Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หัวใจก้นครัว ๒๓-๒๔-๒๕ (แก้ไขใหม่) ติดต่อทีมงาน

บทที่  ๒๓  

       ในเวลาต่อมา หลายคนในครัวที่เคยพูดเล่นพูดหัวกับเขา ต่างก็พากันห่างเหินไปจากเขาบ้าง
แต่เมื่อเขาทำตัวเป็นกันเองกับทุกคนเหมือนที่เคยเป็น ไม่นานนัก ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะอันแสนอบอุ่นอีกครั้ง แต่ก็จะมีเพียงคนเดียวที่ทำตัวเป็นไม้เบื่อไม้เมากับภัทร ทุกครั้งที่มีโอกาส

                นั่นก็คือ... เฮียเพ้ง  

      หลังจากที่ได้เปิดเผยความจริงแล้ว ดูเหมือนว่า โกเคี้ยงกลับยิ่งเพิ่มความเอ็นดูในตัวเขามากขึ้นไปกว่าเดิมมากทีเดียว โกเคี้ยงตั้งใจคอยถ่ายทอดเคล็ดลับต่างๆของตน ที่ได้เรียนรู้ฝึกฝนมาจากการทำครัวในโรงแรมที่มาเก๊า ให้ภัทรได้เรียนรู้อย่างหมดเปลือก จนบางครั้ง เฮียเพ้งที่ทำงานอยู่ไม่ไกลกันนัก ถึงกับกระแนะกระแหนเป็นภาษาจีนเสียงดังออกมา มีใจความประมาณว่า

       “เฮียรักลูกผู้ดีมากกว่าน้องแท้ๆของตัวเอง!”

      ยิ่งภัทรได้รับการสั่งสอนเอาใจใส่ดูแลจากโกเคี้ยงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เฮียเพ้งที่เกเรอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ถือโอกาสทำตัวสำมะเลเทเมามากขึ้นไปด้วยเท่านั้น มีเพียงคุณไดอาน่าที่คอยปรามคอยเตือน ให้เฮียเพ้งทำตัวดี สมฐานะกุ๊กของร้านและน้องชายของเถ้าแก่ แต่ก็ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์

   จนเมื่อโกเคี้ยงเห็นว่า ภัทรได้เรียนรู้การทำอาหารได้ดีแล้ว เขาจึงเริ่มหาเวทีประลองฝีมือให้กับภัทร โดยเริ่มจากการทำอาหารออกรายการโทรทัศน์ ไปจนถึงการแข่งขันเวทีระดับต่างๆ

      ในที่สุด ภัทรก็ได้เป็นแชมป์การแข่งทำอาหารไทยประจำปี ได้รางวัลเป็นถ้วยพระราชทาน และเขาก็ยังเป็นแชมป์ที่อายุน้อยที่สุดที่เคยมีมา และเป็นผู้ที่ได้รับคะแนนเต็มจากคณะกรรมการที่ประกอบไปด้วยผู้ที่ทรงคุณวุฒิหลากหลายสาขาอาชีพ จนทำให้โกเคี้ยงภูมิใจในตัวเขาจนต้องยิ้มกว้างอยู่ตลอดเวลา

     ขณะที่โกเคี้ยงขับรถกระบะคู่ใจ พาภัทรกลับไปที่ร้าน เพื่อเลี้ยงฉลองในความสำเร็จครั้งนี้ ที่มีทุกคนในร้านรอคอยเขาอยู่เช่นกัน โกเคี้ยงก็ได้บอกถึงความฝันที่เขาวางแผนไว้มานานแสนนานแก่เด็กชายผู้เป็นเสมือนตัวแทนของเขาว่า

       “สักวันหนึ่ง โกจะต้องสอนให้คนไทยทำอาหารไทยแบบสากลให้ได้ แบบที่สอนให้กับคุณภัทรนี่ล่ะ เพราะอาหารไทยอร่อยมาก และถือเป็นยาชั้นเยี่ยม เมืองไทย คนไทยมีบุญคุณกับโกมาก มากเสียจนโกอยากจะทำอะไรเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดินนี้บ้าง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยก็ยังดี ที่นี้ล่ะ ชาวต่างชาติจะได้รู้เสียทีว่าอาหารไทยเรานี่ก็ไม่ธรรมดา แล้วถ้าวันนั้นมาถึงคุณภัทรจะมาช่วยโกได้ไหม” โกเคี้ยง เล่าแผนการอนาคตให้ภัทรฟังอย่างอารมณ์ดี

      สำหรับภัทร รางวัลจากการชนะในครั้งนี้นับว่าเป็นเกียรติประวัติต่อตนเองแล้ว แต่รอยยิ้มอย่างภูมิใจของคนที่เขานับถือจากใจว่าเปรียบเสมือนพ่อคนที่สองของเขา ยิ่งทำให้ช่วงเวลานี้มีค่าสมบูรณ์ยิ่งนัก เด็กหนุ่มตอบออกไปอย่างไม่ลังเลเลยว่า

      “ภัทรจะช่วยทำให้ฝันของโกเคี้ยงเป็นจริงให้ได้ครับ... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่ภัทรก็จะทำให้ได้แน่ๆครับ”

      โกเคี้ยงหันมายิ้มให้ภัทร อย่างขอบใจในน้ำใจที่เด็กเล็กๆ ในสายตาของเขามีให้ โดยที่ภัทรเองก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่า รอยยิ้มนี้จะเป็นภาพสุดท้ายที่เขาจดจำได้ และใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวยามที่ท้อแท้ตลอดมา หากไม่มีเหตุการณ์ที่แสนเศร้าที่เกิดขึ้นในคืนนั้นขึ้นมาเสียก่อน


        สิตารีบนั่งมอเตอร์ไซด์ มาจากค่ายเพลงที่หล่อนไปร่วมประชุมในเรื่องเพลง กับทีมงานในช่วงเช้า เพื่อมาเข้าเรียนที่ไทยทัศน์ให้ทันเวลา ซึ่งก็หวุดหวิดอยู่พอควร ขณะที่หล่อนกำลังรีบซิ่งมาเรียนให้ทันนั้น จู่ๆก็มีรถตำรวจขับจี้ตามหลังมาด้วยความเร็วสูง เสียงไซเรนที่เปิดดังลั่นทำให้ทั้งคนขับและสิตาต่างก็ตกใจจนต้องชำเลืองมองด้านหลังอยู่บ่อยครั้ง รถมอเตอร์ไซค์วิ่งนำมาด้วยความเร็วสูงจนกระทั่งเลี้ยวเข้าไปในไทยทัศน์แล้ว แต่รถตำรวจก็ยังคงตามมาอย่างกระชั้นชิด

       เมื่อรถมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านลานจอดรถด้านข้าง ไปยังจุดหมายคือฝ่ายบุคคลที่ตั้งอยู่ชั้นหนึ่งของอาคาร หญิงสาวเห็นว่ามีกลุ่มคนประมาณสองสามคนกำลังมุงดูอะไรอยู่สักอย่าง เจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยอีกสองคน และคนสุดท้ายในชุดกุ๊กสีขาวที่คุ้นตานั่นก็คือภัทร ทั้งหมดกำลังพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียด โดยที่หล่อนสังเกตได้จากสีหน้าของแต่ละคน แล้วพากันสำรวจความเสียหายพร้อมกับถ่ายรูปไปรอบๆ เพื่อเก็บเป็นหลักฐาน

        หญิงสาวบอกคนขับให้ขับช้าๆ แล้วโฉบเข้าไปใกล้กลุ่มคนนั้น ด้วยความอยากรู้ และเมื่อเข้าไปใกล้ ก็เห็นว่าที่ทั้งหมดล้อมรอบมุงดูกันอยู่นั้น ก็คือรถบีเอ็มดับบลิวป้ายแดงคันหรูของภัทร ที่ตอนนี้ถูกกรีดจนเป็นรอยลึกยาวไปรอบๆคัน กระจกหน้าถูกเคาะจนร้าวเป็นวงกว้าง ยางทั้งสี่ล้อถูกปล่อยลมออกจนแบนแต๊ดแต๋

        ภัทร มองตาของสิตาที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับผ่านอย่างช้าๆ เขาเผยอปากเล็กน้อยราวกับมีเรื่องราวอยากบอกเล่าให้หล่อนฟัง ดวงตาสีเหล็กของเขาในยามนี้ดูเครียดและตกใจอย่างบอกไม่ถูก จนหล่อนเองอยากจะกระโดดจากรถมอเตอร์ไซค์ ลงไปอยู่เคียงข้างภัทรเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อเห็นว่า ชายหนุ่มเดินตรงออกจากกลุ่มคน มายังรถมอเตอร์ไซค์ที่สิตาซ้อนอยู่อย่างช้าๆ

        แต่ไม่ทันที่สิตาจะบอกให้คนขับจอดรถ เพื่อลงไปพบกับเขาได้ตามที่ใจต้องการ รถตำรวจคันที่ตามจี้ท้าย ก็มาจอดจ่ออยู่ที่หน้าภัทรเข้าเสียก่อน จนชายหนุ่มได้แต่มองตาละห้อยไปยังสิตาที่นั่งรถผ่านไปอย่างเศร้าสร้อย แต่แล้วสิตาก็ทำได้เพียงแค่มองผ่านไป ด้วยสายตาที่แสดงความห่วงใยอย่างสุดซึ้งจนลับสายตา เมื่อเห็นว่าภัทรหันไปต้อนรับตำรวจที่เข้ามาตรวจสอบรถยนต์ของตนเอง ในเวลานั้น

        ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุเท่าใดนัก บนซอกหนึ่งของอาคารไทยทัศน์บริเวณชั้นสองใกล้กับห้องใต้หลังคา ที่มีเพียงน้อยคนที่จะรู้ว่ามีที่ลับตาแห่งนี้ ภาพจากเลนส์ซูมของกล้องส่องทางไกลที่ติดกับปืนไรเฟิลด้ามยาว แสดงให้เห็นในทุกอากัปกิริยาของเชฟหนุ่มได้อย่างชัดเจน มือปืนเฝ้าซุ่มรอจังหวะที่ภัทรจะเดินออกห่างออกมาในที่โล่งจากรถที่ใช้เป็นเป้าล่อ สายตาเล็งตรงมาที่ศีรษะของชายหนุ่มที่เคลื่อนไหวไปมาไม่อยู่กับที่ มือที่พร้อมจะเหนี่ยวไกในทุกวินาทีที่ได้จังหวะเหมาะ

       จนภัทรเดินออกมาเพื่อสมทบกับหญิงสาวสวยที่นั่งรถมอเตอร์ไซค์ผ่านไปอย่างช้าๆ ลูกบิดถูกปรับขึ้นลงให้ตรงกับศูนย์เล็ง จนทำให้แน่ใจว่าระยะการเคลื่อนไหวเพียงเท่านั้น สามารถปลิดชีพของชายหนุ่มได้ภายในนัดเดียวจากจุดนี้ มือที่เหนี่ยวไกสั่นระริก ฝ่ามือประคองลำกล้องที่วางพาดกับขอบหน้าต่าง ซึมชื้นไปด้วยเหงื่อ เพียงแค่ไม่กี่อึดใจภารกิจที่ตั้งใจไว้ก็จะสำเร็จลุล่วงไปเสียที ศัตรูหมายเลขหนึ่งที่ตนเฝ้ารอให้พบกับการแก้แค้นที่แสนเจ็บปวดอย่างสาสมกับที่เขาได้ก่อไว้ กำลังจะเหลือเพียงชื่อไว้บนโลกนี้ ส่วนวิญญาณของเขานั้นกำลังจะถูกส่งลงไปในนรก ที่ๆเขาสมควรอยู่มากที่สุด!

       ‘โอ...พระเจ้า!’ เสียงสบถดังครางออกมาเบาๆลอดจากไรฟัน เมื่อเห็นรถตำรวจปาดเข้าจอดเทียบตัดหน้าเป้าหมาย เพียงอึดใจเดียวก่อนที่ไกในมือจะถูกเหนี่ยว นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นอาฆาตถูกถอนออกมาจากสโคปยาวเรียวสีดำเมี่ยมที่ใช้เล็งเป้าหมาย

       ‘ถ้าเราไม่มัวลังเลอยู่ ป่านนี้ไอ้ภัทรคนชั่วได้นอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้นแล้ว!’

       มือปืนนึกตำหนิตัวเองขณะที่ถอนปืนออกมาจากขอบหน้าต่างที่เฝ้าซุ่มอยู่ โอกาสเหมาะที่จะจัดการชายหนุ่มนั้นมีน้อยมาก นับตั้งแต่ได้แฝงตัวเข้ามาคลุกคลีในไทยทัศน์ หากว่าตนไม่สร้างเหตุการณ์นี้ขึ้น เพื่อหลอกล่อให้เขาออกมายังที่โล่งแจ้ง จนเหมาะแก่การลอบยิงเช่นนี้ ในตอนแรกหญิงสาวที่เข้ามาดึงดูดความสนใจของเชฟหนุ่มให้เดินหลีกออกมาจากกลุ่มคนที่ล้อมรอบเขาอยู่ ทำให้คิดว่าสวรรค์ได้เมตตามอบโอกาสเหมาะที่กำจัดเรื่องนี้ให้สิ้นซากไปเสียที แต่แล้วหล่อนกลับเป็นตัวนำโชคมาให้เขาต่างหาก หากไม่มีหล่อน ตำรวจก็คงไม่มีทางเข้ามาขวางงานใหญ่ที่ตนเฝ้าวางแผนมาเป็นเวลานานเช่นนี้ จนพลาดโอกาสนี้ไปอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่จะได้มีโอกาสลงมือกับศัตรูอย่างภัทรได้อีกครั้ง

      การถอดลำกล้องออกแยกเป็นชิ้นส่วนต่างๆเป็นไปอย่างชำนาญและคล่องแคล่วว่องไวราวกับมืออาชีพ เพียงไม่นานชิ้นส่วนต่างๆของปืนไรเฟิลก็ถูกจัดวางอยู่ในกระเป๋าปืนผ้าสีดำขนาดกะทัดรัดที่พรางสายตาคนได้ดี ก่อนที่มือปืนจะเดินลงมาปะปนสมทบกับผู้คนมากมายขวักไขว่บริเวณห้องโถงกว้างของชั้นหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยพนักงาน ลูกค้า รวมถึงนักเรียนที่กำลังจะเดินเข้าห้องเรียนให้ทันเวลาอย่างไม่มีใครจับพิรุธได้

       แม้ภายนอกสายตาเคียดแค้นคู่นั้นจะปรับเปลี่ยนเป็นปกติตามที่ได้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่ภายในใจก็ยังเฝ้าครุ่นคิดอยู่อย่างคลุ้มคลั่ง

       ‘จะว่าไปงานนี้ตนเองไม่จำเป็นต้องลงมือเองก็ได้ เพียงแค่เอ่ยปากมือปืนมืออาชีพทั้งหลายก็จะถูกส่งมาให้เลือกอย่างมากมาย รวมถึงวิธีการกำจัดศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่างภัทร มีหลายวิธีที่ดูเหมือนจะเป็นอุบัติเหตุหรือไม่สามารถสืบหาสาเหตุได้ แต่การที่จะกำจัดศัตรูที่เป็นเสี้ยนหนามทิ่มแทงใจมาแสนนาน ถ้าเลือดไม่เปื้อนมือตนก็คงไม่สาแก่ใจกับการที่เฝ้าวางแผนการนี้มาเป็นเวลานาน ทั้งเวลา แรงกาย แรงใจที่ทุ่มเทไป จะต้องไม่สูญเปล่า ภารกิจนี้จะต้องสำเร็จด้วยฝีมือตนเองเท่านั้น จึงจะเรียกว่าสะใจของจริง !...

          คราวนี้โชคเข้าข้างแกนะไอ้ภัทร แต่รับรองว่าคราวหน้าแกไม่พลาดมือชั้นไปแน่!’



           หญิงสาวใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งในการเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย จากนั้นสิตาก็รีบเข้าไปสมทบกับเพื่อนๆคนอื่นๆในกลุ่ม ที่ตอนนี้ นั่งรอให้ภัทรเข้ามาสอน แต่ทั้งหมดต่างก็มีหัวข้อในการสนทนานั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นกับรถของภัทรนั่นเอง

           หนูนานั่งฝึกแกะสลักแครอทให้เป็นรูปดอกกุหลาบอยู่ ข้างๆเป็นเปียโนที่กำลังนั่งฟังเพลงจากวอล์กแมนอยู่อย่างขะมักเขม้น ไม่สนใจว่า ดีใจ พายุและรักษภูมิ จะพูดคุยเรื่องของภัทรอย่างออกรสอยู่เช่นไร เมื่อสิตานั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว หนังจึงถูกฉายวนซ้ำอีกรอบว่า

          “สิตา เห็นรถเชฟป่ะ เมื่อกี๊อ่ะ โห...ใครนะช่างกล้าจริงๆ ขนาดกลางวันแสกๆแท้ๆ ในไทยทัศน์ด้วยอีกต่างหาก สยองจริงๆ เสียดายของว่ะ โฮกกกก!”พายุเริ่มเรื่องอีกครั้ง พร้อมคำรามเป็นแบบการ์ตูนตามนิสัยของเขา อย่างแสดงอารมณ์ไปด้วย

         “ใช่ๆ เห็นเชฟบอกว่าตอนที่มาถึงน่ะ มีที่ตรงนั้นให้จอดรถอยู่ที่เดียว เขาก็เลยจอด ไม่ทันได้คิดอะไร ที่ไหนได้ กล้องวงจรปิดตรงนั้นดันเสียขึ้นมาซะงั้น แถมตอนที่ออกไปดูรถหลังจากเกิดเรื่องแล้ว ไม่ยักจะมีรถอื่นมาจอด นอกจากรถเชฟคนเดียวเอง” หนูนา เสริมเรื่องออกไปทั้งๆที่มือยังคงไม่หยุดแกะสลัก

      “แล้วใครเป็นคนไปเห็นเข้าล่ะ เห็นรึเปล่าว่าใครเป็นคนทำ?” สิตาซักอย่างตื่นเต้นไปด้วย

       “เรานี่ล่ะเห็น เราขี่รถไปรับเปียโนที่หอพักเข้ามาพร้อมๆกัน อย่างตกใจเลยว่ะ พอเห็นก็เลยรีบวิ่งไปบอกเชฟ สงสารแกว่ะ อุตส่าห์เปลี่ยนรถมาใหม่ รถยังป้ายแดงอยู่เลยด้วย เสียของชะมัด”ดีใจ ตอบ อย่างมีอารมณ์ร่วมไปด้วยเช่นกัน

       “สงสัยว่าคนนี่มันคงจะวางแผนมาเป็นอย่างดี เผลอๆทำเป็นขบวนการเลยมั้ง ดูรูปการแล้วไม่น่าจะลงมือคนเดียวหรอก เสียหายตั้งหลายอย่าง ในเวลารวดเร็วแบบนี้” รักษภูมิ ขอออกความคิดเห็นบ้าง หลังจากนิ่งฟังอย่างเงียบๆมานาน

       ขณะนั้นเปียโนก็ปลดหูฟังออกจากหู แล้ววางไว้บนโต๊ะเล็คเช่อร์ ก่อนจะลุกไปทำธุระข้างนอกอย่างรีบร้อน สิตา เห็นหูฟังวางอยู่จึงหยิบขึ้นมาใส่หู หมายจะฟังเพลงของเปียโนบ้าง ด้วยความอยากรู้ แต่กลับไม่ได้ยินเสียงเพลงอะไรนอกจากความเงียบ และเสียงจ้อกแจ้กของคนคุยกัน ฟังยังไม่ทันได้ศัพท์ดีนัก

      แต่แล้วหล่อนก็ต้องสะดุ้งอย่างตกใจที่มีคนมากระตุกหูฟังไปจากหู พร้องกับเสียงแหวของเปียโนอย่างที่ทุกคนก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน

       “ฟังไม่ได้นะพี่!”

       ทุกคนหันไปมองเปียโนเป็นตาเดียว สิตายังคงตกใจอยู่จึงยังไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่เปียโนก็รีบกลับไปอธิบายด้วยเสียงใส ตามเดิมของหล่อนว่า

     “คือ มันเสียน่ะพี่สิตา หนูไม่ได้หวงอะไรพี่หรอกนะจ๊ะ หนูขอโทษด้วยที่ทำไม่ดีกับพี่ อย่าโกรธหนูนะ” เปียโนเอ่ยคำขอโทษอย่างจริงใจพร้อมกับยกมือไหว้

    “พี่ก็แค่อยากจะรู้ว่าเปียโนฟังเพลงอะไรอยู่เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก พี่เองก็เสียมารยาทที่ไม่ได้ขออนุญาตเปียโนก่อน ที่เงียบไปก็เป็นเพราะตกใจอยู่น่ะ ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก เรื่องมันแล้วไปแล้วน่า” สิตาบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆเช่นกัน สำหรับเรื่องเพียงแค่นี้ไม่ได้ทำให้หล่อนโมโหง่ายๆขึ้นมาหรอก

       “สงสัยเครื่องมันเสียมั้ง เราเห็นเปียโนมัน นั่งกด นั่งแก้ นั่งฟัง หน้ามุ่ยแบบบอกบุญไม่รับมาตั้งนานแล้วเนี่ย”หนูนาช่วยออกตัวเสริมให้อีกหนึ่งเสียง ด้วยเกรงว่าเรื่องมันจะบานปลายมากไปกว่านี้ เมื่อเห็นเปียโนทำหน้าม่อยลงไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ

       “ตอนที่เราไปรับที่หอ เห็นคุยโทรศัพท์ทางไกลกับแม่ที่เมืองนอก เป็นภาษาเยอรมัน ท่าทางจะทะเลาะกันน่าดูเลยว่ะ เห็นพอวางหูแล้วก็ยังหน้าบึ้งอยู่เลย” ดีใจเสริมความตามที่ได้เห็นมา

      “งั้น...หนูขอตัวออกไปโทรศัพท์หาแม่ที่ข้างนอกก่อนนะ เดี๋ยวเชฟมาแล้วไม่มีเวลาออกไปโทร” เปียโนขอตัวพลางม้วนสายหูฟังพร้อมเครื่องเล่นเก็บใส่กระเป๋า แล้วรีบเดินออกไปนอกห้องทันที ด้วยความผลุนผลันที่จะรีบร้อนออกไป เมื่อลุกจากเก้าอี้เล็กเช่อร์ เท้าของหญิงสาวก็ไปเตะกับกระเป๋าผ้าสีดำขนาดไม่ใหญ่นักที่วางอยู่บนพื้นด้างล่างของเก้าอี้เล็กเช่อร์ของดีใจที่นั่งติดกัน จนกระเด็นหล่นออกมากองที่พื้น

       “เฮ้ย!...ระวังหน่อยซี่ นี่ไม่ใช่ของเล่นนะ!” ดีใจร้องออกมาเสียงดังอย่างมีโมโห เพื่อนร่วมชั้นต่างพากันหันมามองเสียงเดียวกัน เพราะตกใจเสียงของชายหนุ่งที่ดังลั่นขึ้น เมื่อเห็นสายตาของทุกคนที่จ้องหน้าเขาอย่างสงสัย รวมถึงเปียโนที่หน้าเสียอย่างเหรอหราด้วยความตกใจ จนน้ำตาปริ่ม ดีใจชะงักไปครู่หนึ่งอย่างได้สติแล้วจึงอ่อนเสียงลงว่า

     “ไม่มีอะไรหรอกก็แค่...กระเป๋าใส่กล้องถ่ายรูปเท่านั้น มันแพงแล้วก็เป็นของขวัญที่แม่พี่ซื้อให้ ไม่ต้องทำขี้แงหรอกน่าเปียโน พี่ขอโทษ รีบออกไปโทรศัพท์เถอะ เดี๋ยวเชฟมาก็ไม่ได้โทรกันพอดี เลิกร้องไห้ได้แล้ว”

       ก่อนจะเกิดเรื่องวุ่นวายนี้ขึ้น ภัทรได้รับข้อความจากหมายเลขนิรนามหมายเลขใหม่อีกครั้งว่า

       นี่คือคำเตือนครั้งที่ ๒ ระวังตัวไว้!’


     เมื่ออ่านข้อความจบ เขาก็ยังไม่เข้าใจในความหมายเท่าใดนัก  

      ไม่นานนัก รักษภูมิ ก็มาเคาะประตูที่ห้อง บอกว่าเกิดเรื่องกับรถของเขาที่ลานจอดรถ ซึ่งผลของมันก็เลวร้ายเสียจน ต้องเชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจมาร่วมสืบสวนสอบสวนพร้อมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยของไทยทัศน์
แต่หลังจากใช้เวลาสืบอยู่นาน สิ่งที่ได้รับคือ ไม่มีหลักฐาน ไม่มีพยาน และไม่สามารถหาคนกระทำความผิดในครั้งนี้ได้!

       ชายหนุ่มเริ่มฉุกใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ว่า ศัตรูที่ไม่ต้องการปรากฏกายของเขา เริ่มจะเข้ามาใกล้ตัวเขามากขึ้นทุกทีแล้ว ข้อความที่ส่งมาให้นี่เจตนาของมันคืออะไรกันแน่ ต้องการจะเยาะเย้ยหรือต้องการจะเตือนภัยเขากันแน่?...แล้วมันคือใครกัน?


       บรรยากาศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ถึงแม้ว่าอากาศจะร้อนไปเสียหน่อย แต่ก็ดูเป็นธรรมเนียมเสียแล้วที่มักจะมีฝนตกลงมาพอให้ชุ่มฉ่ำคลายร้อนลงไปได้บ้าง ไทยทัศน์หยุดการเรียนการสอนเพียงวันเดียวคือวันที่ ๑๓ เมษายนเพียงเท่านั้น ส่วนวันต่อมาก็เปิดการเรียนการสอนตามปกติ
สิตา รักษภูมิและดีใจ จึงนัดพบกันในตอนเช้าของวันที่ ๑๔ ที่บ้านของภัทร เพื่อที่จะมารดน้ำดำหัวและขอพรจากทับทิมกัน เมื่อมาถึงต่างคนต่างเตรียมพวงมาลัยที่ร้อยมาอย่างสวยงามกันคนละพวง

       ทับทิมอยู่บ้านต้อนรับพวกเขาเพียงคนเดียว เนื่องจากว่าภัทรต้องออกไปดูแลครัวเร็วกว่าปกติ เพราะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เป็นวันหยุดยาวของทุกครอบครัว คนในครอบครัวต่างจึงพากันมารับประทานอาหารที่ไทยทัศน์กันมากมาย โดยเฉพาะการมาลิ้มรสอาหารพิเศษเฉพาะฤดูร้อนอย่างเช่น ข้าวแช่

       ต้นสั่งให้เด็กรับใช้จัดเตรียมขันใบใหญ่พร้อมพานรอง ใส่น้ำพร้อมลอยดอกมะลิ กลีบกุหลาบส่งกลิ่นหอมชื่นใจ มาวางไว้ที่โต๊ะกระจกตัวเล็กในชุดรับแขกหวาย ก่อนที่ทับทิมที่แต่งกายด้วยเสื้อคอกระเช้าผ้าฝ้ายเพ้นต์ลายดอกไม้เล็กๆเข้าชุดกับผ้าซิ่นไหมสีตองอ่อน ที่ส่งให้วันนี้หญิงชราดูสดใสกว่าทุกครั้งที่เคยพบ

       ดีใจในฐานะญาติสนิทเข้าไปรดน้ำขอพรจากทับทิมเป็นคนแรก ตามด้วยรักษภูมิ สิตา และต้น ที่เข้ามารดน้ำทับทิมด้วยน้ำหูน้ำตา จนนางอดที่จะเอ็ดหญิงสาวร่างใหญ่ให้เบาเสียงไม่ได้ ก่อนที่ทับทิมจะให้พรทุกๆคนจากใจของตนว่า

       “ป้าดีใจที่พวกหนูเห็นความสำคัญของประเพณีไทยเรา เห็นความสำคัญของป้า ไม่มีพรใดที่จะสัมฤทธิ์ได้ หากว่าเราไม่ลงมือทำมัน ขอให้พวกหนูสติ มีความคิด สร้างสรรค์สิ่งๆที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ต่อชาติ บ้านเมืองและศาสนานะจ๊ะ”

       เมื่อแล้วเสร็จขั้นตอนของพิธีรดน้ำดำหัวแล้ว ทับทิมก็ได้เชิญให้ทุกคนรับประทานของว่างด้วยกันก่อน และเมื่อทราบจากดีใจว่า ที่ไทยทัศน์ก็จะมีการทำพิธีรดน้ำดำหัวและงานเลี้ยงเช่นกัน นางจึงให้ต้นจัดปั้นขลิบปลา ใส่ถาดสเตนเลสหนึ่งถาดใหญ่ เพื่อให้เพื่อนร่วมห้องทุกคนได้ลิ้มลองรสชาติกัน


       ในห้องเรียนวันนี้ ดูแตกต่างไปจากเดิม เพราะได้มีการจัดเตรียมสถานที่ไว้สำหรับทำพิธีรดน้ำดำหัว ซึ่งผู้ใหญ่ในงานนี้ก็คือคุณรพีและคุณบุปผาชาตินั่นเอง

       ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับภัทรเมื่อไม่กี่วันมานี้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศในการเรียนแย่ลงไป ยิ่งไปกว่านั้น ภัทรยังได้สั่งให้ในครัวจัดเตรียมของว่างมาเพื่อเป็นการเลี้ยงนักเรียนทุกคนเนื่องในเทศกาลสงกรานต์อีกด้วย

       พิธีรดน้ำดำหัวเริ่มต้นไปอย่างเรียบง่ายแต่ก็แฝงไปด้วยความประทับใจที่นักเรียนทุกคนที่แม้ว่าเพิ่งจะมีโอกาสได้มาเรียนกับคุณรพีและคุณบุปผาชาติได้ไม่นานนัก ก็รับรู้ได้ถึงความเป็นครูอย่างแท้จริงของทั้งสองท่าน จนเมื่อพิธีการเสร็จสิ้นเรียบร้อย การให้โอวาทก็ได้เริ่มขึ้นโดยคุณบุปผาชาติ และตามด้วยคุณรพี ที่ซาบซึ้งจนกล่าวให้โอวาทด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า

       “ขอบใจทุกคนมาก ที่ทำให้คุณได้มีวันดีๆที่น่าประทับใจเก็บไว้ในความทรงจำอีกวันหนึ่ง สำหรับพรที่จะให้นั้น ในฐานะของครู ตอนนี้เราทุกคน มาได้กว่าครึ่งทางแล้ว แต่จะไปถึงจุดหมายปลายทางที่ฝันกันไว้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกเราเองล่ะ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม คุณเชื่อว่าต้องมีวันนั้น และจะต้องมีวันต่อไปที่ดี สำหรับอนาคต สิ่งที่คุณครูทุกคนมอบให้ เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองมากที่สุดนะจ๊ะ”

       เมื่อกล่าวจบ คุณรพีก็ยกมืออวบอ้วนที่เต็มไปด้วยแหวนเพชรทุกนิ้ว ขึ้นมาปิดปากด้วยจริตจะก้านอย่างหักห้ามความรู้สึกประทับใจไม่ได้ ก่อนที่ทั้งห้องจะพากันพนมมือและกล่าวคำขอบคุณ ยิ่งทำให้คุณรพี ลุกขึ้นยิ้มรับพร้อมกับกล่าวกับขอบคุณ ราวกับนางงามที่เพิ่งได้รับมงกุฎก็ไม่ปาน

       งานเลี้ยงน้ำชาเริ่มขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นพิธีไปแล้ว นักเรียนแต่ละกลุ่มพากันตักของว่างและพากันไปนั่งตามกลุ่มของตนเอง โดยมีคุณรพี คุณบุปผาชาติ ภัทร และเชฟคนอื่นในครัวที่แวะเวียนมาร่วมงานเลี้ยงนี้เช่นกัน เดินไปคุยกับแต่ละกลุ่มอย่างเป็นกันเอง

         กลุ่มของสิตา อันประกอบไปด้วย รักษภูมิ ดีใจ พายุ หนูนา และเปียโน ที่พากันกินของว่างนานาชนิดอย่างเอร็ดอร่อย และสนทนากันอย่างออกรสชาติว่า

        “ดีใจจังนะพี่ที่เป็นคนไทย ได้มาอยู่ที่เมืองไทยอีกครั้ง วันนี้หนูเองก็อดน้ำตาซึมไม่ได้ ตอนที่คุณรพีให้พรน่ะ มันซาบซึ้งกินใจยังไงไม่รู้สิ” เปียโน บอกความรู้สึกจากใจของตนให้ทุกคนในกลุ่มได้รู้

      “แล้วที่ออสเตรียที่เราไปอยู่ ไม่มีคนไทยหรือทำอะไรแบบไทยๆแบบนี้บ้างเลยเหรอ?” รักษภูมิถามขึ้นหลังจากที่รับแก้วน้ำผลไม้รวมรสหอมหวานจากพนักงานเสิร์ฟมาดื่ม

       “โธ่ พี่รัก เปียโนไปอยู่กับแม่กับญาติๆที่ออสเตรีย ตั้งแต่เด็กๆ พวกเขาไม่ใช่คนไทย เลยไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ทั้งเมืองก็มีแต่ฝรั่ง อยากจะพูดไทยกับแม่  แม่ก็ไม่ยอมพูดด้วย ต้องอาศัยดูละคร รายการจากเมืองไทย ถึงพอจะรู้ภาษาไทย ไม่ลืมไปกะเขาเสียก่อน” เปียโน เล่าเรื่องของตนเองให้ทุกคนรู้เพิ่มขึ้น

      “แย่เนอะ อยากพูดไทยกับแม่ แม่ก็ไม่ได้พูดด้วย มิน่าล่ะ พี่ถึงเห็นเปียโนคุยกับแม่ทางโทรศัพท์เป็นภาษาเยอรมันบ่อยๆ แต่ว่าฟังไม่รู้เรื่องหรอกนะ อิอิ” หนูนาเสริมขึ้น ในฐานะเพื่อนร่วมห้องพักของเปียโนนั่นเอง

       “เรื่องนั้น มันยังเป็นเรื่องเล็กนะพี่ บางครั้งแม่ก็ว่าหนู หาว่าหนูไม่ใช่คนไทย ยังอยากจะเป็นคนไทยอีก หนูไม่เข้าใจเลย ยังเถียงแม่อยู่บ่อยๆไปเลยว่า ถ้าแม่อยากให้หนูเป็นฝรั่ง ยังไงหนูก็ไม่ใช่อยู่ดี ดูซ่ารารูป เอ๊ย สารรูปซี หัวก็ดำ ตาก็ดำ มันจะเป็นฝรั่งไปได้ยังไง” เปียโนเล่าให้ฟังอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเอ่ยปากแซวสิตาที่กำลังเหม่อลอยอยู่ว่า

       “เรื่องของเปียโน เอาไว้ก่อนเถอะพี่ๆ ดูพี่สิตาสิมองเหม่อไปไหนก็ไม่รู้แล้วสิ”

       หนูนา จึงเสริมมาด้วยความรู้สึกของผู้หญิงที่ชอบไวต่อเรื่องความรักกุ๊กกิ๊กยิ่งนัก โดยเฉพาะเรื่องความรักของคนอื่นว่า

       “สิตา เราเห็นเชฟมองมาทางนี้หลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ยักเดินมาคุยกับเราเหมือนอาจารย์คนอื่นๆ พอเชฟหันไปคุยกับคนอื่น สิตาก็หันไปมองตาละห้อย มีอะไรกันน่ะ บอกพวกเรามาเดี๋ยวนี้นะตัวเอง!”

  หนูนาแกล้งแซวออกไป แต่สิตาก็ได้แต่ทำปากขมุบขมิบ แต่จนแล้วจนรอดคนทั้งกลุ่มที่รอฟังตำตอบ ก็ได้รับแต่ความเงียบจากสิตามาเป็นคำตอบเพียงเท่านั้น


          สัญญาณเสียงของลิฟท์ดังขึ้นพร้อมกับไฟสว่างที่ปุ่มหมายเลข ๖๐  ประตูลิฟท์เปิดกว้าง เพื่อให้กลุ่มคนที่โดยสารอยู่ในนั้นก้าวออกมา หนึ่งในนั้นก็คือ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกำยำสมส่วนในชุดสูทสีน้ำตาลเข้ม คอลเล็คชั่นใหม่ล่าสุดของอาร์มานี่ หนึ่งในหลายๆชุดที่ทางนิตยสารได้จัดส่งไปให้เขาเลือกใส่มางานในคืนนี้ ถึงไทยทัศน์เลยทีเดียว

         จะว่าไปสำหรับงานคืนนี้ภัทรคือไฮไลท์สำคัญเลยก็ได้ นับตั้งแต่การที่มีห้องแต่งตัวต่างหาก อีกทั้งยังมีช่างหน้าช่างผมส่วนตัวที่คอยดูแลให้เขาดูดี สมกับที่เป็นเจ้าของรางวัลสุดยอดหนุ่มมากความสามารถของปีนี้ แม้ว่าจะแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก่อนงานเริ่มนานแล้ว แต่ภัทรก็ยังเถลไถลอยู่ในห้องแต่งตัว จนได้เวลางานเริ่มจึงขึ้นลิฟท์มาพร้อมกับแขกคนอื่นๆในงานอย่างอ้อยอิ่ง

       จากการแต่งกายภายนอกทำให้หญิงสาวหลายคน ทั้งที่เป็นไฮโซตัวจริง หรือไฮโซหน้าใหม่ ต่างพากันชื่นชมในบุคลิกของชายหนุ่ม แต่สำหรับภัทร ในใจของเขาคืนนี้มีแต่ความอ้างว้าง เขานึกถึงแต่หญิงสาวในชุดเดรสสีฟ้าที่น่าประทับใจ คนที่เคยเป็นคู่ควงคนพิเศษสำหรับเขา แต่จะด้วยเหตุผลกลใดมิทราบ ที่จู่ๆสาวเจ้าก็มึนตึงใส่เขา อย่างที่เขาเองก็ไม่เข้าใจเลยเช่นกัน

ภัทรเดินช้าๆ แต่ยังคงไว้ด้วยความสง่างามเข้มแข็ง สมกับที่ได้รับการอบรมจากสิราวรกาญจน์มาเป็นอย่างดี เขามาหยุดที่ฉากหลังที่พิมพ์โลโก้ของหนังสือ เพื่อถ่ายรูปร่วมกับคณะบรรณาธิการที่รอต้อนรับเขาอยู่แล้ว

         เสียงเพลงบรรเลงดังลอยออกมาจากฮอลล์ด้านหลังที่มีงานเลี้ยงอยู่ เมื่อเขาร่วมถ่ายรูปไปสักพัก เสียงหวานใสที่แสนคุ้นเคยของนักร้องหญิงจากเวทีด้านหลัง ก็ดังเข้ามากระทบยังโสตประสาทของชายหนุ่มผู้อ้างว้างในคืนนี้ ชายหนุ่มรีบเอ่ยขอปลีกตัวจากการถ่ายรูปมาอย่างสุภาพ เดินเข้าประตูฮอลล์ที่เปิดกว้างอยู่อย่างใจจดจ่อและมีความหวัง แต่ละย่างก้าวที่เดินไปนั้นช่างทำให้หัวใจของชายหนุ่มที่แห้งแล้งมากว่าสองสัปดาห์แล้ว สดชื่นขึ้นมาด้วยเสียงเพลงของผู้ที่ขับกล่อมอยู่บนเวทีทีละน้อยๆ

         และในที่สุดเขาก็ยิ้มกว้างได้อีกครั้งเมื่อพบว่าหญิงสาวบนเวที ก็คือหญิงสาวที่เขาเฝ้าถวิลหาหล่อนมานาน

‘สิตา คืนนี้ผมจะไม่ปล่อยให้คุณหนีผมไปเป็นครั้งที่สองได้อีก ผมรับรอง!’

       ภัทรตั้งใจไว้กับตัวเองว่าอย่างนั้น แม้ว่าในใจเขาจะร้อนรุ่มจนอยากจะขึ้นปรับความเข้าใจกับหญิงสาวบนเวทีนั้นโดยทันที แต่อีกใจก็เชื่อว่าพรหมลิขิตคงจะไม่ใจร้ายกับเขาหรอก เพราะการที่ได้มาพบกันโดยบังเอิญครั้ง นับว่าเป็นนิมิตที่ดีสำหรับความรักของเขาเลยทีเดียว

       “ใจลอยอะไรอยู่ คุณภัทร ยิ้มแป้นเชียวนะ สงสัยคงจะไม่แค่ดีใจที่ได้มารับรางวัลหรอกนะ” เสียงทักของคุณรพี ดังขึ้นมาอย่างมีนัย เพราะสายตาของเธอก็มองตามภัทรไปยังหญิงสาวร่างสูงในชุดราตรีเข้ารูปทุกส่วนสัดที่แสนงดงามกลางไฟฟอลโลว์ผู้เดียวบนเวทีเช่นกัน

       “คุณรพีมาร่วมงานนี้ด้วยเหรอครับ” คำถามโง่ๆถูกตั้งขึ้นจากชายหนุ่มที่ยังตั้งตัวไม่ติดเมื่อถูกดึงออกมาจากภวังค์แห่งรักโดยชายชราข้างกาย

      “แน่นอนสิจ๊ะ คุณภัทรนี่ละก็ ถามอะไรแปลกๆไปได้ นี่ก็มากับคุณหญิงรัดเกล้าเธอด้วยล่ะ เห็นว่าเธอจะเป็นคนมอบรางวัลให้กับคุณภัทรด้วยนะ”

      เมื่อเห็นว่าภัทรยังไม่คลายอาการเก้อเขินอยู่ คุณรพีจึงเรียกบริกรที่ถือถาดบรรจุแก้วไวน์แดงมา แล้วหยิบส่งให้ชายหนุ่มและตนคนละแก้ว ก่อนจะยื่นแก้วมาชนแล้วบอกว่า

       “มามะ...มาย้อมใจ...เอ๊ย!...ไม่ใช่สิ ต้องขอแสดงความยินดีกับสุดยอดหนุ่มมากความสามารถแห่งปีด้วยจ้า...” เมื่อต่างคนต่างดื่มไวน์ในแก้วของตนไปบ้างแล้ว คุณรพีก็ยกมืออวบอูมที่เต็มไปด้วยแหวนเพชรขึ้นมาป้องปากแล้วเขย่งตัวขึ้นไปใกล้หูของภัทรพอให้ได้ยินกันสองคนว่า

          “คืนนี้เป็นคืนพิเศษ ถ้าจะหาโอกาสทำอะไรพิเศษก็รีบลงมือเสียนะคุณภัทร มัวแต่จ้อง มัวแต่มอง ระวังจะอดนะ แล้วจะหาว่าคุณไม่ช่วย ฮิฮิฮิ...”

       ภัทร ได้ยินความนัยที่คุณรพีแซวแล้ว เขาก็เขินไปครู่หนึ่ง กว่าจะหาคำมาแก้ตัวได้ ก็เห็นร่างอวบๆของคุณรพีเดินสะบัดสะโพกไปชนแก้วกับแขกคนอื่นในงานไกลจากเขาออกไปทุกที

จากคุณ : Awork
เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:47:13




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com