 |
32
บัณฑิตาเห็นตัวเองอยู่เพียงลำพังบนเตียงเมื่อแสงอาทิตย์กับเสียงนกกาเหว่าดังแว่ว พอมองไปยังพื้นที่อีกฟากของเตียงใบหน้าร้อนก็ผะผ่าว ภาพต่าง ๆ ฉายขึ้นมาแม้ว่าที่ตรงนั้นจะว่างเปล่าก็ตาม
เธอสะบัดความคิดพร้อมผ้าห่ม เปิดประตูห้องเดินออกมา
ได้กลิ่นหอมกาแฟ กลิ่นคล้ายของทอด คำตอบอยู่ตรงหน้าเพราะมีคนทำให้มันเกิด เธอหมุนตัวจะกลับเข้าห้อง แต่ร่างสูงเห็นเสียก่อน เขาถลามาถึงได้ในวินาทีเดียว
“บุ้ง เดี๋ยว!”
ธรณิศคว้าข้อมือแล้วดึงมากอด หญิงสาวขืนตัวนิด ๆ แต่ท้ายสุดก็จนมุม หลบสายตาที่จับจ้อง เป็นเช้าที่ทุกอย่างผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง อารมณ์ยังค้างอยู่ในลมหายใจ แม้แค่การกอดยังทำเธอหายใจไม่ทั่วท้อง
“พี่ขอโทษนะ”
คิ้วเรียวขมวดนิดหนึ่งก่อนจะเงยหน้าสบตา ดวงตาที่บอกความในใจท่วมท้น
“เรื่องอะไร”
“ที่พี่เข้าใจผิดระหว่างบุ้งกับนายเข้”
บัณฑิตาหน้าบึ้งพร้อมตวัดเสียง “ต้องให้เปลืองตัวก่อนใช่ไหมถึงเข้าใจ รู้งี้ทำไปนานแล้ว”
ท่าทางงอนยังไม่ยอมลงให้โดยดี แต่ธรณิศไม่ถือสา เขาไม่เคยตั้งแง่กับหญิงสาวไม่ว่าจะกรณีไหน เพียงแต่...
“ก็ใครจะไปรู้ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่นายเข้ให้ความสำคัญเท่าบุ้ง ไหนจะสนิทกัน ไหนจะส่งเรียน แล้วจะเรื่องผัว...นั่นอีก”
“ก็แล้วทำไมไม่ถามล่ะ”
“บุ้งก็น่าจะบอกพี่บ้าง” อ้อมกอดยังไม่คลาย แต่น้ำเสียงเริ่มเน้นหนัก “คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกใช่ไหม”
‘นางเอก’ ตาโต อารมณ์ยามเช้าที่ควรจะหวานชื่นกลับกลายเป็นระอุ “บุ้งไม่ได้อยากจะเป็นนางเอกซะหน่อย พี่กบนั่นแหละ ไม่เคยออกนอกกะลามาเจอแสงสว่างบ้าง แล้วความจริงผู้หญิงที่ไหนเขาจะพูดเรื่องแบบนี้กันบ้างล่ะ”
พอหญิงสาวขึ้นเสียง เขาก็นิ่ง เธอขยับจะให้ถูกหลุดการกอดรัด แต่ไม่สำเร็จ และต่างก็เงียบกับไปทั้งคู่
“พี่กบรู้จักกับพี่เข้มากี่ปี ไม่รู้นิสัยกันเหรอ ต่อให้บุ้งเป็นอะไรกับพี่เข้ แล้วบุ้งจะไปชอบคนอื่น คิดว่าพี่เข้จะหึงไหม เขาเคยหึงใครเหรอ”
ธรณิศกะพริบตา จริงดังเธอว่าทุกประการ และถ้ามองไม่ผิด ตอนนี้สายตาของเจ้านายก็มองคุณครูลูกสาวผอ.เสียมากกว่า
“พี่ถึงได้ขอโทษไง แล้วบุ้งโกรธพี่เรื่องเมื่อคืน...”
“พี่กบ” บัณฑิตายกมือปิดปากเขา วูบวาบขึ้นทันใดจนไม่กล้าจะฟังคำพูดที่แฝงความหมายว่าเธอกับเขาได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งไปแล้ว
“บุ้งจะถามพี่แค่คำเดียว พี่คิดยังไงกับบุ้ง ตอบบุ้งมาเลยได้ไหม”
ชั่วอึดใจแต่เนิ่นนานเหลือเกินสำหรับคนรอคำตอบ ธรณิศสบดวงตากลมโต มีทั้งอารมณ์ตัดพ้อ มุ่งหวัง สงสัยและไม่เข้าใจผ่านเข้ามาราวระลอกคลื่น เขาไม่ได้ลังเลกับความรู้สึกตนเอง เพราะทุกอย่างเต็มเปี่ยม ชัดเจน แน่นอน
“พี่ชอบ...พี่รักบุ้ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ก็...รักเลย อยากอยู่ด้วย”
ใบหน้าเบนออกไปมองยังทิศทางอื่นด้วยความเก้อเขิน บัณฑิตากลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ ผู้ชายตัวโตไว้เคราหน้าดุเอียงอายอึกอักราวเด็กหนุ่มเพิ่งมีแรกรัก เพราะอย่างนี้ เธอถึงได้เทใจให้เขา
แม้อากาศเดือนนี้จะร้อนเพียงใด หากหัวใจชุ่มฉ่ำดุจดอกไม้ได้น้ำ
“ก็แค่นี้แหละ” เธอว่า “ปล่อยเถอะ บุ้งจะไปอาบน้ำ”
ธรณิศยอมคลายวงแขนด้วยท่าทีเสียดายนิด ๆ มองหญิงสาวเคลื่อนกายกลับไปที่ห้อง พลันนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ยินคำตอบจากอีกฝ่าย
“แล้วบุ้งล่ะ”
บัณฑิตาหันมา จุดยิ้มมุมปากนิด ๆ ดูคล้ายแม่มดเจ้าเล่ห์แต่แสนซน
“อ่อยขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอ”
ธรณิศคงยืนยิ้มเพ้ออยู่อย่างนั้นไปอีกนานถ้าแม่ไม่เข้ามาทักเสียก่อน
นายฟาร์มกับลูกชายจอมแสบกลับมาประจำการ เจ้าโขงกลับมาพร้อมกีตาร์ตัวใหม่ ก่อนกำหนดเวลาที่คนเป็นพ่อตั้งไว้แต่เป็นเพราะปู่กับอาของเขาสมทบทุนให้หลานรัก เจ้าตัวแสบก็เอาแต่กอดจูบลูบคลำเช้าเย็นจนเขมรัฐต้องมาเตือนว่าได้เวลาไปส่งปิ่นโตให้ปุริมาแล้ว นักดนตรีหนุ่มกระทงก็ลุกขึ้น พร้อมบอกว่าจะเอาไปอวดครูสาวด้วย
สองพ่อลูกใช้โอกาสนั่งรถพูดคุยกัน
“อาคารใหม่ใกล้เสร็จหรือยัง”
“ได้สักครึ่งนึงแล้วครับ ก่อกำแพงเกือบครบทุกด้าน เห็นคนงานเตรียมปูหลังคาแล้ว คงเสร็จก่อนเปิดเทอม”
เขมรัฐพยักหน้า พออาคารอเนกประสงค์เสร็จ โรงเรียนชลพิทักษ์คงเพิ่มจำนวนนักเรียนเข้าใหม่ได้อีก แม่ของเขาถ่ายทอดความคิดจากผอ,คเชนทร์ให้ฟังว่า จะเปิดรับนักเรียนให้ได้จำนวนรวมประมาณเก้าร้อยคนก็น่าจะพอกับการบริหาร อยู่ดี ๆ เขาก็คิดถึงสินธพขึ้นมา เวลาไปรับลูกชายเคยเห็นวิศวกรหนุ่มไกล ๆ แต่ทั้งคู่กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปแล้วสิ้นเชิง
รถมาจอดหน้าบ้าน แต่คนเปิดประตูไม่ใช่สาวสวย โขงมองหน้าคนตัวโตทำนองหาตัวช่วย เขมรัฐก็นิ่ง ความจริงปุริมาจะรู้เวลามาเตร็ดเตร่รอ ไฉนวันนี้กลายเป็นผอ.โรงเรียนไปได้ซะนี่
“ปิ่นโตครับ”
คเชนทร์รับพลางกล่าวขอบคุณ นึกขำที่แววตาสองพ่อลูกส่องประกายความผิดหวังชัดเจน
“ครูปูนิ่มไม่อยู่หรือครับ”
“อยู่”
“พอดีเจ้าโขงอยากอวดกีตาร์ตัวใหม่ เลยมาด้วยกัน”
คนสูงวัย มองหน้าผู้มาเยือนยิ้ม ๆ “ใครอยากอวดกันแน่”
เขมรัฐเกาท้ายทอยเก้อ ป้อมปราการถูกก่อจริงจังพร้อม ๆ กับกำแพงอาคารอเนกประสงค์เลยทีเดียว “ผมไม่มีอะไรให้อวดครับ แค่อยากเจอปูนิ่ม”
“พ่อคะ”
ปุริมาเดินออกจากตัวบ้าน เข้ามาในวงสนทนาได้ทัน ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะบรรจุกระสุนเสร็จ
“พอดีอาบน้ำอยู่เลยลงมาช้า” เธอพูดลอย ๆ ตอบผู้มาเยือน ก่อนจะหันมาทางบิดาตัวเอง “เอ๊ะ หรือพ่อมีอะไรคุยกับคุณเข้หรือเปล่าคะ หนูจะได้เอาปิ่นโตไปเท”
หญิงสาวพูดยิ้ม ๆ คเชนทร์จ้องดวงหน้าขาวเนียนแล้วผ่อนลมหายใจ นัยน์ตาลูกสาวมีภาพเจ้าหนุ่มทำฟาร์มชัดขึ้นทุกที และเริ่มจะมีชั้นเชิงไล่เขาทางอ้อมเสียด้วย
“อย่าคุยนานล่ะ หิว”
แล้วชายสูงวัยก็เดินหิ้วปิ่นโตเข้าบ้าน โขงยืดคอ “ไม่ต้องห่วงนะ หนุ่มน้อย พ่อไม่เสียมารยาทแอบฟังเราคุยกันหรอก”
“นี่ถ้าปูนิ่มไม่เข้ามา สงสัยเหนี่ยวไกแน่เลย” เขมรัฐบอก ปุริมาหัวเราะ
“ไหนคุยนักหนาว่าไม่กลัว อ้ะ มีอะไรคะ มากันสองคนแบบนี้”
เขมรัฐบอกยิ้ม ๆ ว่าอีกฝ่ายรู้ใจ แล้วหันไปทางคนที่มาด้วยกัน “ว่าไป ลูกหมา”
“ผมจะมาอวดของขวัญวันเกิด พ่อกับปู่ซื้อให้ สวยไหมครับ” โขงชี้ที่กีตาร์ ปุริมาเอียงคอ
“พี่ไม่ค่อยรู้สันทัดเรื่องเครื่องดนตรี แต่ก็สวยดี”
“เจ๊ต้องไม่น้อยหน้าพ่อนะ”
“หืม” เธอยกคิ้ว หมายความว่าอะไร มีนัยยะแฝงว่าเธอควรจะต้องให้อะไรเจ้าตัวแสบด้วยงั้นสิ ปุริมาอ่านประโยคในรอยยิ้มเด็กหนุ่มแล้วกอดอก “ก็ได้ อยากได้อะไรล่ะ”
โขงอดไม่ได้ที่จะหันไปส่งสายตากับพ่อ กระแอมเรียกเสียงห้าว “ไม่ได้อยากได้ของครับ แต่...เจ๊เลี้ยงวันเกิดผมสักมื้อได้หรือเปล่า ผมอยากกินสุกี้เอ็มเค”
ไม่ใช่เรื่องยาก ปุริมาทบทวน แต่เรื่องนี้มันต้องมีอะไรไม่ธรรมดา เธอเหลือบมองเขมรัฐ เขาแบมือไหวไหล่ว่าไม่เกี่ยว แต่ก็ดีเหมือนกัน กำลังอยากไปเดินหาซื้อของสักหน่อย
“ก็ได้ เมื่อไหร่ล่ะ”
โขงบอกวันเวลาเป็นพรุ่งนี้และสถานที่นัดเจอเป็นที่โรงเรียนอย่างเคย
“งั้นก็แค่นี้ เดี๋ยวไปกินข้าวก่อน”
เธอหมุนกายเดินกลับเท่าบ้าน โขงหันไปกำหมัดชนกับเขมรัฐอย่างลิงโลด หญิงสาวหันขวับอย่างสงสัย ทั้งสองรีบกลบเกลื่อนกิริยา ยิ้มไม่รู้ไม่ชี้แล้วขอตัวในทันที
ปุริมาเดินตรงเข้ามุมครัว คเชนทร์เดินตามมานั่งที่โต๊ะ รอลูกสาวอุ่นกับข้าวให้
“ชวนไปไหนอีกล่ะ”
“พ่อเดาถูกอีกแล้วนะคะนี่” เธอพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ก็พ่อเป็นพ่อนี่” ปุริมาบอกสั้น ๆ ว่าแค่ไปกินข้าว เลี้ยงวันเกิดให้โขง คเชนทร์พยักหน้า สังเกตกิริยาลูกสาวที่ดูท่าทางรื่นรมย์ยามได้คุยกับนายฟาร์ม
“ปูนิ่ม อย่าว่าพ่อเจ้ากี้เจ้าการเลยนะ พ่ออยากจะเตือน...”
“นายเข้น่ะ เจ้าชู้ เสือผู้หญิง ให้ระวังตัวเอาไว้ อย่าไปใกล้ชิดมากจะไม่งาม” เธอแทรกก่อนอีกฝ่ายจะพูดจบประโยค “หนูก็เดาพ่อถูกเหมือนกันนะคะ เพราะหนูเป็นลูกพ่อ”
คเชนทร์จะโกรธก็ไม่เชิง อายก็ไม่ใช่ที่ถูกลูกสาวย้อนได้จี้ใจดำ หากนั่นกลับทำให้เขารู้สึกว่า อาจจะถึงเวลาที่ปุริมาควรได้เรียนรู้จิตใจคนอย่างจริงจังแล้วก็ได้ เขายังคิดว่าหลักการให้ลูกได้ทดลองเอง แล้วมองอย่างห่าง ๆ ดีกว่าการไปปิดกั้น ไม่เช่นนั้นก็จะซ้ำรอยเดิมที่ภรรยาเก่าของเขาปฏิเสธ และปุริมาเลือกมาหาเขานั่นเอง
บางครั้ง เขาไว้ใจเขมรัฐมากกว่าปุริมาด้วยซ้ำ
“พ่อไม่ห้าม แต่อยากให้รู้ไว้ว่าพ่อเป็นห่วง”
ลูกสาวยิ้มหวาน “ค่ะ”
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
12 มี.ค. 55 13:30:57
|
|
|
|
 |