สวัสดีเพื่อนนักอ่านทุกท่านครับ
วันหยุดสั้นๆนี้เลยมีโอกาสนำมาโพสซะเลยครับ ก่อนจะถึงสัปดาห์สอบปลายภาคในอาทิตย์หน้าแล้วครับ จากนั้นก็ปิดเทอมซะที...
สำหรับตอนที่ 4 ที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11779780/W11779780.html
ขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่านด้วยนะครับ คุณปุ้ย npuiy, อินทรายุธ, กาแฟเย็นเพิ่มช็อต, Travel to the moon, ใยไหมกะใบม่อน, เพชรรุ้งพราย, kdunagin, wor_lek, Setakan, แก้วกังไส, นวลน้ำผึ้ง, Hermosa, และคุณสุชาดาวดี ครับผม
เพื่อให้เสียเวลาติดตามต่อในตอนที่ 5 ได้เลยครับ
บทที่ 5
ทับสนธยา...
บ้านหรืออาคารหลังนั้น ไม่น่าจะถูกเรียกว่า ทับ ตามความเข้าใจแต่แรกเลยด้วยซ้ำ ด้วยลักษณะรูปทรงของมัน ก็คือคฤหาสน์หรือปราสาทในยุคกลางของยุโรปมากกว่า ด้วยความสูงเด่นเป็นสง่าของปราสาทศิลาสีขาวดูน่าประหลาดใจที่มาก่อสร้างอยู่กลางผืนป่ารายล้อมรอบด้านในประเทศไทยอย่างนี้ แม้ว่าจะลักษณะสถาปัตยกรรมที่มองเห็นจะกลมกลืนเข้ากับสภาพของธรรมชาติได้อย่างไม่ขัดหูขัดตาเลยก็ตาม
ปีระกาเผลอมองยอดหอคอยมหาปราสาทหรือทับสนธยาที่สูงละลิ่วเด่นชัดที่สุดจากภูมิทัศน์เบื้องหน้า ยอดหอคอยสีขาวซีดสองยอดปรากฏในแนวคู่ขนาน แจ่มกระจ่างจ้ากลางแสงตะวัน ในแนวศิลปะแบบกอธิค อันแสดงถึงความเชี่ยวชำนาญของสถาปนิกและวิศวกรผู้ก่อสร้างมันขึ้น โดยมีส่วนอาคารโถงประธานตรงกึ่งกลางสร้างยื่นเป็นส่วนหน้ามุขออกมาอย่างเหมาะเจาะสมดุล ด้วยโครงสร้างอ่อนช้อยของลวดลายแกะสลักตามเสาอาคารแต่ละต้น แต่ละตำแหน่งยิ่งเสริมส่งความสง่างาม จนแทบจะทำให้ปีระกาและชลธรลืมสิ่งที่ตัวเองพูดถึงไปเมื่อครู่จนหมดสิ้น
นี่ไม่ใช่เรือนไม้เก่าๆผุพังอย่างที่คิดไว้แต่แรกเสียแล้ว แม้ว่าสีขาวสะอาดของเนื้อหินอ่อน จะผ่านแดดลม พายุฝนหรือมรสุมธรรมชาติต่างๆนานามาหลายทศวรรษ แต่ก็หาได้ทำให้ความสง่างามยิ่งใหญ่ของอาคารแห่งทับสนธยา ลดน้อยลงไปแต่น้อยไม่
นี่ฉันฝันไปหรือเปล่าวะ? นี่น่ะเหรอ ทับสนธยาที่แกว่าน่ะ?
ปีระกาเองก็ไม่ตอบ เพราะคงอยู่ในอาการเช่นเดียวกับเพื่อนสาวนั่นเอง นักเขียนนิยายคนเก่งค่อยบังคับรถให้เคลื่อนไปจอดที่หน้าลานเฉลียงขนาดใหญ่ของตึกประธาน เมื่อนั้นจึงสังเกตเห็นร่างๆหนึ่งก้าวออกมาเหมือนกับรอคอยการมาถึงของสองสาวอยู่แล้ว...
คุณปีระกา วงศ์วนาใช่ไหมครับ ยินดีที่ได้พบครับ ทับสนธยาขอต้อนรับคุณทั้งสอง
ชายสูงวัยในชุดสูทสีดำสนิท ผูกโบไทด์สีขาวโดดเด่นเข้ากับคฤหาสน์ ทับสนธยาแห่งนี้ เขาโค้งกายคำนับราวกับปีระกาเป็นเจ้าหญิงของปราสาทโบราณก็ไม่ปาน ในขณะที่ชลธร เปิดประตูรถด้านข้างออกมาแล้วออกมาสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อระงับความตื่นเต้น อันที่จริงหญิงสาวหายเมารถเป็นปลิดทิ้งตั้งแต่ได้เห็นทับสนธยาเป็นครั้งแรกแล้ว
ปีระกายื่นมือออกไปสัมผัสกับมือสีขาวซีดของอีกฝ่ายที่ยื่นออกมาสัมผัส และก็ต้องเบิกนัยน์ตากว้างอย่างประหลาดใจที่สุด ที่เห็น ผู้ต้อนรับ เงยหน้าขึ้น
นัยน์ตาข้างหนึ่งของเขาไร้แววใดๆทั้งสิ้น มันประจุไว้ด้วยแก้วผลึกเป็นแก้วตาเทียม...
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือ หล่อนมองเห็นคล้ายทะลุผ่านแก้วตาสังเคราะห์นั้นเข้าไปเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่าง ลึกเข้าไปภายในดวงตาข้างนั้นด้วย!
หากเมื่อกระพริบตา ก็เห็นเพียงนัยน์ตาแก้วผลึกขุ่นมัวในสภาพธรรมชาติของมันตามเดิม
ผมชื่ออาตม์ เป็นผู้ที่คุณท่าน ได้มอบหมายให้ดูแลทับสนธยาแห่งนี้ไว้สำหรับคุณ เองครับ
คุณอาตม์?
หรือจะเรียกว่าลุงอาตม์ก็ได้นะครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจ
เขาตอบอย่างสุภาพ แต่ปีระกาดูออกว่าชายชราซ่อนความดีใจเอาไว้อยู่ไม่ใช่น้อย ก็น่าเห็นใจอยู่หรอก หล่อนพอรู้มาว่าเขาเพียรพยายามติดตามหาทายาทของทับสนธยาอยู่นาน นับตั้งแต่คุณย่าทวดผู้เป็นเจ้าของทับสนธยายังมีชีวิตอยู่
ค่ะ ลุงอาตม์
ปีระกาเป็นคนแรกทีเอ่ยชื่ออีกฝ่ายเป็นการตอบรับแต่โดยดี ชายสูงวัยก็ไม่รอให้สองสาวยืนอยู่นาน เขาผายมือเป็นเชิงเชิญชวนให้เข้าไปยังห้องด้านในที่เปิดประตูรอไว้อยู่แล้ว ด้วยท่าทางคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง
ตอนนี้คุณภูไท กำลังรอพวกคุณอยู่ทีห้องรับรองแล้วครับ
ปีระกาขมวดคิ้วนิดหนึ่ง นึกถึงจดหมายที่ส่งมาจากสำนักงานของภูไทนั่นเอง หญิงสาวพยักหน้าให้ชลธรเดินตามเข้าไปด้วยกัน นักเขียนสาวเกือบจะหันกลับไปอยู่แล้ว ถ้าไม่สังเกตเห็นรอยยิ้มบางอย่างกระตุกขึ้นที่มุมปากของชายสูงวัยผู้มีนามว่า อาตม์ ยามเมื่อเขาเหลือบนัยน์ตามองมาที่หล่อนอย่างเจตนาไม่ให้รู้ตัว
นอกจากความดีใจแล้ว เหมือนมีความกังวลใจบางอย่างแฝงอยู่ภายใต้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นแห่งวัยชรานั่นด้วย
กังวลเรื่องอะไร?
************************
เมื่อมองจากภายนอกแล้วทับสนธยา อาจจะดูยิ่งใหญ่ตระการตา ข่มความอหังการของผู้มาเยือนให้ตัวเล็กจ้อยลงในพริบตา แต่ทันทีเมื่อก้าวผ่านลานเฉลียงศิลาที่ทอดผ่านเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าห้องรับรองขนาดใหญ่แห่งนี้ ปีระกา กลับยิ่งรู้สึกถึงความโอฬาริกของมันมากยิ่งไปกว่า
เรือนประธานหลังใหญ่ แม้จะเปิดโคมไฟแก้วระย้าเพียงไม่กี่ดวง จากที่ประดับประดาบนเพดานรูปโค้งสูงละลิ่วนับร้อยดวงราวกับดวงดาวบนผืนฟ้า แต่ก็สามารถส่องแสงสะท้อนผ่านกระจกแก้วโมเสกที่ประดับประดาหลากสีสันด้านใน ด้วยการจัดวางตำแหน่งอย่างชาญฉลาด จนเกิดเป็นความสว่างไสวเรืองรอง แทบไม่ต่างกับยืนอยู่ท่ามกลางแสงตะวัน และสะท้อนให้อาคันตุกะผู้มาเยือนได้เห็นถึงภาพวาดสีน้ำมันที่เรียงรายอยู่บนผนังหินอ่อนแต่ละตำแหน่ง โดยแทบไม่ต้องอาศัยแสงโคมไฟเหนือรูปภาพเหล่านั้นเลยสักดวงเดียว
หล่อนเผลอไผลเพ่งมองภาพวาดเหล่านั้นอย่างเพลิดเพลิน ทั้งภาพวิวทิวทัศน์ ภาพดอกไม้ชนิดต่างๆ ที่วาดด้วยฝีมือจิตรกรนิรนามด้วยลวดลายและสีสันสวยงาม
ตราบจนเลื่อนสายตามาถึงตำแหน่งกึ่งกลางห้อง
นั่นเป็นเพียงภาพบุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถูกเขียนขึ้นในขนาดเกือบเท่าตัวจริง เป็นใบหน้าชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่งที่มีโครงหน้างดงามคมสันสมบุรุษเพศ ร่างนั้นอยู่ในชุดเสื้อราชปะแตนคอปิดสีขาว ติดด้วยกระดุมทองห้าเม็ด และคงจะนุ่งผ้าม่วงโจง อย่างข้าราชการในยุคสมัยนั้น
ทรงผมตัดสั้นอย่างที่เรียกว่ารองทรงหวีเรียบเปิดหน้าผากกว้างอย่างผู้ทรงภูมิ เข้ากับส่วนสันคางบึกบึนและจมูกโด่งได้รูป เสริมใบหน้านั้นให้เข้มคมคายเด่นชัดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคิ้วหนาจัดเป็นปื้นรับกับดวงตาคมกล้าคล้ายดุของอีกฝ่าย ยิ่งเมื่อมองประจันในระยะใกล้เช่นนี้ ปีระการู้สึกราวกับบุรุษผู้นั้นจะส่งพลังอำนาจทางสายตามองผ่านทะลุออกมา จากภาพวาดอันไร้ชีวิตจิตใจนั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์
แบบนี้เองกระมัง ที่เรียกกันว่ารูปหล่ออย่างคนโบราณ!
นี่คือภาพของคุณหลวงอนุรักษ์วนาดร ครับผม!
เสียงตอบดังกลับมาจากเบื้องหลัง ทำให้รีบหันกลับไป และเห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนขึ้นค้อมศีรษะทักทายโดยมารยาทพอดี ชายหนุ่มร่างสันทัดผอมเพรียวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวครีมลายทางผู้นั้นเผยรอยยิ้มทักทายด้วยประกายนัยน์ตาแจ่มใส บ่งถึงผู้มีอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ ดูแล้วช่างผิดแผกจากสภาพแวดล้อมของห้องรับรองอันโอ่อ่าโอฬารและเคร่งขรึมแห่งนี้เสียเหลือเกิน
ผมภูไท ทินบดี เป็นทนายความที่ติดต่อกับคุณบุษกรทางจดหมายเองครับ
เขาก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง และยื่นมือออกมาทักทายทั้งปีระกา และชลธร พร้อมกัน
**********************
ร้อยตำรวจเอกคมจักร จักษุราช ย้อนกลับไปเปิดนิยายเรื่องเด่นที่ลงเป็นตอนๆในหนังสือยอดเยาวมาลย์ ฉบับล่าสุดออกอ่านอีกครั้ง
บทบรรณาธิการหน้าแรก เกริ่นถึงการหยุดช่วงของกุหลาบอาเพศ ที่ ปีระกา เขียนค้างเอาไว้ โดยให้ข้ออ้างว่านักเขียนเกิดไม่สบายขึ้นกะทันหัน จึงไม่สามารถส่งต้นฉบับได้ทัน โดยไม่มีกำหนดส่งต่อ เขาทราบดีว่านิยายเรื่องนี้ กำลังสร้างกระแสเรทติงให้กับนักเขียนหน้าใหม่ไฟแรงแห่งยอดเยาวมาลย์อยู่ไม่น้อย หญิงสาวผู้นั้นมีพรสวรรค์ในการเขียนบรรยายเรื่องและทิ้งท้ายปมในแต่ละตอนให้น่าติดตามและลุ้นระทึกไปพร้อมกันได้อย่างประทับใจ
แต่ ข้อมูลในการเขียนนั่นต่างหาก ที่ทำให้เขากังขาอยู่ไม่น้อย
ทั้งห้าคดีสำคัญที่ยังค้างคาอยู่ในแฟ้มลับของสำนักงานตำรวจ กลับถูก เฉลยปม ในรูปของนวนิยายฆาตกรรมทั้งห้าเล่มนี้ อย่างหมดจดกระจ่างแจ้ง จนเป็นแนวทางให้ตำรวจตามจับผู้ร้ายที่ลอยนวลอยู่ได้อย่างน่าประหลาด
เหลือเพียงคดีล่าสุดที่เจ้าหล่อนเอามาเขียนในชื่อเรื่องกุหลาบอาเพศนี่แหละ!
คมจักรหรี่ตาครุ่นคิด เมื่อรำลึกถึงแฟ้มคดีต้นแบบที่ผ่านมา รวมถึง เหยื่อฆาตกรรมรายล่าสุด
คุณกรรณิการ์ อาชาวีรชัย...
สาวใหญ่ทายาทหมายเลขหนึ่งของตระกูล ที่กำลังถูกจับตาว่าน่าจะเป็นฝ่ายจ้างวานฆ่า ทายาทสาวสามคน ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง แต่ท้ายที่สุด กรรณิการ์ก็กลับกลายเป็นเหยื่อฆาตกรรมรายที่สี่อย่างพลิกความคาดหมาย
โดยมีกุหลาบสีขาวถูกทิ้งเอาไว้ข้างศพ เหมือนเป็นลายเซ็นของฆาตกร...
ฆาตกรในเงามืดที่ไม่มีหลักฐานใดๆทิ้งเบาะแสเอาไว้เลยสักอย่างเดียว ทุกอย่างถูกจัดการขึ้นอย่างหมดจด โดยผู้ชำนาญในการลงมือเป็นอย่างดี
คมจักร ถอนหายใจแผ่วยาว แล้วค่อยๆอ่านรายละเอียดของแฟ้มข้อมูลไปเรื่อยๆ สลับกับรายละเอียดในนิตยสารสตรีเล่มนั้น
เหยื่อทั้งสี่รายคือสตรีสาวทายาทตระกูลดังอาชาวีรชัยทั้งหมด
ส่วนรายที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่ ล้วนไม่ใช่ทายาทผู้สืบสายเลือดของตระกูลนี้เลยสักคนเดียว วันชนก สมภพ และพารณ เขยทั้งสามของเสี่ยสอง ก็มีหลักฐานชัดเจนว่าทั้งสามคนไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ
วันชนก สามีของเบญจมาศ เดินทางไปทำธุระที่ต่างประเทศเป็นเวลาเกือบสามเดือน ในช่วงที่ฆาตกรรมสี่ศพเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน เขามีหลักฐานที่อยู่การเดินทางและกำหนดการไป กลับ ชัดเจน แม้แต่บัดนี้หนุ่มใหญ่ผู้นั้นก็ยังไม่ได้เดินทางกลับมาเลยด้วยซ้ำ คมจักรหยิบรูปถ่ายที่ได้มาขึ้นพิจารณา มันเป็นไฟล์ที่ถูกส่งมาจากต่างประเทศของแหล่งข้อมูลลับ พบว่า สามีของเบญจมาศ ไปพำนักกับ ภรรยาน้อย พร้อมทารกที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นไม่นาน ในขณะที่เบญมาศซึ่งไม่มีบุตรด้วยกัน ก็ไม่เคยระแคะระคายในเรื่องนี้
เคสของหนุ่มใหญ่คนนี้ น่าจะตัดออกไปไม่ยาก...
ส่วนสมภพ เขยคนที่สองนั้น หย่าขาดจากมัลลิกา ภรรยาสาวไปเกือบเดือนเศษ ก่อนเกิดคดีฆาตกรรม นักธุรกิจหนุ่มอาศัยอยู่กับครอบครัวของตนเอง โดยไม่เคยกลับมาเยือนคฤหาสน์อาชาวีรชัยอีกเลย แม้จะไม่ข้อมูลว่าเขาไปมีภรรยาใหม่ก็ตาม แต่ข่าวความร้าวฉานจนคนในตระกูลอาชาวีรชัยไม่ต้อนรับเขยสองคนนี้ ก็ทำให้รับรู้ว่า สมภพไม่มีวันย่างเหยียบเข้าไปยังคฤหาสน์แห่งนั้นเด็ดขาด แต่คมจักรก็ยังเก็บแฟ้มของเขยหนุ่มคนนี้เอาไว้ก่อน บางทีแรงจูงใจเรื่องความแค้น ก็อาจจะเกิดคดีฆ่าล้างตระกูลก็ได้
ส่วนเขยเล็กคนสุดท้าย พารณ ศัลยแพทย์หนุ่มสามีของลัดดาวัลย์ เหยื่อสาวรายแรกของคดีกุหลาบอาเพศนี้ ก็ขึ้นเวรในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งอยู่ในเวลาเกิดเหตุเช่นเดียวกัน คุณหมอหนุ่มมีพยานยืนยันทั้งจากผู้ร่วมงานในวอร์ด ตารางการขึ้นเวรชัดเจน รวมถึงไม่เคยมีข้อบาดหมางใดๆกับสี่สาวในตระกูลนี้มาเลย ทั้งเบญจมาศ และ กรรณิการ์ยังช่วยยืนยันด้วยซ้ำว่า นายแพทย์หนุ่มกลับมาในเช้าวันรุ่งขึ้นก่อนการเกิดเหตุฆาตกรรมภรรยาของเขาเองในคดีเหยื่อรายแรก
ทุกคนต่างมีสถานที่ยืนยันของตัวเองชัดเจน พร้อมพยานรับรู้ ดูเหมือนว่าการเสียชีวิตในรูปแบบเดียวกันของสี่พี่น้องในตระกูลนี้จะเป็นปมปริศนาที่ยากจะคลี่คลายไปเสียแล้ว ทั้งฆาตกรและมูลเหตุจูงใจ...
เขาหันกลับมาพลิกต้นฉบับนิตยสารเล่มเดิมนั้นอีกครั้ง กุหลาบอาเพศกำลังดำเนินมาถึงตอนที่สิบพอดี เป็นฉากฆาตกรรมคุณยี่สุ่นหรือ กรรณิการ์ในคดีจริง
สายตานายตำรวจนักสืบพยายามอ่านเพื่อเก็บรายละเอียดจากเนื้อหาในแต่ละบทชนิดไม่ยอมให้ขาดช่วงเด็ดขาด...
********************
กุหลาบอาเพศ โดย ปีระกา บทที่สิบแปด
หลังจากล็อคประตูห้องนอนเรียบร้อยแล้ว คุณยี่สุ่นก็บรรจงถอดเสื้อตัวนอกที่สวมอยู่ออกจากกันแล้วโยนมันลงไปกองกับพื้นห้องอย่างไม่ยี่หระ ตามด้วยชุดชั้นในและอันเดอร์แวร์ตัวจิ๋วราคาแพงระยับ จนเรือนกายเปลือยเปล่าตลอดทั้งร่าง
สาวใหญ่เดินนวยนาดมาหยุดยืนอยู่หน้าบานกระจกขนาดใหญ่ด้านในสุดของห้อง ภาพสะท้อนใสแจ๋วทำให้เห็นใบหน้าที่ประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางอย่างดี ลบเลือนริ้วรอยแห่งกาลเวลาจนแทบหมดสิ้น คงเหลือเพียงนัยน์ตาอิดโรยเท่านั้นที่ไม่อาจซ่อนเร้นไว้ได้ คงเป็นเพราะภารกิจจัดการงานศพถึงสามรายด้วยกันที่เกิดขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกันเช่นนี้มากกว่า
มือเรียวยาวผิวเนื้อเรียบตึง แม้จะย่างเข้าสู่ปลายเลขสี่ของชีวิตระเรื่อยจากลำคอระหง มาถึงโนมเนื้อแห่งความเป็นหญิงที่ยังคงความครัดเคร่งไม่หย่อนยาน แล้วไล่ผ่านลงสู่หน้าท้องแบนเรียบปราศจากไขมันสักส่วนเสี้ยว หล่อนละสายตาจากภาพอันน่าภาคภูมิใจนั้น แล้วเอื้อมไปกดรีโมทเปิดแอร์คอนดิชัน ปล่อยกระแสลมเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ ให้พัดปะทะดับความร้อนในเรือนกาย และเรือนใจ!
ใช่! รุ่มร้อนไปหมดทั้งตัว มิได้เกิดจากความวิตกกังวลในความตายที่เกิดขึ้นกับผู้เป็นน้องสาวลูกพี่ลูกน้องทั้งสามคนในเวลาไล่เลี่ยกันเช่นนี้หรอก ตรงกันข้าม เป็นความปิติปราโมทย์เสียด้วยซ้ำที่หมดสิ้นเสี้ยนหนามในชีวิตไปเสียที
หล่อนเกลียดพวกมันเข้ากระดูกดำ แม้จะต้องคอยปั้นสีหน้าเป็นเสียอกเสียใจต่อเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวต่อหน้าแขกผู้เกียรติทั้งหลายก็ตาม ต่อจากนี้ไปก็เหลือเพียงหล่อนเท่านั้นที่จะได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างภายในคฤหาสน์หลังนี้
คุณยี่สุ่นหลับนัยน์ตาลง ลมหายใจร้อนระอุถูกเร่งเร้าด้วยความปรารถนาแรงกล้าที่ไม่อาจบอกให้ผู้อื่นรับรู้ สาวใหญ่เอนกายลงบนที่นอนหนานุ่ม กายสั่นสะท้านระหว่างจินตนาการถึงบางสิ่งที่รบกวนจิตใจมาโดยตลอด...
*********************
สิ่งที่รบกวนจิตใจ?
คมจักรเคาะปลายนิ้วลงกับโต๊ะทำงานอย่างครุ่นคิด ทำไมปีระกาต้องใช้คำนั้น ตลอดเก้าบทแรกที่เขาติดตามเรื่องราวของกุหลาบอาเพศมาโดยตลอด พบว่าบทบาทของคุณยี่สุ่น หรือที่รับรู้ในความเป็นจริงว่าก็คือ นางสาวกรรณิการ์ อาชาวีรชัย ก็คือสาวใหญ่ผู้สุขุม มาดนักธุรกิจเต็มตัว ด้วยหล่อนเป็นนักบริหารหญิงที่เอาใจใส่ดูแลสุขภาพร่างกายตนเองอย่างดียิ่ง
และที่สำคัญก็คือกรรณิการ์ครองความเป็นสาวโสดมาได้อย่างสง่างามตลอดกว่าสี่ทศวรรษแห่งชีวิต รวมถึงภาพที่ปรากฏต่อสื่อมวลชนก็เป็นพี่สาวผู้แสนดีในสายตาของน้องๆทั้งสามคนด้วย แม้ว่าจะมีเรื่องขัดแย้งทางธุรกิจกันบ้างก็ตาม
แต่ในบทนี้ คล้ายกับว่าแม่นักเขียนสาวตัวดี ต้องการจะสะท้อนความรู้สึกภายในของสาวใหญ่นักบริหารผู้นั้นออกมาในภาพตรงกันข้าม เหมือนกับว่าหล่อนพยายามเก็บซ่อนอารมณ์รุนแรง ระอุร้อน ด้วยไม่เคยพอใจลูกพี่ลูกน้องทั้งสามคนของหล่อนเลยแม้แต่น้อย นอกจากความเกลียดชัง
และตอนท้ายประโยคดูเหมือนว่าปีระกาจะบรรยายอารมณ์ร้อนรุ่มบางอย่างของกรรณิการ์เอาไว้ด้วย เพียงแต่เจ้าหล่อนกลับไม่เขียนให้ชัดเจนไปเลยว่ามันเป็นอะไรกันแน่
สังหรณ์บอกกับเขาว่านี่อาจจะเป็น ร่องรอย บางอย่างที่ไม่ควรมองข้าม!!
**********************
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
7 มี.ค. 55 15:47:59
|
|
|
|