Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เซ็นซู ภาค จอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 8 กลีบดอกไม้ในสายลม ติดต่อทีมงาน

เซ็นซู บทต้น
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=22-09-2011&group=19&gblog=1

บทที่ 7 ผู้บงการปิศาจ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11791628/W11791628.html

บทที่ 8

กลีบดอกไม้ในสายลม

สีหน้าของยาสึฮิระเต็มไปด้วยความเศร้าสลดหลังจากฟังโอริเอะรายงานการเสียชีวิตของโรคุเซและทหารที่ตามอารักขามิสึกิจบลง ผู้นำโคะโตโระถอนใจออกมา

“เจ้าจัดการกับพวกเขาอย่างไร”

“ข้าสั่งให้ทหารฝังร่างพวกเขาไว้ริมทะเลสาบบิวะและก่อหินไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ ส่วนศพของพวกโจรถูกลากไปทิ้งที่เหวขอรับ”

ยาสึฮิระผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม

“แล้วพวกอิวะเล่า”

“ข้าสั่งให้มะรุอิชิย้อนกลับไปดูพบว่าพวกเขาถอนค่ายออกไปจนหมดแล้วขอรับ”

“เจ้าซาวาระมันกล้ามากที่ส่งคนมาสอดแนมถึงหน้าบ้านของเรา” ยาสึฮิระกล่าวด้วยเสียงที่ฟังเกือบจะเป็นคำราม “น่าเสียดายที่ปล่อยให้พวกมันหลุดมือไป”

โอริเอะนิ่งไปเล็กน้อยคล้ายลังเลว่าสมควรจะพูดในสิ่งที่ตนคิดดีหรือไม่แต่เมื่อเห็นท่าทางโกรธเคืองของผู้เป็นนายแล้วเขาจึงตัดสินใจ

“ถึงโมโรสุเกะจะเข้ามาด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์แต่การที่เขาช่วยท่านหญิงมิสึกิเป็นสิ่งที่กระทำด้วยความจริงใจ”

ยาสึฮิระมองหน้าเขาและถามเสียงห้วน

“เจ้ารู้ได้อย่างไร”

แม่ทัพหนุ่มนิ่วหน้าขณะหวนนึกถึงสิ่งที่ตนเองพบในป่าสน

“ดูเหมือนพวกโจรจะไม่รู้ว่ามีค่ายของพวกอิวะ และทางโมโรสุเกะเองก็ไม่เคยปรากฏตัวให้พวกมันเห็นเลยสักครั้ง การที่เขายื่นมือเข้าไปช่วยสึมิเระกับท่านหญิงมิสึกิทั้งที่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ได้นั้นแสดงว่าเขาเป็นคนมีน้ำใจ ยิ่งตอนที่เขายอมให้ข้าเข้าไปรับท่านหญิงแต่โดยดีนั้นทำให้คิดว่าโมโรสุเกะผู้นี้ไม่ได้เป็นคนโหดร้ายเลยแม้แต่น้อย”  

“คิดบ้างหรือเปล่าว่านั่นอาจจะเป็นกลลวง”

“ขอรับ” โอริเอะค้อมศีรษะลง “แต่หลังจากได้พบกับเสิ่งประหลาดในป่าสนแล้วทำให้ข้าคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้”

คำพูดของแม่ทัพหนุ่มทำให้ยาสึฮิระต้องขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวทวนประโยคอย่างงงงัน

“สิ่งประหลาดในป่าสน”

“ระหว่างที่เดินทางไปยังค่ายของอิวะ ข้ารู้สึกว่าป่าสนแห่งนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของปิศาจ จากประสบการณ์ที่เคยต่อสู้กับพวกมันในตอนที่พวกคาสึรางิบุกมาโจมตีเราคราวก่อนทำให้ข้าเข้าใจในทันทีว่าพวกมันใช้พลังบดบังค่ายจากสายตาของพวกเรา ผู้ที่สามารถบงการปิศาจให้กระทำเช่นนี้ได้ย่อมไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กลลวงใดทั้งสิ้น แต่ทั้งหมดนั่นก็ยังไม่ทำให้ข้าเชื่อใจในเจตนาของโมโรสุเกะนักกระทั่งได้ยินประโยคที่เขากล่าวกับท่านหญิงว่า ที่มาโคะโตโระก็เพื่อดูที่ตั้งเท่านั้น มิได้ต้องการจับผู้ใดเป็นตัวประกัน มันทำให้ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้เต็มใจช่วยท่านหญิงอย่างแท้จริง”

ยาสึฮิระนั่งกอดอกนิ่งฟังโดยไม่กล่าวสิ่งใดขัด จนเมื่อโอริเอะพูดจบเขาจึงเอ่ยถาม

“เจ้าลืมจดหมายจากซาวาระ ชินโนไปแล้วหรือ”

“ข้าไม่ลืม แต่ชินโนไม่ได้ขอท่านหญิงให้โมโรสุเกะนะขอรับ” โอริเอะแย้งพร้อมกับค้อมตัวลงต่ำ “ต้องขออภัยที่ขัดท่านเช่นนี้แต่สิ่งที่ข้าพูดมาทั้งหมดก็เพื่อให้ทราบในความจริง และเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม”

“ทำไม”

“การที่โมโรสุเกะมีความสามารถในการบงการปิศาจย่อมหมายความว่าเขาจะบุกเข้ามาโจมตีพวกเราเมื่อใดก็ได้ ถึงจะช่วยท่านหญิงแต่ข้าก็ไม่ไว้วางใจคนผู้นี้”

ถึงเหตุผลของโอริเอะสร้างความพอใจให้กับยาสึฮิระแต่เขาก็ยังคงวางตัวสงบนิ่งไม่แสดงอาการใดนอกจากผงกศีรษะอย่างแช่มช้าและกล่าวถามเสียงเรียบ

“แล้วกับดักของเจ้าไปถึงไหนแล้ว”

“เสร็จไปกว่าครึ่งแล้วขอรับ หากการก่อสร้างดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่มีอะไรติดขัดคาดว่าราวสิบห้าวันทุกอย่างคงเสร็จเรียบร้อย” แม่ทัพหนุ่มตอบ เจ้าเมืองโคะโตโระพยักหน้า

“ยังไงก็ระวังเอาไว้ด้วยเพราะอาซามิกับซาวาระคงไม่ยอมรามือง่ายๆ”

“ข้าวางกำลังคนป้องกันค่ายไว้อย่างแน่นหนาไม่มีทางที่คนนอกจะเข้าไปได้โดยง่าย”

“งั้นก็ดี หมดธุระแล้วเจ้าไปทำงานเถอะ”

ยาสึฮิระกล่าว โอริเอะจึงค้อมตัวลงอย่างนอบน้อม

“ขอรับ”

เขาถดตัวถอยไปจนกระทั่งถึงประตูและโค้งคำนับให้กับเจ้านายอีกครั้งจากนั้นจึงก้าวออกจากห้อง เมื่อแม่ทัพหนุ่มพ้นไปจากสายตา ใบหน้าที่เคยนิ่งสงบของยาสึฮิระก็แปรเปลี่ยนไปเป็นขมิงทึงดุดัน เขาเลื่อนสายตามองออกไปยังสวนและจ้องไปยังทิศทางที่ตั้งของเมืองอิวะพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงคำราม

“เพราะเจ้าช่วยมิสึกิให้พ้นจากภัย ข้าจึงละเว้นให้สักครั้ง”

ใบหน้าปิศาจกลับกลายเป็นมนุษย์เช่นดังเดิม ผู้นำแห่งโคะโตโระลุกขึ้นก้าวออกจากจวนมุ่งหน้าตรงไปยังเรือนพักของมิสึกิ ดวงตาคมกริบตวัดไปยังกลุ่มหญิงรับใช้ที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องราวของโจรป่าและอาการบาดเจ็บของสึมิเระ ทั้งหมดหยุดพูดพร้อมกับก้มหน้าลงหลบสายตา ยาสึฮิระมองพวกนางด้วยดวงตากร้าว

“มิสึกิอยู่ที่ไหน”

“ในห้องของสึมิเระเจ้าค่ะ” หนึ่งในนั้นตอบเสียงสั่นและลอบถอนใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อผู้เป็นนายเดินจากไปโดยไม่ตำหนิอะไร หญิงรับใช้ผู้นั้นจึงหันไปพูดกับเพื่อน  

“เจ้าสังเกตหรือเปล่าว่าระยะหลังนี่นายท่านเปลี่ยนไป”

ทั้งสามมองหน้ากันและพร้อมใจกันสั่นศีรษะก่อนตอบ

“ข้าก็เห็นท่านเป็นปรกติดีทุกอย่าง อะไรทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น”

นางย้อนถามเพื่อน อีกฝ่ายมองไปทางซ้ายและขวาอย่างระวังขณะขยับเข้าไปใกล้และพูดด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม  

“เมื่อก่อนท่านยาสึฮิระทั้งสุขุมและมีเมตตาแต่เดี๋ยวนี้ท่านกลับเย็นชาจนน่าขนลุก ที่น่ากลัวที่สุดก็คือวิธีที่นายท่านมอง ดวงตาของท่านช่างเย็นเยียบและอำมหิตจนข้ารู้สึกเหมือนถูกน้ำแข็งแทงทะลุเข้าไปถึงหัวใจ”

หญิงรับใช้ผู้นั้นกล่าวทั้งร่างที่สั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว

*/*/*/*/*/*

ฟูจิวาระ โทอิจิโรมีสีหน้าหนักใจหลังจากอ่านจดหมายจากยาสึฮิระจบลง เขาพับมันสอดกลับใส่ซองตามเดิมจากนั้นจึงวางไว้ข้างตัวและมองโคดาจิซึ่งกำลังนั่งนิ่งคล้ายรอฟังคำตอบอยู่ตรงหน้า

“ใช่ว่าข้าจะปฏิเสธคำเชิญของท่านยาสึฮิระ แต่ตระกูลของเราไม่เคยสอนการร่ายรำให้กับคนภายนอก”

“ได้ยินว่าบุตรีของบ้านโอริโมโนะเดินทางมาเรียนการรำพัดกับบุตรชายของท่าน พวกเขาเกี่ยวข้องกับตระกูลฟูจิวาระหรือ”

หัวหน้าองครักษ์แห่งปราสาทยาสึฮิระกล่าวถาม โทอิจิโรสั่นศีรษะ

“ถึงจะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลของเราแต่ฮารุคาเสะเอ็นดูโฮชิโนะดุจน้องสาวจึงสอนการร่ายรำให้ซึ่งก็เป็นเพียงแค่พื้นฐานทั่วไปเท่านั้น”

“ในเมื่อเขาสอนให้คนบ้านโอริโมโนะได้ ก็ย่อมสอนท่านหญิงของเราได้เช่นกัน” โคดาจิพูดและมองผู้นำบ้านฟูจิวาระเขม็ง “หรือพวกท่านคิดว่าตระกูลยาสึฮิระต่ำต้อยเกินไป”

แม้ดวงตาของหัวหน้าองครักษ์จะทอแสงลุกวาวแต่มันกลับดูกระด้างไร้แววของผู้มีลมหายใจทำให้โทอิจิโรรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว ทันทีที่ตั้งสติได้เขาจึงรีบพูด

“ข้าไม่...”

“กรุณาไปเรียนท่านยาสึฮิระว่าข้ายินดีที่จะไป”

เสียงของฮารุคาเสะกล่าวขัดขึ้น โทอิจิโรหันไปมองบุตรชายที่กำลังก้าวเข้ามาในห้องและขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจส่วนโคดาจิหันไปก้มศีรษะให้กับเขาพร้อมกับพูด

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปแจ้งให้ท่านยาสึฮิระทราบว่าท่านตกลง” เขาหันกลับไปทางโทอิจิโร “พรุ่งนี้เช้าข้าจะให้ทหารมารับ”

โคดาจิค้อมตัวให้กับเจ้าบ้านฟูจิวาระและหันไปก้มศีรษะให้ฮารุคาเสะจากนั้นเขาจึงลุกขึ้นเดินจากไปโดยไม่กล่าวคำร่ำลา เมื่อเห็นว่าคนของยาสึฮิระพ้นจากบ้านไปแล้วโทอิจิโรจึงกล่าวเสียงห้วน

“นี่เจ้ายังไม่ตัดใจจากนางอีกหรือ”

“ที่ข้าตอบรับไม่ใช่เพราะมิสึกิ แต่เพื่อความปลอดภัยของท่านต่างหาก” ฮารุคาเสะพูดพลางดึงพัดออกมาจากเสื้อ บิดาของเขานิ่วหน้า

“ปลอดภัยจากอะไร”  

ชายหนุ่มไม่ตอบแต่กลับสะบัดพัดไปยังตำแหน่งที่โคดาจินั่งเมื่อครู่ สายลมอ่อนเคลื่อนผ่านเบาะและหมุนเป็นวง โทอิจิโรถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นกลุ่มหมอกสีดำปรากฏขึ้นและแตกสลายหายไป

“นี่มัน”

“ไอปิศาจ” ฮารุคาเสะตอบพร้อมกับเก็บพัดกลับเข้าไปในเสื้อ “โคดาจิผู้นี้ตายไปแล้วด้วยฝีมือของโอนิชิไคแต่ยาสึฮิระใช้พลังเรียกวิญญาณเขาให้กลับคืนมาอีกครั้ง แม้จะดูเหมือนมีชีวิตแต่ก็ไร้ลมหายใจ”

คำอธิบายนั้นทำให้ผู้นำบ้านฟูจิวาระถึงกับนั่งตกตะลึงพูดอะไรไม่ออกอยู่ชั่วอึดใจ เมื่อรวบรวมสติได้เขาจึงหลุดปากกล่าวออกมา

“ไม่คิดว่าท่านยาสึฮิระจะมีพลังขนาดชุบชีวิตคนตาย”

“เขาเป็นปิศาจ” ฮารุคาเสะพูดเสียงเรียบ โทอิจิโรหันไปมองบุตรชาย

“รู้อย่างงั้นแล้วเจ้าก็ยังคิดที่จะไป”

ชายหนุ่มผงกศีรษะรับแต่ไม่ตอบสิ่งใดกลับมา บิดาเขาจึงถอนใจ

“นางอาจจะเป็นปิศาจเช่นเดียวกับท่านยาสึฮิระ การที่เจ้าตกลงใจเข้าไปในปราสาทจะไม่เป็นการก้าวเข้าสู่อุ้งมือมรณะหรือ”

“มิสึกิเป็นมนุษย์” ฮารุคาเสะตอบเสียงเรียบและมองหน้าบิดาแน่วนิ่ง “และเพื่อช่วยนางต่อให้เป็นการเดินเข้าไปสู่ความตายข้าก็เต็มใจ”

เหตุผลและสีหน้ามุ่งมั่นของบุตรชายทำให้โทอิจิโรถึงกับพูดอะไรไม่ออก เมื่อเห็นว่าไม่มีทางห้ามปรามได้แน่เขาจึงจำใจต้องพยักหน้าพร้อมกับกล่าว

“ในเมื่อเจ้าต้องการอย่างนั้นข้าก็ไม่ขอขัด ยังไงก็ขอให้ระวังตัวเอาไว้ด้วย”

ฮารุคาเสะค้อมศีรษะให้กับบิดาของเขา

“ขอบคุณที่ท่านเข้าใจ” เขานิ่งเล็กน้อยคล้ายนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้”คงต้องรบกวนให้ท่านช่วยไปแจ้งยังบ้านโอริโมโนะว่าข้าขอระงับการสอนโฮชิโนะไว้ก่อน”

โทอิจิโรผงกศีรษะพร้อมกับกล่าวรับคำ ฮารุคาเสะจึงค้อมตัวให้กับบิดาของเขาอีกครั้งก่อนจะเดินจากมา ในตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะกลับไปที่ห้องเพื่อเก็บข้าวของสำหรับการเดินทางแต่ระหว่างที่เดินอยู่บนระเบียงก็มีสายลมพัดผ่านต้นซากุระที่ขึ้นอยู่กลางสวนนำพากลีบสีชมพูอ่อนที่กำลังร่วงพรูจากต้นให้ปลิวมากระทบกาย ชายหนุ่มหยุดชะงักในทันที เขาหันไปมองต้นไม้ซึ่งมีดอกบานสะพรั่งและพูดพึมพำออกมาเบาๆ

“ข้าจำเป็นต้องไป”

กลีบซากุระที่กำลังปลิวว่อนถูกสายลมเป่าให้หมุนรอบตัวฮารุคาเสะอีกครั้ง แต่ละกลีบไล้ไปตามเส้นผมและร่างกายของเขาอย่างอาลัยอาวรณ์ ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน

“โปรดอย่าเศร้าไปเลย” เขานิ่งราวกำลังฟังคำพูดของใครบางคนและระบายลมหายใจออกมา “ถ้าเช่นนั้นข้าจะร่ายรำให้ท่านดูเพื่อเป็นการปลอบใจ”  

ฮารุคาเสะก้าวลงจากระเบียงด้วยท่วงท่าสง่างาม พัดในที่ถูกซ่อนไว้ในแขนเสื้อเลื่อนไหลเข้ามาในมือและโบกสะบัดอย่างอ่อนช้อยสอดคล้องกับกลีบซากุระที่กำลังโปรยปรายลงมา พัดคู่ที่ขยับขึ้นลงอย่างมีจังหวะประกอบกับการเคลื่อนไหวอย่างแช่มช้าดูงดงามราวเทพกำลังร่ายรำท่ามกลางละอองหิมะสีชมพู ข้ารับใช้ชายหญิงที่อยู่ในบริเวณนั้นพากันมองอย่างตื่นตะลึง

“ข้าไม่เคยเห็นท่าร่ายรำนี้มาก่อน” ฟุคิบิพูดและถามเพื่อนที่ยืนอยู่ด้วยกันโดยสายตายังคงมองผู้เป็นนายไม่วางตา “พวกเจ้ารู้หรือเปล่าว่ามันมีชื่อว่าอะไร”

ทุกคนพากันสั่นศีรษะและสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงขรึมดุเอ่ยตอบ

“สายลมแห่งซากุระ เป็นการร่ายรำสำหรับเทพวายุเท่านั้น” โทอิจิโรมองกลีบใบไม้ที่หมุนวนรอบตัวฮารุคาเสะด้วยดวงตาที่แฝงไปด้วยความคิดคำนึง จากนั้นจึงเลื่อนขึ้นไปยังภูเขาอันเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าที่ตระกูลฟูจิวาระรับใช้มายาวนาน

“ท่านเองก็ไม่อยากให้เขาไปเช่นเดียวกัน”

น้ำเสียงแผ่วคล้ายกำลังพูดกับใครบางคน สายลมอันอบอุ่นพัดผ่านร่างของโทอิจิโรอย่างอ่อนโยนและเคลื่อนหายขึ้นไปบนภูเขาดุจเป็นการตอบคำ เจ้าบ้านฟูจิวาระจึงถอนใจออกมาเบาๆขณะเบนสายตากลับมายังบุตรชายอีกครั้ง แม้จะมีความเป็นห่วงอยู่เต็มหัวใจแต่เขากลับไม่กล่าวหรือแสดงอาการใดออกมา หลังจากยืนมองฮารุคาเสะร่ายรำอยู่ครู่หนึ่งโทอิจิโรจึงหมุนกายเดินจากไป

*/*/*/*/*

ทหารจากปราสาทยาสึฮิระเดินทางไปถึงบ้านของฟูจิวาระตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากร้องเรียกอยู่สองสามครั้งเสียงคนด้านในจึงขานรับกลับมา เมื่อบานประตูเปิดออกทหารซึ่งมีตำแหน่งสูงที่สุดในกลุ่มจึงพูดขึ้น

“ข้ามารับท่านฟูจิวาระ ฮารุคาเสะ ตามคำสั่งท่านยาสึฮิระ”

“คุณชายกำลังรอพวกท่านอยู่ด้านใน” ข้ารับใช้ผู้นั้นตอบและทำท่าจะเดินนำเข้าไปแต่ทหารทั้งหมดกลับยืนนิ่งไม่ยอมขยับจนอีกฝ่ายต้องหันกลับมาเรียกซ้ำ

“เชิญพวกท่านเข้ามานั่งพักดื่มน้ำชากันก่อน”

“ท่านยาสึฮิระกำลังรออยู่ พวกเราต้องรีบออกเดินทาง” ทหารคนเดิมกล่าว ข้ารับใช้เตรียมจะแย้งแต่ต้องหยุดคำพูดค้างไว้เช่นนั้นเมื่อฮารุคาเสะก้าวเข้ามา เขามองทหารทั้งเก้าไล่ไปทีละคนและหยุดที่ผู้มีตำแหน่งเป็นผู้นำ

“ข้าทราบดีว่าพวกท่านกำลังรีบ แต่ทางเราก็ต้องเตรียมข้าวของสำหรับการเดินทาง หากไม่ประสงค์จะดื่มน้ำชาเข้ามานั่งรอด้านในก่อนก็ยังดี”

นายทหารผู้นั้นก้มศีรษะให้กับฮารุคาเสะพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก

“ข้าขอยืนรอที่นี่”

“ถ้าต้องการแบบนั้นข้าก็ไม่ขอขัด” นักนาฏกรรมหนุ่มกล่าวอย่างเคร่งขรึม เขาหมุนตัวเดินกลับเข้าไปด้านในและยืนรอข้ารับใช้ที่ช่วยกันขนข้าวของขึ้นเกวียนด้วยอาการสงบนิ่ง โทอิจิโรซึ่งเฝ้าดูอยู่ด้านหลังมองกลุ่มทหารที่ยืนนิ่งราวกับหุ่นจึงเอ่ยถาม

“พวกเขาก็ถูกท่านยาสึฮิระเรียกขึ้นมาใช่ไหม”

ฮารุคาเสะผงกศีรษะรับ บิดาเขาจึงกล่าวต่อ

“แสดงว่าในปราสาทมีทหารพวกนี้อยู่ไม่น้อย รู้แบบนี้แล้วเจ้ายังยืนกรานที่จะไปที่นั่นอีกหรือ”

“ข้าจำเป็นต้องไป” ชายหนุ่มตอบ โทอิจิโรถอนใจพร้อมกับถาม

“แล้วเจ้าจะทำอย่างไรหากท่านยาสึฮิระกลายเป็นปิศาจไปจริงๆ”

ฮารุคาเสะนิ่งไปเล็กน้อยจากนั้นจึงระบายลมหายใจออกมา

“ถ้าเขากลายเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย ข้าก็คงไม่อาจละเว้น” เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและจ้องแสงสีทองที่ทาบทาบนก้อนเมฆด้วยสายตาเศร้า”แม้มันจะเป็นการกระทำที่ทำร้ายจิตใจของนางก็ตาม”

คำพูดของบุตรชายทำให้โทอิจิโรถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาจึงจำต้องแสร้งเบนสายตาไปยังเกวียนและยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นกระทั่งข้ารับใช้ขนของขึ้นเกวียนเป็นที่เรียบร้อย ฮารุคาเสะจึงหันมาค้อมตัวพร้อมกับกล่าว

“สายมากแล้วข้าคงต้องไปเสียที”

เจ้าบ้านฟูจิวาระรีบล้วงมือเข้าไปในเสื้อและหยิบถุงเครื่องรางขนาดเล็กออกมาส่งให้บุตรชายและอธิบายเมื่อเห็นอีกฝ่ายรับไปถือไว้อย่างงงงัน

“นี่เป็นถุงเครื่องรางของมารดาเจ้า จงเก็บไว้กับตัว”

ฮารุคาเสะเก็บเครื่องรางที่ได้รับไว้ในเสื้อและก้มศีรษะให้บิดาอีกครั้งพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณจากนั้นจึงเดินไปสมทบกับทหารและข้ารับใช้ที่ยืนรออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วทุกคนจึงออกเดินทาง ระหว่างที่เดินผ่านป่าอันอุดมไปด้วยต้นโมมิจิ ฟุคุบิซึ่งเคยร่วมทางในครั้งก่อนรีบขยับตัวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มพร้อมกับหันมองรอบตัวอย่างระแวง

“มีอะไรหรือฟุคิบิ”

ฮารุคาเสะถาม ฟุคิบิมองยอดโมมิจิที่กำลังโยกไอนเอนไปมาตามแรงลมและรีบลดสายตาลงจ้องลึกเข้าไปในป่าด้วยท่าทางหวาดกลัว

“ข้ากำลังมองหาพวกปิศาจ”

ข้ารับใช้ตอบเสียงสั่นและสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงกิ่งไม้หักดังลั่นดังมาจากภายในป่า กิริยาลุกลี้ลุกลนของเขาทำให้ผู้เป็นนายต้องอมยิ้ม

“แค่กิ่งไม้หักเท่านั้น” ดวงตาคมตวัดไปยังแนวโมมิจิด้านข้างอย่างฉับพลันเมื่อเห็นใบสีเขียวพุ่มหนึ่งร่วงพรูลงมา กิ่งที่สะบัดไหวยวบไล่ตามกันคล้ายถูกสายลมมากระทบแต่ในสายตาของผู้มีพลังปราบมารอย่างฮารุคาเสะกลับเห็นปิศาจสี่ตัวกำลังกระโดดไปตามต้นไม้เพื่อหาจังหวะโจมตี พัดคู่เลื่อนไหลเข้าไปอยู่ในมือในลักษณะเตรียมพร้อมโดยที่ชายหนุ่มก็ยังคงก้าวเดินอย่างนิ่งสงบไม่แสดงอาการใดออกมา แต่ดูเหมือนฟุคิบิจะสังเกตเห็นความผิดปรกติด้วยเช่นกันเพราะเขาขยับเข้ามาหาพร้อมกับกระซิบถาม

“บนต้นไม้นั่นมีปิศาจใช่ไหมขอรับ”

เงาสีดำไหววูบจากต้นไม้พุ่งเข้าหาฟุคิบิอย่างรวดเร็ว ฮารุคาเสะรีบผลักข้ารับใช้ให้หลบไปอีกทางพร้อมกับคลี่พัดออก

“สายลม”

วายุพัดกรรโชกผ่านร่างของเขากระแทกปิศาจตนนั้นกระเด็นไปไกล ตัวที่เหลือเมื่อเห็นเพื่อนถูกโจมตีเช่นนั้นจึงพากันส่งเสียงกรีดร้องด้วยความโกรธแค้นและกระโจนเข้าใส่นักนาฏกรรมหนุ่มพร้อมกัน แต่เพียงมาได้ครึ่งทางพวกมันทั้งหมดก็ถูกคมดาบของทหารฟาดฟันจนขาดเป็นชิ้นตกกระจายเกลื่อนพื้นรอบเกวียน ทหารซึ่งเป็นผู้นำหันมากล่าวถามฮารุคาเสะด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

“พวกเราปลอดภัย ขอบใจท่านมาก” ชายหนุ่มตอบ อีกฝ่ายผงกศีรษะพร้อมกับสอดดาบกลับเข้าฝัก

“มันเป็นหน้าที่ของพวกเรา” เขาหมุนตัวหันกลับไปสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา “ออกเดินทางต่อ”

ทหารทั้งหมดจึงเดินกลับไปประจำตำแหน่งของตนเองจากนั้นทั้งหมดจึงเริ่มต้นออกเดินทางอีกครั้ง ฮารุคาเสะมองคนจากปราสาทยาสึฮิระด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิดจนฟุคิบิซึ่งดูเหมือนจะคลายความตกใจลงบ้างแล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก

“มีอะไรหรือขอรับ”

ชายหนุ่มถอนสายตาจากทหารเหล่านั้นพร้อมกับสั่นศีรษะ

“ไม่มีอะไร”

ข้ารับใช้คนสนิทจึงเป็นฝ่ายจ้องผู้ที่เดินนำหน้าและพูดอย่างระวัง

“พวกเขาไม่เหมือนทหารของท่านโอริเอะเลยนะขอรับ”

“ทำไมเจ้าจึงคิดเช่นนั้น” ผู้เป็นนายย้อนถาม ฟุคิบินิ่วหน้าคล้ายพยายามนึกหาคำอธิบายที่ดูสมเหตุสมผลแต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ ในที่สุดเขาจึงพูดออกมาตามตรง

“พวกเขาดูแข็งทื่อ เย็นชาไร้ความรู้สึกแถมดูเหมือนจะมองเห็นพวกปิศาจ”ฟุคิบินิ่วหน้าและเม้มปากเล็กน้อยเหมือนลังเลในสิ่งที่ตนคิด แต่ในที่สุดเขาก็พูดด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก

“และเท่าที่ข้ารู้ ดาบธรรมดาไม่มีทางฟันปิศาจได้”

“ก็อาจจะเป็นไปได้หากผู้ที่ใช้ไม่ใช่คนธรรมดา” ฮารุคาเสะพึมพำเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าจะกล่าวกับข้ารับใช้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังมีสีหน้าวิตกเขาจึงกล่าวตัดบท“ข้าว่าเจ้าควรเลิกกังวลกับเรื่องพวกนี้และรีบเดินทางให้ถึงปราสาทยาสึฮิระก่อนค่ำจะดีกว่าเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอกับพวกปิศาจอีก”

พูดจบชายหนุ่มก็เร่งฝีเท้าให้ก้าวเร็วขึ้น ฟุคิบิและข้ารับใช้ที่เหลือต่างรีบเดินตามโดยไม่กล้าที่จะถามอะไรอีกเลย


*/*/*/*/*

มาลงต่อเนื่องอย่างว่องไว บทนี้ฮารุคาเสะออกโรงแล้วนะคะ

จอมอสูรไพราเท่มาก บทเด่นด้วย
โผล่มาก็แทบจะข่มคนอื่นไปหมด
(ยกเว้นท่านหญิงมิสึกิให้เหนึ่งคน^^..)
จากคุณ : Psycho man  
- ภาคนี้ไพราเด่นจริงๆค่ะ เพราะเน้อเรื่องจะเน้นไปที่เขา กับสงครามระหว่างเมือง

ไพราเท่และเด่นจริง ๆ ด้วย ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
รูปสวยค่ะ หน้ากากแดงเด่น แต่หางขาว ๆ ด้านล่างนี่....
จากคุณ : AMA-chun  
- หางขาวๆนั่นคือ เบียคโกะ ศัตรูตลอดกาลของฮารุคาเสะไงคะ (มารหัวใจหยิงมิสึกิด้วย)

วันนี้ปิดท้ายด้วยท่านยาสึฮิระร่างปิศาจกับว่าที่ลูกเขย ฮารุคาเสะค่ะ

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 08:45:46




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com