31
ธรณิศเดินเข้าบ้านเมื่อเวลาเกือบสองทุ่ม ต้องกลับค่ำไปอีกอย่างน้อยสามวันจนกว่านายเข้จะกลับจากกรุงเทพ ถ้าเป็นปีก่อนเขาคงนอนค้างที่ฟาร์มดูฟุตบอลเพลินไปแล้ว พอแต่งงาน อะไร ๆ มันก็เปลี่ยนไปหมด พ่อกำลังดูทีวีอย่างเคย ส่วนแม่กำลังเดินออกจากห้องน้ำ ส่งเสียงทัก “มาแล้วเหรอ กินข้าวหรือยัง” เขาส่ายหน้า เดินเลยไปที่ครัวแทนคำตอบ “จะกินเลยใช่ไหม เดี๋ยวแม่เรียกบุ้งก่อนนะ” มือที่กำลังเปิดฝาชีชะงัก มองแม่ที่เคลื่อนกายไปเคาะห้องเรียก บัญฑิตาเดินออกมา สบตาชายหนุ่ม
“บุ้งยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน รอกบอยู่” เธอรีบพูด “ไม่ได้รอค่ะ แค่ยังไม่หิว ที่จะกินตอนนี้เพราะหิวแล้ว” ป้าไก่ทำหน้าเหรอหรา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร มองหญิงสาวเดินไปที่ครัว เปิดหม้อข้าว หยิบจาน นางปล่อยให้ลูกชายกับลูกสะใภ้อยู่ลำพัง แต่กลับเงี่ยหูฟังด้วยความอยากรู้ ได้ยินเสียงช้อนกระทบจาน เสียงจานกระทบกัน เสียงน้ำไหล แต่ไม่ยักกะมีเสียงพูด ไม่มีบทสนทนาระหว่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว ชวนให้ข้องใจจน กระทั่งธรณิศเดินออกจากครัวเข้าห้องนอน สักพักบัณฑิตาก็เดินไปทำอะไรบางอย่างหลังบ้าน ป้าไก่ก็หันมาทางลุงโพ “พ่อ คู่นี้จะไปกันรอดไหม” สามีหันมา สีหน้างงสุดขีด “ทำไมเหรอแม่ เขาทะเลาะกันเหรอ เอ...ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย” “ไม่ได้ทะเลาะกันหรอก แต่ไม่ได้พูดกันเลยต่างหาก” อีกฝ่ายใช้ความคิดครู่หนึ่ง เอียงคอ “ก็กบมันไม่ใช่คนพูดมากนี่ ปกติก็ไม่เห็นมันเอาปากไปไหนต่อไหนด้วยสักเท่าไร บางทีอาจจะยังเขิน ๆ มั้ง เพิ่งมาอยู่ด้วยกันนี่นา ว่าแต่แม่เถอะ เห็นแค่นี้ก็มาเดาเป็นตุเป็นตะ ต่อหน้าเราไม่พูด อยู่ในห้องอาจจะ ‘คุย’ กันไม่หยุดก็ได้นะ ฮ่า ฮ่า” “พ่อนี่” ภรรยาตบขาสามีเชิงปรามที่หัวเราะในคำพูดตนเอง พอเข้าใจว่าคู่ชีวิตไม่ได้คล้อยตามจึงเงียบ แต่ใช้ความคิดไปตามลำพัง ถึงลูกจะโตเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าจะไปก้าวก่าย แค่คนเป็นแม่ก็อดห่วงไม่ได้ แล้วที่บัณฑิตาให้สอนทำกับข้าวให้นี่ยังไงกันนะ
เพราะต้องตื่นเช้าเป็นนิสัย ดังนั้นเมื่อภารกิจประจำวัน แม้จะเป็นเวลาสามทุ่มกว่าแต่ธรณิศก็ง่วง เขาตบหมอน เอนกายจะนอนเห็นบัณฑิตานั่งอยู่หน้ากระจก เธอกำลังทาครีม เป็นกิจวัตรที่เขาเห็นจนเริ่มชินตา แต่ก็ไม่เบื่อที่จะมอง
แต่พออีกฝ่ายรู้ว่าถูกจับจ้องจากการเห็นในกระจกและหันมา ชายหนุ่มทำทีพลิกตัวตะแคงหลบสายตา แต่เงี่ยหูฟังและยังแอบเหลือบมองอีกนิด เห็นบัณฑิตาเปิดฝาขวดครีมดูข้างใน พึมพำว่าต้องซื้อใหม่ก่อนจะทิ้งขวดนั้นลงถังขยะ แล้วก็ขยับตัวมาที่เตียง ธรณิศแสร้งทำเป็นหลับ แต่ก็หลับไปจริง ๆ ภายในไม่กี่นาที
เช้า... บัณฑิตาหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กแล้วเปิดประตูห้อง เห็นธรณิศยืนอยู่กลางบ้าน ทำท่าเหมือนกำลังจะไปทำงาน เธอเหลือบมองนาฬิกา แปดโมงกว่าแล้วทำไมยังรีรออยู่อีก “บุ้งจะไปไหน” เธอยกคิ้ว เป็นครั้งแรกหรือเปล่านะที่เขาถามความเป็นไปของเธอ “ไปช่วยแม่ที่ร้าน” พอตอบไปแล้วไม่มีปฏิกริยา นอกจากสายตาที่มองเธอราวกับไม่พอใจ ครั้นแล้วเขาก็เป็นฝ่ายเดินออกไปก่อน บัณฑิตายืนมองตัวเองว่ามีอะไรผิดแปลก ก็แค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาสั้นเท่านั้นเอง
“กบไม่ชอบกินแกงกะทิ กับข้าวขอติดหวานนิด ๆ ส่วนผักกินได้ทุกอย่าง อ้อ ยกเว้นต้นหอม ขนมก็เหมือนกันไม่ชอบขนมกะทิ...”
ป้าไก่พูดให้บัณฑิตาฟังขณะที่จัดครัว หญิงสาววางผักเรียงรายบนถาดที่มีน้ำแข็งหนุน รวมทั้งของสดทั้งหลายเช่นปูปลา แม่สามียังอธิบายว่าจัดอย่างไรให้สะดวกแต่ก็สวยงามดูสดใหม่
ฟังแม่ครัวใหญ่พูดรสนิยมลูกชายให้ฟังแล้วก็แปลกดี ชอบรสหวานแต่นิสัยออกจะจืด ค่อนไปทางขมด้วยซ้ำ ไม่เหมือนนายเข้ รายนั้นกาแฟยังไม่เคยใส่น้ำตาล สงสัยเพราะน้ำตาลที่เคลือบปากก็เพียงพอแล้วกระมัง
“แม่คะ วันนี้เดี๋ยวถ้าพี่กบมากินเมนูอะไรแม่สอนบุ้งนะ จะได้ทำได้”
อีกฝ่ายพยักหน้า ลูกสะใภ้ยิ้มดีใจ แล้วฮัมเพลงอย่างคนอารมณ์ดี ไม่ได้สนใจสายตาค้นหา คงแปลกใจว่าทำไมกิริยาอ่อนหวานแบบนี้ไม่ปรากฎต่อหน้าลูกชายล่ะสิ
บัณฑิตายิ้มน้อย ๆ รู้ว่าตนเองทำแบบนั้น ปากและกิริยาแสดงการไม่แยแส แต่อดไม่ได้ที่จะทำหน้าที่ภรรยา อย่างน้อยก็เป็นการแสดงความเคารพต่อลุงโพและป้าไก่
พักเที่ยง ธรณิศเดินเข้ามา สั่งไก่ผัดพริกหยวก ก่อนจะถอยไปนั่งรอเขาแอบกวาดสายตา บัณฑิตากำลังเช็ดโต๊ะใต้ร่มไม้ คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวกับกางเกงยีนส์ขาสั้นตัวนั้น แม้ว่าผ้ากันเปื้อนจะยาวกว่าแต่ก็เห็นผิวขาวเนียนดึงดูดสายตา
“ช่วงนี้เจ๊เห็นกบบ่อยจัง” เจ๊หงส์เดินมาทักหลังจากตรวจใบเสร็จรับเงินที่ซื้อวัตถุดิบเสร็จ ชายหนุ่มยิ้มตอบ
“เจ้านายไม่อยู่ ไม่มีเพื่อนกินข้าว” ป้าไก่ขยายความแทน
“ก็ดีนะ มาเฝ้าเมียแทน”
“แกร๊ง!”
ธรณิศสำลัก บัณฑิตาทำช้อนหลุดมือร่วงลงพื้น รีบก้มเก็บแล้วเก็บอาการ คนแซวมองคู่สามีภรรยาไปมาแล้วทำทีสำนึกผิด
“สงสัยเจ๊แซวตรงไป ขอโทษทีจ้ะ ข้าวใหม่ปลามันก็งี้แหละเนอะ ยังเขินกันอยู่”
เธอว่าอย่างอารมณ์ดีแล้วเดินไปไปรอบร้านเพื่อบริการลูกค้า ปล่อยให้ ‘คู่ข้าวใหม่ปลามัน’ สบตาแว่บหนึ่งก่อนจะหันไปทำภารกิจของตนเองอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่าตนเองเขินหรือรู้สึกอย่างไรกันแน่
จนกระทั่งธรณิศกลับไปทำงานต่อ
บัณฑิตาก็มองตามและรู้สึกคล้อยตามข้อสังเกตของเจ๊หงส์ เพราะเมื่อเย็นค่ำ ชายหนุ่มก็ปรากฎกายที่ร้านอีก เป็นการมาแบบที่หญิงสาวไม่รู้ตัวเพราะกำลังรับเมนูพร้อมคำเกี้ยวพาจากลูกค้าชีกออย่างเคย
“มีตับไหม”
“มีค่ะ” สาวสวยตอบ
“งั้นเอาตับหวานที่หนึ่ง...” บัณฑิตาจดลงกระดาษไม่ทันหมดคำ “ตับน้องที่นึงด้วย”
“คงไม่ได้หรอกค่ะ น้องตับแข็ง”
เธอโต้ทันควัน อีกฝ่ายนิ่งไปชั่ววินาทีก่อนจะมีเสียงโห่ฮารับด้วยความชอบใจ หญิงสาวรอรายการอาหารเพิ่ม แต่ลูกค้ายังดึงเวลาไม่สั่ง
“สั่งอะไรต่อดีนะ ขอผักบ้างดีกว่า กินผักจะได้สุขภาพดี อะไรอร่อยบ้างจ้ะ”
บัณฑิตาเม้มปาก ยิ้มเย็น “อร่อยทุกอย่างค่ะแล้วแต่พี่จะสั่ง อยากกินต้นไม้ใบหญ้าอะไรได้ทั้งนั้นค่ะ เดี๋ยวไปตัดให้”
แทนที่จะหน้าหงายที่โดนตอกกลับเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง ตรงกันข้ามเขาฉีกยิ้มกว้าง
“รู้อะไรไหม โบราณว่าเอาไว้...” เขาทิ้งระยะเล็กน้อย สายตาจับจ้องเรือนร่างงดงาม
“ผู้หญิงเป็นต้นไม้ ผู้ชายเป็นคนสวน ต้นไม้ยั่วยวน คนสวนเลยจับฟัน”
“แล้วเคยได้ยินไหม พบไม้งามเมื่อยามขวานบิ่นน่ะ” ธรณิศแทรกเข้ามาเมื่อไหร่ไม่รู้ ทั้งหมดชะงัก น้ำเสียงราบเรียบแต่หยุดอาการระริกระรี้ได้ชะงัด “คิดจะตัดไม้ไม่ดูตาม้าตาเรือ ระวังหัวจะบิ่นซะเองนะ”
บัณฑิตาอ้าปากค้าง จะไม่เชื่อหากไม่ได้ยินเอง เธอแทบไม่สนใจว่าเจ้าหนุ่มที่เกี้ยวจะเสียหน้าขนาดไหน เพราะยามนี้เอาแต่จ้องหน้าธรณิศเหมือนไม่ได้เห็นนานนับปี
“พี่มารับ จะกลับหรือยัง หิวแล้ว”
เธอต้องใช้เวลารวบรวมคำพูดเป็นประโยคอย่างไม่จำเป็น
“ก็กำลังทำงานอยู่...”
“ให้อ่องมารับเมนูแทน บุ้งกลับไปทำกับข้าวให้พี่ดีกว่า” ไม่ต้องรอคำตอบธรณิศก็เรียกลูกจ้างชาวพม่าซึ่งแทบจะรีบวิ่งมาในทันที แล้วดึงกระดาษปากกาออกจากมือบัณฑิตาเป็นการย้ำคำ มารยาทของลูกค้าทั้งโต๊ะเรียบร้อยขึ้นทันใด แม้จะถูกเปลี่ยนคนให้บริการ นั่นเพราะชายหนุ่มหน้าเครามีสีหน้าไม่เป็นมิตรซ้ำยังแสดงกิริยาเป็นเจ้าของ
“พี่กบเดี๋ยวก่อน” บัณฑิตาเรียกเขาที่กำลังจะเดินนำไป “ทำไมต้องให้บุ้งกลับไปทำด้วย หิวแล้วก็กินที่นี่เลยสิ แม่บอกว่าวันนี้พ่อไม่กลับด้วย”
ธรณิศทำเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว นัยน์ตาฉายแววตระหนกนิด ๆ คนรอคำตอบก็ตั้งหลักได้ อยากจะกระโดดลิงโลด
อย่าบอกนะว่าตอบไม่ได้ หรือมีแค่หึง...
“ก็...พี่จะกลับไปอาบน้ำด้วย”
แล้วเขาก็ก้าวออกไป หญิงสาวยิ้มกริ่ม มันใช่เหตุผลซะที่ไหนกันล่ะ
ปุริมาเริ่มหวั่นใจนิด ๆ คิดเล็กน้อย เมื่อไม่เห็นหน้าเขมรัฐติดกันสามวัน ตั้งแต่เขามาส่งปิ่นโตแล้วทำตาปรอย ๆ ครั้งนั้น อุตส่าห์ควบรถคันเก่งไปเตร่ ๆ ที่ร้านเจ๊หงส์ก็ไม่เห็นแม้แต่เจ้าโขง จะเอ่ยปากถามก็กลัวหากรู้ถึงหูนายฟาร์มจะพานเสียฟอร์ม
“เอ...พักนี้ไม่เห็นนายเข้เลยนะ”
ไม่รู้ว่าพ่อพูดด้วยความสงสัยหรือจะซ้ำกันแน่ ความรู้สึกหญิงสาวกรุ่นอยู่ในอก อะไรกันนะตานี่ งอน หรืองานยุ่งจนปลีกตัวมาไม่ได้ ทำแบบนี้ เลิกสนใจฉันแล้วใช่ไหม จีบทิ้งจีบขว้างใช่ไหม
“พ่อคะ หนูเข้าห้องก่อนนะคะ”
“วันนี้ง่วงไวจัง เพิ่งสองทุ่มเอง”
“จะไปนอนเล่นน่ะค่ะ”
คเชนทร์พยักหน้าแล้วทำงานต่อ ปุริมารีบจ้ำหลบสายตาสงสัย แล้วตัวเองก็มาทำหน้าตูมเป็นจวักด้วยความหงุดหงิด ไม่ชอบบรรยากาศกับความรู้สึกแบบนี้เลย ให้ตายสิ เพราะมันหมายความหมายว่าเธอกำลังผิดหวัง
เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือขัดจังหวะฟุ้งซ่าน เธอเคลื่อนกายจากเตียง เบิกตากว้างเมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอ
ความขุ่นเคืองหายไปพลัน เธอสูดลมหายใจ กดรับด้วยเสียงปกติ
“ฮัลโหล”
“คิดถึง”
ปุริมาชะงัก หูแปรความหมายส่งไปสมองในเสี้ยววินาที หากพอจะเปล่งเสียง กลับกลายเป็นได้ยินเสียงการสื่อสารถูกตัด อ้าว วางสายทำไมล่ะ
ยังไม่ทันได้คำตอบ อีกฝ่ายก็โทรเข้ามาอีก
“คิดถึงจัง”
แน่ใจแล้วว่าได้ยินไม่ผิด ไอร้อนแล่นขึ้นแก้มผะผ่าว ถ้ามีกระจกอาจจะส่องไม่หมดก็ได้เพราะรู้สึกตนเองหน้าพองขึ้นอย่างกับเจลลดไข้โดนน้ำ
“นี่..”
ยังเอ่ยไม่จบคำสายก็ตัดไปอีก คราวนี้เปลี่ยนความหวามใจเป็นหงุดหงิด เธอรอจังหวะสองสามนาทีก็โทรกลับ
“ครับผม”
“นี่นายเข้ สัญญาณไม่ดีหรือยังไง หรือแกล้งยิงมาให้โทรกลับ เสียมารยาทนะคุณ” ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่ว เขมรัฐอมยิ้มอยู่ปลายสาย
“เปล่ายิงนะ ผมเห็นคุณรำคาญที่ผมพูดยาว ๆ เลยพูดสั้น ๆ ให้ตรงประเด็นไง”
ความอบอุ่นรินรดหัวใจพองโต ยอมรับจริง ๆ ว่าน้ำเสียงกับคารมของเขามันช่างแพรวพราว ไม่ว่าเธอจะต่อปากโต้ลูกหยอดลูกตบยังไงก็แก้ไม่ได้เสียที
“แล้วไม่คิดจะให้คนฟังเขาตอบรับความคิดถึงบ้างหรือไง”
“ก็โทรมาแล้วนี่ แสดงว่าคุณก็...คิดเหมือนกันใช่ไหม”
หญิงสาวเผลอยิ้มออกมาดีใจเหลือเกินที่เป็นแค่การคุยโทรศัพท์ ถ้าอยู่ต่อหน้า เธออาจจะฉีกชายเสื้อตัวเองจนขาดแล้วก็เป็นได้
“แล้ว...นี่อยู่ที่ไหน”
เท่านี้เขมรัฐปลาบปลื้ม ยิ่งเธอเลี่ยงไม่ตอบยิ่งยืนยัน เขาเหลือบมองด้านหลัง โขงกำลังนั่งเล่นเกมส์กับลูกคนเล็กของอา แต่ดูแล้วลูกชายของเขาคงเป็นฝ่ายให้หลานวัยสิบขวบสอนมากกว่า
“อยู่กรุงเทพ พาโขงมาหาปู่น่ะ”
คนฟังยกคิ้ว “ไหนบอกว่าจะไปซื้อหนังสือไม่ใช่เหรอ”
เขาหัวเราะ “ก็มาซื้อด้วย วันเกิดโขงมันตรงกับช่วงที่มีงานสัปดาห์หนังสือ ผมชอบมาเดิน แล้วก็ถือโอกาสพามาเยี่ยมปู่ด้วยเลย เป็นแบบนี้ทุกปีน่ะ”
เธอถึงบางอ้อ
...ต่อค่ะ
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
7 มี.ค. 55 11:15:20
|
|
|
|