.
“เดี๋ยวก่อนสิคู๊ณ!”
เสียงแข็งของนุชิตทำให้ร่างนั้นหยุดก้าวชะงัก ซึ่งทำให้นุชิตยิ้มด้วยความพึงพอใจ แต่ทว่ายามที่มันเหลียวกลับมามองนุชติตรงๆ ยิ่งทำให้นุชิตพบว่าความหงุดหงิดเหล่านั้นมันมีมากขึ้นไปอีก มากไปถึงขนาดที่ว่านุชิตต้องกำมือทั้งสองเป็นหมัดแน่นทีเดียว
เพราะมันกำลังหันกลับมามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า!
“แกพูดกับฉันเหรอ?”
แถมน้ำเสียงคำพูดที่ไม่ไม่มีหางเสียง แทบทำให้นุชิตกระโจนใส่อีกฝ่ายทันที ถ้าไม่มีร่างสูงๆ ของใครอีกคนถลามาดึงแขนนุชิตไว้ทัน
“ชิต!”
“พี่รักษ์ปล่อยผมนะ ผมจะสั่งสอนไอ้คนไม่มีมารยาทนี้ซะหน่อย แต่งตัวก็ดี แต่ไม่มีมารยาทชะมัด!”
“ไอ้บ้านนอก แกว่าใครวะ!” และคนแต่งตัวดี แต่ไม่มีมารยาทในสายตานุชิตก็ออกอาการเกรี้ยวกราดขึ้นมาทีเดียว แถมยังชี้หน้าด่านุชิตกลับอีก
“ก็ว่าแกนั่นแหละ ไอ้คนไม่มีมารยาท แกไม่เห็นเหรอว่าที่ตรงนี้ รถคันนี้กำลังจะเข้าไปจอด แต่แกก็พุ่งเข้ามาเสียบแทน แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าไม่มีมารยาทแล้วจะให้เรียกว่าอะไร!” “ชิตพอแล้วน่า!”
ชายในชุดสูทเนี๊ยบทั้งตัวที่ดูเหมือนจะโดดเด่นกว่าคนในงานเนื่องจากการแต่งตัวด้วยความเรียบหรูที่ว่ารีบตวัดสายตาขุ่นขึ้นไปมองหน้าเจ้าของเสียงเข้มนั้นทันที นอกจากจะมีน้ำเสียงเข้มแข็ง ดวงหน้าคมคายนั้นก็สะดุดตาและให้ความรู้สึกไม่ถูกชะตาดีพิลึก จนธาวินต้องกระตุกยิ้มมุมปากในทำนองดูแคลนทันที
รถกระบะตอนเดียวคันเก่าๆ ผุๆ คันนี้เหรอ โธ่ กระจอกทั้งคนทั้งรถ ยังมีหน้าคิดจะมาเทียบชั้นกับตนและรถหรู การที่ชายหนุ่มสองคนนี่ทำโวยวายก็คงจะทำไปงั้นๆ เขาเคยเห็นมานักต่อนัก พวกคนจนที่ชอบทำโวยวายเสียงดังจะมีอะไรถ้าไม่ใช่ เรื่องเงินคำเดียว
“โธ่เว้ยย นึกว่าเรื่องอะไร” หลังจากส่งสายตาเหยียดหยามให้กับชายหนุ่มอันแสนกระจอกงอกง่อย ธาวินก็หยิบธนบัตรใบสีม่วงหนึ่งใบ มายื่นให้ สองหนุ่มต่างวัยตรงหน้าและคนที่ถูกยื่นต่างขมวดคิ้วมุ่นมองด้วยความไม่เข้าใจจนกระทั่งน้ำเสียงของธาวินดังขึ้นกระชั้นในลักษณะเร่งเร้าให้มารับเงินจากมือไปนั่นเอง
“อ้าว นี่ถือว่าเป็นค่าจอดไง เอาไปสิ !”
ทั้งรักษ์ไทและนุชิตก้มมองเงินในมือหนาตาขุ่น แต่รักษ์ไทเก็บอารมณ์ได้ดีกว่าเพียงแค่ขมวดคิ้วเท่าแค่นั้นแต่กับนุชิตไม่ใช่ ชายหนุ่มยื่นมือไปปัดเงินในมือหนานั่นทิ้งอย่างไม่ลังเลเลย เพราะเขารู้สึกเหมือนโดนเอาเงินฟาดหน้าอย่างจัง
“เราไม่ต้องการเงินของแก!”
“เฮ๊ย!!”
“อย่ามาดูถูกเราสองคนดีกว่านิดๆ หน่อยๆ ก็ใช้เงินแก้ปัญหานอกจากจะไม่มีมารยาทคุณมันก็มักง่ายด้วย”
ธาวินตาลุกวาวขึ้นมาทีเดียวมองเงินในมือที่ปลิดปลิวร่วงสู่พื้น ก่อนจะหันหน้ากลับมาจ้องหน้านุชิตต่อ เวลานี้เขาชักจะหมดความอดทนไปกับหนุ่มสองคนที่แต่งเนื้อแต่งตัวก็ไม่มีคลาสเท่าไหร่นี่แล้วสิ มันมางานบิดาของกลิ่นแก้วผู้มีชื่อเสียงในพื้นที่กลับแต่งตัวเอาง่ายๆ แค่เสื้อยืดทับด้วยเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์แค่นั้นเอง
“แกสองคนนี่ต้องการอะไรวะ อ้อ หรือว่ามันน้อยไปห๊า แค่ห้าร้อยบาทนี่มันไม่พอใช่มั้ย ทำมาเป็นเรื่องมาก ตีสำนวน เอาเพิ่มให้แกคนอีกใบก็ได้ แล้วไปหาข้าวอร่อยๆ กินที่อื่นนะไอ้น้อง จะได้ไม่ต้องมาหากินฟรีแถวนี้”
“แก!!” นุชิตถลาเข้าไปหมายจะชัดหน้าชายหนุ่มแต่งตัวดีตรงหน้า แต่รักษ์ไทก็คว้าตัวได้ทันอีกรอบ
“ชิต”
“ทำไม จะทำอะไรฉัน” ธาวินกรอกเสียงออกไปอย่างยียวน รู้สึกมีความสุขสุดๆ ยามได้อัดไอ้ชายหนุ่มหน้าจืดนั่นกลับไปด้วยความพูดแสบสันต์
“รู้ไว้ซะ! ไอ้เงินที่ฉันให้แกไปนี่ ส่วนหนึ่งฉันให้ก็เพราะว่าเมตตา ความจริงพื้นที่ในบ้านหลังนี้ ฉันจะอยากจอดรถเอาไว้ที่ไหน ก็ย่อมทำได้ เพราะฉันน่ะ เป็นคนรักของลูกสาวเจ้าของบ้านนี้โว้ยย”
คำพูดของผู้ชายแต่งตัวดีตรงหน้า ทำเอารักษ์ไทและนุชิต ตะลึง หูฟาดไปในบัดดล
ผู้ชายคนนี้ หมายถึงกลิ่นแก้วอย่างนั้นหรือ!
ธาวินเหยียดสายตามองอาการตะลึงงันของสองหนุ่มตรงหน้า ให้นึกว่า ทั้งสองตกใจที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนรักของกลิ่นแก้ว เขาก็ยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่องหนักกว่าเดิมอีก จึงยื่นคอออกไปล้อเลียนชายหนุ่ม ก่อนจะกระชับเสื้อสูทให้เข้าตัว แล้วเดินออกไปในทันที
“พะ พี่รักษ์ พี่ได้ยินเหมือนผมมั้ย?”
นุชิตโคลงศีรษะหันไปถามรักษ์ด้วยความฉงน แต่เขาก็พยักหน้าขึ้นลงเบาๆ แทนคำตอบ ก่อนจะหันกลับไปเพ่งมองหลังของร่างสูงผู้ชายคนนั้นต่อจนลับตา
เพียงเพราะเป็นผู้ชายประเภทนี้หรอกหรือ ที่กลิ่นแก้วกล้าบุกไปต่อว่าเขาถึงที่ไร่?!
ร่างสูงที่ทอดมองบ้านทรงไทยหลังตระหง่านตรงหน้า กับรถยนต์ที่เข้าไปจอดนับหลายๆ คันบ้านหลังใหญ่ที่ประดับประดาไปด้วยดวงไฟหลากสีสันที่ทอดยาวไปแนวทางตามต้นไม่ใหญ่ที่มุ่งไปสู่บ้านหลังนั้น
หลังจากเดินห่างจากรถที่จอดเอาไว้ ธาวินเดินเข้าไปในงานด้วยท่าทางสง่า ขยับสูทตัวหรูให้เข้ากับตัวด้วยท่าทางภูมิฐานงานเลี้ยงตอนกลางคืนเขาชินแต่งานเลี้ยงหรูหราตามโรงแรมดังๆ ที่มีแต่เฉพาะคนดังๆ มาร่วมงานเพียบและนี้ก็เช่นเดียวกัน ธาวินอมยิ้มด้วยความสบายใจ เขาหวังจะฉวยเอาโอกาสในงานค่ำคืนนี้แหละ เปิดตัวให้กับคนที่นี่รู้อย่างเป็นทางการเลยว่าเขานี่แหละคือว่าที่ลูกเขยของกำนันเพิ่มศักดิ์ ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในพื้นที่นี้
ธาวินก้าวด้วยท่าทางภูมิฐาน มีมาดดีไม่เท่าไหร่ ขายาวๆ สองขาต้องหยุดก้าว พร้อมกับอาการขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อจู่ๆ ก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กสี่ห้าคน ต่างเดินออกมาจากพุ่มไม้ แล้วยืนขวางทางเขา ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์แปลกๆ
“น้องกลิ่นพี่มาถึงงานแล้วนะ!”
เสียงสั่งปนหงุดหงิดของธาวินดังผ่านมือถือเครื่องบางๆ ทำเอากลิ่นแก้วที่กำลังแต่งตัวอยู่ในห้องนอน พิศวง เสียงของเขานั้นส่ออาการกินรังผึ้งมานั้นชัดเหลือเกิน
“ทำไมคะพี่วิน ตอนนี้?”
“ใช่! พี่กำลังจะเดินเข้างานแต่ว่า ...โว้ยอย่าจับสิ! สูทตัวนี้แพง!”
เสียงโกนที่ดังเล็ดมาอีกครั้งทำเอาคนที่กำลังถือมือถือแนบหูสะดุ้งโหยงขึ้นมาทันที กลิ่นแก้วมองผ่านเข้าไปในมือถือตาปริบๆ ราวกับมองให้เห็นคนที่อยู่ในสายว่าเป็นอะไร ทำไมต้องตวาดเสียงดังลั่นอย่างนั้นและก่อนที่กลิ่นแก้วจะถามอะไรออกไปอีกฝ่ายก็ตะเบ็งเลียงเร่งเร้าให้เธอรีบลงไปช่วยเหลือเขาให้ไวที่สุด
“น้องกลิ่น! ทำอะไรอยู่ลงมาช่วยพี่หน่อยสิ!”
“ได้ค่ะๆ! ตอนนี้พี่วินยืนถึงตรงไหนแล้ว?”
“ก็ตรงลานจอดรถนี่แหละ เร็วก่อนที่เจ้าเด็กทโมนพวกนี้มันจะ..!”
เด็กทโมนเหรอ?? กลิ่นแก้วโยนมือถือลงบนเตียงและวิ่งปิดกระตูห้องให้เร็วจี๋เพื่อจะลงไปช่วยธาวิน นึกสังหรณ์ใจตงิดๆ ตอนที่เขาพูดคำว่า…เด็กทโมนพวกนี้!
. กลิ่นแก้ววิ่งมาตามหาธาวิน เดินอย่างรวดเร็วจนสวนทางกับบิดาและจุกที่กำลังยืนต้อนรับแขกเหรื่ออยู่ตรงซุ้มทางเข้างาน
“อ้าวกลิ่นแก้วมาแล้ว กำลังจะให้เจ้าจุกไปตามพอดี” กำนันเพิ่มศักดิ์หันไปยิ้นให้บุตรสาว แต่..
“เดี๋ยวก่อนนะคะพ่อ กลิ่นรีบ!” และกลิ่นแก้วก็พูดเพียงเท่านี้ก่อนจะสาวเท้าออกไปด้วยท่าทางที่ร้อนรนพอควร
กลิ่นแก้วซอยเท้าแต่โดยเร็วด้วยความนึกเป็นห่วงธาวินจนไม่มีเวลามองอะไรทั้งสิ้นแม้กระทั่งขณะจะเลี้ยวตรงทางเดินที่มีพุ่มต้นไม้สูงระดับอก สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น หญิงสาวเดินร็วๆ ไปชนเข้ากับอกกว้างของใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง จนเธอต้องล้มสะโพกกระแทกเข้ากับพื้นที่โรยด้วยก้อนกรวดแข็งๆ ทันที
“โอ๊ย!” หญิงสาวอุทาน ช้อนตาขึ้นมองเจ้าของอก เตรียมจะต่อว่าต่อ “เดินยัง..!”
ผู้ชายตัวสูงอีกคนที่ยืนอยู่เป็นเจ้าของอกหนาที่เธอพุ่งใส่จนเสียหลักหกล้มลงนั่งจุมปุกอยู่บนพื้นที่โรยด้วยกรวดแข็งๆ เสียด้วย
ซวย! กลิ่นแก้วให้คำนิยามเวลาที่เจอผู้ชายตรงหน้าได้เพียงคำเดียวนั่นคือคำว่า ซวย...เจอเขามาสองครั้ง ทำให้เธอเจอแต่เรื่องซวยๆ
ซวย ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า กำลังด่าเขาทางสายตา ที่เขาอ่านออกได้เช่นนั้น เธอคนนี้ถึงปากจะเม้มสนิทแน่นแต่แววตาคู่สวยทั้งคู่นั้นส่อแววพาลได้ดีเหลือเกิน
“คุณวิ่งมาชนผมเองนะ” ถึงกลิ่นแก้วไม่ได้ต่อว่าเขาออกมาตรงๆ แต่แววตาของเธอต้องทำให้เขารีบออกตัวไปอย่างที่เห็น
“ฉันก็วิ่งมาตามทางของฉัน! คุณต่างหากที่บทจะเลี้ยวทำไมไม่ดูดีๆ เสียก่อน...” “อ้าว! “ รักษ์ไทอุทาน เบิกดวงตามองผู้หญิงตรงหน้า เธอไม่เพียงแต่พาลอย่างเดียว แต่ยังมีพรสวรรค์หาเหตุผลมาว่าเขาอย่างข้างๆ คูๆ อีกด้วย
“ไม่ต้องมาอ้าว หลีกทางไปเดี๋ยวนี้เลย!”
น้ำเสียงออกคำสั่งเต็มที่ นึกอยากจะทำให้เขาลองดีกับเจ้าของน้ำเสียงนี้ขึ้นมาด้วยอารมณ์ปลอดโปร่ง “แล้วถ้าผมจะไม่หลีก?”
กลิ่นแก้วช้อนสายตาขุ่นมองผู้ชายคนนี้อย่างเต็มตาอีกครั้ง ริมฝีปากคู่บางเม้มเข้าด้วยกันแน่น ดูเขาทำสิ ยังมีหน้ามาวางท่าทั้งๆ ที่เขายืนอยู่นี่นั้น คือบ้านของเธอแท้ๆ!
“หลีก !” สั่งเสียงดังกว่าเดิมยังไม่พอ กลิ่นแก้วยังกระทืบเท้าเร่าๆ ประกอบ และทำท่าจะเดินชนเขา แต่ร่างสูงที่ยืนกอดอกตรงหน้า ก็ทำท่าราวภูผาใหญ่มิยอมขยับเขยื้อนไปไหนแม้แต่น้อย
ยักษ์! กระทืบเท่าเร่าๆ เอาแต่ใจ นี่มันท่าทางของนางยักษ์แท้ๆ รักษ์ไทนึกไปด้วยความอิดหนา แต่ไม่ได้ส่ายหน้าให้อย่างใจคิด เพียงแต่เขากลัวว่าถ้าส่ายหน้าให้กับเธอด้วยความอิดหนาเต็มพิกัด นางยักษ์ตรงหน้าจะกระโดดหักคอเขาทิ้งเสียหรือเปล่านี่?
แต่รักษ์ไทก็ไม่ยอมเปิดทางให้เธอยืนนิ่ง พร้อมทั้งหลุบสายตาแห่งความไม่รู้สึกจ้องวงหน้าเธอตลอด
เมื่อเห็นว่าผู้ชายตัวสูงตรงหน้า คงไม่ยอมทำตามความต้องการของเธอง่ายๆ ริมฝีปากบางที่เม้มแน่นก่อนหน้า ก็ขยันเขยื้อนออกคำสั่งกับชายหนุ่มที่ยืนทำสีหน้าไม่ดีตั้งแต่ต้นแทน “นุชิต!!”
“ขะ ....ครับ”
“บอกลูกพี่ของนุชิต หลีกทางให้เดี๋ยวนี้!!”
“เอ่อ....”
“ดูท่าทางเขาสิชิต ท่าทางจะฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเสียด้วย..”
“ชิต!”
“ขะ... ครับพี่รักษ์”
“บอกคุณผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าพี่เดี๋ยวนี้ ว่าพูดเพราะๆ เป็นมั้ย ได้ข่าวว่าจบตั้งเมืองนอกเมืองนาไม่ใช่รึ การศึกษาก็สูงแต่ทำไม... เอ่ หรือว่าการศึกษาไม่ได้ช่วยพัฒนาคนเลย” “คนบ้าๆ! คนบ้าๆๆ! มันจะมากไปแล้วนะ!”
รักษ์ไทเอ่ยตำหนิเธอยังไม่หมด คงด้วยความทนไม่ได้กระมัง ถึงกลับทำให้กลิ่นแก้วตวัดนิ้วขึ้นมาระรัวหน้าเขาเต็มที่เลย ชายหนุ่มขยับมุมปากอมยิ้มพึงพอใจ ที่สามารถทำให้หญิงตรงหน้าออกท่าทางได้ขนาดนี้
และในเวลาเดียวกันนุชิตที่เป็นเสมือนเป็นคนกลางก็ทำสีหน้าไม่ถูกทีเดียว ไม่ว่าทางไหนต่างก็ทำให้ตนลำบากใจได้ทั้งนั้น และก่อนที่นุชิตจะลำบากใจไปกว่าเดิม คนที่ยืนดุจภูผาแกร่งจำเป็นต้องขยับหลีกทาง พร้อมผายมือข้างหนึ่งนำทางให้เธอไป ที่ๆ ยอมให้ไม่ใช่ว่าอะไรหรอก เพียงแต่รักษ์ไทเห็นว่ามันจะเหนื่อยเปล่าที่สื่อสารกับคนที่ดูไร้วุฒิภาวะเช่นเธอ
นี่ถ้าไม่เห็นว่าตัวเองจำต้องไปช่วยธาวินจากเด็กทโมน กลิ่นแก้วจะอยู่ฉะกับผู้ชายคนนี้อีกแน่ๆ สุดท้ายกลิ่นแก้วจึงต้องรีบก้าวผ่านร่างสูงนั้น พร้อมจงใจใช้หัวไหล่กระแทกอกข้างหนึ่งของผู้ชายคนนี้ให้หายเจ็บใจ จนรักษ์ไทถึงกับเซแล้วมองตามร่างไปด้วยการตวัดผ่ามือข้างหนึ่งมาลูบตรงที่เธอฝากอาการขัดกเล็กๆ เอาไว้สลับกัน
“นี่เหรอกลิ่นแก้ว ทำไม..ถึงดู??”
“ดูอะไรชิต?”
“ขี้วีนชะมัดไม่เหมือนอย่างที่ผมคิดเอาไว้เลย”
รักษ์ไทเพียงหัวเราะหึๆ กับคำพูดของนุชิตแล้วส่งสายตามองตามหลังเธอ พลอยให้นึกว่ามีอะไรหรือเปล่าที่ทำให้เธอต้องรีบเดินไปอย่างนี้ เขาอ่านจากสีหน้าร้อนรนของเธอออก ร้อนรนเสียจนที่ว่าเธอไม่มีกะใจที่จะทะเลาะกับเขาแม้แต่น้อยนั่นเอง
(มีต่อ)
.
แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 12:18:39
แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 10:36:18
จากคุณ |
:
พิณพลอย
|
เขียนเมื่อ |
:
5 มี.ค. 55 08:40:47
|
|
|
|