Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เก็บแผ่นดินใจไว้ปลูกรัก 1 : ไร่นับดาว ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1


กลางเดือนตุลาคม เวลา 14.00 น. ในอำเภอซึ่งห่างไกลตัวเมืองของจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนบน

อากาศเหนืออาณาเขตไร่นับดาววันนี้เย็นสบาย ท้องฟ้ามืดครึ้มเพราะถูกปกคลุมด้วยเมฆสีเทาดำซึ่งกำลังเคลื่อนคล้อยต่ำ ไม้ผลหลากหลายชนิดทั้งเงาะ ลำไย กระท้อน แตกกิ่งก้านรกครึ้มจนแทบจะดูกลมกลืนไปกับสีทะมึนทึมของเมฆเห็นเป็นสีเขียวเข้มกินเนื้อที่บนเนินเกือบสามสิบไร่ ผิดกับอีกด้านหนึ่งที่มีแสงสีแดงสดของดวงอาทิตย์ส่องกระทบผืนนากว้างกลายเป็นความแตกต่างที่งดงามยากหาภาพใดเสมอเหมือน ไอน้ำเย็นสดชื่นแผ่กระจายไปทั่วถึงอีกฝั่งของถนนที่เป็นแปลงผักหลากหลายชนิด

รถอีแต๋นดัดแปลงเสียงดังแสบแก้วหูแล่นมาตามถนนดินบดอัดแน่นอย่างรวดเร็ว คนบนรถที่เป็นผู้โดยสารเพียงคนเดียวดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีท่าทีเย็นสบายไปกับอากาศแต่กลับตกอยู่ในท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด มือไม้ไม่รู้จะวางตรงไหน เดี๋ยวก็ชี้โบ๊ชี้เบ๊เดี๋ยวก็จับแผงหน้าที่นั่งรถ ปากก็ร้องเตือนอย่างเสียวไส้

“เหวอ...โค้งครับ พี่พู่โค้ง...โค้ง...”

เสียงร้องดังลั่นเมื่อใกล้ถึงทางโค้งไม่ทำให้รถที่แล่นด้วยความเร็วสูงชะลอความเร็วลงแต่อย่างใด นอกจากหักพวงมาลัยเข้าโค้งอย่างรวดเร็วอย่างชำนาญเป็นที่น่าหวาดเสียวสำหรับคนข้างๆ ก่อนจะแล่นไปจอดใกล้กับรั้วลวดหนามกั้นอาณาเขตไร่ติดกับแปลงไม้ผล เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังมาจากคนที่โซเซลงจากรถด้วยท่าทางหมดเรี่ยวหมดแรง เหงื่อแตกพลั่ก

“ฮ่อย...ไอ้ไข่จะหัวใจวายตาย นึกว่าพี่พู่จะพาอีแต๋นแหกโค้งตีลังกาแปดตลบให้ไอ้ไข่กลายเป็นผีเฝ้าไร่เสียแล้ว ขวัญเอ๊ยขวัญมา”

ร่างหญิงสาวสูงเพรียวในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีเทาพอดีตัวกับกางเกงยีนสีเข้ม สวมรองเท้าบู้ทสีดำทรงยาวถึงเข่าดับเครื่องยนต์แล้วกระโดดลงมาจากรถพลางมองอีกคนด้วยท่าทีกึ่งขันกึ่งสงสารปนหมั่นไส้

“โธ่เอ๊ย ! แค่นี้ก็ปอดแหกไปได้ แม่อรนั่งยังไม่เห็นร้องลั่นยังกับหมูโดนจับเชือดอย่างแกเลยไอ้ไข่”

“ธ่อ...ก็คุณน้าอรเคยชินแล้วนี่ครับ ผมสิ นานๆ นั่งที แถมนั่งทีไรหายใจไม่ทั่วท้องเลย พี่พู่เล่นเหยียบจมมิด เข้าโค้งราวกับรถแข่งทั้งที่มันเป็นแค่รถบรรทุกของในไร่”

“ช่วยไม่ได้นี่ แค่ฉันเอาเท้าแตะที่คันเร่งมันก็จมมิดวิ่งฉิวราวกับจรวดแล้ว บอกแล้วไงว่าของมันแรง”

“ป๊าด... เว่อร์ไปหรือเปล่าคร้าบพี่พู่ เท้าหนักขนาดนั้นเชียว” ไข่ค้อนลูกสาวเจ้าของไร่ปลายฝันปะหลับปะเหลือก

“ลองดูไหมล่ะ?”

คนถามยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นนิดหนึ่งทำท่าเตรียมพร้อมจะเหยียบลงไปบนเท้าของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปี เป็นการทดสอบสมรรถนะน้ำหนักของเท้า แต่คนถูกถามโบกมือพัลวัน ถอยหลังไปสองสามก้าว

“เหวย...ไม่ล่ะครับ ไอ้ไข่ขอรับแค่ความเมตตาด้านอื่นก็แล้วกัน”

“ก็ลองดูมั่งเป็นไร จะได้รู้ว่าหนักรึเปล่า” หญิงสาววัยยี่สิบสี่แกล้งพูดหน้าตาย ทั้งที่ความจริงไม่คิดจะทำอย่างนั้นสักนิด ก็ไอ้ไข่น่ะถึงจะเป็นลูกคนงานในไร่แต่เธอก็ไม่คิดเป็นคนอื่นไกลนอกจากรักเหมือนน้องเหมือนนุ่ง

“แหม...รักไข่จริ๊ง” ไข่ทำเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างน่าหมั่นไส้

พู่ชมพูยิ้มขำจนเห็นลักยิ้มสองข้าง ยกมือใช้นิ้วชี้ขยับปลายหมวกไม้ไผ่สาน เลิกต่อล้อต่อเถียงก่อนจะหันไปตะโกนสั่งการกับคนงานหญิงและชายหกเจ็ดคนที่กำลังนั่งพักรอคำสั่งการอยู่ด้วยเสียงอันดังว่า

“เอ๊า ใครรู้ตัวว่าเป็นผู้ชายก็รีบมาแบกปุ๋ยลงจากรถไปกระจายไว้ตามร่องสวนเงาะเร็ว ส่วนใครที่รู้ตัวว่าเป็นผู้หญิงก็เตรียมใส่ปุ๋ยได้แล้ว” จากนั้นก็หันมาบอกกับเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีว่า

“ไข่ไปขนกระสอบข้าวโพดฝั่งโน้นมากองไว้นี่เร็ว พอเขาทำงานเสร็จจะได้แบ่งๆ กันเอากลับไปกินที่บ้าน”

“ครับพี่พู่”

เด็กหนุ่มรับคำแล้วรีบสาวเท้าไปยังแปลงข้าวโพดเก่าซึ่งตอนนี้เหลือเพียงต้นตอเตี้ยๆ แล้วตรงไปยังกระสอบปุ๋ยสีขาวที่วางกองกันอยู่สองสามกระสอบ

พู่ชมพูเดินไปตามร่องของแปลงปลูกเงาะพลางพูดเสียงดัง

“อ้าว อ้าว ชักช้าอยู่นั่นแหละป้าๆ ลุงๆ ทั้งหลาย เดี๋ยวก็ฝนตกกันพอดี ไม่อยากกลับบ้านเร็วหรือไงคะ งานเหมานะคะวันนี้ ถ้าเสร็จเร็วก็กลับเร็ว เสร็จห้าโมงก็กลับห้าโมง ไม่เสร็จไม่จ่ายค่าแรงจนกว่าจะมาทำต่อจนเสร็จ”

เสียงตะโกนแจ่มใสเต็มไปด้วยน้ำเสียงเย้าหยอกแต่แฝงความหนักแน่นจริงจังจากลูกสาวเจ้าของไร่นับดาว ทำให้คนงานหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนแซวตอบกลับมาว่า

“โฮ้ย...บ้านใกล้ๆ แค่นี้จะรีบกลับไปไหนกันหนูพู่เอ๊ย ทำจนถึงมืดก็ได้”

“เอางั้นเหรอป้า ก็ได้นะไม่ว่ากัน ไม่อยากรีบไปหาเห็ดก็ตามใจ เดี๋ยวพู่กับไข่จะได้ไปหาก่อน ได้ยินแว่วๆ ว่าเห็ดโคนกำลังออกเยอะเลยจะได้ให้แม่มาแกงเย็นนี้ เผื่อมีเห็ดไคออกด้วยจะได้เอามาปิ้งทำน้ำพริกกินแซ่บๆ”

พอโดนกระตุ้นด้วยเรื่องอาหารท้องถิ่นซึ่งหาได้ตามป่าชุมชนที่มีเนื้อที่เกือบสี่ร้อยไร่ ซึ่งหมู่บ้านนาดีรักษาไว้เพื่อให้ชาวบ้านใช้ประโยชน์ร่วมกัน บรรดาคนงานหญิงทั้งหลายก็คุยกันเสียงจ้อกแจ้กจอแจเรื่องเห็ดและเร่งมือกันอย่างจ้าละหวั่นจนพู่ชมพูต้องอมยิ้มออกมาอย่างขบขันปนยินดีอยู่ลึกๆ

มันเป็นสิ่งที่เธอผูกพันและเป็นภาพที่จำได้ขึ้นใจมาตลอดตั้งแต่จำความได้ เธอกับน้องสาวเคยแอบตามลุงจอมกับป้าทุมซึ่งเป็นพ่อกับแม่ของไข่และเป็นคนงานของไร่นับดาวเข้าไปหาผักและเห็ดในป่าแห่งนั้น บ่อยครั้งที่เจอชาวบ้านทั้งในหมู่บ้านนาดีและหมู่บ้านใกล้เคียงมาหาของป่าในป่าที่นี่

คงเป็นโชคดีของหมู่บ้านนาดีที่มีหน่วยงานของกรมป่าไม้มาสนับสนุนและช่วยผลักดันจนป่าสาธารณะประโยชน์เนื้อที่กว่าสองพันไร่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชน ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ภาพที่เคยเห็นในวัยเด็กจะเป็นเพียงแค่ความทรงจำหรือเปล่า เพราะหากผู้นำชุมชนคนก่อนไม่เห็นคุณค่าของมันแล้วนำมาจัดสรรเป็นที่ดินทำกินของชาวบ้านจนหมดก็คงไม่เหลือไว้เป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์อีกต่อไป

เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ความคิด ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างประเมินสถานการณ์แล้วจึงกดรับสาย

“ว่าไงพิณ”

“พี่พู่อยู่ที่ไหนคะตอนนี้”

“พี่อยู่แถวแปลงเงาะ ทำไมเหรอ”

“ถ้าอย่างนั้นเก็บผักมาด้วยนะคะ เย็นนี้พิณจะทำน้ำพริกปลา แม่อยากกิน เอามาหลายๆ อย่างเลย แต่ละอย่างไม่ต้องเอามาเยอะค่ะ อย่างละนิดละหน่อยก็พอแล้ว” เสียงใสๆ เอ่ยมาตามสาย

“ได้ๆ แต่ว่าน้ำพริกขอแบบเผ็ดๆ หน่อยก็แล้วกัน น้ำพริกไม่เผ็ดเหมือนวันก่อนกินไม่อร่อยเลย บอกตรงๆ เสียดายปลา” พู่ชมพูบอกน้องสาวซึ่งเป็นแม่ครัวประจำบ้านและมีหน้าที่ดูแลโฮมสเตย์นับดาวอีกหน้าที่หนึ่ง

“ก็วันนั้นมันเหลือจากทำให้คนที่มาดูงานไงคะ จะทิ้งก็เสียดายขนาดห่อไปแจกคนมาช่วยทำกับข้าวแล้วนะนั่น”

“นั่นแหละ วันนี้ขอแบบจัดเต็มสูตรก็แล้วกัน”

“ได้เลยค่ะพี่พู่ เดี๋ยวพิณจัดให้ เออ...จริงสิคะ วันนี้มีผู้ชายมาเข้าพักที่โฮมสเตย์ของเราไว้หนวดเคราผมยาวเหมือนมหาโจร ยิ่งเร็วๆ นี้ได้ยินข่าวลือว่ามีพวกหนีคดีมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของเราด้วย” ตอนท้ายเป็นเสียงกระซิบเบาๆ ราวกับกลัวว่าใครจะได้ยิน

“จริงเหรอ?” พู่ชมพูย้อนถามเสียงสูง “บ้านเรายิ่งมีแต่ผู้หญิงอยู่ด้วย ผู้ชายก็มีแต่ลุงจอมซึ่งก็แก่แล้วสู้ใครคงไม่ไหว ส่วนไอ้ไข่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขี้กลัวจะตาย”

ถึงแม้ท่าทางจะดูเป็นสาวห้าว แต่พู่ชมพูก็ไม่ใช่ผู้หญิงอวดว่าตัวเองเก่ง เธอรู้ดีว่ายังไงก็เป็นเพศหญิงผู้อ่อนแอ แถมยังเรียนจบคณะเกษตรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีมา ไม่ได้จบนายร้อยตำรวจหญิงเสียหน่อย

“นั่นสิคะ เกิดนายตัวดำคนนั้นเป็นพวกโจรผู้ร้ายจริงๆ ล่ะก็...”

เสียงของพิณไพลินเงียบไป แทนที่ด้วยเสียงห้าวของผู้ชายดังเข้ามาแทนที่ แว่วเสียงน้องสาวเธอพูดกลับไปแต่ฟังไม่รู้เรื่องคงจะยกมือถือห่างออก อย่าบอกนะว่าเป็น ‘นายตัวดำ’ ที่น้องสาวเธอกำลังพูดถึง อะไรจะนกรู้ขนาดนั้น คิดแล้วก็นึกหวั่นอยู่ไม่น้อย แต่เอาเถอะ...เอาไว้ตอนกลับไปบ้านค่อยไปดูหน้านายนั่นให้ชัดๆ พิจารณาแล้วค่อยหาข้อสรุปเพื่อหาทางป้องกันไว้ นี่ก็ยังกลางวันแสกๆ อยู่ถ้าเป็นพวกผู้ร้ายจริงคงไม่คิดจะทำอะไรในตอนนี้หรอก คิดได้ดังนั้นจึงกรอกเสียงลงในมือถือว่า

“พิณ งั้นแค่นี้ก่อนก็แล้วกันนะ พี่ขอปิดมือถือก่อนกลัวฟ้าผ่า มันครางฮึมๆ มาแล้ว”

“ค่ะพี่พู่”

พู่ชมพูปิดการติดต่อก่อนจะเดินไปคุมงานใส่ปุ๋ยไม้ผลพลางเอ่ยกำกับงานอยู่เป็นระยะ จวบจนเมื่องานเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายสาม ข้าวโพดที่ไข่แบกมากองไว้ข้างรถอีแต๋นก็ถูกแบ่งเป็นส่วนของใครของมันอย่างวุ่นวาย

“นี่ถ้าเป็นคนอื่นพวกป้าคงไม่ได้กินนะเนี่ย แค่นี้เขาก็เอาไปขายได้หลายบาท ไม่มีทางมาแจกกันกินอย่างไร่ของหนูพู่หรอก”

“แจกๆ กันไปเถอะป้า แค่นี้ไม่ทำให้ไร่ของพู่รวยหรอก สู้แจกๆ กันไปกินยังจะดีกว่า แล้วส่วนนี้พู่ฝากไปให้ยายเจียมข้างโรงเรียนด้วย สงสารแกวันก่อนเห็นบ่นอยากกินข้าวโพดแต่ไม่มีเงินซื้อ”

“โฮ้ย...ให้มันทำไมยายเจียมน่ะ เวลามีเงินก็ซื้อเหล้ากินแต่ไม่ยอมซื้อของกินมีประโยชน์” คนที่มีบ้านอยู่ข้างกันพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยปนหมั่นไส้

“ช่างแกเถอะค่ะ คนแก่ไปหากินก็ลำบาก ลูกหลานก็ไม่สนใจอย่างนั้นเอาไปให้แกกินได้บุญดีออก” หญิงสาวพูดพลางยัดเยียดถุงข้าวโพดใส่มือเหี่ยวๆ ของหญิงร่างท้วมผิวคล้ำวัยห้าสิบกว่าปี

ความมีน้ำใจของลูกสาวคนโตของเจ้าของไร่นับดาวผู้มีท่าทางห้าวๆ ดูเก่งเกินหญิง เป็นที่รู้กันในหมู่ของคนที่มารับจ้างรายวันในไร่แห่งนี้ หากมีผลหมากรากไม้หรือพืชผักที่เหลือขาย เป็นจะต้องมีติดไม้ติดมือคนงานกลับไปบ้านแทบทุกครั้ง

หลังจากคนงานรายวันในหมู่บ้านทยอยกลับไปแล้ว พู่ชมพูก็เตรียมจะขึ้นรถอีแต๋นเพื่อกลับรถในขณะที่ไข่กำลังยุ่งกับการเก็บผักอยู่อีกด้านหนึ่ง พลันเสียงรถยนต์ที่แล่นอยู่ในไร่ติดกันก็ดังกระหึ่มมาใกล้และดูเหมือนจะแล่นเลยผ่านตาเธอไป แต่แล้วก็หยุดและถอยกลับมาจอดอยู่ตรงหน้าเธอโดยมีรั้วลวดหนามกั้นอยู่ ร่างท้วมเตี้ยของชายวัยห้าสิบกว่าก้าวลงจากรถยนต์โฟวีลราคาแพงโดยมีชายอีกสองคนเดินตามลงมาด้วยท่าทางเขื่องๆ

“ว่าไงหนูพู่ ไม่ได้เจอตั้งนานสบายดีหรือเปล่า” ชายคนนั้นถามข้ามรั้วมา พลางมองด้วยสายตาหมิ่นๆ

“ก็ไม่เจ็บไม่ไข้” เธอตอบเสียงห้วนโดยไม่มีหางเสียง เฉพาะกับคนที่เธอไม่นับถือเท่านั้นแหละ จึงจะได้รับความไม่เคารพยำเกรงเช่นนี้

“แล้วแม่เราสบายดีอยู่หรือเปล่า”

“ปกติแม่ก็สบายดีอยู่แล้วแหละ แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่มีพวกคนโกงมาอยู่ใกล้ แถมยังคอยมาก่อกวนเพื่อหวังผลที่รู้ทั้งรู้ว่ายังไงก็ไม่มีหวัง”

“อ้าว หนูพู่ ฉันถามดีๆ นะ”

“ก็ตอบดีๆ เหมือนกัน แต่เจตนาของคนถามไม่ดีเองนี่ แล้วใครเขาจะอยากคุยด้วย ถ้าจะมาพูดเรื่องซื้อที่ดินล่ะก็ ไม่ต้องเลยนะ ยังไงก็ไม่ขาย ไป...ไอ้ไข่รีบขึ้นรถ เซ็งว่ะ มาเจอคนที่ไม่อยากเจอ คืนนี้สงสัยนอนหลับฝันร้ายแน่เลย”

“นี่! แม่พู่ชมพู”

เจ้าของชื่อไม่ได้ยินและไม่คิดจะฟังอีกเพราะสตาร์ทเครื่องยนต์และเหยียบคันเร่งจนเสียงดังแสบแก้วหู ก่อนจะกลับรถอย่างน่ากลัวแล้วขับไปตามทางอย่างรวดเร็ว จึงไม่เห็นสีหน้าโกรธจัดของไตรภพ ไพศาลขจรไกล เจ้าของไร่ไพศาล ที่อยู่ติดกัน

“ซักวันเถอะจะรู้สึก หน็อย...คนในไร่มีแต่ผู้หญิงแล้วยังจะมาทำปากจัด อวดดีไม่มีใครเกิน ฮึ่ม...มันน่านัก”

“จับคนแม่มาปล้ำทำเมียเลยสิครับ ทีนี้นายภพก็ได้เป็นพ่อเลี้ยงของแม่พู่ชมพู รับรองว่าคราวนี้ไม่กล้าหือแน่นอน”

“เฮ้ย ! เอาตูดคิดหรือไงวะไอ้เป็ด เดี๋ยวได้ติดคุกหัวโต” ไตรภพตวาด แต่ตาเป็นประกายวิบวับ

“งั้นก็เผาไร่ให้วอดวายไปเล๊ย ! เผาทุกมุมของไร่ ยังไงก็วิ่งดับไม่ทันหรอกเพราะคนงานที่นอนอยู่ประจำในไร่ก็มีแค่ลุงจอมกับป้าทุมแล้วก็ลูกชายมัน นอกนั้นก็มีแต่สามแม่ลูก คราวนี้แหละดับอนาถ เจ๊งแน่ ! พอไร่เจ๊ง ขาดทุน นายภพก็เข้าไปขอซื้อที่ดินเลย รับรองทั้งแม่ทั้งลูกวิ่งโร่มาขายให้แทบไม่ทันเพราะไม่เหลืออะไรให้ทำแล้ว บ้านและโฮมสเตย์เราก็จะเผาให้เรียบวุธด้วย”

ไก่ ลูกน้องอีกคนไม่ยอมน้อยหน้า รีบนำเสนอความคิดที่คิดว่าเด็ดสุดแล้วและเจ้านายต้องเห็นดีงามด้วย แต่สิ่งที่ได้รับคือฝ่ามือที่ประเคนลงมาข้างกกหูเสียงดัง เปรี๊ยะ

“โอ๊ย ฟ้าผ่า”

“ฟ้าผ่าหัวแกน่ะสิ ไอ้ไก่ติดโรคระบาด พูดเสียงดังไปนะเอ็ง เวลาจะพูดอะไรน่ะขอให้ปากมีหูรูดบ้าง จะทำอะไรมันต้องวางแผนกันเงียบๆ โว้ย ไป...กลับ”

“อูย...เจ็บชะมัด มือหนักทั้งพ่อทั้งลูกเลย” ไก่บ่นกะปอดกะแปดไปขณะเดินตามร่างเจ้านายกับเพื่อนเป็ดไปพร้อมกับลูบหัวป้อยๆ

“บ่นอะไรถึงลูกฉันอีก หา!” เจ้านายหันขวับมากระชากเสียงถาม หน้าตึงขึ้นทันใด

“เปล่าคร้าบเปล่า มิบังอาจ”

เสียงตวาดถามทำเอาไก่โบกมือว่อน ก่อนจะวิ่งไปขึ้นรถอีกด้านที่ห่างรัศมีฝ่ามือฝ่าเท้าของเจ้านาย

**************

ภาพรถอีแต๋นเสียงแสบแก้วที่แล่นมาจอดหน้าบ้านอย่างรวดเร็วก่อนจะเบรกจนคนนั่งมาด้วยหัวทิ่มมาด้านหน้าพร้อมกับร้องโหวกเหวกอย่างอกสั่นขวัญแขวน ตามมาด้วยคนขับที่ก้าวลงมาจากรถด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับและบอกไข่ด้วยเสียงอันดังจนได้ยินไปทั่วทำให้อรวรรณที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้านติดระเบียงต้องขมวดคิ้วมุ่น

“ไข่ เอาอีแต๋นไปเก็บ”

เท่านั้นยังไม่พอร่างเพรียวที่หอบเอาผักมาด้วยยังเดินขึ้นบันไดหินอ่อนอย่างกระแทกกระทั้น แต่พอเหลือบเห็นสายตาเอาเรื่องของมารดา ก็ชะงักนิดหนึ่งหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย ต่อให้ดูเก่งคุมคนงานในไร่ได้มากมายแค่ไหนแต่เธอก็ยังเป็นลูกที่ดีเคารพและยำเกรงมารดา

“เป็นอะไรไปพู่ ทำไมทำหน้าหงิกหน้างอและเดินปึงปังด้วย เดินอยู่บ้านถ้วยชามแตกที่วัดแบบนี้แม่ไม่ชอบพู่ก็รู้” อรวรรณเปรียบเทียบกิริยาปึงปังของบุตรสาวคนโตด้วยสำนวนที่คนอีสานยุคเก่าชอบพูดกัน

“ขอโทษค่ะแม่ แต่พู่หงุดหงิดนี่คะ เกลียดขี้หน้าคนไร่ข้างๆ นี้เต็มที ทำไมต้องมาอยู่ใกล้พวกโลภมากอยากได้ของคนอื่นไม่รู้จักพออย่างนี้ด้วยนะ กวาดซื้อที่ดินคนอื่นมาตั้งเยอะตั้งแยะแล้วยังจะมาขอซื้อเราอีก พอเราไม่ขายก็วนเวียนมาก่อกวนหาเรื่องแถมยังขู่ให้กลัวอีกต่างหาก”

อรวรรณเดินไปปิดก๊อกน้ำแล้วเดินขึ้นมาหาลูกสาว เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เก็บมาเป็นอารมณ์ให้เครียดทำไมล่ะพู่ รู้ๆ อยู่ว่าเราทำอะไรไม่ได้ ยังไงก็ต้องอดทนแล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำไร่ของเราต่อไป เราทำดีสักวันสวรรค์ต้องเห็นและปัดคนไม่ดีให้ห่างเราไปไกล”

พู่ชมพูทำหน้ามุ่ย “แล้วถ้าเผื่อนายไตรภพมาแกล้งเราอีกล่ะคะ คราวที่แล้วก็จ้างคนงานตัดหน้าเราด้วยราคาสูงลิบลิ่วจนไม่มีคนมาทำงานให้เรา ดีนะที่ไร่นั้นไม่จ้างทุกวัน ไม่งั้นล่ะก็เราคงไม่มีคนงานแน่เลย”

“พู่ก็ช่วยเหลือและมีน้ำใจกับชาวบ้านเสมออยู่ไม่ใช่เหรอ มาทำงานแล้วมีของฝากติดมือกลับไป นี่แหละที่จะทำให้ชาวบ้านรักและเห็นใจเรา ไม่ทิ้งเรา ไปจ้างมาทำงานเขาก็อยากมาทำกับเราแม้จะไม่แพงเท่าไร่โน้น”

“ก็ใช่ค่ะ แต่กลัวอยู่อย่างเดียว กลัวมันส่งคนมาปล้ำเราสามแม่ลูก”

“บ้าเหรอพู่” มารดาตีเพียะไปบนต้นแขนบุตรสาวคนโตพลางเอ็ดเสียงเขียวแต่สีหน้ามีความกังวลตามคำพูดบุตรสาวไม่น้อย “คิดอะไรน่ากลัว”

“ก็จริงนี่คะ แหม...อย่างนี้น่าจะหาลูกเขยเป็นตำรวจให้แม่เสียแล้ว”

คนอ่อนวัยกว่ากระเซ้ามารดาแล้วก็เดินยิ้มเข้าไปยังครัวด้านหลังด้วยท่าทางที่อ่อนลงกว่าเดิม เธอวางผักลงบนถาดแล้วเดินกลับออกมา ถอดหมวกแขวนไว้ข้างผนังปัดผมที่ตกลงมาระหน้าอย่างไม่ใส่ใจเดินตรงไปทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงระเบียง สมทบกับมารดา

“แม่บอกหลายครั้งแล้วว่าอย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับเขา เรายิ่งเป็นคนขี้หงุดหงิดง่าย แถมชอบพูดตรงๆ ระงับอารมณ์ไม่เป็นเสียด้วย”

“ใช่ค่ะ แล้วก็เป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีและรูปร่างบอบบางกันทั้งนั้นด้วย”

เสียงใสๆ ดังขึ้น พู่ชมพูยิ้มขันก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่เดินถือถาดใบหนึ่งเข้ามาและเอ่ยประชด ในขณะที่มารดาเบ้ปากอย่างหมั่นไส้แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้าน

“จ้ะ แม่สาวโฮมสเตย์ผู้น่ารัก ไหนล่ะลูกค้าหน้าโจรของพิณ”

พิณไพลินในชุดเสื้อแขนกุดสีขาวสะอาดสวมกางเกงสามส่วนสีน้ำตาลวางแก้วน้ำเสาวรสสีส้มสดลงบนโต๊ะให้พี่สาวที่อายุห่างกันเพียงสองปีแล้วตอบเสียงเรียบว่า

“คงจะนอนพักอยู่ในห้องมั้งคะ” พูดพร้อมกับหันไปยังทิศทางที่ตั้งของโฮมสเตย์ห้าหลังซึ่งสร้างติดแม่น้ำ

คนเป็นพี่ดึงแก้วน้ำที่กำลังจิบออกและวางลงบนโต๊ะ เลิกคิ้วเรียวเข้มได้รูปก่อนจะถามน้องสาวด้วยน้ำเสียงแปลกใจว่า

“ตอนที่พี่คุยกับพิณ ได้ยินเสียงผู้ชาย ใช่นายคนนั้นหรือเปล่า แล้วเขาจะมาอยู่กี่วัน แล้วในใบลงทะเบียนเข้าพักบอกว่ามีอาชีพอะไร” พี่สาวเริ่มต้นการสอบสวนด้วยหน้าตาขึงขังขึ้นมาทันที

“เขาบอกว่าเป็นนักเขียนค่ะ จะมาพักแบบไม่มีกำหนด”

“ไม่มีกำหนด” พู่ชมพูย้ำเสียงดัง

“เบาๆ สิคะพี่พู่ เดี๋ยวเขาก็ได้ยินหรอก รู้ไหมพิณก็ถามเขาอย่างนี้แหละ เขาตอบกลับมาว่ายังไงรู้ไหมคะ เขาบอกว่า ผมมีเงินจ่าย”

“โห...ท่าทางจะยโสไม่เบานะเนี่ย แล้วที่บอกว่าเป็นนักเขียนเป็นอาชีพบังหน้าหรือเปล่าไม่รู้ ที่ว่ามีเงินจ่ายก็คงจะปล้นเขามาถึงได้รวย” อีกฝ่ายคาดเดาพลางเบนหน้าไปเบ้ปากให้ทั้งที่คนถูกกล่าวถึงไม่ได้รู้เรื่องด้วยซ้ำ

“โอย...แล้วเราจะทำยังไงดีคะ”

“พี่พู่ พี่พู่คร้าบ” เสียงเรียกดังขัดจังหวะขึ้น ตามด้วยร่างของไข่ที่กระโดดขึ้นมาบนระเบียงหอบแฮ่กๆ

“มีอะไรเหรอไข่ แหกปากร้องเสียงดัง เดี๋ยวก็โดนแม่ดุเอาหรอก” พู่ชมพูดุ

“ขอโทษครับ พอดีมีคนให้มาถามครับว่าพี่พู่จะเกี่ยวข้าวหรือยัง เขาจะเอารถเกี่ยวข้าวมาเกี่ยวให้ครับ เขาเพิ่งซื้อมาใหม่ๆ”

พู่ชมพูมีท่าทางดีใจขึ้นมาทันที

“มีรถมาแล้วเหรอ พอดีเลย ข้าวกำลังสุกได้ที่ พี่กำลังว่าจะไปหารถเกี่ยวข้าวพรุ่งนี้อยู่เชียว แปลกจัง ปีที่แล้วยังต้องวิ่งตามรถเกี่ยวข้าวจนข้าวจะแห้งกรอบไปหมด ปีนี้กลับมีรถมาหาเอง... ว่าแต่เป็นรถมาจากที่ไหนเหรอ มีใครเป็นนายหน้ามาติดต่อ”

ไข่ยิ้มกว้าง “ก็พี่...” พูดได้แค่นั้นก็ตบปากตัวเอง ก่อนจะอ้าปากพูดใหม่ว่า

“ไม่รู้เหมือนกันพี่ แต่ได้ยินเขาบอกว่าเห็นที่ไร่นี้มีนาข้าวเยอะก็เลยมาลองถามดู”

“แล้วเขาเกี่ยวไร่ละเท่าไหร่ล่ะ”

“เอ...ผมก็ลืมถามด้วยสิ”

พู่ชมพูทำหน้าเซ็ง “ไม่รู้จักถามให้ละเอียดนะเจ้านี่ ไม่เป็นไรบอกเขาไปเลยว่าวันพรุ่งนี้ให้เอารถมาได้เลย”

“ครับผม” ไข่รับคำพลางยกมือวันทยหัตถ์จากนั้นก็วิ่งกลับไปทางเดิมเงียบหายไปทิ้งให้สองพี่น้องมองตามด้วยความเอ็นดู

พู่ชมพูถอนใจยาวอย่างโล่งอก น่าดีใจที่ปีนี้ไม่ต้องเหนื่อยและเครียดกับการวิ่งวุ่นแย่งรถเกี่ยวข้าวกับคนอื่น ความจริงแล้วเธอก็อยากจะจ้างแรงงานคน แต่เมื่อคิดให้ดีเทียบระหว่างค่าจ้างคนเกี่ยวข้าวแพงกว่าค่าจ้างรถเกี่ยวข้าวมากนัก น่าแปลกที่ค่าจ้างแรงงานคนเกี่ยวข้าวแพงกว่าทำสวนทำไร่เกือบเท่าตัว เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ก็มีนาข้าวที่ต้องไปเก็บเกี่ยวจนไม่คิดจะไปรับจ้างเกี่ยวของคนอื่น หรือไม่ก็เพราะการเกี่ยวข้าวเป็นงานหนักจนต้องเพิ่มค่าแรงให้สูงขึ้น

นึกไปถึงเจ้าไข่แล้วเธอก็อดสงสัยไม่ได้ เจ้านั่นทำเป็นมีลับลมคมนัยไม่บอกว่าเป็นรถเกี่ยวข้าวของใครทั้งที่ดูเหมือนจะรู้ แต่หวังว่าคงไม่ใช่รถของนายไตรภพแน่ เพราะไข่รู้ว่าเธอกับรายนั้นไม่ถูกกัน จะเป็นรถใครก็ช่างเถอะขอให้รถเกี่ยวข้าวมีสมรรถนะดีไม่เสียบ่อยและไม่ทำข้าวเธอเสียหายก็พอแล้ว

*****************

จากคุณ : สายธาร/กนกนารี
เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 19:20:31




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com