Black Gun And Red Rose - กุหลาบแดงและปืนดำ - บทที่ 7
|
 |
บทที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11691462/W11691462.html
บทที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11703633/W11703633.html
บทที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11718987/W11718987.html
บทที่ 4 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11728001/W11728001.html
บทที่ 5 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11751888/W11751888.html
บทที่ 6 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11770861/W11770861.html
----------------------
ขอบคุณกิฟท์จากคุณให้เพียงเธอหมดใจ- ขอบคุณสำหรับกิฟท์และขอบคุณสำหรับการแวะเข้ามาอ่านนะครับ ^^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณ GTW - เห็นอาจารย์จีพูดแล้ว ผมนึกถึง The Punisher ขึ้นมาเป็นคนแรกเลยครับ ไม่รู้ใช่เรื่องเดียวกันหรือเปล่า เขาเป็นอดีตทหารในกองทัพอเมริกาชื่อ แฟร้งค์ คาสเซิ้ล - ลูกเมียโดนมาเฟียฆ่า แต่เอาผิดไม่ได้เพราะมาเฟียซี้กับตำรวจ แฟร้งค์ คาสเซิ้ลเลยลงมือทวงความยุติธรรมด้วยตัวเอง เป็นการ์ตูนค่ายมาร์เวล ผมชอบการ์ตูนยุคแรกๆ มากกว่า ยุคหลังเริ่มออกทะเลไปไกลล่ะ(แฟร้งค์ คาสเซิ้ลกลายป็นแฟร้งเก้น(สไตน์) คาสเซิ้ลไปแล้ว ฮ่าๆ ^^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณรุริกะ - ขอบคุณสำหรับกิฟท์ค้าบ คำนับๆ ^^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณกุหลาบมอญ - ขอบคุณสำหรับกิฟท์ครับ คำนับๆ ^^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณเพชรรุ้งพราย - ขอบคุณสำหรับกิฟท์ครับ ขอบคุณ ขอบคุณ ^^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณใยไหมกะใบม่อน - ขอบคุณสำหรับกิฟท์และการแวะเข้ามาครับ ^^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณห้าสิบป่าย - ขอบคุณสำหรับกิฟท์และการติดตามครับ คำนับๆ ^^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณกาปอมซ่า - ขอบคุณสำหรับกิฟท์และไอติมเย็นๆ ชื่นใจครับคุณกาปอมซ่า คาดว่าเดือนนี้คงต้องใช้ไอติมช่วยชีวิตอีกแน่ๆ อากาศร้อนซะ เหอๆ ^^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณชมภัค - ขอบคุณสำหรับกิฟท์ครับพี่ชมภัค ^^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณสะเก็ดดาวเสาร์ - ขอบคุณสำหรับกิฟท์และการเข้ามาทักทายกันครับ ^^
ขอบคุณกิฟท์จากคุณน้ำพรมหนำ - ขอบคุณสำหรับกิฟท์มากๆ ครับ ^^
มาถึงบทที่ 7 แล้ว ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านมากๆ ครับ
ขอบคุณจากใจ ^^
----------------------
บทที่ 7
เมืองลำปาง,ห้างฉัตร คฤหาสน์บุษบายุธ
“สวัสดีค่ะพี่โรส สวัสดีค่ะพี่หมิง” เสียงของรัมภาดังขึ้นเมื่อทิวากรกับริสาเดินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ ทั้งสองชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพบว่ารัมภาเดินเข้ามาหาเองถึงที่ เวลาขณะนี้หนึ่งทุ่มสี่นาที ริสาเพิ่งเดินทางมาจากบ้านพักหลังรีสอร์ทกลิ่นเกสรของทิวากรเพื่อมาต้อนรับแขกเหรื่อระดับวีไอพีในคฤหาสน์บุษบายุธ “อ้าว มิน เป็นไงบ้าง กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะจ้ะ?” ริสาพูดหลังจากยกมือรับไหว้รัมภา เธอกับน้องสาวต่างมารดาไม่ค่อยสนิทกันนัก แต่ความสัมพันธุ์ก็ยังถือว่าดีกว่ากับเรณูผู้เป็นแม่เลี้ยงหลายช่วงตัว ริสารู้ดีว่ารัมภากลับมาถึงตั้งแต่เมื่อคืน แต่เธอก็ถามออกไปเพื่อให้มีเรื่องคุยกันไม่อึดอัด “เพิ่งกลับมาเมื่อเช้านี้เองค่ะ เมื่อคืนหนูค้างที่บ้านคุณลุงในเชียงใหม่” รัมภาตอบ วันนี้เธอสวมเสื้อและกระโปรงสีดำแบบเดียวกับริสาแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว แตกต่างนิดเดียวตรงที่ริสารวบผมโดยใช้โบว์ผูกผม ส่วนเด็กสาวจัดการกับผมด้วยที่คาดผมสีดำ
แต่ถึงกระนั้น ใบหน้าของทั้งสองสาวก็ไม่ได้มีส่วนคล้ายคลึงกันเลย ทิวากรไม่คิดว่ามันคือเรื่องแปลก พี่น้องพ่อเดียวกันแต่คนละแม่ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เขาส่งยิ้มให้เด็กสาว รัมภายิ้มตอบ ยังไม่ทันจะพูดอะไรกันอีกเสียงของหัวหน้าคนงานผู้มีนามว่าลุงเปล่งก็ดังขึ้นผ่านประตูเข้ามา
“คุณหมิงครับ อ๊า คุณหมิงมาพอดีเลย โชคดีจริง มาช่วยผมจัดการเรื่องแขกที่จะเข้าร่วมงานพ่อเลี้ยงหน่อยครับ เขาบอกว่าเป็นนักธุรกิจจากนนทบุรี แต่ผมไม่เคยเห็นหน้า ไม่ทราบว่าคุณหมิงรู้จักหรือเปล่าครับ?”
ทิวากรหันกลับไปก็พบชายวัยกลางคนผิวคล้ำกร้านแดดซึ่งดึงมาใช้งานจากไร่ผลไม้ของตระกูลบุษบายุธส่งนามบัตรของใครบางคนมาให้
“วานิช มิตรนิรันดร์?” ทิวากรรับนามบัตรมาอ่านด้วยสีหน้างงงัน "กรรมการผู้จัดการบริษัท หนูมานี ฟู้ด อินดัสเทรียล จำกัด ผลิตผลไม้กระป๋อง ไม่คุ้นหูเลยครับลุง แล้วป๊าผมไปไหนเสียล่ะครับ”
“ไปนิมนต์พระจากวัดกับคุณเดโชแล้วก็คุณเรณูครับ”
ทิวากรว่า“ตอนนี้คุณวานิชคนนี้เขาอยู่ที่ไหนครับ?”
“รออยู่ที่จอดรถโน้นครับ รถโก้เชียว เขาดูไม่พอใจเท่าไหร่ที่พวกลุงไปขวางไม่ให้เขาเข้ามาเคารพศพพ่อเลี้ยง” ลุงเปล่งตอบ
“เขาบอกว่ารู้จักพ่อเลี้ยงหรือครับ?”
“ครับ เขาบอกว่ารู้จัก”
ทิวากรหลุบสายตามองนามบัตรอีกรอบ ก็เงยหน้าขึ้นและเคาะบัตรในมือเล่น
“งั้นเดี๋ยวผมไปคุยเองครับ” เขากล่าว
++++++++
พีภัทรยืนกอดอกพิงประตูรถสปอร์ต ตีสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจ คนงานคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ และคอยเกลี้ยกล่อมให้เขาใจเย็นๆ พีภัทรในคราบของวานิช มิตรนิรันดร์ทำเป็นไม่ใส่ใจ เขายกมือขยับแว่นบนจมูกให้เข้าที่เมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวปราดๆ เข้ามายังบริเวณที่จัดไว้สำหรับจอดรถ และตรงมาที่รถของเขา “สวัสดีครับ ถ้าเข้าใจไม่ผิดคุณคือเจ้าของนามบัตรนี้ใช่มั้ยครับ?” ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นเอ่ยถาม ชูนามบัตรในมือให้พีภัทรดู “ฮะ ผมเอง” พีภัทรพยักหน้า ยื่นมือออกไปแบบธรรมเนียมฝรั่ง “ผมวานิช มิตรนิรันดร์ ส่วนคุณ...” “ทิวากร อัครชัยครับ” ทิวากรตอบพลางใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือนามบัตรยื่นออกมาจับมือของพีภัทรเขย่า “ผมเป็นหนึ่งในผู้ดูแลงานศพของพ่อเลี้ยงครับ” “ดีเลย ผมอยากรู้ว่าทำไมคนงานพวกนี้ถึงไม่ยอมให้ผมเข้าไปกราบศพพ่อเลี้ยง?” พีภัทรถามเสียงขุ่นเมื่อปล่อยมือจากฝ่ายตรงข้าม และพยักพเยิดไปยังชายชาวไร่ที่ยืนตัวลีบอยู่ด้านข้างจนน่าสงสาร “มันเป็นกฎครับ คุณวานิช พวกเราจะไม่อนุญาตให้ชาวบ้านหรือคนแปลกหน้าเข้าไปกราบศพพ่อเลี้ยงในตัวคฤหาสน์หลังหกโมงเย็น ผมต้องขอโทษด้วย พอดีคนงานพวกนี้คงไม่เคยพบคุณมาก่อน” ทิวากรค้อมศีรษะเล็กน้อย “แต่อย่าเพิ่งหงุดหงิดเลยครับ ขนาดผมเองยังไม่เคยพบคุณวานิชมาก่อนเหมือนกัน ไม่ทราบว่าคุณวานิชรู้จักกับพ่อเลี้ยงมานานหรือยังครับ?” พีภัทรแสร้งทำเบือนหน้าไปทางอื่นและหัวเราะในลำคอ “ผมไม่เคยพบพ่อเลี้ยงหรอก แต่เรากำลังจะนัดเจอกันอีกไม่ช้า พ่อผมค้าขายเซรามิกกับพ่อเลี้ยงมานาน พวกท่านรู้จักกันดี พอตอนนี้ผมเปิดโรงงานทำธุรกิจของตัวเอง – ทำแบรนด์ผลไม้กระป๋องยี่ห้อใหม่ในนามบัตรที่คุณถือน่ะ - พ่อผมก็แนะนำให้มาที่ลำปาง บอกว่าพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์มีไร่ผลไม้คุณภาพดี ผมน่าจะมาติดต่อดู แล้วผมก็มาที่นี่ แต่ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น มารู้ก็ตอนเข้าพักที่รีสอร์ทนี่แหล่ะว่าพ่อเลี้ยงเสียชีวิตแล้ว” ทิวากรจับจ้องใบหน้าของพีภัทรเขม็ง “ไม่ทราบว่าคุณวานิชพักอยู่ที่ไหนครับ?” “ก็รีสอร์ทกลิ่นเกสรไง ไม่เชื่อไปเช็คดูก็ได้ รีสอร์ทนั่นก็ของพ่อเลี้ยงไม่ใช่เรอะ?”
ท้องฟ้าด้านบนเริ่มเป็นสีดำ ราตรีกาลเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างเชื่องช้า มีชาวบ้านมาร่วมงานศพของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์มากมาย แต่ละคนถูกตรวจค้นอย่างละเอียดเรื่องการพกพาอาวุธ พีภัทรเองก็ผ่านจุดตรวจนั้นมาแล้ว วันนี้เขาตัดสินใจไม่พกปืนติดตัวเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน หากสามารถทำให้ชายที่ชื่อทิวากรเชื่อว่าเขารู้จักพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์จริงๆ ทุกอย่างก็เรียบร้อย
“ไม่ต้องหรอกครับ” ทิวากรค้อมศีรษะอีกครั้งหลังนิ่งงันไปครู่ใหญ่เพื่อไตร่ตรองตัดสินใจ เขาสบตาพีภัทรและส่งยิ้มเป็นเชิงขอโทษ “เป็นอันว่าผมต้องขอโทษด้วยครับที่ทำให้ล่าช้า หวังว่าคุณวานิชคงเข้าใจนะครับ งานใหญ่อย่างนี้เราต้องสกรีนคนอย่างละเอียด”
“สรุปว่าผมเข้างานได้หรือยัง?” พีภัทรยกมือขยับแว่นอย่างรำคาญ
“ไม่มีปัญหาครับ เดี๋ยวผมจะนำทางให้” ทิวากรตอบ ผายมือให้พีภัทรออกเดิน
พีภัทรตีหน้านิ่ง เอาสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงวางท่าแบบคนรวยขี้หงุดหงิด เขาสาวเท้าก้าวยาวๆ ออกจากจุดจอดรถซึ่งมีรถหลากหลายสัญชาติแต่ราคาเดียวกับรถสปอร์ตของเขาจอดอยู่หลายสิบคัน
“ไม่ทราบว่าคุณวานิชมาลำปางได้กี่วันแล้วครับ?” ทิวากรถามอย่างชวนคุย พีภัทรลอบสังเกตชายหนุ่มคนนี้ขณะเดินไปด้วยกันบนถนนขนาดย่อมที่มีกระถางต้นไม้ประดับสองฟาก ท่าทางการเดินและจังหวะการก้าวเท้าบอกให้พีภัทรทราบว่าอีกฝ่ายออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและน่าจะเคยผ่านการฝึกอะไรบางอย่างมาบ้าง
“เพิ่งมาถึงเมื่อเช้า ได้ข่าวจากพนักงานที่รีสอร์ทว่างานศพของพ่อเลี้ยงจัดที่คฤหาสน์ เย็นนี้ผมก็เลยมา” พีภัทรตอบ แสร้งทำเป็นสงสัยเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งก่อสร้างทรงปราสาทขนาดใหญ่รูปนกหัสดีลิงค์ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าคฤหาสน์ติดไฟกระพริบวิบวับหลากสีสันตัดกับความมืด
“คุณกำลังสงสัยว่ามันคืออะไรสินะครับ?” ทิวากรถาม เมื่อเห็นพีภัทรมองปราสาทจำลองขนาดใหญ่อันแกะสลักลวดลายวิจิตรตระการตาหลังนั้นอย่างสนใจ “นั่นเรียกว่าปราสาทศพ เดี๋ยววันพรุ่งนี้พวกเราจะทำพิธีนำศพของพ่อเลี้ยงมาตั้งไว้ในปราสาท ถึงตอนนั้นคุณจะมาดูก็ได้”
“ทำไมพวกคุณถึงไม่จัดงานศพที่วัด?” พีภัทรพูดเมื่อเดินผ่านสิ่งที่เรียกว่าปราสาทศพและเดินขึ้นบันไดเข้าสู่คฤหาสน์หลังโตที่พบเห็นได้ทั่วไปในละครทีวี เขาคิดว่าหนุ่มหน้าตี๋คนนี้คุ้นชินกับการต้อนรับนักธุรกิจต่างถิ่นดีทีเดียว
ทิวากรตอบว่า “เป็นตามประเพณีครับ และพ่อเลี้ยงก็ได้ระบุไว้ในพินัยกรรมว่า หากท่านเป็นอะไรไป ให้จัดงานศพที่บ้านเท่านั้น พวกเราต้องทำตามที่ท่านสั่ง และพ่อเลี้ยงก็เป็นคนที่ประหยัดมาก ท่านสั่งว่างานศพของท่านต้องจัดให้เกิดความสิ้นเปลืองน้อยที่สุด นี่งานสวดก็จัดแค่สามคืน นิมนต์พระมาสวดอภิธรรมเพียงเก้ารูป แทบไม่ต่างจากงานศพของชาวบ้านทั่วไปนอกจากปราสาทศพหลังนั้นที่ถือเป็นกรณีพิเศษ พวกเราต้องการให้พ่อเลี้ยงมีปราสาทศพที่สมเกียรติ จึงต้องยอมฝืนคำสั่งเสียหนึ่งข้อ”
“พ่อเลี้ยงเป็นคนที่ดีมากจริงๆ นะครับ” พีภัทรรับคำ ก่อนจะหันมองทิวากร “ผมทราบว่าท่านเสียชีวิตในวันเกิดของลูกสาว ตอนนี้เธอมีสภาพจิตใจเป็นยังไงบ้าง?”
“คุณวานิชคงหมายถึงคุณริสา ลูกสาวคนโตของพ่อเลี้ยง?”
เมื่อเห็นพีภัทรพยักหน้า ทิวากรก็ตอบเสียงแผ่วลงไปเล็กน้อย “ก็ตามธรรมดาล่ะครับ ทุกคนย่อมตกใจและเสียใจ แต่ตอนนี้เธอดีขึ้นแล้ว – อย่างน้อยก็ดีกว่าเมื่อวาน”
พีภัทรไม่พูดอะไรอีก เขาก้าวเท้าเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์บุษบายุธ มันกว้างขวาง หรูหรา โอ่โถง เท่าที่คนๆ หนึ่งจะสามารถจินตนาการได้ ทิวากรเดินนำพีภัทรเข้าสู่ห้องที่อยู่ติดกัน มันเป็นห้องรับรองที่ถูกดัดแปลงชั่วคราวให้เป็นสถานที่ตั้งศพ มีเก้าอี้นวมนั่งสบายตั้งเรียงรายอยู่ประมาณสามสิบตัว โลงศพติดแอร์เสียบปลั๊กตั้งอยู่ที่ผนังด้านหนึ่ง มีพวงหรีดทั้งตั้งและแขวนปรากฏให้เห็นจนตาลายจากบนผนังทั้งสองข้าง
พลัน เมื่อพีภัทรเดินผ่านประตูเข้ามา เสียงของหญิงสาวสองคนก็ประสานขึ้น
“สวัสดีค่ะ”
พีภัทรหันไปมอง พบเห็นหญิงสาวที่เป็นสาเหตุให้เขามาอยู่ตรงนี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้และยกมือสวัสดีเขาร่วมกับเด็กสาวอีกคนที่อายุน่าจะห่างกันราวๆ หก – เจ็ดปี พวกเธอยืนอยู่ข้างเก้าอี้แถวหน้าสุด ห้องทั้งห้องคลุ้งไปด้วยกลิ่นควันธูป ที่เก้าอี้นวมมีแขกนั่งอยู่แล้วเกือบครึ่งของจำนวนทั้งหมด ทุกคนล้วนแต่มีอายุห้าสิบปีขึ้นไปทั้งนั้น
พีภัทรยกมือรับไหว้ สองตาเบิกกว้างมองวงหน้าอันงดงามของริสา บุษบายุธ แทบลืมเลือนไปเลยว่าข้างกายของเธอยังมีน้องสาวต่างมารดายืนอยู่อีกทั้งคน ริสาดูสวยกว่าในรูปมาก ถึงใบหน้าจะซีดเซียว แต่ดวงตาชวนเพ้อฝันคู่นั้นก็ทำให้ผู้จ้องมองอย่างพีภัทรรู้สึกเหมือนถลำลึกเข้าไปสู่ห้วงมหาสมุทรที่หยั่งไม่ถึง
นักฆ่าหนุ่มตระหนักได้ว่าตนเองจ้องมองใบหน้าของสุภาพสตรีกุหลาบแดงนานเกินไปแล้ว จึงรีบเรียกสติและพูดว่า
“คุณสองคนคงเป็นลูกสาวของพ่อเลี้ยง?”
“ค่ะ” สองสาวตอบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ” พีภัทรกล่าว ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย “และผมขออวยพรให้ตำรวจจับตัวคนร้ายให้ได้เร็วๆ”
“ขอบคุณค่ะ” ริสากับรัมภา บุษบายุธรับคำพร้อมกันก่อนที่ริสาจะเป็นฝ่ายพาพีภัทรมาจุดธูปเคารพศพของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์ แม้ห้องนี้จะมีเครื่องระบายอากาศและเครื่องดูดซับควันธูป แต่ทั้งห้องก็ยังมีกลิ่นธูปคละคลุ้งอยู่ดี
บรรยากาศของกลิ่นธูปแบบนี้ มันทำให้พีภัทรนึกถึงงานศพของบิดาบุญธรรมเหลือเกิน
เมื่อจุดธูปเสร็จ ริสาก็พาเขามาหาที่นั่งบริเวณเก้าอี้นวมแถวหลัง(เพราะแถวหน้าถูกขาใหญ่วัยดึกจับจองเกือบหมดแล้ว) มีสายตาหลายคู่หันมามองอย่างสงสัยว่าพีภัทรเป็นใครมาจากไหน แต่เมื่อเห็นพีภัทรไม่แสดงอาการยิ้มผูกมิตรเพื่อแนะนำตัวเอง เจ้าของสายตาแห่งความสงสัยเหล่านั้นก็เหกลับและเอาแต่ซุบซิบคุยกันรำลึกความหลังครั้งวันวานต่อไป
“หลังสวดอภิธรรมเสร็จจะมีการจัดเลี้ยงอาหารที่ห้องรับรองด้านนอก ถ้ายังไงก็ขอเชิญ - ” ริสาพูดเมื่อพีภัทรเลือกนั่งบนเก้าอี้ที่ไกลจากทางเข้ามากที่สุด มันตั้งอยู่บริเวณริมสุดของแถวที่สามซึ่งยังไม่มีใครไปนั่งจับจองบริเวณนั้นสักคน แต่เธอพูดยังไม่ทันจบ พีภัทรก็สวนขึ้นว่า
“ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อเรื่องไร้สาระพวกนั้น”
หญิงสาวมีท่าทีชะงักเพราะตกใจว่าตนเองทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า
“คือ ฉันไม่ได้ตั้งใจ – ”
พีภัทรตวัดมือกระตุกแขนของริสา เธอแทบจะเสียหลักล้มลงมาบนตักของเขา แต่โชคดีที่ยันแขนกับพนักพิงของเก้าอี้นวมไว้ทัน จึงทำให้ร่างของเธอเพียงแค่โน้มลงมา ใบหน้าด้านข้างอยู่ระดับริมฝีปากของเขาพอดี พีภัทรรีบกระซิบออกไปว่า
“คนใกล้ตัวกำลังคิดร้ายกับคุณอยู่ คุณริสา มีคนต้องการจะฆ่าคุณ กรุณาระวังตัว อยู่ห่างคนพวกนี้ให้มากที่สุด ผมมาที่นี่เพื่อเตือนคุณด้วยความหวังดี”
ริสารู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เธอหันหน้าจ้องตาชายหนุ่มแปลกหน้า ใบหน้าทั้งคู่อยู่ห่างจากกันไม่ถึงสองนิ้ว
“คุณ...เมื่อกี้คุณพูดเรื่องอะไร?” ริสากระซิบถามกลับ
พีภัทรจ้องตาเธอ จมูกสัมผัสกลิ่นกายของเธอ เขานึกถึงกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงของทิวากรก็ดังขึ้น
“มีอะไรรึเปล่า โรส?”
น้ำเสียงห้วนสั้นบ่งบอกความไม่พอใจ เสียงฝีเท้าของทิวากรก้าวปราดๆ เข้ามาและดึงตัวริสาขึ้นไปยืนข้างกาย
พีภัทรแหงนหน้ามอง ยกขาไขว่ห้างและเลิกคิ้วขึ้นสูงเหมือนไม่เข้าใจว่าทิวากรมายืนหน้าขรึมใส่เขาทำไม
“ไม่มีอะไรหรอก หมิง” ริสาหันกลับไปพูดกับทิวากร ก่อนจะหันมาสบตาพีภัทรวูบหนึ่ง และตวัดสายตากลับไปยังเพื่อนสนิทของเธออีกครั้ง“เมื่อกี้โรสเดินสะดุดเก้าอี้น่ะ”
“จริงหรอ?” ทิวากรหรี่ตามองริสาอย่างไม่เชื่อเพราะเมื่อครู่เขาคิดว่าเห็นชายแปลกหน้าคนนี้ฉุดมือริสาจนเสียหลักชัดๆ แต่ในเมื่อริสาพยักหน้ายืนยัน เขาก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากพาริสาเดินกลับออกมาอยู่ที่เก้าอี้แถวหน้าเพื่อรอต้อนรับแขกคนอื่นต่อไป
“มีอะไรกันหรอคะ?” รัมภาถามเมื่อพี่สาวต่างมารดาหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้เคียงข้างเธอ เมื่อกี้เด็กสาวชะโงกมองเหตุการณ์ตลอดเวลา เห็นทิวากรกระโจนเข้าไปแทบจะในทันทีที่ริสาเสียหลัก รัมภานึกว่าจะมีเรื่องกันกลางงานศพของบิดาเธอเสียแล้ว
“ไม่มีอะไรจ้ะ มิน” ริสาตอบอย่างรวบรัดไม่ต้องการพูดอะไรอีก เธอกำลังคิดคำนึงในสิ่งที่วานิช มิตรนิรันดร์กระซิบบอก หญิงสาวรู้ดีว่าหูเธอไม่ได้ฝาดและเธอก็ไม่ได้ฟังผิด...เขาบอกว่ามีใครบางคนกำลังต้องการจะฆ่าเธออย่างนั้นหรือ? เขาบอกให้เธอระวังคนใกล้ตัว? เขาหมายถึงใครกัน?
“โรส หมิงขอตัวแปบนะ เดี๋ยวมา” ทิวากรโน้มตัวลงมากระซิบ ในมือของเขาถือโทรศัพท์ ริสาไม่มีแก่ใจสอบถามว่าเขาจะไปไหนนอกจากผงกศีรษะรับรู้ แต่คนที่เอ่ยปากถามกลับเป็นรัมภาซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย
“พี่หมิงจะไปไหนคะ?”
ทิวากรชะงัก ปรายตามองไปที่อีกฟากหนึ่งของห้อง เมื่อเห็นวานิช มิตรนิรันดร์นั่งกดโทรศัพท์เล่นฆ่าเวลาไม่มีท่าทีสนใจใครอื่น หนุ่มตี๋ก็หันกลับมากระซิบตอบ
“จะไปโทรศัพท์ตรวจสอบคนที่รีสอร์ทสักหน่อยครับว่ามีแขกที่ชื่อวานิช มิตรนิรันดร์เข้าพักจริงๆ หรือเปล่า”
“เขา...เป็นคนไม่ดีหรอคะ?” รัมภาพูดพลางเหลียวไปมองที่ชายแปลกหน้าผู้นั่งสันโดษอยู่มุมห้อง
“ตอนนี้ยังไม่รู้ครับ แต่อีกไม่นานก็คงได้รู้แน่” ทิวากรตอบ เขากดปุ่มบนโทรศัพท์สองครั้ง ก็เดินเลี่ยงออกไปจากห้อง
++++++++
แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 11:32:30
จากคุณ |
:
ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
|
เขียนเมื่อ |
:
6 มี.ค. 55 11:10:07
|
|
|
|