เขาไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด รอบกายมีเพียงความมืดมิด ไม่ใช่ มันไม่ใช่ความมืด มันเป็นมากกว่านั้น มันคือความว่างเปล่า ยิ่งกว่านั้น เขาคือใคร คืออะไร แล้วทำไมเขาจึงแตกต่าง ทำไมเขาจึงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความว่างเปล่านี้ เขาคือใคร คืออะไร กันแน่ เวลาผ่านไป หรือไม่ได้ผ่านไป นาน หรือไม่นานเท่าไร เขาไม่อาจบอกได้ แล้วเขาก็เริ่มรู้สึก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด ที่มันไม่ใช่เพียงความว่างเปล่าอีกต่อไป เขารู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือน การเต้นของหัวใจที่แผ่วเบา ตัวโน๊ตดนตรีเดี่ยวๆ ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง จังหวะการเต้นที่แสนเชื่องช้า เนิบนาบ ดำเนินต่อไป ไม่รู้ว่านานเท่าใด เป็นอีกครั้งที่มันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว ตัวโน๊ตบางตัวรวมเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นเสียงใหม่ขึ้นมา แล้วมันก็เริ่มการบรรเลง เป็นบทเพลงที่แสนจะเรียบง่าย เสียงนั้นทำให้เขาเกิดมโนภาพบางอย่าง ผืนน้ำกว้างไกลสุดสายตา ที่อยู่ข้างใต้ คือเหล่าตัวโน๊ตที่กำลังล่องลอยไปมา จังหวะค่อยๆ เพิ่มความเร็ว เสียงต่างๆ ผสมผสานเข้าด้วยกัน มโนภาพนั้นก็เปลี่ยนไป จนกระทั่งสีหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น มันคือสีเขียวที่กระจ่างจ้างดงาม บทเพลงดำเนินไป ความสลับซับซ้อนของมันเพิ่มมากขึ้น ตัวโน๊ตสอดประสานเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน เกิดเป็นมโนภาพขึ้นมาเป็นระยะ ผืนป่า ฟ้ากว้าง สายน้ำ ภูเขา และเหล่าตัวโน๊ตที่ทวีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างหลากหลาย จังหวะไต่ระดับ ตัวโน๊ตใหญ่ส่งเสียงคำราม พวกมันคืบคลานไปทั่วทั้งบทเพลง กระแทกกระทั้นท่วงทำนอง ส่งมันไปจนถึงขีดสุด ตัวโน๊ตต่างๆ ดิ้นรนด้วยความสับสน ก่อนที่ทุกอย่างจะคลี่คลาย บทเพลงแปรเปลี่ยนท่วงทำนองไปจากเดิม ทอดยาว เนิบช้า ผืนน้ำแข็งเย็นเยียบทอดไกลสุดสายตา แต่ยังคงดำเนินต่อเนื่องไม่ขาดตอน ทันใดนั้นเสียงตัวโน๊ตเดี่ยวตัวหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น มโนภาพที่มาพร้อมกับเสียงแปลกปลอมนั้น คือทารกกำลังอ้าปากร้องไห้ โน้ตตัวนั้นเต้นรำไปตามท่วงทำนองของบทเพลง ก่อนที่มันจะเริ่มสร้างเสียงที่แปลกแยกออกมาเป็นครั้งคราว ทำให้ท่วงทำนองของบทเพลงเริ่มผิดเพี้ยนไปทีละน้อย เสียงที่แปลกแยกนั้นเพิ่มความถี่มากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันทำลายเสียงตัวโน๊ตอื่นๆ อีกหลายตัวลงไป กลืนกิน หักล้าง แทรกแซง เปลี่ยนจังหวะ ขัดขวางท่วงทำนอง จนทำให้ความไพเราะของบทเพลงทั้งหมดลดน้อยลงเรื่อยๆ เสียงที่แปลกแยกกระแทกกระทั้น ไม่สนใจสิ่งใด มันลุกลามไปจนทั่วทั้งบทเพลง ทำลายแม้กระทั่งเสียงของพวกมันเอง จนเขาคิดว่าในไม่ช้าบทเพลงนี้จะต้องจบสิ้นลง น่าแปลก ที่บทเพลงยังคงดำเนินต่อไปได้ ถึงแม้ว่ามันจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แม้จะยังคงเป็นเสียงที่แปลกแยก แต่สุดท้ายก็ถูกหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับบทเพลง เป็นส่วนหนึ่งของท่วงทำนองใหม่ เป็นบทเพลงอันแสนเศร้าที่ยังคงบรรเลงต่อไปไม่หยุด ทั้งหมดนี้คืออะไร เขาคือใคร คืออะไรกันแน่ ประพันธ์ ดุริยดารา เสียงนุ่มนวลดังขึ้นที่ข้างหู เสียงของใครคนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด คำพวกนั้นคืออะไร หรือว่า มันจะเป็นชื่อเรียกของเขา คีย์...กลับมา มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากบทเพลงเศร้าที่บรรเลงอยู่โดยรอบ เขาเอื้อมความรู้สึกออกไปจับมือข้างนั้น ความอบอุ่นถูกถ่ายทอดผ่านมา เขาพลันรู้สึกถึงตัวตนได้อีกครั้ง เขาคือมนุษย์คนหนึ่ง เขาคือ ประพันธ์ ดุริยดารา เขาคือ คีย์ คีย์ ลืมตาขึ้น และได้พบเห็นดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองมา ตอนแรกเขายังนึกอะไรไม่ออก แต่แล้วความทรงจำทั้งหมดก็ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว การโจมตีครั้งสุดท้ายของผู้อาวุโสที่เขามองไม่ทัน กลับปรากฏฉายชัดขึ้นในความคิดราวกับเป็นภาพช้า ช่วงเวลาที่ คิ พลังอันร้อนแรงถูกถ่ายทอดเข้าสู่ร่าง คล้ายกับยาวนานไม่รู้จบ 'ฉันตายไปแล้ว' ไม่ เธอยังไม่ตาย เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นอีกครั้งในโลกแห่งความเป็นจริง เขายกมือข้างที่ว่างอยู่ ขึ้นมาทาบบนหน้าอกของตนเอง การเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหวของลมหายใจ ความรู้สึกถึงตัวตนที่มีอยู่อย่างเข้มข้นครบถ้วน เขายังคงมีชีวิต เขายังไม่ตาย 'เมื่อครู่นี้ มันคืออะไรกัน' จงจดจำมันไว้ให้ดี เธอจะเข้าใจเมื่อเวลานั้นมาถึง เขามองดูดวงตาคู่เดิมนั้นอีกครั้ง ความรู้สึกถึงหัวใจ การเคลื่อนไหวของหน้าอก ของใครอีกคนหนึ่งถูกส่งผ่านมาจากมืออีกข้างซึ่งถูกเกาะกุมเอาไว้ ในนั้นยังมีความรู้สึกอย่างอื่นผสมอยู่ด้วย เป็นความนุ่มนวลที่อธิบายไม่ได้ เจ้าของดวงตาคู่นั้นหน้าแดงวูบ ก่อนรีบปล่อยมือของเขาที่เธอจับมาวางทาบไว้บนทรวงอกของตนเอง ความรู้สึกเหล่านั้นพลันหายวับไป เขารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซึมซับรับรู้มันเอาไว้ให้มากกว่านี้ เขาค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง โดยมีเธอช่วยประคอง คราวนี้เขาเห็นเธอได้ถนัดตา และจดจำได้ในทันที เธอคือผู้ที่มีเสียงร้องอันงดงาม เจ้าของนามที่แสนไพเราะ แพรดาว นั่นเอง เบื้องหลังห่างออกไปเล็กน้อย ยังมีใครอีกคนหนึ่งยืนอยู่ กำลังมองดูเขาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก เขาคือ เนวิ เจ้าของผิวสีคล้ำผู้นั้น ...เกิดอะไรขึ้นครับ เนวิเป็นผู้ตอบคำถามนี้ โดยมีแพรดาวนั่งฟังเงียบๆ เขาบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกมา ทั้งเรื่องที่คีย์รู้อยู่แล้ว รวมถึงเรื่องหลังจากที่เขาล้มลงไป ทริกแย่งชิงเพชร เกือบจะฆ่าเขา แล้วหลบหนีไปด้วยรถ หลังจากนั้นเธอจึงพาเขามาที่ห้อง ก่อนที่จะฟื้นคืนสติมา แต่ไม่ได้บอกว่าเขาคัดค้านมากเพียงใด ในการที่จะให้เขาเข้ามาภายในห้องส่วนตัวของเธอ คุณหมดสติไปหลายชั่วโมงทีเดียว เขายังบอกถึงเรื่องที่ทริกออมมือไว้ ซึ่งมารับรู้ในภายหลังจากคำบอกเล่าของแพรดาวอีกที และเขาเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่ามันเป็นความจริง ผู้อาวุโสคนนั้นคือทริกจริงๆ หรือ ไม่น่าเป็นไปได้เลย คีย์ยังคงติดใจสงสัยในเรื่องความแตกต่างของขนาดร่างกายนั้น แต่เขาก็เชื่อว่ามันเป็นความจริง 'นั่นคือที่มาของความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดที่เกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางนั่นเอง' ดูเหมือนการหลบหนีของเขาจะสิ้นสุดลงแล้ว 'ทริกได้เพชรไป และฉันพ่ายแพ้' ถ้าไม่นับถึงเรื่องชะตากรรมของเพื่อนๆ ที่ยังไม่อาจรับรู้ ไอพี กับเอสยูที่ต้องสูญเสียไป และความรู้สึกเสียใจที่ไม่อาจทำตามคำสั่งเสียของผู้เป็นบิดาได้ ตอนนี้เขากลับรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด 'ในเมื่อทริกไม่ได้ฆ่าฉัน บางทีหล่ง กับจูเลียตเอง ก็อาจจะยังคงมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้' เนวิหันไปทางประตู แพรดาวพยักหน้า ประตูจึงเลื่อนเปิดออก ชายในชุดขาวคนหนึ่งก้าวเข้ามา ขออภัยด้วยครับท่านจักรวาลตาร มีเรื่องเร่งด่วนต้องรายงานท่านอวตารทันที เขาแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมให้กับแพรดาว ก่อนเข้าไปพูดคุยเบาๆ กับเนวิ ที่แท้เนวิก็คือ อวตาร แต่ที่สำคัญกว่านั้น คีย์หันไปมองดูผู้ที่ถูกเรียกว่า จักรวาลตาร ไม่น่าเชื่อเลยว่าแพรดาวผู้นี้จะเป็นผู้นำสูงสุดของศาสนจักรแห่งแห่งศาสนาจักรวาล ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ เธอพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งสองคนจะทำความเคารพ แล้วเดินออกจากห้องไป ความเงียบที่น่าอึดอัดเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง เอ่อ...ท่าน... เธอรีบยกมือขึ้นห้าม อย่าเรียกเราอย่างนั้นเลย ตอนนี้ร่างกายของเธอเป็นอย่างไรบ้าง เขาลองขยับตัว ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแตกหักเสียหาย นอกจากอาการปวดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ถ้าอย่างนั้น พวกเราออกไปข้างนอกดีกว่า เธอจะได้พบเห็นชีวิตในยามเลิกงานของพวกเรา เธอช่วยเขาลงมาจากเตียง ก่อนที่ทั้งสองจะออกจากห้องไปด้วยกัน เอ่อ...ตอนที่ผมพึ่งฟื้นคืนสติมา คุณพูดอะไรกับผมหรือเปล่า แล้วก่อนหน้านั้น ตอนที่ผมสลบอยู่...คุณ...เอ่อ... เขาไม่รู้ว่าจะถามอย่างไรดี มีอะไรบางอย่างที่คิดว่าสำคัญเกิดขึ้น แต่เขานึกไม่ออก มันยังอยู่ตรงนั้น ในความทรงจำของเขา แต่เขากลับไม่สามารถนำมันออกมาได้ เธอยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ บางทีเธออาจจะนึกออกเองเมื่อถึงเวลา ในระหว่างนี้เธอควรคิดว่า จะทำอย่างไรต่อไปดีกว่า เขารับฟังคำพูดนั้น 'จริงสิ ฉันจะทำอย่างไรต่อไปดี อย่างแรก คงต้องรีบหาทางกลับโรงเรียนให้ได้เสียก่อน' เสียงของผู้คนดังมาให้ได้ยิน ก่อนที่ภาพของพวกเขาจะปรากฏให้เห็น นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยคุ้นเคย คนเมืองมักสนใจอยู่กับไอพีของตนเองเท่านั้น ไม่บ่อยครั้งนักที่พวกเขาจะจับกลุ่มพูดคุยกัน และมันก็ไม่เคยมากถึงขนาดนี้ ภายในทางเดินเต็มไปด้วยหนุ่มสาว เดินคุย จับกลุ่ม ทักทาย แตกต่างไปจากทางเดินว่างเปล่า ที่เขาเดินผ่านไปก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เลยเวลาแล้ว เรารีบไปที่ห้องอาหารกันเถอะ เธอบอกพร้อมกับเดินนำ ผู้คนที่พบเห็นต่างหยุดพูดคุย หันมาแสดงความเคารพ ทักทายเธอ บางคนมองดูเขาด้วยสายตาสงสัย แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็จะหันกลับ ส่งเสียงหัวเราะ ตบหลังตบไหล่ พูดคุยกันอย่างออกรสต่อไป 'ดูเหมือนผู้คนเหล่านี้จะมีความสุขกันดี' มันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอเห็นหรอกนะ เธอพูดโดยไม่หันหน้ากลับมา พวกเราเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคนเมืองเลยแม้แต่น้อย ทั้งความสุข ความเศร้า ปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเราต่างก็มีเหมือนๆ กัน อาจจะในรูปแบบที่แตกต่าง เพราะพวกเราต่างก็มีชีวิต และนั่นคือสิ่งที่ชีวิตมอบให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เขาคิดตาม 'นั่นคือส่วนหนึ่งในแนวคิดของศาสนาจักรวาลอย่างนั้นหรือ' เธอก้าวผ่านประตูเลื่อนเข้าไปในห้องกว้างที่มีโต๊ะ และเก้าอี้จำนวนมาก ผู้คนในนั้นทำให้เขารู้สึกตาลาย เธอนำเขาไปยังโต๊ะที่ยังว่างอยู่ ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่า ได้มีผู้ติดตามพวกเขามาด้วยตั้งแต่แรกแล้ว ชายหนุ่มในชุดขาวท่าทางเงียบขรึมจำนวนหนึ่งคอยยืนอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่หญิงสาวในชุดขาวสองคน เป็นผู้ไปนำอาหารมาให้กับพวกเขา 'คนพวกนี้เป็นใครกัน' เขามองดูด้วยความสงสัย เธอมองตามสายตาของเขาไป เพราะเราไม่ใช่แค่เป็นแพรดาว แต่ยังเป็นจักรวาลตารด้วย มันคือความจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้... เธอลดเสียงให้เบาลง ...เราเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน ที่ต้องมีคนคอยติดตามแบบนี้ เห็นไหม ใครๆ ก็มีปัญหาทั้งนั้น เธอยิ้ม แต่เขาคิดว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ฝืนเต็มที เขาหันมองไปรอบห้องอาหารอย่างสนใจ มีเด็กๆ อยู่ในนี้ด้วยจำนวนไม่น้อย และพวกเขาต่างอยู่กับพ่อแม่ที่ยังหนุ่มสาว เป็นครอบครัวเดียวกัน เด็กหลายคนจับกลุ่มกันเล่น ในขณะที่พ่อแม่ของพวกเขาเองก็จับกลุ่มพูดคุย เป็นความสัมพันธ์ที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ผู้ติดตามสาวนำอาหารมาให้เธอ และมีส่วนของเขาด้วย เธอเป็นแขกของเรา อย่าได้เกรงใจ เขาไม่เคยกินอาหารท่ามกลางความวุ่นวายแบบนี้มาก่อน มันแปลก ไม่คุ้นเคย แต่ก็น่าสนใจ อาหารไม่ได้แตกต่างไปจากที่ซูฟีกินอยู่มากนัก ส่วนประกอบหลักของพวกมันยังคงเป็นแมลงสารพัดชนิด เพียงแต่มีการปรุงในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลายมากขึ้นเท่านั้น นักเล่านิทาน เสียงที่ตื่นเต้นของเด็กน้อยคนหนึ่งตะโกนขึ้น เรียกความสนใจจากเด็กๆ ทั้งหลายในบริเวณใกล้เคียง ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา โดยมีโต๊ะของพวกเขาเป็นจุดหมาย เขาใส่เสื้อคลุมสีสดใส ในมือมีไม้เท้าที่ทำด้วยวัสดุบางอย่าง ที่ปลายของมันมีลูกกลมแขวนห้อยอยู่ ผู้ที่ถูกเรียกว่านักเล่านิทานหยุดยืนอยู่ในระยะห่างที่เหมาะสม พร้อมกับแสดงความเคารพให้เธอ ท่านจักรวาลตาร ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ เธอยิ้ม เด็กๆ หลายคนพากันรุมล้อมเข้ามาอยู่ห่างๆ และค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คุณ อิโซ นับเป็นเกียรติ ที่ท่านยังจำผู้พเนจรที่ไม่ได้เรื่องได้ราวคนนี้ได้ครับ เราจะลืมเรื่องราวอันน่าสนใจของคุณไปได้อย่างไรกัน คุณนักเล่านิทานอิโซ ไม่รู้ว่าเด็กคนไหนเริ่มก่อน แต่ตอนนี้พวกเขาพากันส่งเสียงคำว่า นิทาน ออกมาอย่างพร้อมเพรียง พวกเธออย่ามาส่งเสียงรบกวนวุ่นวายแถวนี้ หนึ่งในผู้ติดตามของเธอส่งเสียงพอให้เด็กๆ เหล่านั้นได้ยิน เด็กหลายคนเงียบเสียงลง แต่มีอีกหลายคนที่ยังคงส่งเสียงต่อไป เธอยกมือขึ้นห้ามผู้ติดตามคนนั้น อย่าไปขัดขวางความสนุกสนานของเด็กๆ พวกนี้เลย เราเองก็รู้สึกอยากฟังนิทานขึ้นมาเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้น โปรดให้เกียรติบอกเรื่องที่ท่านต้องการฟังออกมาด้วยครับ เธอทำท่าหยุดคิดนิดหนึ่ง เรื่องของคางูยะก็น่าจะดี แต่เด็กๆ คงได้ฟังกันบ่อยแล้ว เราว่า เอาเป็น...เจ้าหญิงนิทราดีกว่า เด็กๆ ต่างพึมพำด้วยความความยินดี เขาเองก็รู้สึกสนใจขึ้นมา เจ้าหญิงนิทรา ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้ ความสนใจในประวัติศาสตร์ได้นำพาเขาให้พบกับเรื่องน่าสนใจที่หลากหลาย 'คางูยะเองก็ฟังดูคุ้นหูเช่นกัน' ถ้าอย่างนั้น ก็นั่งลงกันเถิด นักเล่านิทานเขย่าไม้เท้าในมือ ลูกกลมที่ห้อยเอาไว้ส่งเสียงดังออกมา เด็กๆ ต่างล้อมวงนั่ง พร้อมกับเงียบเสียงลง แม้แต่หนุ่มสาวอีกหลายคน ก็ยังขยับเข้ามาใกล้ๆ เพื่อรอฟังนิทานเช่นกัน เขาเริ่มเรื่องด้วยเสียงนุ่มนวลชวนฝัน กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว...
##### แปลกจริง พวกเขาไม่ได้พยายามติดตามเราเลย แล้วมันไม่ดีหรือไง...ก็หมายความว่าเราลงไปได้แล้วใช่ไหม เธอรีบขยับตัวผ่านช่องแคบๆ ที่น่าอึดอัดนี้ ไปยังช่องเปิดซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เดี๋ยว นั่นมันห้องของใครก็ไม่รู้นะ อย่างนั้นยิ่งไม่เป็นปัญหา เธอถีบมันให้เปิดออก พร้อมกับมุดหายลงไป มีเสียงร้องอย่างตกใจดังขึ้น เขารีบติดตามไปไม่รอช้า แต่หล่นลงมาจากช่องเปิดนั้นอย่างทุลักทุเล หล่งรีบตะกายลุกขึ้น ก่อนพบเห็นผู้ที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของห้อง กำลังขดตัวหลบอยู่ที่มุมห้องอย่างหวาดกลัว โดยมีจูเลียตยืนกอดอกคุมอยู่ ทีมเจ้าหน้าที่พิเศษซึ่งเคยไล่ล่าติดตามพวกเขา ได้ถอนกำลังกลับไปอยู่ที่ห้องของคุรุหมดแล้ว เนื่องจากไอรอนไม่ได้ติดต่อกลับมาอีกเลย เมื่อไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป พวกเขาจึงได้แต่รอคอยคำสั่งใหม่ที่จะมาถึง เราจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ เธอถาม โดยไม่ใส่ใจเจ้าของห้องผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย เดี๋ยวนะ มีใครบางคนที่น่าสนใจพยายามติดต่อเข้ามา เขาตอบพร้อมกับใช้ไอพีของตนอย่างรวดเร็ว เธอพบว่าเขามีท่าทางเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างน่าสนใจ แล้วในที่สุดเขาก็ฉีกยิ้มกว้าง ใครกัน แล้วมีเรื่องอะไร เธอรู้สึกไม่ชอบใจทุกครั้ง เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้นต่อหน้า แล้วไม่รู้ว่ามันคืออะไร ยิ่งรวมเข้ากับรอยยิ้มพิลึกแบบนั้น รอยยิ้มในแบบที่เธอเกลียดเป็นที่สุด จะเป็นใครก็ไม่สำคัญหรอก แต่คนที่ฉันต้องติดต่อกลับไปนี่สิ น่าสนใจเป็นที่สุด ใครกัน ประธานสภาหรือไง เธอยิ้มประชดประชัน เขามองเธออย่างงุนงง ก่อนยิ้มกว้างกว่าเดิม เธอรู้ได้อย่างไร ใช่ ฉันต้องรีบติดต่อหาประธานสภานวโลกาในทันที ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่ไหม ว่าฉันจะต้องแก้แค้นให้ได้ ยิ้มของเธอเปลี่ยนเป็นการอ้าปากค้างไปเสียแล้ว
จากคุณ |
:
zoi
|
เขียนเมื่อ |
:
5 มี.ค. 55 12:11:49
|
|
|
|