เมืองมายา มนตราอลเวง บทที่ 7 คาอิล?!
|
 |
บทที่ 7 คาอิล?!
นิ้วเรียวงามเขี่ยลูกแก้วจนกลิ้งหลุน ๆ วนเป็นวงอยู่ในกล่องบุกำมะหยี่สีขาวใบเล็กขนาดเท่าฝ่ามือ ซึ่งเจ้าหญิงรัชทายาทลำดับสองของเรสทอเรียสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อใช้เก็บสิ่งของสำคัญของตนเอง สีขาวของกำมะหยี่ขับเน้นลูกแก้วสีน้ำเงินเคลือบประกายวาวสีม่วงจนงดงามเด่นสะดุดตา
ในเวลาว่างสการ์เล็ตชอบที่จะนั่งมองสีสันและประกายแสงสะท้อนของมันเหลือเกิน อาจเป็นเพราะลูกแก้วนี้คือสิ่งเดียว สิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายที่ใครคนหนึ่งเหลือเอาไว้ให้ นางมักจะอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงตอนที่ได้รับมันมา
เพียงเพราะพลั้งปากออกไปว่าชอบดวงตาของเขาตอนที่ถูกถามว่าอยากได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน
นางเป็นราชนิกูลผู้สูงศักดิ์ แม้ยังเด็กนักแต่ก็มีอำนาจและร่ำรวย ไม่ว่าสิ่งใดที่ต้องการเพียงแค่เอ่ยปากย่อมมีคนสรรหามาให้ได้อย่างง่ายดาย เหนือสิ่งอื่นใดที่ต้องการจากเด็กน้อยผู้ยากไร้คนนี้มีเพียงแค่ดวงตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ที่จะมีให้นางมิแปรเปลี่ยนตลอดไปและไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านั้น
แต่สิ่งที่เด็กชายเข้าใจดันไปคนละความหมายเสียได้...
ลูกแก้วใสสีน้ำเงินเคลือบประกายวาวสีม่วงซึ่งมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับดวงตาของเด็กสองลูกถูกยื่นส่งมาให้ในวันหนึ่งไม่นานหลังจากนั้น เขามอบมันให้นางแทนดวงตาของตนที่ไม่อาจควักออกมาได้
เจ้าหญิงวัยสิบสามชรรษาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างไร้ความเป็นกุลสตรีพร้อมกับงอตัวนั่งลงเมื่อได้ฟังคำสาธยายยาวยืดของเด็กชายที่ไม่กล้าควักดวงตาของตนเอง
อย่างไรก็ตามสการ์เล็ตพอใจแล้วที่ได้รับเพียงลูกแก้วซึ่งอาจดูต่ำค่าไร้ราคาในสายตาใคร แต่สำหรับเด็กร่างเล็กแคระแกรนเพราะไม่ค่อยได้รับอาหารอย่างเพียงพอจนครบสามมื้อนั้น มันคงไม่ง่ายนักที่จะหาสิ่งของฟุ่มเฟือยเกินกว่าความจำเป็นในการดำรงชีวิตของตนสิ่งนี้มาได้
รอยยิ้มเจือจางพร้อมกับที่ฝากล่องกำมะหยี่สีขาวถูกปิดลง ปิดกั้นความทรงจำอันแสนเศร้าที่จะผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง นางอยากคงไว้ซึ่งความสุขเล็ก ๆ ให้เนิ่นนาน แม้มันจะเป็นความทรงจำอันแสนสั้นเพียงช่วงหนึ่งในวัยเด็กก็ตาม
สการ์เล็ตเงยหน้าแล้วพินิจดวงตาสีทับทิมของตนเองในกระจก
แวบแรกที่เห็นสีดวงตาของคาอิล หญิงสาวหลงคิดไปวูบหนึ่งว่าเขาอาจเป็นใครสักคนที่นางอยากพบมาตลอด แต่ใครคนนั้นก็ไม่น่าจะมีนิสัยร้ายกาจกวนประสาทได้อย่างพ่อมดคนนี้โดยเด็ดขาด และเขาเองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะจดจำนางได้เลยสักนิด
มันอาจเป็นการดับความหวังลงอีกครั้งหนึ่ง แต่ตราบใดที่ไม่ได้เห็นศพหรือพบสุสาน นางจะไม่มีวันสรุปว่าเด็กคนนั้นได้ตายไปแล้วอย่างเด็ดขาด แม้ใจลึก ๆ ส่วนหนึ่งจะอดคิดอย่างนั้นไม่ได้ก็ตามที
เพราะสีแดงของเลือดที่หลั่งรินในวันนั้น...มันติดค้างอยู่ในดวงจิตจนมิอาจลืม
สการ์เล็ตสลัดความคิดอันเลวร้ายที่พยายามห้ามแล้วห้ามอีกแต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ออกไปจากศีรษะแล้วเริ่มรวบผมถักเปียจนเรียบร้อยดูทะมัดทะแมง วันนี้นางแต่งกายด้วยชุดกางเกงแบบชาวบ้านสามัญโดยไม่มีผู้รับใช้คอยช่วย เพราะได้กำชับเอาไว้แล้วว่าวันนี้เป็นวันพักผ่อนของนางห้ามผู้ใดรบกวน
นับตั้งแต่วันที่เจ้าหญิงองค์โตแห่งเรสทอเรียกลับจากการแอบหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกปราสาทมาในสภาพโชกเลือดเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทุกผู้คนที่ได้เห็นสภาพร่างที่มีแต่โลหิตสีคล้ำเปรอะเปื้อนตามวรกายเล็กบาง ล้วนมีสีหน้าตระหนกตกใจ หลังจากนั้นนางก็ถูกเฝ้าจับตามองพร้อมกับถูกสั่งห้ามมิให้ไปไหนผู้เดียวเพียงลำพังอยู่นาน
ทั้งที่เลือดนั่นก็ไม่ใช่ของนางแท้ ๆ
หลังจากแต่งกายเรียบร้อยแล้วสการ์เล็ตจึงออกเดินไปยังเส้นทางที่คิดว่าน่าจะมีเพียงตนเองกับผู้เป็นพี่ชายร่วมสายโลหิตเท่านั้นที่รู้ นี่จะเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่นางจะแอบหนีออกไปนอกกำแพงปราสาทเพียงลำพัง โชคดีที่ทางลับซึ่งถูกสั่งให้ปิดตายเมื่อกาลก่อนนั้นมิได้มีเพียงหนึ่ง ปราสาทเก่าแก่อายุกว่าหกร้อยปีมีช่องทางลับอยู่มากมายให้เจ้าหญิงผู้ในอดีตถูกพี่ชายกล่าวขานเอาไว้ว่าก๋ากั่นแก่นแก้วที่สุดได้พบเจอ
ช่องทางลับที่ซ่อนอยู่ในห้องนั่งเล่นห้องหนึ่งนำพาหญิงสาวออกมายังซุ้มเทวรูป ณ สถานสักการะเทพประจำทิศใต้ซึ่งไม่ค่อยมีคนผ่านมากนัก สการ์เล็ตหันมองซ้ายขวาจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครเห็นแล้วจึงออกมาจากที่ซ่อน นางทอดสายตามองไปยังยอดปราสาทซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ใกล้ไม่ไกลแล้วจึงบ่ายหน้าไปยังอีกทาง ซึ่งเยื้องไปทางด้านหลังบ้านใหญ่ของตน
ด้านหลังปราสาทเป็นผืนป่าขนาดย่อม เจ้าของปล่อยทิ้งร้างเอาไว้เนิ่นนานจนมันแทบจะกลายเป็นป่ารกชักขึ้นทุกที และหากไม่สังเกตดี ๆ จะไม่มีทางเห็นเลยว่ายังมีบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่บริเวณชายป่า
สการ์เล็ตหยุดยืนมองบ้านไม้ที่อาจเรียกได้ว่ากระท่อมเสียมากกว่า ในความทรงจำนั้นนางไม่อาจระลึกได้ว่ามันเคยมีสภาพเช่นไร ทว่าตอนนี้มันดูใหม่จนไม่น่าเชื่อว่าจะถูกปลูกสร้างมาแล้วกว่าสิบปี
หรือว่าคาอิลจะปรับปรุงมันขึ้นมาใหม่...อย่างนี้คงตรวจสอบอะไรไม่ได้แน่
หญิงสาวทอดถอนใจอย่างนึกเสียดาย นางเคยได้แต่เฝ้ามองมันจากหน้าต่างบานหนึ่งในปราสาท แต่ไม่เคยมีความกล้าที่จะมาพิสูจน์ให้เห็นกับตา ไม่กล้าเผชิญหน้าว่าตนเองเป็นสาเหตุให้ชีวิตน้อย ๆ ชีวิตหนึ่งต้องหายไปจริง ๆ
“เรมี่...”
เจ้าหญิงเอ่ยเสียงแผ่ว หวังใจว่าอาจจะได้เห็นเด็กน้อยหัวกระเซิงวิ่งออกมาหาพร้อมกับสีหน้ายินดีที่จะได้มีของกินให้อิ่มท้องก่อนเอ่ยตัดพ้อด้วยแก้มป่อง ๆ ต่อนางทุกครั้งที่เรียกชื่อเขา
“พี่สาว เลิกเรียกข้าด้วยชื่อนั้นสักทีจะได้ไหม ข้าเป็นผู้ชายนะ” “โฮ่! เจ้าเด็กน้อย เอาไว้ให้เจ้าสูงทันข้าเสียก่อนสิ แล้วข้าจะยอมเรียกชื่อจริงของเจ้า”
ตลอดมา...สการ์เล็ตยังคงหวังว่าจะได้มีวันนั้น วันที่จะได้เรียกชื่อเต็มให้เจ้าตัวได้ยิน ทว่ามันก็เป็นเพียงความหวังอันหาความเป็นไปมิได้
หญิงสาวทอดถอนหทัยอีกครั้งแล้วเงยหน้ามองประตูบ้านที่ปิดสนิท ไหน ๆ ก็มาแล้ว แวะเข้าไปดูหน้าคนอู้งานสักหน่อยก็แล้วกัน
ห่วงหน้าประตูถูกสการ์เล็ตเคาะอยู่สองสามครั้ง นางรออยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงแนบหูกับประตูบ้านเมื่อไร้เสียงตอบรับ
‘หรือเจ้าพ่อมดแว่นนั่นจะไม่อยู่ เมื่อวานเขาก็ไม่โผล่หน้ามาให้นางเห็นสักนิด
หยุดงานโดยไม่แจ้งลา ใช้ไม่ได้จริง ๆ ‘
คิ้วเรียวงามเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อนางลองขยับประตูแล้วปรากฏว่ามันไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ สการ์เล็ตจึงถือวิสาสะเปิดแง้มบานประตูแล้วมองเข้าไป ภายในนั้นมีเพียงแสงสลัวจากดวงอาทิตย์ยามเช้าส่องลอดช่องเล็ก ๆ ของร่องหน้าต่างเข้าไปเพียงเบาบาง มันสว่างพอให้มองเห็นได้อย่างเลือนราง
บ้านไม้ขนาดกะทัดรัดไม่มีความกว้างพอจะกั้นห้องได้มากกว่าหนึ่ง สการ์เล็ตจึงได้เห็นสภาพภายในทั้งหมด ห้องที่นางเคยจินตนาการเอาไว้ว่าน่าจะว่างเปล่ากลับมีหนังสือวางเรียงรายอยู่เต็มชั้นซึ่งไม่รู้ว่าไปทำมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันทำให้ห้องที่เล็กอยู่แล้วยิ่งแคบเข้าไปอีก
ผนังว่างสองด้านซึ่งไม่ได้ถูกทำเป็นชั้นวางหนังสือ คือที่ตั้งสำหรับโต๊ะซึ่งมีหน้าต่างอยู่ด้านบน ส่วนฝั่งตรงข้ามคือที่ตั้งเตียง บนฟูกที่นอนนั้นมีเงาร่างของใครบางคนนอนอยู่กับเจ้าสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ อีกหนึ่งตัว
“เมี้ยว”
เลี้ยงสัตว์ด้วยหรือเนี่ย...ไม่น่าเชื่อ
เสียงของเจ้าตัวเล็กเรียกความสนใจของสการ์เล็ตให้อยากสัมผัสและเห็นมันชัด ๆ สักครั้ง แต่ก่อนจะก้าวเข้าไปบุกรุกบ้านคนอื่น นางก็ควรจะเตือนให้จ้าวบ้านได้รู้ตัวสักหน่อย
“คาอิล เจ้าตื่นอยู่หรือเปล่า”
...................
ยังคงไร้ซึ่งเสียงตอบรับ เงาร่างบนเตียงนั้นยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง เจ้าหญิงมุ่นคิ้วแล้วจึงตัดสินใจเดินเข้าไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้มีแสงสว่างมากพอจะมองอะไรได้ชัดถนัดตา
“เมี้ยว”
ราวกับเจ้าตัวเล็กกำลังส่งเสียงทักทายเมื่อสการ์ตหันไปจ้องมองมันอย่างเต็มตา ม่านตาสีดำสนิทของมันเรียกความสนใจจนนางต้องเข้าไปจ้องใกล้ ๆ
“ช่างเป็นแมวที่มีสีของดวงตาแปลกเหลือเกิน” เจ้าหญิงกล่าวพึมพำก่อนหันไปมองคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ เจ้าเหมียว “แปลกพอ ๆ กับคนเลี้ยงเจ้าเลยนะ”
คาอิลยังคงหลับอยู่แม้จะมีคนยืนนินทาในระยะเผาขนก็ตาม เขานอนหงายโดยเอาตัวพาดขวางกับเตียง ขาห้อยลงข้างล่างทั้งสองข้าง แว่นก็ไม่ได้ถอด เหมือนคนไม่ได้ตั้งใจจะหลับแต่ความง่วงพาสติของเขาไป
ก็น่าอยู่หรอก...เมื่อสองวันก่อนเจ้าพ่อมดนี่มีขอบตาคล้ำกับใบหน้าซูบเซียวเสียขนาดนั้น แต่อย่าบอกเชียวนะว่าหลับข้ามคืนข้ามวันมาจนป่านนี้น่ะ
สการ์เล็ตนึกนินทาในใจพลางจ้องมองใบหน้าขาวคมยามหลับที่งดงามดุจเจ้าชายนิทรา หญิงสาวเพิ่งสังเกตว่าแพขนตาของเขายาวหนาราวกับเงายอดป่าสนยามรัตติกาล ล่อลวงให้นางหลงมองอย่างเผลอไผล ถ้าตอนตื่นเขาไม่ได้ทำตัวยียวนกวนประสาทก็คงจะน่าคบมากกว่านี้มิใช่น้อย
“เมี้ยว”
เสียงร้องของเจ้าเหมียวเรียกสติเจ้าหญิงให้หลุดจากภวังค์ มันนั่งเอียงคอมองนางตาแป๋วจนทำให้รู้สึกเขินอย่างประหลาด ต้องหันซ้ายหมุนขวาเสมองทางอื่นแทน แล้วนัยน์ตาสีทับทิมก็หยุดมองที่กระจกบานใหญ่อย่างสนเท่ห์ มันถูกตั้งวางตรงหน้าชั้นหนังสือด้านปลายของเตียงและมีราวพาดผ้าขวางหน้าอีกที
ห้องนี้...รกเหมือนกันนะเนี่ย
เมื่อไม่มีอะไรให้ทำเจ้าหญิงจึงคิดจะกลับ หากแต่เมื่อนางหันไปมองหน้าคาอิลอีกครั้งก็ให้รู้สึกใจหายที่เห็นเขานอนนิ่งราวกับคนตายอย่างไรอย่างนั้น
สการ์เล็ตใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวบนฟูกนอนแล้วชะโงกหน้าเข้าไปใกล้พ่อมดหนุ่มเพื่อสังเกตว่าเขายังหายใจดีอยู่หรือไม่ และเพื่อให้แน่ใจนางจึงยื่นนิ้วไปอังยังปลายจมูกของเขาด้วย
ลมหายใจผะแผ่วกับหน้าอกที่สะท้อนขึ้นลงช้า ๆ ทำให้สการ์เล็ตรู้สึกเบาใจ ทว่านางก็ต้องสะดุ้งเฮือกในทันทีที่มือซึ่งกำลังจะชักออกห่างใบหน้าของคนหลับกลับถูกยึดจับเอาไว้แน่น เปลือกตาซึ่งปิดสนิทมาจนถึงเมื่อครู่กำลังเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ และมองตรงมาที่นาง
“สวัสดี”
สการ์เล็ตไม่ได้ตอบรับคำทักทายของชายหนุ่ม นางกำลังแปลกใจกับดวงตาที่เปลี่ยนสีไปของคนตรงหน้า
“ถึงสีตาเจ้าจะแปลก แต่ข้าก็คิดมาตลอดว่ามันน่าจะเป็นสีน้ำเงิน”
บัดนี้ดวงตาของคาอิลไม่ได้สะท้อนประกายวาวสีม่วงอีกต่อไปแล้ว แต่ม่านตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มลึกล้ำแวววาวดุจอัญมณีแห่งเทพีอเมทิสต์ และมันกำลังฉายประกายที่ทำให้ผู้มองต้องรู้สึกเสียวสันหลัง
รอยยิ้มเย็นเยียบคลี่บนเรียวปากขณะที่บุรุษหนุ่มลุกขึ้นนั่ง พลันนั้นกลับเป็นเจ้าหญิงเองที่ถูกจับกดให้นอนลงบนฟูกเตียง
“มันก็เป็นได้ทั้งสองสีนั่นแหละ แล้วเจ้าชอบสีไหนมากกว่ากันล่ะ” คาอิลกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยพร้อมกับโน้มตัวลงจนใบหน้าแทบจะแนบกับสการ์เล็ต นางเบิกตากว้างอย่างตระหนกแต่เขาก็หยุดชะงักก่อนจะได้ทำในสิ่งที่หญิงสาวคิด
“ไอ้นี่มันเกะกะจริง”
คาอิลพูดแล้วถอดแว่นคู่กายโยนออกไปไกลตัวอย่างไม่ใยดี สการ์เล็ตมองตามแว่นตากรอบเรียวรีที่กระเด็นไปหยุดอยู่บนพื้นมุมห้องแล้วหันกลับมามองพ่อมดหนุ่มด้วยสายตาฉงนฉงายอย่างที่สุด
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่าคาอิล”
“คาอิล...” คิ้วเรียวเลิกขึ้นราวกับไม่รู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนั้น เขาหัวเราะแผ่วในลำคอแล้วจึงบอกกับนาง “นั่นไม่ใช่ชื่อของข้าสักหน่อย”
“เจ้าแปลกไปจริง ๆ นั่นแหละ”
สการ์เล็ตสรุปกับตนเองอย่างมั่นใจต่อท่าทางที่ไม่เหมือนปรกติของเขา บางทีเจ้าพ่อมดนี่อาจจะเสียสติไปแล้วก็ได้ หรือไม่ก็คงไปกินอะไรผิดสำแดงมา
“เจ้าจะคิดว่าตัวเองชื่ออะไรหรือเป็นอะไรก็ช่างเถอะ แต่ช่วยปล่อยมือสักทีจะได้ไหม เล่นอะไรแบบนี้ข้าไม่ชอบนะ”
นอกจากคาอิลจะไม่ปล่อยมือที่กดเรียวหัตถ์อันบอบบางของเจ้าหญิงแล้ว เขายังทำเหมือนไม่สนใจฟังคำพูดของอีกฝ่ายและเอาแต่เอียงศีรษะจ้องตานางอย่างค้นหา
“ข้าเคยพบเจ้ามาก่อน แม้จะเพียงวูบเดียวและนานมาแล้วก็ตาม แต่ข้ายังจำดวงตาสีทับทิมอันงดงามคู่นี้ได้”
นิ้วเรียวไล้ไปตามโครงหน้ารูปไข่ เจ้าหญิงได้แต่เบิกเนตรตัวแข็งค้างต่อดวงตากร้าวและคำกล่าวอันน่าสะพรึงของเขา
“ใช่...ข้าจำกลิ่นกายนี้ได้ มันหอมหวานเสียจนทำให้ข้าอยากลองสูบเลือดกินเนื้อของเจ้าสักครั้ง ข้าอยากลองควักเครื่องในและหัวใจของเจ้าออกมาดูเหลือเกินว่ามันจะสวยเหมือนดวงตาและใบหน้าของเจ้าไหม”
สการ์เล็ตอยากจะคิดว่าคาอิลแกล้งล้อเล่น แต่แววตาและรอยยิ้มของเขามันทำให้นางรู้สึกเย็นวาบถึงสันหลัง ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านด้วยความกลัวจากส่วนลึกที่สุดของหัวใจ
หญิงสาวเคยเตือนตัวเองมานักแล้วว่าอย่าได้ถูกรอยยิ้มอันชวนมองและคารมขี้เล่นกวนประสาทมาทำให้นางลืมเลือนไปได้ ว่าแท้จริงแล้วบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่โหดเหี้ยมน่ากลัวเพียงใด และตอนนี้เองที่นางจะจดจำเอาไว้ให้แม่นยำไปจนตายว่าหากยังมีโอกาส ก็ควรหาทางหลีกลี้หนีให้ไกลจากชายผู้มีบรรยากาศอันน่าสะพรึงคนนี้ที่สุด
“ฟ่อ!!”
เจ้าแมวเหมียวพองขนขู่คนเลี้ยงตัวเองแล้วตรงเข้างับแขนเสื้อพ่อมดหนุ่ม มันออกแรงฉุดกระชากหวังให้มือใหญ่คลายออกจากหญิงสาว แต่กลับถูกเขาฟาดหลังมือใส่จนร่างน้อยกระเด็นไปนอนหมอบบนพื้น
นัยน์ตาสีม่วงกราดเกรี้ยวน่ากลัวเหยียดมองร่างน้อยนอนครางอย่างไร้พิษสงพร้อมกับหัวเราะในลำคอ ก่อนจะตวัดกลับมามองหญิงสาวใต้ร่างซึ่งกำลังอ้าปากค้างต่อการกระทำอันป่าเถื่อนของตน
เขาเอียงคอและส่งยิ้มอ่อนโยนให้นาง
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะไม่ใจร้ายกับเจ้านักหรอก รับรองเจ้าจะไม่รู้ตัวเลยว่าถูกกินตั้งแต่เมื่อไร”
คาอิลโน้มหน้าลงสูดความหอมจากลำคอขาวผ่องและลิ้มชิมรสหวานจากผิวเนื้อเนียนของนวลนาง ร่างบอบบางดิ้นขลุกขลักขัดขืนหากก็มิอาจต้านทานแรงแห่งบุรุษอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา ได้แต่ส่งเสียงร้องระบายด้วยความอึดอัดขัดแค้น สการ์เล็ตหลับตาลงและบดกรามแน่นอย่างคุมแค้นใจเมื่อรู้สึกได้ถึงปลายชิวหารุ่มร้อนที่ไล่เรื่อยลงไปยังทรวงอกซึ่งค่อย ๆ ถูกปลดเปลื้องกระดุมไปทีละเม็ด
หากมือเป็นอิสระ...นางจะบีบเค้นหักคอเขาให้ได้ คอยดู!
ในเสี้ยวเวลาที่เจ้าหญิงดำริเช่นนั้น สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็ได้เกิดขึ้นในวินาทีถัดมาโดยที่นางมิอาจได้รู้เห็น
แสงสีแดงเรืองรองส่องประกายออกมาจากปานวงเวทสีโลหิตบนหัวใจของนาง มันทำให้คาอิลถึงกับต้องผงะและถอยออกมาเพื่อหลบสายตาจากแสงนั้น
“บัดซบ! “ จอมมนตราสบถขณะที่ร่างของตนกำลังซวนเซเหมือนคนใกล้สิ้นซึ่งเรี่ยวแรง และในที่สุดก็ต้องยอมทรุดตัวลงนั่งหลังครูดไปกับชั้นหนังสือ แต่ก่อนที่นัยน์ตาสีม่วงซึ่งเต็มไปด้วยประกายแห่งความชั่วร้ายจะปิดลง รอยยิ้มหยันพลันกระตุกขึ้นบนมุมปากพร้อมคำที่มิอาจรู้ได้ว่ากล่าวกับผู้ใดกันแน่
“เจ้าหยุดข้าไม่ได้ตลอดไปหรอก...”
พ่อมดหนุ่มนั่งนิ่งราวกับสิ้นสติไปแล้ว สการ์เล็ตจึงรีบลุกขึ้นแล้วปราดเข้าไปดูอาการเจ้าตัวน้อย มันร้องครางแผ่วเบาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืนได้ปรกติเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก นางจึงโอบอุ้มมันขึ้นมาในอ้อมอกและก้าวถอยหลังทันทีที่เห็นคาอิลเริ่มขยับศีรษะ
กระนั้นนางก็ยังรู้สึกว่าพลาดไป เมื่อกวาดมองไปยังประตูทางออกซึ่งอยู่ข้างร่างที่ยังนั่งอยู่ หญิงสาวคิดที่จะเสี่ยงวิ่งออกไปแต่ทันใดเจ้าแมวดำก็กระโดดผลุงออกจากอ้อมอกของนาง มันวิ่งไปหาคาอิลเงยหน้ามองเขาพร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกครั้งหนึ่ง
“เมี้ยว”
“ฮิล...” เสียงอันแหบโหยเล็ดรอดแผ่วเบาจากเรียวปาก คาอิลยกมือลูบหัวเจ้าตัวน้อยเบา ๆ เมื่อเห็นว่ามันกำลังมองเขาด้วยสายตากังวล “เป็นอะไรไป”
“เมี้ยว” เจ้าแมวดำส่งเสียงร้องแล้วหันไปมองยังสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่า คาอิลมองตามสายตาของมันจึงพบกับคนที่ไม่คาดคิดว่าจะมาอยู่ยังสถานที่แห่งนี้ในสภาพที่ไม่น่าดูนัก
นัยน์ตาของพ่อมดหนุ่มกลับมาเป็นสีน้ำเงินสะท้อนประกายวาวสีม่วงดุจลูกแก้วดังเดิมแล้ว มันฉายแววตระหนกจนสการ์เล็ตอดคิดไม่ได้ว่าเขาจะตกใจอะไร ในเมื่อตัวเองเป็นคนทำแท้ ๆ
และเพียงครู่เดียวนัยน์ตาคู่นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นโกรธขึงแต่ไม่น่าสะพรึงเท่าเดิม
คาอิลลุกขึ้นยืดตัวยืน เขาก้าวเข้าหาเจ้าหญิงและเอื้อมมืออกไปแต่นางไม่ยอมให้แตะ ร่างระหงกระถดถอยสายตาคอยจ้องมองอย่างหวาดหวั่นระแวดระวัง
นัยน์ตาแวววาวราวลูกแก้วสีสวยไหวระริกก่อนจะฉายประกายเย็นชา เรียวปากหยักงามกระตุกยิ้ม
“รู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วเหรอ ทั้งที่ก็เตือนแล้วแท้ ๆ ว่าข้าไม่ใช่คนที่ท่านควรจะไว้ใจ แต่ท่าทางท่านจะยังไม่เข้าใจเท่าไหร่เลยนะ” พ่อมดหนุ่มเว้นคำพูดครู่หนึ่งก่อนจะกรอกตาราวกับทำท่าคิด แล้วรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็แย้มระบายทั่วใบหน้า “อันที่จริงก็น่าจะนับผู้ชายทุกคนนั่นแหละ เล่นมาหากันตั้งแต่เช้า คนกำลังสะลึมสะลือจะเผลอทำอะไรไปบ้างก็ไม่รู้”
จอมเวทหนุ่มยักไหล่ราวกับมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร เข้าโน้มใบหน้าเข้าใกล้หญิงสาวแล้วกล่าวกระซิบด้วยน้ำเสียงเย้ายั่ว
“ไหน ๆ ก็แล้ว...ไม่มาต่อกันหน่อยหรือครับ”
เสียงฝ่ามือกระทบผิวดังสนั่น ใบหน้าคาอิลหันไปตามแรงที่ถูกตบ แต่ครู่เดียวเขาก็หันกลับมาอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านและจ้องสบประสานกับดวงเนตรที่มีน้ำรื้นอยู่ในตาซึ่งเจือไปด้วยแววแห่งความแค้นเคือง
สการ์เล็ตรู้สึกโกรธเกินกว่าจะกล่าวถ้อยใดออกมา นึกไม่ได้แม้แต่คำผรุสวาทที่อยากจะขุดมาด่าคนตรงหน้า ร่างบอบบางจึงผลุนผันวิ่งผ่านคนที่ยืนนิ่งเหมือนรูปสลักและจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองด้านหลังสักครั้ง
จะได้เห็นว่าคาอิลยืนนิ่งดุจรูปสลักแล้วจริง ๆ
เขาคิดว่าหากกลายเป็นหินไปได้จริง ๆ ก็คงดีไม่น้อย จะได้ไม่ต้องคอยกังวลกับความรู้สึกขัดแย้งในใจอีก
ผู้ใช้มนตรายกมือลูบแก้มที่ขึ้นรอยแดงเป็นรูปมือครบทั้งห้านิ้วอย่างไม่ขาดไม่เกิน เขาเคยคิดว่าตัวเองน่าจะรู้สึกชินชาได้แล้วกับความรู้สึกเจ็บปวดทุกรูปแบบ หลังจากได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า ‘นรกทั้งเป็น’ และยังจะต้องรอเผชิญกับมันไม่รู้อีกกี่ครั้ง แม้กระนั้นการถูกฝ่ามือซึ่งเรียวเล็กและบอบบางกระทำการที่เรียกว่า ‘ตบ’ ก็ยังอดทำให้เขารู้สึกไม่ได้
“เจ็บเหมือนกันนะเนี่ย”
จอมคาถาปรายตามองเงาหน้าในกระจกบานใหญ่บานเดียวในห้อง อารมณ์ที่อัดแน่นในใจส่งผลให้เขากระทำการชั่ววูบโดยใช้สันมือกระแทกใส่เงาที่สะท้อนดวงตาอันน่ารังเกียจของตน
เสียงกระจกร้าวลั่นเปรียะขึ้นทันใด แต่เพียงครู่เดียวมันก็ประสานตัวกันกลับเป็นกระจกแก้วผิวเรียบลื่นดังเดิม เหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น เหลือไว้แต่เพียงหยาดเลือดที่รินไหลลงเป็นทางกับบาดแผลบนสันมือซึ่งกำแน่นเหมือนหัวใจของบุรุษหนุ่มที่มันกำลังบีบรัดตัวของมันเอง
“มันยังไม่ควรจะถึงเวลา...ทำไมถึงออกมาตอนนี้”
หากเวลาก็ไม่เคยให้โอกาสคาอิลได้ขบคิดถึงสิ่งใดได้มากนัก เมื่อเขานึกได้ว่าเจ้าหญิงผู้ไร้ความระแวดระวังตัวคนนั้นน่าจะแอบหลบออกมาข้างนอกเพียงลำพัง มิเช่นนั้นอีกตัวตนของเขาคงไม่สบโอกาสแตะต้องนางโดยไม่ได้ละเลงเลือดใครสักคนไปก่อนหน้า
“บ้าจริง ๆ “
ร่างสูงสบถแล้วผลุนผลันตามสตรีที่ล่วงหน้าลับสายตาไปแล้ว ทิ้งเจ้าแมวสีดำตัวน้อยให้นั่งเฝ้าบ้านและมองตามอย่างงุนงง
จากคุณ |
:
AMA-chun
|
เขียนเมื่อ |
:
2 มี.ค. 55 23:43:16
|
|
|
|