เซ็นซู ภาคจอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 7 ผู้บงการปิศาจ
|
 |
เซ็นซู บทต้น http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=22-09-2011&group=19&gblog=1
บทที่ 6 ความช่วยเหลือจากโมโรสุเกะ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11714064/W11714064.html
บทที่ 7
ผู้บงการปิศาจ
สภาพของเกี้ยวที่ถูกทำลายจนยับเยินสร้างความตระหนกต่อโอริเอะเป็นอย่างมากเพราะแม้ที่ตั้งของตำหนักชมดอกไม้ซึ่งสร้างอยู่ริมทะเลสาบบิวะจะอยู่ห่างจากปราสาทยาสึฮิระแต่ก็ยังอยู่ในอาณาเขตโคะโตโระหนำซ้ำก่อนขบวนของท่านหญิงมิสึกิจะออกเดินทางเขาได้ส่งทหารจำนวนหนึ่งมาตรวจภูเขาโฮะระนะฮาจิจนทั่วก็ไม่พบสิ่งใดผิดปรกติจนกระทั่งถึงตอนนี้เขาจึงได้รู้ว่าทั้งทหารชุดแรกและกลุ่มองครักษ์ติดตามขบวนล้วนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมด้วยน้ำมือของกลุ่มโจร
โอริเอะยืนมองร่างไร้วิญญาณของทหารที่นอนกลาดเกลื่อนบนพื้นดินและขมวดคิ้วเมื่อเห็นรอยเท้าห้าถึงหกรอยวิ่งหนีเข้าไปในป่า แม่ทัพหนุ่มรีบเดินตามรอยเหล่านั้นไปทันทีโดยมีทหารจำนวนหนึ่งวิ่งตามและเมื่อผ่านพ้นดงต้นซากุระโอริเอะจึงหยุดและนั่งลงดูพื้นดินอย่างพิจารณา นายกองนามมะรุอิชิจึงถามด้วยความสงสัย
มีอะไรหรือขอรับท่านแม่ทัพ
มีรอยเท้ากลุ่มหนึ่งหนีจากเกี้ยวตรงมาที่นี่ สองในนั้นเป็นรอยขนาดเล็กซึ่งย่อมหมายถึงท่านหญิงมิสึกิกับผู้หญิงอีกคนซึ่งน่าจะเป็นสึมิเระ แม่ทัพหนุ่มตอบพลางไล่สายตามองขึ้นไปตามเชิงเขา บางทีโรคุเซอาจจะพาพวกนางตีฝ่าวงล้อมของพวกโจรและหนีขึ้นไปซ่อนตัวบนเขา
เขาก้าวนำขึ้นไปทันทีและหยุดชะงักเมื่อเห็นศพของทหารกับโจรหลายคนนอนตายทับถมกัน
พวกเขาหนีมาทางนี้ โอริเอะกล่าวขณะกวาดตาไปตามพื้นเพื่อหารอยเท้าและรีบออกเดินต่ออย่างเร่งรีบแต่ก็ไปไม่ได้กี่ก้าวเขาก็ต้องหยุดเมื่อพบโรคุเซนอนสิ้นชีวิตโดยมีซากศพของโจรนับสิบรายล้อมรอบตัว
โรคุเซ แม่ทัพหนุ่มพึมพำด้วยความเสียใจและสั่งให้ทหารแยกร่างเขาออกมาจากนั้นจึงเริ่มออกเดินทางต่อไปจนกระทั่งถึงจุดที่มิสึกิพบกับโมโรสุเกะ สภาพของพุ่มไม้ที่หักล้มกระจุยกระจายคล้ายบริเวณนั้นมีการต่อสู้กันอย่างหนักกับซากศพที่นอนตายเกลื่อนทำให้โอริเอะต้องนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ
เกิดอะไรขึ้น เขานั่งลงและแตะรอยรองเท้าที่ปรากฏบนพื้นไล่ไปจนถึงร่องรอยบาดแผลที่ปรากฏบนตัวของพวกโจร เป็นฝีมือของทหาร
ทหาร? มะรุอิชิทวนคำด้วยความสงสัย จากหน่วยไหนกันหรือขอรับ
ข้าเองก็ไม่รู้ โอริเอะตอบพร้อมกับยืนขึ้นและมองผ่านความมืดสลัวของยามค่ำไปยังผืนป่าที่ทอดยาวต่อจากแนวเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิด มะรุอิชิขยับเตรียมจะพูดในสิ่งที่ตัวเองสงสัยแต่ต้องชะงักเมื่อทหารนายหนึ่งก้าวเข้ามาหา
เราพบนี่ตกอยู่ที่เชิงเขาทางด้านนั้นขอรับ เขารายงานพร้อมกับส่งผ้าผืนนั้นให้กับนาย กองหนุ่ม เขารับมาและส่งต่อให้กับโอริเอะ
นี่มันผ้าคลุมกิโมโนของท่านหญิงมิสึกิ เขาอุทานและเตรียมถามรายละเอียดแต่ทหารอีกนายก้าวเข้ามาหาพร้อมกับรายงาน
เรียนท่านแม่ทัพ พบรอยเท้าของคนจำนวนมากกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังด้านตะวันออกของภูเขาขอรับ
พาข้าไปดูเดี๋ยวนี้ โอริเอะสั่ง ทหารผู้นั้นรับคำและวิ่งนำออกไปทันที เมื่อถึงบริเวณที่พบร่องรอยแม่ทัพหนุ่มจึงตรวจดูอย่างละเอียด
นี่เป็นวิธีการเดินทางของพวกทหาร เขายืนขึ้นมองไล่ไปตามรอยเท้าและหยุดตรงรากไม้ใหญ่ที่โผล่พ้นดินเมื่อเห็นเงาสะท้อนของอะไรบางอย่างส่องประกายวาวล้อแสงจากคบไฟ เมื่อหยิบขึ้นมาดูจึงรู้ว่าของสิ่งนั้นคือปิ่นประดับผมของมิสึกิ
แสดงว่าท่านหญิงเดินทางไปกับพวกนั้น โอริเอะกล่าวพลางมองแนวเขาที่จมลงไปในความมืดมิดด้วยความกังวล มะรุอิชิซึ่งยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างจึงเอ่ยถาม
พอจะทราบไหมขอรับว่าเป็นพวกใด
ข้าไม่รู้ โอริเอะตอบ แต่ไม่ว่าคนพวกนั้นจะเป็นใคร ย่อมไม่ใช่คนของโคะโตโระอย่างแน่นอน
แม่ทัพหนุ่มกล่าวเสียงหนัก เขาหันไปทางนายกองพร้อมกับออกคำสั่ง
ไปบอกทุกคนให้เตรียมพร้อมเพราะพวกที่นำตัวท่านหญิงไปเป็นนักรบ บางทีเราอาจต้องต่อสู้เพื่อชิงตัวนางกลับมา
นายกองหนุ่มรับคำและหันไปปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อทุกคนเข้ามารวมกลุ่มกันอย่างพร้อมเพรียงแล้วทั้งหมดจึงออกเดินทางตามรอยของทหารจากเมืองอิวะไปอย่างรวดเร็วแต่เงียบกริบเพียงครึ่งคืนกองทหารของโอริเอะก็พ้นจากภูเขาโฮะระนะฮาจิและมุ่งหน้าต่อไปจนกระทั่งเข้าเขตป่าสน ทันทีที่เห็นแสงไฟวับแวมมาแต่ไกลแม่ทัพหนุ่มจึงยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดและสั่งให้มะรุอิชิลอบเข้าไปตรวจสอบดูว่าเบื้องหน้าคืออะไร หลังจากหายไปราวครึ่งชั่วยามนายกองหนุ่มจึงกลับมาพร้อมกับกล่าวรายงาน
ข้างหน้าเป็นค่ายของพวกอิวะขอรับ
ค่ายของพวกอิวะ โอริเอะทวนคำด้วยน้ำเสียงตระหนกพร้อมกับจ้องแสงไฟที่กำลังเต้นระริกอยู่ท่ามกลางความมืดอย่างคาดไม่ถึง เป็นไปได้ยังไง พวกมันมาตั้งค่ายใกล้โคะโตโระถึงขนาดนี้แต่พวกเรากลับไม่เคยได้ยินข่าวหรือตรวจพบพวกมันเลย
แม่ทัพหนุ่มกล่าวอย่างกังวลเพราะหากมิสึกิถูกทหารเมืองอิวะจับเป็นตัวประกัน หนทางช่วยก็มีเพียงสองวิธีเท่านั้นคือการลอบเข้าไปชิงตัวหรือบุกโจมตีค่ายโดยตรงซึ่งไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ล้วนเป็นอันตรายต่อชีวิตของท่านหญิงทั้งสิ้น ข้างมะรุอิชิเมื่อเห็นโอริเอะนิ่งอยู่นานจึงถามขึ้น
เราจะบุกโจมตีเลยไหมท่านแม่ทัพ
ยังก่อน โอริเอะรีบกล่าวพลางมองค่ายซึ่งมองเห็นอย่างเลือนลางในความมืด ตอนนี้การพวกมันคงมีการจัดเวรยามเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ข้าคิดว่าเราควรจะรอให้ถึงรุ่งสางแล้วบุกโจมตีตอนที่พวกมันยังไม่ทันระวังตัว
มะรุอิชิก้มศีรษะลงรับคำและแยกตัวออกไปแจ้งคำสั่งที่ได้รับมาจากโอริเอะ ค่ำคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้าในที่สุดก็ย่างเข้าสู่วันใหม่ หลังจากได้ฟังรายงานสภาพค่ายทหารเมืองอิวะจากมะรุอิชิที่ลอบเข้าไปสืบอีกครั้งแล้วแม่ทัพหนุ่มจึงอธิบายแผนการโจมตีให้ทหารฟัง แต่ก่อนที่จะเคลื่อนกำลังพลโอริเอะก็ต้องแปลกใจเมื่อได้ยินว่าทหารของอิวะขอเข้าพบ
ให้เขาเข้ามา
แม่ทัพหนุ่มกล่าว มะรุอิชิจึงสั่งให้คนของเขานำตัวทหารของอิวะเข้ามา เมื่อมาถึงทหารผู้นั้นจึงโค้งคำนับให้กับโอริเอะพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ
อากาศยามเช้าหนาวเย็นยิ่งนัก ท่านซาวาระ โมโรสุเกะ จึงขอเชิญท่านโอริเอะเข้าไปพักดื่มน้ำชายังค่ายพักของเรา
แม่ทัพหนุ่มนั่งนิ่งงันเพราะคาดไม่ถึงว่าผู้นำที่อยู่ในค่ายคือบุตรชายของซาวาระ ชินโน ผู้ครองเมืองอิวะ และการส่งทหารมาเชิญก็เหมือนเป็นการบอกว่าเขาล่วงรู้การเคลื่อนไหวของทหารโคะโตโระทุกประการ เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วโอริเอะจึงผงกศีรษะพร้อมกับกล่าว
ข้ายินดีรับคำเชิญ
มะรุอิชิซึ่งยืนระวังอยู่ด้านข้างหันไปมองหน้าผู้เป็นนายทันที
อาจจะเป็นแผนลวงของศัตรูก็ได้นะท่านแม่ทัพ
หากต้องการสังหารพวกเรา เขาคงลงมือตั้งแต่เมื่อคืน โอริเอะกล่าว นายกองขยับปากจะแย้งแต่ทหารจากอิวะกลับพูดขัดขึ้น
ท่านจะนำทหารไปด้วยก็ได้ หากไม่ไว้ใจ
ไม่จำเป็น โอริเอะพูดและก้าวออกไปโดยไม่กล่าวอะไรอีกเลย
*/*/*/*/*
เสียงพูดคุยดังเอะอะกับฝีเท้าที่เดินผ่านกระโจมไปอย่างเร่งร้อนปลุกมิสึกิให้ตื่นขึ้น นางลืมตามองหลังคากระโจมที่เป็นผ้าผืนหนากำลังสะบัดไปมาตามแรงลมด้วยความมึนงงและกะพริบตาสองสามครั้งเพื่อขับไล่ความง่วงงุนพร้อมกับทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ตนเองกำลังนอนอยู่ในค่ายของทหารอิวะหญิงสาวจึงรีบลุกขึ้นและหันไปมองสึมิเระด้วยความห่วงใย
ตื่นแล้วหรือ
เสียงไพราดังมาจากทางเข้ากระโจม มิสึกิหันไปมองและขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังยืนกอดอกโดยสายตายังคงมองออกไปด้านนอก นั่นเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวได้พิจารณาเขาอย่างเต็มตา นอกจากจะมีร่างกายสูงใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดาแล้วสีผิวของจอมอสูรผู้นี้ยังคล้ำต่างจากผู้อื่นแต่ก็ไม่ใช่ความคล้ำอันน่าเกลียด ตรงกันข้ามมันกลับเป็นความคมเข้มที่ดูงดงามอย่างน่าประหลาด ที่แปลกก็คือเครื่องแต่งกายของเขาซึ่งมีเพียงขนสัตว์สีดำปกคลุมท่อนล่างเท่านั้น ส่วนด้านบนกลับไร้อาภรณ์ใดนอกจากประคำสีดำแปลกตาที่กำลังแกว่งไหวไปมาบนแผ่นอกเปลือยเปล่ากำยำ
สายลมเย็นยามเช้าพัดผ่านเข้ามาในกระโจมเป่าเส้นผมสีดำยาวเหยียดพลิ้วไปบนแผ่นหลัง แต่ดูเหมือนเจ้าของใบหน้างามสง่าจะไม่ได้สนใจ เขายังคงจ้องนิ่งไปข้างหน้าด้วยดวงตาคมกริบ แม้จะดูเหมือนเป็นการกระทำที่ปรกติแต่หญิงสาวกลับสังเกตว่ามันเป็นการมองที่ดูคล้ายสัตว์ป่ายามระวังภัย
มีอะไรหรือ มิสึกิถามพร้อมกับเดินไปหยุดยืนเคียงข้างไพราและกวาดตามองไปโดยรอบเหมือนที่อีกฝ่ายทำ เขาชำเลืองตามาทางนางก่อนจะตวัดกลับไปมองด้านนอกดังเดิม
ที่นี่เต็มไปด้วยปิศาจ อสูรหนุ่มกล่าวพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาค่อนข้างแรง มิสึกิจึงมองออกไปข้างนอกอีกครั้งและส่ายหน้า
ข้าไม่เห็นอะไรเลยสักนิด
เจ้าเป็นมนุษย์จะมองเห็นพวกมันได้อย่างไร อีกอย่างปิศาจพวกนั้นวนเวียนอยู่แต่ภายนอกเท่านั้น ไพราพูดด้วยสีหน้าที่คล้ายกำลังยิ้ม ดูเหมือนค่ายแห่งนี้ถูกอำพรางด้วยพลังของพวกมัน แต่ก็ถูกทำลายจนแตกสลายไปจนหมดตั้งแต่ก้าวแรกที่ข้าย่างเท้าเข้ามา
คำพูดของจอมอสูรทำให้มิสึกิเบิกตากว้างอย่างนึกไม่ถึง
ใช้พลังของปิศาจกำบังสายตา นางพึมพำพลางส่ายหน้า ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่านักรบกล้าอย่างท่านโมโรสุเกะจะกระทำเรื่องน่ากลัวเช่นนี้
เจ้าเพิ่งรู้จักเขาเพียงแค่ข้ามคืน จอมอสูรกล่าวเสียงเรียบแต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าและหันไปมองสึมิเระ
แต่ท่านโมโรสุเกะยอมเสี่ยงอันตรายมาช่วยพวกเรา เข้าไม่คิดว่านั่นเป็นการเสแสร้งหรือกลลวง
นักรบมีเล่ห์เหลี่ยมกลโกงมากมายชนิดที่เจ้าคาดไม่ถึง ไพราพูดเป็นเชิงเตือนแต่มิสึกิกลับยืนนิ่งก่อนตัดสินใจพูดอย่างหนักแน่น
ข้าเชื่อว่าเขาเป็นคนดี
สีหน้ามั่นคงของหญิงสาวทำให้จอมอสูรรู้ว่าไม่มีทางโน้มน้าวให้นางเปลี่ยนใจ เขาจึงจำต้องยุติการพูดและเลื่อนสายตามองออกไปด้านนอก
ดูเหมือนความคิดของเจ้ากำลังจะได้รับการพิสูจน์
หมายความว่าอะไร มิสึกิถามด้วยความสงสัย ไพราจึงหันกลับมาและมองนางด้วยใบหน้านิ่ง
แล้วเจ้าจะรู้เอง
*/*/*/*/*
โอริเอะเดินตามทหารของอิวะผ่านป่าสนที่ขึ้นอยู่อย่างหนาทึบ ระหว่างที่ก้าวผ่านต้นไม้เหล่านั้นเขาก็สัมผัสถึงพลังบางอย่างที่ไหลวนเวียนโดยรอบอีกทั้งยังมีกลิ่นสาบสางชวนคลื่นเหียนลอยตามลมมาเป็นระยะ จากประสบการณ์ที่เคยต่อสู้ร่วมกับฮารุคาเสะทำให้แม่ทัพหนุ่มรู้ได้ในทันทีว่าตนเองกำลังเดินอยู่ท่ามกลางฝูงปิศาจ เขาลอบมองทหารอิวะที่นำหน้าอย่างนึกระแวงแต่ก็ต้องพบกับความแปลกใจที่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมิได้สำเหนียกถึงอันตรายเลยแม้แต่น้อย
แม้จะมีฝูงปิศาจอยู่รายรอบแต่พวกมันทำแค่เคลื่อนไหววนไปเวียนมาเท่านั้นไม่มีตัวใดบุกจู่โจมหรือทำร้ายคนทั้งสองเลยสักนิดซึ่งนับเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยและทำให้โอริเอะต้องหวนนึกถึงกันโซขึ้นมา
หรือปิศาจพวกนี้ถูกมนุษย์บงการ
แม่ทัพหนุ่มพึมพำพลางกระชับดาบในมือมั่นเพราะแม้จะมั่นใจว่าพอจะจัดการกับพวกปิศาจได้แต่ก็แค่พวกที่เป็นสมุนชั้นล่างเท่านั้น หากต้องเจอกับตัวที่อยู่ในระดับเดียวกับโอนิชิไคแล้วเขาก็คงจนปัญญาที่จะรับมือ
การครุ่นคิดถึงเรื่องปิศาจจำต้องยุติลงเมื่อโอริเอะก้าวล่วงเข้าไปในค่ายของพวกอิวะ ทหารผู้ส่งข่าวเดินนำเขาไปจนถึงกระโจมขนาดใหญ่จึงหยุดและโค้งตัวลงอย่างนอบน้อมให้กับคนที่อยู่ด้านในพร้อมกับกล่าวเสียงดัง
โอริเอะ แม่ทัพแห่งโคะโตโระเดินทางมาถึงขอรับ
ให้เขาเข้ามา
เสียงทุ้มน่าฟังดังตอบกลับมา นายทหารผู้นั้นจึงหันกลับไปค้อมตัวให้กับโอริเอะ แม่ทัพหนุ่มก้าวเข้าไปในกระโจมอย่างองอาจและโค้งคำนับโมโรสุเกะอย่างสุภาพ อีกฝ่ายไล่สายตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและส่งยิ้มให้อย่างมีไมตรี
ได้ยินมาว่าแม่ทัพของโคะโตโระเป็นนักรบฝีมือฉกาจแต่ไม่คิดเลยว่าจะมีอายุน้อยขนาดนี้
เช่นเดียวกับที่คำร่ำลือที่ว่าบุตรชายของเจ้าเมืองอิวะเป็นผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ และไม่คิดเลยว่าเขาจะกล้านำคนลอบเข้ามาสอดแนมเมืองของข้าเช่นนี้
การศึกทำให้คนเราจำต้องทำทุกอย่าง ท่านเองก็ส่งคนเข้าไปสืบความเป็นไปในเมืองของข้าเช่นเดียวกันมิใช่หรือ
โมโรสุเกะกล่าวตอบอย่างอารมณ์ดีพลางผายมือไปยังที่นั่ง
ท่านเดินทางมาไกลเชิญนั่งพักดื่มน้ำชาให้หายเหน็ดเหนื่อยก่อนจากนั้นเราค่อยสนทนากัน
โอริเอะยืนมองที่นั่งอย่างชั่งใจจนกระทั่งอีกฝ่ายหย่อนตัวลงนั่งด้านตรงกันข้ามเขาจึงนั่งลงตาม กิริยาที่เต็มไปด้วยความระมัดระวังของแม่ทัพหนุ่มเรียกรอยยิ้มของโมโรสุเกะให้ผุดขึ้นบนเรียวปาก
ดูท่านเป็นคนที่วางใจอะไรได้ยาก
ก็แค่ระวังตามนิสัยของนักรบเท่านั้น โอริเอะกล่าวแก้และเลื่อนมือไปแตะดาบเมื่อมีทหารนายหนึ่งก้าวเขามา
เชิญท่านดื่มน้ำชาให้สบายใจก่อน โมโรสุเกะกล่าวพลางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบและอมยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่ง มันไม่มีพิษหรอก
คำพูดเชิงหยอกทำให้โอริเอะเลื่อนมือไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มและลอบมองผู้ที่นั่งตรงข้ามอย่างพิจารณา แม่ทัพหนุ่มยอมรับในใจว่าแม้จะมีอายุน้อยแต่ซาวาระ โมโรสุเกะก็ดูองอาจสมเป็นนักรบ ใบหน้าที่งามสง่านั้นสงบนิ่งจนยากที่จะเดาออกว่าเขากำลังคิดสิ่งใด ดูเหมือนโมโรสุเกะเองจะรู้ตัวว่าถูกเฝ้ามองเพราะเขาลดถ้วยชาในมือลงและยิ้ม
หวังว่าท่านคงไม่ตัดสินคนจากการมองแค่ภายนอก
ถูกของท่าน โอริเอะกล่าวพลางวางถ้วยชาลงและยืดตัวตรงพร้อมกับถามด้วยสีหน้าจริงจัง ให้ข้ามาที่นี่ทำไม
รอยยิ้มของโมโรสุเกะจางหายไป ถ้วยชาในมือถูกวางไว้บนโต๊ะในขณะที่เขามองโอริเอะด้วยสายตาที่ดูราวกับน้ำในบ่อลึก
ท่านยาสึฮิระจะทำเช่นไรหากโคะโตโระไร้แม่ทัพ
เขาถามราวต้องการหยั่งถึงความคิดและสังเกตกิริยาของฝ่ายตรงข้ามแต่โอริเอะยังคงนั่งสงบนิ่ง มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ทอประกายกล้าดุจคมดาบที่กำลังสะท้อนแสงอาทิตย์
การเสียนักรบไปคนหนึ่งดีกว่าเสียแผ่นดินอันเป็นที่รัก ท่านยาสึฮิระไม่มีวันพ่ายแพ้
แม้จะมีหัวของท่านวางอยู่แทบเท้าอย่างนั้นน่ะหรือ
โมโรสุเกะถาม แม่ทัพหนุ่มยิ้ม
อย่างน้อยหัวของข้าก็ยังคงอยู่ในแผ่นดินโคะโตโระ
คำพูดและท่าทางองอาจกล้าหาญของโอริเอะสร้างความประทับใจต่อผู้นำทหารแห่งเมืองอิวะเป็นอย่างยิ่ง หลังจากยืนนิ่งไปชั่วครู่เขาจึงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ
เป็นคนกล้าสมคำร่ำลือ โมโรสุเกะกล่าวด้วยความชื่นชมพลางปรบมือสองครั้ง เมื่อทหารก้าวเข้ามาเขาจึงสั่ง ไปเชิญท่านหญิงมาที่นี่
โอริเอะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตระหนกเพราะคาดไม่ถึงว่าโมโรสุเกะจะใช้มิสึกิเป็นข้อต่อรองในการเจรจา มือเลื่อนไปที่ดาบด้วยความคิดที่จะจับตัวผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นตัวประกันแต่ยังไม่ทันที่จะได้ลงมือทำสิ่งใดโมโรสุเกะก็ยืนขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะให้กับผู้ที่กำลังก้าวเข้ามาในกระโจมและกล่าวอย่างสุภาพ
ท่านหญิงมิสึกิ
ท่านโมโรสุเกะ หญิงสาวเอ่ยทักและเบิกตากว้างเมื่อเห็นผู้ที่กำลังยืนขึ้น ท่านโอริเอะ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร
ข้าเป็นผู้เชิญเขามาเอง โมโรสุเกะตอบและหันกลับทางโอริเอะอีกครั้ง ท่านหญิงมิสึกิปลอดภัยดี แต่สตรีที่ชื่อสึมิเระได้รับบาดเจ็บ ท่านคงต้องผูกแคร่เพื่อพานางกลับไป
คำพูดของผู้นำทหารอิวะสร้างความงุนงงต่อแม่ทัพโคะโตโระจนต้องหลุดปาก
ทำไม
ข้าจึงไม่ใช้ท่านหญิงเป็นเครื่องต่อรอง โมโรสุเกะพูดต่อประโยคและหันไปส่งยิ้มให้กับ มิสึกิข้าบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า ที่มานี่ก็เพื่อดูที่ตั้งของโคะโตโระ มิได้ต้องการจับผู้ใดเป็นตัวประกัน
เขาเบนสายตากลับไปยังโอริเอะอีกครั้ง
และเมื่อถูกศัตรูพบเช่นนี้ข้าก็คงต้องล่าถอยออกไป
โมโรสุเกะก้มศีรษะให้ท่านหญิงมิสึกิและก้าวออกจากกระโจมแต่ยังไม่ทันพ้นจากประตูชายหนุ่มก็หยุดชะงัก เขาหันหน้ากลับมาราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ข้าจะให้ทหารนำสึมิเระไปส่งยังที่พักของพวกท่านก่อนถอนกำลังออกไป ชายหนุ่มกล่าวและเลื่อนสายตาไปยังมิสึกิ แล้วพบกันใหม่ ท่านหญิงมิสึกิ
หญิงสาวค้อมตัวรับอย่างสุภาพ
ขอบคุณมากท่านโมโรสุเกะ
ผู้นำค่ายอิวะส่งยิ้มให้กับนางและหันไปสั่งทหารที่ยืนรักษาการณ์อยู่หน้ากระโจมจากนั้นจึงเดินจากไป นายทหารผู้นั้นโค้งให้กับโอริเอะ
กรุณาตามข้ามา
แต่สึมิเระ มิสึกิรีบแย้ง อีกฝ่ายก้มศีรษะให้กับนางก่อนตอบ
ท่านโมโรสุเกะส่งนางออกไปก่อนหน้าพวกท่านแล้ว หากรีบไปในตอนนี้ก็จะถึงที่ตั้งของโคะโตโระพร้อมกัน
ทั้งสองจึงเดินตามทหารอิวะผู้นั้นไปในทันที เมื่อก้าวพ้นจากค่ายโอริเอะต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่าบรรยากาศรอบตัวที่เคยหนักอึ้งและอบอวลไปด้วยกลิ่นของปิศาจแปรเปลี่ยนเป็นปลอดโปร่งเหมือนไม่มีความชั่วร้ายใดๆมาก่อน นั่นยิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวของโมโรสุเกะมากขึ้นเป็นทวีคูณ
หรือเขาเป็นผู้บงการปิศาจ
แม่ทัพหนุ่มพึมพำกับตัวเองอย่างวิตกกังวลมากกว่าหวาดกลัว ทั้งสามเดินผ่านป่าสนไปจนกระทั่งถึงที่พักของทหารแห่งโคะโตโระและพบว่าทหารของอิวะนำสึมิเระมาถึงก่อนหน้าพวกเขาไม่นาน หลังจากแบ่งกำลังบางส่วนเพื่อฝังโรคุเซและทหารที่เสียชีวิตจากการต่อสู้กับโจรป่าแล้ว โอริเอะจึงนำท่านหญิงมิสึกิเดินทางกลับไปยังปราสาทยาสึฮิระอย่างปลอดภัย
*/*/*/*/*/*
ทักทายๆก่อนค่ะ สู้ๆ จากคุณ : Setakan - ขอบคุณค่า ><
กิ๊ฟหมด ให้ :) แทน จากคุณ : zoi - แค่นี้มูนนี่ก็ชื่นใจและมีพลังในการเขียนต่อไปแล้วล่ะค่ะ ^^
ผมก็เกลียดชิงชังพวกที่ชอบข่มเหงผู้หญิง และ ถ้ามีความเป็นไปได้ ผมก็อยากทำแบบที่ไพราทำเหมือนกัน จากคุณ : GTW - น่าเสียดายที่ชีวิตจริงมันทำไม่ได้ เลยต้องระบายในนิยายแทน
อ่านฉากสุดท้ายแล้ว ขอเดา(จิ้น)ล่วงหน้าระหว่างรอตอนต่อไปนะคะ จากคุณ : AMA-chun - อยากรู้จังว่าจิ้นอะไร คงไม่ใช่......
วันนี้ปิดท้ายด้วยรูปฮารุคาเสะกับมิสึกิและท่านยาสึฮิระในร่างปิศาจค่ะ
จากคุณ |
:
Moony_Lupin
|
เขียนเมื่อ |
:
5 มี.ค. 55 14:21:12
|
|
|
|