Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Psycho fear 2.5 : ปลายอุโมงค์ ติดต่อทีมงาน

ปลายอุโมงค์

ผมนั่งอยู่ในรถยนต์คันเดิม...

แผ่นหลังถูกโอบอุ้มไว้ด้วยเบาะผ้าที่ส่งกลิ่นอับอ่อนๆ ออกมาสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคย พวงมาลัยขนาดมาตรฐานที่จะออกอาการสั่นเล็กน้อยเมื่อจำเป็นต้องทำความเร็วให้สูงกว่าปกติ สัมผัสฝืดๆ ของคันเร่งเวลากดเท้าลงไป และกลิ่นหอมจางๆ ของใบเตยที่เริ่มจะแห้งแล้วด้านหลังรถ

ทุกอย่างในรถคันนี้ยังส่งผ่านความคุ้นเคยมาให้อย่างเคย แต่ทว่าสิ่งที่ต่างออกไปในขณะนี้ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกราวกับหลุดมาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง

โลกที่ผมเองก็ไม่อาจรับรู้ได้ว่าคือที่ใด

ปราศจากแสงสว่างแม้เพียงแค่อนุภาค ราวกับอสูรร้ายกลืนกินทุกสรรพสิ่งไปจนหมดสิ้น มันยากจะอธิบายหากไม่ใช้ความรู้สึก

...ช่างเป็นความมืดมิดที่เป็นยิ่งกว่าความมืดมิดทั้งหมดทั้งมวลที่เคยได้เห็นได้สัมผัสมาตลอดชีวิต...

เป็นเพียงประโยคเดียวที่พอจะนึกออกสำหรับใช้บรรยายสิ่งที่รู้สึกได้ในขณะนี้

ไม่มีบน ไม่มีล่าง ไม่มีหน้า ไม่มีหลัง เอื้อมมือออกไปไขว่คว้าได้เพียงความเวิ้งว้าง สายตาพุ่งแหวกความมืดเพื่อเข้าไปสู่ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด

...มันเวิ้งว้างมืดมิดเสียจนผมเองไม่แน่ใจว่านี่ผมมองไม่เห็นอะไรเลย หรือว่าสิ่งที่ผมกำลังเห็นอยู่มันคือสีดำสนิทของความมืดกันแน่...

คลับคล้ายคลับคลาว่าก่อนหน้านี้ลำโพงทั้งสี่ตัวที่ติดอยู่รอบห้องโดยสารยังคงขับกล่อมบทเพลงร่วมสมัยอย่างไพเราะ แต่ชั่วขณะนี้มันกลับส่งผ่านเพียงความเงียบเชียบออกมาถึงผู้ฟัง

ใช่...

มันเงียบมากจริงๆ เงียบจนผิดปกติ ไม่ใช่เฉพาะเครื่องเสียงเท่านั้น แต่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างต่างหาก หูทั้งสองข้างไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย แม้แต่เสียงหวีดหวิวที่เบาที่สุดก็ตาม

เงียบเสียจนนึกอยากตะโกนดูให้แน่ใจว่าหูของตัวเองไม่ได้ผิดปกติไป

...แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอย่างที่ใจคิด...

ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกเย็นเยียบที่สัมผัสได้นั้น มาจากการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพของเครื่องปรับอากาศซึ่งวันนี้ออกจะมีประสิทธิภาพมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ

...หรือว่ามันเป็นความเย็นเยือกที่มาจากสิ่งอื่นกันแน่...

เจ้าสี่ล้อยังคงเคลื่อนตัวต่อไป ผมไม่เห็น ไม่ได้ยิน เพียงแค่รับรู้ได้เท่านั้นว่ามันยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง มันยังคงทะยานไป ตรงไป มุ่งหน้าเข้าไปสู่ความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด

...สู่สถานที่ๆ ไร้สถานที่ เส้นทางที่ไร้เส้นทาง มุ่งหน้าไปสู่ความไร้จุดหมาย ไร้กาลเวลาเบื้องหน้า...

ไม่อาจแยกแยะได้ว่านานเท่าใด และในที่สุดช่วงเวลาหนึ่งก็มาถึง

ช่วงเวลาที่สิ่งแปลกแยกปรากฏขึ้นในขอบเขตสายตา แสงเรืองรองเปล่งประกายโดดเด่นออกมาจากฉากหลังได้อย่างน่าประหลาด

สายตาจับจ้องสิ่งที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ หรือถ้าไม่ใช่ก็อาจจะเป็นเจ้าสี่ล้อคู่ใจกำลังพาผมเข้าไปหา หรือไม่ก็อาจจะทั้งสองอย่าง

จากจุดแสงเล็กๆ แต่เดิมก็ขยายใหญ่ขึ้นจนเริ่มเห็นเป็นรูปร่าง รายละเอียดต่างๆ ค่อยๆ ถูกแต่งเพิ่มจนเห็นเด่นชัด แม้จะเป็นแสงจ้าแต่ก็นวลตาเย็นใจได้อย่างน่าเหลือเชื่อ สายตาเขม็งไปยังจุดหมายเบื้องหน้าราวเสือจ้องตะครุบเหยื่อ

...ภาพเด็กน้อยและชายหญิงคู่หนึ่ง...

โซ่ทองตัวน้อยที่คล้องใจคนทั้งสองให้เชื่อมต่อถึงกันผ่านทางมือเล็กๆ ที่ทั้งสองต่างโอบอุ้มมันไว้คนละข้าง ที่ไหนสักแห่งบนบาทวิถีที่มองไม่เห็น

รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าบุคคลทั้งสามทำให้รับรู้ได้ว่ามันช่างเป็นช่วงเวลาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขของครอบครัวใหม่ที่มีพร้อมแล้วในทุกองค์ประกอบ

เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่ภาพนั้นชัดเจนที่สุด ผ่านมาและผ่านไปอย่างรวดเร็วราวสายลมวูบหนึ่งที่พลิ้วผ่านผิวกาย ทุกสิ่งกลับเข้าสู่ความเป็นปกติที่แสนจะผิดปกติอีกครั้ง

จุดแสงจุดใหม่แผ่พุ่งความแตกต่างออกมาอีกครา ผมรู้สึกว่ามันเคลื่อนตัวเข้ามาหาเร็วขึ้น หรือไม่ก็รถยนต์คันเก่งคันนี้พาผมไปหามันเร็วกว่าเดิม หรือไม่ก็อาจจะทั้งสองอย่าง

ชายหนุ่มเอนกายอยู่บนตักของหญิงสาวคนรัก หูของเขาแนบชิดอยู่กับช่วงท้องซึ่งกลมนูนที่ชุดคลุมท้องไม่อาจปกปิดความเด่นชัดนั้นได้

ราวกับได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยในนั้นเคลื่อนไหว แทรกผ่านกาลเวลา มาจากที่ไหนสักแห่ง จนมาถึงโสตประสาทของผม

เพียงครู่เดียวภาพนั้นก็ถูกทิ้งไว้ให้อยู่เบื้องหลัง ปล่อยให้ผู้มองเก็บไว้ได้เพียงความรู้สึก

เจ้าสี่ล้อเคลื่อนตัวต่อไป มือประคองพวงมาลัยไว้หลวมๆ เท้าขวายังคงเหยียบคันเร่งด้วยอัตราเท่าเดิม นึกสงสัยจนอยากลองว่าหากยกเท้าขึ้นจากคันเร่ง หรือหากลองปล่อยมือออกจากพวงมาลัย เจ้าสี่ล้อนี่จะยังเคลื่อนตัวต่อไปแบบนี้ได้อีกไหม

...แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลองทำอย่างที่คิด...

เมื่อสักครู่หญิงชายในชุดวิวาห์เพิ่งเคลื่อนตัวผ่านไป มันเร็วยิ่งขึ้นกว่าภาพก่อน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้สัมผัส ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในรถยนต์ แต่กระแสลมไม่ทราบที่มาก็พัดผ่านเข้าลูบไล้ใบหน้าให้พอรู้สึกได้

กลิ่นหอมจางๆ ที่โชยมาตามสายลม ความอ่อนโยนที่มันหอบพัดมา ทำให้ผมแทบจะหลุดออกจากความมืดมิดรอบกายไปสู่ภวังค์แห่งความสุข

ภาพแล้วภาพเล่าเลื่อนไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องราวกับกระแสลมนั้นหอบพัดเอามันเข้ามาหา

ชายหนุ่มในชุดครุยยืนฉีกยิ้มอยู่กับพ่อและแม่ของเขา

หนุ่มน้อยในชุดนักเรียนกระโดดเข้ากอดพ่ออยู่หน้ากระดานประกาศผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย

แม่ที่มีรอยยิ้มอบอุ่นและเข้าอกเข้าใจเสมอ ยืนอยู่หน้าเวทีเคียงข้างเด็กชายในวันประกาศเกียรติคุณของโรงเรียน

กระแสลมอ่อนกลับเพิ่มทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่าใจหาย ภาพต่างๆ หลุดปลิวมาจากที่ไหนสักแห่ง มันดูเหมือนกับจะปลิวว่อนไปในทุกทิศทุกทางหากแต่สายตาผมกลับจับจ้องมันได้ทุกภาพไม่ขาดตกไปเลยแม้เพียงภาพเดียว

แม่และพ่อช่วยกันสวมชุดบัณฑิตน้อยสีฟ้าสดให้กับเด็กชายตัวอ้วนในวันจบการศึกษาชั้นอนุบาล ในมือของทั้งคู่นั้นถืออมยิ้มและหุ่นยนต์สำหรับเป็นของขวัญให้แก้วตาดวงใจ

แม่พาลูกชายตัวน้อยไปโรงเรียนครั้งแรก เสียงร้องไห้โยเยของเด็กชายดังแสบแก้วหูไปตลอดทางที่เดินผ่าน

ลูกน้อยกำลังวิ่งเล่นอยู่กับเพื่อนๆ ฉับพลันตัวเด็กน้อยก็หดเล็กลงเหมือนมีวิวัฒนาการย้อนกลับไปสู่ช่วงหัดพูด หัดเดิน หัดคลาน

และทารกก็ย้อนกลับไปขดตัวอยู่ภายใต้อ้อมกอดของผู้เป็นแม่

ผมรับรู้ได้...

...ความอบอุ่นและปลอดภัยที่ได้อยู่ในอ้อมกอดที่พร้อมจะปกป้องภยันตรายทุกอย่างในวันนั้น

ราวทำนบกั้นน้ำแตก ภาพต่างๆ พรั่งพรูออกมามากขึ้น เร็วขึ้น หากแต่คราวนี้มันหลุดออกมาจากในหัวสมองของผมเอง กระแสลมบิดม้วนเป็นเกลียวก่อเกิดเป็นพายุโถมเข้าใส่

ผมหลับตาเพราะไม่อาจต้านทางแรงลมได้ แต่แม้ในขณะนี้ที่ตาไม่อาจจับจ้องภาพอะไรได้อีก แต่จิตใจกลับเปิดกว้างรับเอาความรู้สึกทุกสิ่งที่เอ่อท้นออกมา

เธอ...

หญิงสาวที่มีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวแตกต่างจากแววตาอ่อนโยนที่ประดับอยู่บนใบหน้า เธอที่อยู่เคียงข้างผมตลอดมาแม้ในยามที่ลำบากที่สุดในชีวิต

และเขา...

เด็กน้อยที่มีแววตาดั่งแก้วใสเหมือนแม่ นิสัยขี้อ้อนที่ทำให้เหล่าบรรดาญาติสนิทมิตรสหายรักใคร่ได้ไม่ยาก เขากำลังน่ารักและกำลังเดินทางไปสู่เส้นทางแห่งอนาคตที่สดใส

ผมและเธอที่เฝ้าอดทนเลี้ยงดูทะนุถนอมหวังจะให้ทารกคนหนึ่งเติบใหญ่และทำหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี ความรักที่เหนือกว่าความรักทั้งปวงโอบอุ้มจิตใจของพวกเราให้อบอุ่นและพร้อมจะก้าวเดินไปข้างหน้า

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่กระแสลมบ้าคลั่งเมื่อสักครู่หยุดไป ความมืดมิดทั้งมวลมลายหายไปหมดสิ้น ทุกสิ่งกลับถูกทาทับด้วยแสงสว่างแรงกล้าจนไม่อาจจับจ้องสิ่งใด

ทุกสิ่งเบาโหวงราวไร้น้ำหนัก ร่างกายลอยคว้างไร้ทิศทางในห้องที่ทุกด้านเป็นสีขาว ความอิ่มเอม ตื้นตัน เอ่อท้นออกมาจากหัวใจ

ผมได้รับความรักความอบอุ่นมากมายขนาดนี้มาจากพ่อและแม่ผู้ซึ่งพยายามเลี้ยงดูผมมาเป็นอย่างดี ความเอาใจใส่และความมุ่งมั่นของท่านทั้งสองผลักดันผมให้มีตัวตนอยู่อย่างทุกวันนี้

ผมรับความสุขเหล่านั้นมาเก็บไว้เพื่อส่งต่อไปยังเจ้าตัวน้อยของผม ผมอยากเห็นเขาเติบใหญ่เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่และเป็นคนดีของสังคม

ผมอยากเห็นรอยยิ้มของทุกคน ในช่วงเวลาที่พวกเรามีความสุข ผมอยากจะเดินเข้าไปกอดเพื่อซึมซับเอาทุกความรู้สึกของทุกคนและบอกพวกเขาว่าผมรักพวกเขามากเพียงใด

สิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนเข้ามาและจากไปอย่างรวดเร็วดั่งเช่นสายลมที่พัดผ่าน แต่สิ่งที่เรียกว่าความสุขนั้นกลับรวดเร็วยิ่งกว่า มันไม่เคยหยุดรอให้ใครไขว่คว้าและดื่มด่ำไปกับมันได้นานอย่างที่ใจคิด

อยู่ที่เราจะสัมผัส จะรับรู้ จะให้คุณค่ากับสิ่งที่เรียกว่าความสุขนั้นมากขนาดไหนต่างหาก

และก็เป็นผมเองที่เพิ่งมารู้ตัวเอาตอนนี้ ผมที่ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นผ่านมาและผ่านไป ปล่อยให้สิ่งดีๆ เหล่านั้นอยู่เบื้องหลัง ปล่อยให้ความทรงจำดีๆ ที่ผ่านมาถูกเก็บอยู่ในอุโมงค์แห่งความทรงจำอันมืดมิด

แสงสว่างจางลง แรงดึงดูดดึงผมให้กลับมาสู่ที่เดิมที่ควรจะเป็น...

ในรถยนต์คันเดิม เบาะผ้าอับๆ ยังคงโอบอุ้มแผ่นหลัง พวงมาลัยขนาดมาตรฐานที่ออกอาการสั่นเมื่อต้องทำความเร็วเกินปกติ สัมผัสฝืดๆ เวลากดเท้าลงไปบนคันเร่ง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบเตยที่เริ่มแห้งแล้วด้านหลังรถ

เวลาเริ่มทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง

เสียงอื้ออึงหวีดหวิวไม่ได้ศัพท์ดังมาจากทุกหนทุกแห่งจนผมไม่สามารถแยกแยะเสียงใดๆ ได้ มือเท้าเย็นเฉียบจนไม่อาจสั่งการ

สิ่งที่ปรากฏในขอบเขตสายตาทำให้หัวใจรัวแรงราวต้องการจะหนีออกมาจากอก

ห่างออกไปในระยะเพียงชั่วอึดใจ มัจจุราชขนาดมหึมากำลังพุ่งตรงเข้ามาด้วยความดุดันอย่างที่สุด ความทรงพลังนั้นพร้อมจะกวาดทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้ามัน

ผมเคยคิดว่าตนเองเป็นคนตรงๆ ที่พร้อมจะยอมรับทุกสิ่ง เป็นคนที่ไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องความตาย ประเภทพร้อมจะจากโลกใบนี้ไปได้ทุกเมื่อแบบไม่ต้องห่วงอะไร

...แต่ในเวลานี้ผมได้รับรู้แล้วว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิดเลยแม้แต่น้อย...

ผมเพิ่งรู้ตัวว่ายังอยากทำอะไรให้กับพวกเขาที่ผมรักอีกมากมาย ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ผมอยากจะบอกพวกเขา

เพียงคิดแค่นั้น น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

เวลาของผมคงหมดลงแล้ว

มัจจุราชตนนั้นพุ่งตรงเข้ามาหา รู้สึกได้ถึงไอความเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากคมเคียวซึ่งบัดนี้จ่ออยู่ที่คอหอย

ผมหลับตา ปล่อยจิตใจให้หลุดลอยไปยังที่ไกลแสนไกล

จากคุณ : KTHc
เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 22:43:19




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com