไม่นอน หรือแกลืมเก็บอะไรบางอย่าง  อย่างไรก็ตามผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมา เพราะในขณะนี้ผมอยากเจอลุงเบิ้มมากที่สุด  ตัดสินใจลุกยืนขึ้นคว้าตะเกียงเพื่อจะออกไปดู

“ไป เหวง ออกไปข้างนอกกัน” ผมต้องเอาอ้ายเหวงออกไปเป็นเพื่อนด้วยเพื่อความอุ่นใจ

แสงจากตะเกียงขับไล่ความมืดกระจายออกเป็นวงกลม เป้าหมายคือที่แคร่ไม้ เราค่อยๆเดินกันไป สายตาพยายามมองไปที่แคร่ไม้  แสงจากตะเกียงกระทบเข้ากับบางอย่างที่อยู่ข้างหน้า

พอเห็นได้ชัดเจน ผมดีใจจนเนื้อเต้นแม้จะเห็นเพียงด้านหลัง ใช่ลุงเบิ้มจริงด้วย แกกำลังก้มตัวเก็บสิ่งของบางอย่างบนแคร่ไม้นั่นเอง นี่คงเป็นสาเหตุที่เกิดเสียงดังที่ผมได้ยิน

“ลุง เบิ้ม !” ผมตะโกนก้องด้วยความดีใจ

แต่คงไม่ได้ยินเสียงที่ผมเรียก เพราะแกขยับเดินจากแคร่ไม้ไปยังสะพานริมลำธารอย่างรวดเร็ว เมื่อไปถึงที่หัวสะพานริมน้ำ ผมเห็นแกกำลังก้มลงไปที่ผิวน้ำ ทำท่าทางเหมือนจะล้างจาน แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก ร่างของแกเซถลาหัวทิ่มลงสู่แม่น้ำ เสียงดัง

“ตูม”  

ผมยืนตกตะลึง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา  พอได้สติผมร้องตะโกนเสียงดังลั่น

“เหวงไปดูเร็วเข้า ลุงเบิ้มตกน้ำ ไปช่วยกันเร็ว” ผมรีบวิ่งไปที่หัวสะพาน เพื่อจะไปช่วยลุงเบิ้ม

แสงจากตะเกียงมันน้อยนิดเมื่อเทียบกับความมืดที่ปกคลุมอยู่ ทำให้ไม่สะดวกในการมองหาตัวลุงเบิ้มที่ตกลงไปในน้ำ ผมยกตะเกียงสอดส่ายหาแต่ไม่ปรากฏสิ่งใดๆให้เห็น   ดูๆแล้วระดับน้ำไม่ลึกมากนักทำไมจึงยังไม่เห็นตัว  ผมยังคงยื่นตะเกียงในมือหาร่างของลุงเบิ้ม แต่ไม่พบอะไรในน้ำอีกเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบเหมือนเดิม

คนตกน้ำไปต่อหน้าต่อตา แล้วจมหายไปเลย มันเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายสำหรับผมมากที่เดียว

ผมต้องไปตามคนมาช่วย..

เจ้าดำลุกชายลุงเบิ้ม ไง !..

ผมหันหลังวิ่งไปยัง บ้านหลังถัดไป ซึ่งห่างจากบ้านหลังแรกพอสมควร เสียงอ้ายเหวงวิ่งตามมาติดๆ  บ้านหลังที่สองที่วิ่งไปถึง มีแสงสว่างจากตะเกียงอยู่ภายในบ้าน ดูแล้วน่าจะมีคนอยู่ในบ้านและคงไม่ได้หลับนอน คนแถบนี้จะดับไฟนอนกัน  

เราวิ่งมาถึงประตูบ้าน และก็เป็นดังที่คิดประตูบ้านไม่ได้ปิด มีคนอยู่ในบ้าน สองคน คือพี่ดำลูกลุงเบิ้มที่ไปรับเรามารังวัดที่ดินนั่นเอง และมีผู้หญิงวัยไล่เลี่ยอีกคนคงเป็นเมียของแก...

เสียงเราวิ่งมาส่งเสียงดัง ทำให้ทั้งสองคนหันมามองที่พวกเรา

ทั้งพี่ดำและเมียทำหน้าแปลกใจ..

แต่ผมไม่ได้ให้ความสนใจอะไร เพราะเรื่องลุงเบิ้มตกน้ำสำคัญกว่า.

“เร็วๆเข้าออกไปช่วยกันหน่อยครับ ลุงเบิ้มเป็นลมตกน้ำที่ลำธาร” ผมรีบบอก

ได้ผลทันที  พี่ดำและเมียยืนลุกขึ้นพร้อมกันทั้งสองคนพร้อมแสดงท่าทางตื่นตกใจ

“หา ! พ่อเป็นลมตกน้ำหรือครับ” พี่ดำถามเสียงดัง

“ใช่ แกหัวทิ่มตกลงน้ำหายไปเลย” ผมตอบ

พี่ดำและเมียมองหน้าผมและไอ้เหวง...ทำหน้างงๆ...

"เจ้านายเชิญทางนี้หน่อยครับ.."แต่ผมยืนเฉย

ผมยังนึกตำหนินายดำอยู่ในใจพ่อจะตายทั้งคน ยังใจเย็นอยู่ได้..

"เชิญทางนี้เจ้านาย"

พี่ดำเดินมาจูงมือผมพาเดินเข้าไปในห้องนอนเล็กๆห้องหนึ่ง

ในห้องมีตะเกียงกระป๋องน้ำมันก๊าดให้ความสว่างวางอยู่ แสงสว่างจากตะเกียงทำให้เห็นร่างหนึ่งนอนอยู่บนเสื่อเก่าๆ

พอเห็นร่างนั้นได้ชัด ผมถึงกับเข่าอ่อน จนต้องทรุดตัวนั่งลง..

“พ่อเสียเมื่อประมาณเที่ยงคืนเศษ หลังแยกกันกับเจ้านาย แกนอนไม่หลับบ่นแน่นหน้าอก ผมจึงเอายาลมให้กิน ไม่นานแกเรอเสียงดัง แล้วก็นิ่งสิ้นลมไปเลย ”

ผมยังหูอื้อ ได้ยินไม่ค่อยชัด แต่ตอนนี้ รู้เพียงว่าลุงเบิ้มตายไปแล้วตั้งแต่เที่ยงคืน...

“โธ่ลุงเบิ้ม ตายแล้วยังมาหยอกเล่นกับพวกผมอีก”

ศพลุงเบิ้มตั้งสวดแค่ 3 วัน และเผาที่วัดใกล้บ้าน...ก็คือวัดที่พี่ดำไปรับผมมารังวัดที่ดินในตอนแรก

                               
ผมไปร่วมงานเผาศพแกด้วย...พอเดินลงมาจากเมรุ ...

“ลูกพี่รีบกลับกันเถอะ เดี๋ยวมืด”  อ้ายเหวงพูดกับผมด้วยเสียงเบาหวิว... …

แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 04:41:48

แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 55 07:26:38

จากคุณ : สวนดอก
เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 55 17:41:11




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com