สวัสดีค่ะ 
หายไปเสียนาน คอมฯ เสียเลยไม่ได้มาโพส ต้องขออภัยด้วยนะคะ
ตอนนี้คอมฯ เป็นปกติแล้ว จะพยายามโพสให้สม่ำเสมอค่ะ ยังไง
ท่านผู้อ่านก็อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ ขอเชิญรับความบันเทิงต่อได้ค่ะ
ใยไหมกะใบม่อน : ไม่เป็นค่ะเข้ามาอ่านเฉยๆ ทักทายกันเล็กน้อย
ก็พอค่ะ กิฟไม่ต้องก็ได้ 
ระรินใจ : ชอบแจ๊คพ็อตไหมคะ? 
กาแฟเย็นเพิ่มช็อต : ปิดตานิดหนึ่งค่ะ แต่หรี่ตาดูได้ 555 
นารีจำศีล : ตอนนี้ไม่มีเลิฟซีนแล้วค่ะ หนักไปทางบู๊ขึ้นเรื่อยๆ
Setakan : หวังว่าถูกใจนะคะ 
กุลธิดา : คุณกุลธิดาพูดเสียขำเลยค่ะ 
สายลมที่พริ้วไหว : ขอบคุณค่ะ 
ความเดิม ตอนที่ 8 ค่ะ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11764528/W11764528.html
==================================================
9
ในความมืดอันเป็นนิรันดร์ ความเงียบสงบอยู่เป็นเพื่อนคู่ใจ ทุกอย่างนิ่งเงียบเป็นแผ่นน้ำที่ไร้การเคลื่อนไหว เนิ่นนาน...นานกว่าแผ่นน้ำจะไหวกระเพื่อมเป็นระลอกช้าๆ ประสาทสัมผัสเริ่มตื่น เมื่อมีสัมผัสจากภายนอกกระตุ้นให้บังเกิดความรู้สึกนึกคิดในความมืดอันหนาวเย็น ร่างที่หนักอึ้งปานหินขยับเขยื้อนไม่ได้ ไร้เรี่ยวแรง มีแค่ความรู้สึกเท่านั้นที่เคลื่อนไหว
อา..นาน...นานแสนนานในห้วงนิทรา เวลาผ่านไปนานแค่ไหน โลกเป็นอย่างไรไปแล้ว คนที่คิดคำนึงถึงอยู่แห่งหนใด ใครอยู่เคียงกายบ้าง ใครมองดูอยู่?
หลายๆ คำถามร้อยพันไหลเวียนเหมือนสายน้ำที่ไหลหลาก มาอย่างรวดเร็วและจางหายไปเมื่อไร้กำลังแม้แต่จะคิด สุดท้ายก็จมดิ่งในความมืดอีกครั้ง ความคิดคำนึงจางหายดุจหิ่งห้อยอ่อนแรง ร่างกายยังถูกพันธนาการให้ไหลไปกับนิทราอันยาวนานไร้ที่สิ้นสุดต่อไป....
ปราสาท ทูน ( Thun castle) ภาษาเยอรมันเรียกว่า Schloss Thun ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ 1191 โดยท่าน ดยุก Berchtold Von Zahringen และถูกครองครองโดยตระกูล Bernese ในปีค.ศ 1386 ปราสาทตั้งอยู่บนเนินเขา ด้านหลังของเมืองเก่า ตัวปราสาทถูกสร้างเป็นกำแพงสูงและประกอบด้วยป้อมปราการสามป้อม อาคารกลางหลังคาทรงแหลมสีแดง อีกหนึ่งอาคารรูปทรงเดียวกับปราสาทนอยส์ชวานสไตน์อันมีชื่อเสียงของเยอรมัน ภายในปราสาทแห่งนี้ มีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ที่จัดแสดงเกี่ยวกัประวัติศาสตร์ของสวิตเซอร์แลนด์ในยุคต่างๆ ซึ่งก็รวมถึงจัดแสดงเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ทางการทหารในยุคเก่าด้วยนะคะ ไกด์สาวผมบลอนด์ ตาสีฟ้า บรรยายเสียงใสให้คณะนักท่องเที่ยวจากฮ่องกงอย่างคร่าวๆ ท่ามกลางเสียงล้งเล้ง ภาษากวางตุ้งและเสียงแฟลชเป็นระยะ
ไกด์สาวพูดบรรยายไป ดวงตาพราวแพรวของเธอจ้องมองชายหนุ่ม ที่เด่นกว่าใคร ท่ามกลางคนหัวดำเดินขบวนตามกันเหมือนนกเพนกวิน ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กว่าใคร ผมสีน้ำตาลแดง เดินเด่นเป็นสง่าปะปนอยู่ท้ายขบวนและขึ้นบันไดหินไปอย่างเชื่องช้า อากาศวันนี้เย็นราวสององศา ท้องฟ้าปกคลุมด้วยหมอกจัดมองไม่เห็นยอดเขาหรือแม้แต่ยอดปราสาท
แมตต์ มองสำรวจไปทั่วเขารู้ตัวอยู่เหมือนกันว่า รอยยิ้มของผู้หญิงหลายคนส่งมาให้เขาเพราะอะไร ชายหนุ่มเองก็รู้สึกแปลกแยกทั้งๆ ถิ่นนี้เขาคุ้นเคยดี แต่พอมาอยู่ท่ามกลางผู้คนตัวเล็กๆ ผมดำพวกนี้แล้ว รู้สึกเหมือนหลงฝูงจริงๆ เขาหันมามองผู้หญิงข้างกาย
ร่างอรชรของลูน่านั้นดูเข้มแข็งในแบบฉบับของตัวเอง ผมตรงยาวสีดำสลวย ลำคอขาวผ่อง ไม่มีรอยกัดอย่างที่คิด เขาเคยสงสัยว่าลูน่าถูกเแวมไพร์ต้นเรื่องกัดตรงไหน มากระจ่างเอาก็ตอนที่ได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของเธอถนัดตา
เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ในค่ำคืนนั้น หัวใจของชายหนุ่มก็เต้นแรงขึ้นมา หากมองผิวเผินคงต้องบอกว่าอารมณ์มันพาไป หากลึกๆ แล้วมันเป็นเพราะในใจของเขาต้องการเธออยากสัมผัสผิวเนียนใต้ร่มผ้านั่น ในช่วงจังหวะที่หญิงสาวอ่อนแอเธอยิ่งไร้แรงต้าน เปิดโอกาสให้เขากอดด้วยเสน่หาทางเพศ ดวงตาสีน้ำเงินราวไพลินน้ำงามนั่นลี้ลับราวความลับแห่งกาลเวลา แล้วยังกลิ่นอายหอมกรุ่นจากผิวกายที่ชวนลุ่มหลง ทั้งหมดนี้แวมไพร์สาวผูกมัดหัวใจของเขาเอาไว้แล้ว มันแน่นหนาเกินกว่าที่หญิงใดจะแทรกเข้ามาได้ รอยยิ้มของไกด์สาวผมบลอนด์จึงไม่ทำให้ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกใดๆ
ว่าแล้วอุ้งมือใหญ่เอื้อมมาจับมือลูน่าไว้ เมื่อหญิงสาวหันไปมองก็ ดวงตาสีน้ำเงินใสมีความนัยบางอย่างที่อยากบอก
เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมเงียบไป
ฉันสบายดี ไม่มีอะไรหรอก เธอดึงมือออกจากมือของเขา
ลูน่าไม่สบตาผมเลยนะ ตั้งแต่ออกจากโฮแม๊ตมา มีอะไรหรือเปล่า? แมตต์ ดึงให้เธอหันมาสบตา
ไม่นี่ อันที่จริง.. เธอเว้นวรรคคล้ายลังเลที่จะพูดจะว่าใช่...ก็ใช่อยู่หรอก แต่เราคิดถูกจริงๆ หรือที่มาที่นี่...
นี่ยังคิดไม่ตกอีกเหรอ แมตต์เดา
ข้างหน้านั้น... ลูน่าพูดค้างอยู่แค่นั้น อาจมีสิ่งที่เราต้องการ แต่.....มันใช่ทางออกแน่หรือ....แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นที่ไม่อาจควบคุมได้ เราอาจเสียใจทีหลังก็เป็นได้นะ
โธ่เอ้ย... อีกฝ่ายทำเสียงเสียดาย จนลูน่างุนงง นึกว่าคิดเรื่องผมอยู่เสียอีก เสียดายชะมัด
เสียดายอะไร? หญิงสาวงุนงง
ผมนึกว่าลูน่ากำลังคิดถึงเรื่องคืนนั้นของเราเสียอีก
แมตต์ !!! ลูน่าเสียงแข็งขึ้นมาทันที ใบหน้าขาวนวลนั่นแดงขึ้นมาทันที
ล้อเล่นน่า...กังวลเรื่องผมใช่ไหม หน้าเธอมันฟ้อง แวมไพร์สาวหันหน้าหนีด้วยความแง่งอน ดูซิเธออุตส่าห์เป็นห่วงเขาแท้ๆ ยังจะมาล้อเล่นกันได้
โอเคๆ ๆ ไม่พูดก็ได้ รู้ไหม สมัยเด็กผมเคยเห็นคนตายมากับตา จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเรื่องอื่น ลูน่ามองหน้ารู้สึกว่าเขาไม่เคยตามผู้ชายคนนี้ทันเลยจริงๆ
ผมเป็นเด็กขี้กลัวนะ ตอน 5-6 ขวบ ผมเห็นผู้ชายเร่ร่อนคนหนึ่งนอนหนาวอยู่ข้างทางในเมือง หิมะหนาอากาศหนาวจับใจ เขาคนนั้นมีเสื้อบางๆ กับลังกระดาษป้องกันความหนาว เนื้อตัวสกปรกไปหมด ผู้คนเดินผ่านไปมาไม่มีใครเหลียวมองเขาสักคน ผมผ่านไปและมองตาเขา มันเป็นสีฟ้าที่ใสเอามากๆ เหมือนท้องฟ้าใสในฤดูร้อน เขาขอเศษเงินจากผม แต่ผมก็ไม่กล้าให้ เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้ชายคนนั้นหนาวตายตรงที่เดิมที่เขานอน ผมคิดเสมอว่านี่เป็นความผิดของผม
ลูน่าฟังเขาเล่าพยายามจินตนาการไปถึงนัยน์ตาสีฟ้าที่ว่าเหมือนท้องฟ้าฤดูร้อน ในยามฟ้ากระจ่างชัดสดใส แต่ไม่ว่านึกเท่าใดภาพที่ปรากฏขึ้นแจ่มชัดยังคงเป็นดวงตาสีฟ้าของคนที่ยืนอยู่ข้างตัวมากกว่า
เรื่องนี้จำติดอยู่ในหัวผมเสมอมา คิดว่าชีวิตเขาคนนั้นอาจเปลี่ยนไปสักนิด ถ้าคืนนั้นผมให้เงินเขา มันอาจจะไม่ติดค้างในใจผมเลยก็ได้....และตอนนี้ผมคงติดค้างในใจไปชั่วชีวิต ถ้าปล่อยคุณไป
แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 55 00:11:24