Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
xxxซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก..บทที่๗ xxx (กรณ์ วรรณกานต์) ติดต่อทีมงาน

บทที่๖
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11797912/W11797912.html

................................................................

คนรับใช้นำกระเป๋าเสื้อผ้าของราโมน่าขึ้นไปไว้บนห้องรับรอง ซึ่งอนาวินสั่งให้คนจัดการทำความสะอาดแล้วตั้งแต่ช่วงเช้า..เตชิตเดินตามราโมน่าไปหาอนาวินที่ยืนมองพร้อมสองสาว และมองเห็นสายตาของโมรียาที่จ้องเขม็งมายังราโมน่านั้น เผยชัดถึงภัยคุกคามที่ไม่มีใครสามารถจะมาหยุดยั้งได้โดยง่าย

และตัวราโมน่าเองก็รับรู้ถึงกระแสเกลียดชังที่ส่งมาจากสองสาว โดยเฉพาะกับผู้หญิงผิวขาวตัวเล็กแลดูบอบบางน่าทะนุถนอม ใบหน้ารูปไข่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเข้มภายใต้กรอบผมยาวสลวยดำขลับส่งให้เจ้าของร่างสวยงามชวนมองไม่น้อย ยกเว้นเพียงดวงตากำลังเรืองโรจน์ด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ ราวกับว่าเคยมีเรื่องเคืองแค้นกันมาก่อน ทั้งๆที่เธอเองก็เพิ่งเคยพบหน้ากันเป็นครั้งแรก

จนเมื่อหญิงสาวเดินมายืนใกล้อนาวิน ชายหนุ่มจึงเริ่มเอ่ยคำแนะนำด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“หนูเล็ก..นี่ไง แขกคนพิเศษของเรา”

แม้จะรู้ว่าตนไม่เป็นที่ต้อนรับของอีกฝ่าย แต่ราโมน่ายังคงยิ้มอย่างแสดงความเป็นมิตรพร้อมเอ่ยออกมา
“สวัสดีจ้ะ”

เดิมทีโมรียานั้นแค่ไม่พอใจที่คนของเธอต้องตามไปบริการผู้หญิงคนอื่น แต่เมื่อได้เห็นชัดถึงรูปลักษณ์อันสวยงามไร้ที่ติ โดยเฉพาะขนาดของทรวงอกอิ่มที่เกินมาตรฐานหญิงไทยนั้นส่งผลให้เธอเพิ่มความหวาดระแวงในตัวพี่ชายทันที เพราะบรรดาผู้หญิงที่ผ่านๆมาของพี่ชายนั้นล้วนแต่เสป็คนี้ทุกคน และพี่ชายที่ถูกขนานนามว่าเป็น คาสโนวา มีหรือจะยอมปล่อยให้ผู้หญิงตรงหน้านี้ให้หลุดรอดไปโดยที่ไม่ได้แตะต้องลิ้มลอง..ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคนของศัตรูก็ตาม และมันคงเป็นสิ่งที่เธอยอมรับไม่ได้

“เธอเป็นแขกของพี่ชายฉันเท่านั้นไม่ใช่ของเราทุกคน เพราะฉะนั้น จงอยู่อย่างเงียบๆและอย่าก่อปัญหา..เพราะฉันไม่รับรองความปลอดภัยของเธอ” น้ำเสียงแข็งกร้าวตอบกลับ และตวัดมองสบสายตาถมืงทึงของพี่ชายก่อนเดินผ่านหน้าไปอย่างไม่สนใจ เพื่อจะหันมาเกรี้ยวกราดใส่คนของเธอ

“พี่เต้ หนูเล็กหิวข้าวจะแย่แล้วนะ”

“ขอโทษครับ..” เตชิตตอบน้ำเสียงราบเรียบ สบสายตาเรืองวาว ริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีสดเม้มแน่นแทบเป็นเส้นตรง ก่อนเจ้าตัวจะหันก้าวยาวๆตรงไปยังรถยนต์ของเขาโดยไม่ต้องพูดอะไรออกมาอีก ชายหนุ่มก็รู้ว่าหญิงสาวได้เปลี่ยนใจจากการทานข้าวบ้าน เป็นออกไปหาอะไรทานข้างนอกแทน

ร่างสูงเพรียวรีบก้าวยาวๆตามติด เพื่อเปิดประตูให้กับร่างบางที่ยืนคอยอยู่ฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ ก่อนเขาจะเดินกลับมาประจำที่คนขับอีกครั้ง และเคลื่อนรถยนต์ไปยังจุดหมายตามคำบัญชาของหญิงสาวที่นั่งข้างกาย


อนาวินผ่อนลมหายใจยาว ก่อนหันมองคนข้างกายที่กำลังแสดงท่าทีอึดอัดกับปฏิกิริยาของเจ้าบ้าน ถึงแม้ว่าใจจริงไม่คิดจะอยู่ที่บ้านหลังนี้ แต่เธอก็แค่อยากผูกมิตรกับทุกคนที่เธอรู้จัก..ไม่อยากให้ใครๆเกลียดชังในตัวเธออีกเลย

“พี่ขอโทษแทนน้องสาวของพี่ด้วยนะ โม้นา” อนาวินบอกด้วยซุ่มเสียงอาทรพร้อมสบดวงตาคู่สวย โดยลืมไปชั่วขณะว่ายังเหลือญาติสาวยืนอยู่ด้วยอีกคน และพิมพ์ศิริข่มกลั้นอาการแปลบปลาบในใจ ต่อการแสดงออกของเขาที่มันบ่งบอกชัดเจนถึงความเป็นห่วงเป็นใยในความรู้สึกของบุคคลที่ขึ้นชื่อว่า เป็นคนของศัตรู

หญิงสาวสูดลมหายใจลึก ก่อนเปล่งเสียงออกไปทำลายสายใยภวังค์ที่สองหนุ่มสาวกำลังถักทอถึงกันจนขาดสะบั้น
“เฮียจะกินข้าวไหม”

อนาวินหันขวับ อย่างเพิ่งนึกได้ว่าพิมพ์ศิริยังยืนอยู่ตรงนี้ แล้วแสร้งยิ้มเก้อ
“เอ่อ..อืมม์..กินสิ” แล้วก็หันกลับไปทางราโมน่าอีกครั้ง “แล้วโม้น่าล่ะ หิวรึยัง”

“โม้นาเพิ่งทานไปเองค่ะ ยังรู้สึกอิ่มอยู่เลย”

ตอบเขาจบก็หันไปยิ้มให้กับพิมพ์ศิริที่เธอพอจะรู้จักแล้วตามงานเลี้ยงและสื่อต่างๆ แต่นั่นก็ไม่เคยได้ใกล้ชิดตัวตนเช่นครั้งนี้ ซึ่งพิมพ์ศิรินั้นจัดว่าเป็นผู้หญิงที่สวยคมมากทีเดียว แต่ติดตรงที่ว่า สายตาคมปลาบที่มองสบนั้นไม่ได้แสดงถึงความเกลียดชังก็จริง แต่เป็นสายตาของคนที่มีลักษณะเคร่งขรึมค่อนไปทางดุ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผู้หญิงคนนี้ ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้รู้สึกเกรงอกเกรงใจโดยอัตโนมัติ ซึ่งนั่นก็รวมถึงตัวเธอด้วยเช่นกัน

“สวัสดีค่ะ คุณพิมพ์ศิริ”

“เรารู้จักกันอยู่แล้ว ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอกค่ะ” ตอบรับไมตรีน้ำเสียงราบเรียบแล้วก็หันไปทางอนาวินอีกครั้ง “เดี๋ยวขวัญไปรอที่โต๊ะอาหารนะเฮีย”

“อือ เดี๋ยวเฮียตามไป”

ร่างเพรียวระหงหันเดินเข้าบ้านทันทีที่เขาตอบรับ..อนาวินจึงหันมาทางราโมน่าอีกครั้ง
“พี่ให้คนจัดห้องให้แล้วนะ..แล้วก็..พี่จะขอยึดโทรศัพท์ของโม้นาชั่วคราวก่อน”

“ทำไมต้องยึดด้วย โม้นาไม่บอกใครอยู่แล้ว”

“ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เชื่อใจโม้น่านะ เพียงแต่พี่แค่ต้องการความมั่นใจเท่านั้นเอง..ตกลงนะ ราโมน่า” เส้นเสียงปลายประโยคนั้นทุ้มต่ำ สายตาคมปลาบที่ทอดลงมามุ่งมั่นหนักแน่น อย่างไม่ต้องการฟังคำปฏิเสธจากเธอหรือแม้แต่ข้อโต้แย้งใดๆ หญิงสาวจึงจำใจล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายยื่นให้ แต่เขาไม่ได้รับในทันที

“โทรหาลุงของโม้นาซะ บอกเขาว่า โม้นามีงานที่ต่างจังหวัดประมาณสองอาทิตย์ แล้วก็พิมพ์บอกบรรดาแฟนคลับเหมือนอย่างที่บอกกับลุงของโม้นาด้วย”

ราโมน่ายอมทำตามที่เขาบอกโดยการกดโทรหาลุงชัชของเธอก่อน แต่ขณะที่รอสาย ปากก็พึมพำค่อนขอดคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไปด้วย
“โกหกนั้นตายตกนรก..”

อนาวินอมยิ้ม และยืนฟังเสียงหวานกังวานใสที่เริ่มเอื้อนเอ่ยถ้อยคำสนทนาตามที่เขากำกับกับบุคคลปลายสาย โดยไม่มีพิรุธใดๆ และหลังจากวางสายแล้ว ราโมน่าก็เข้าโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ด พิมพ์ข้อความลงบนหน้าเว็บเพจตามคำสั่งของเขาจนครบถ้วนกระบวนความ โทรศัพท์ในมือก็ถูกเขายึดไปในทันที

“ขอบใจ ที่ให้ความร่วมมือ..ตอนนี้โม้น่าก็ขึ้นไปพักผ่อนได้แล้วครับ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มก็บอกคนของพี่ได้เลย”

“ขอบคุณค่ะ”
ราโมน่าตอบเขาก่อนหันเดินตามคนรับใช้ที่ยืนรอเพื่อพาเธอขึ้นไปยังห้องพักที่จัดเตรียมไว้ให้ตามคำสั่งของเจ้านายหนุ่ม


..........................................

ความเงียบสงบของราตรีกาลโอบคลุมให้ทุกชีวิตหลับใหลในภวังค์..ทว่า ภายในห้องนอนกว้างท่ามกลางแสงสลัวของโคมไฟ ร่างของราโมน่าสวมเสื้อผ้าที่พร้อมจะออกไปข้างนอกยังคงนั่งขัดสมาธิ แม้จะง่วงเต็มทนแต่หญิงสาวพยายามฝืนสังขารเพื่อรอเวลาที่ต้องการ

จนกระทั่ง..เข็มนาฬิกาข้อมือบอกเวลาตีสาม เธอจึงลุกลงจากเตียงเมื่อคิดว่าช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ผู้คนจะหลับลึกมากที่สุด และเหมาะที่เธอจะแอบขับรถออกไปโดยง่าย โดยเธอได้คิดคำพูดเพื่อหลอกคนของอนาวินที่เฝ้าหน้าป้อมไว้แล้ว เพียงแต่ภาวนาว่า คนเหล่านั้นคงไม่กล้าโทรกลับมาถามอนาวินในเวลาเช่นนี้เท่านั้น..ไม่อย่างนั้น แผนการทั้งหมดเป็นอันจบเห่ !

หญิงสาวคว้าเพียงกระเป๋าสะพายใบเดียวเท่านั้นซึ่งมีกุญแจสำรองรถยนต์ของเธออยู่ข้างในเรียบร้อยแล้ว โดยคิดจะทิ้งสัมภาระที่ขนมาวันนี้ไว้เพื่อความสะดวกในการหลบหนี..ร่างอวบอิ่มแง้มเปิดบานประตูช้าๆเพื่อสอดส่ายสายตาผ่านแสงสลัวของไฟดวงเล็กตามระเบียงทางเดินจนแน่ใจว่าไม่มีใคร จึงก้าวออกจากห้องและปิดประตูอย่างเงียบกริบ ย่องลงตามขั้นบันไดไม้จนถึงชั้นล่าง และตรงไปปลดกลอนประตูบ้านก้าวผ่านออกไปอย่างแผ่วเบาพร้อมๆกับความลิงโลด เมื่อไม่พบลูกน้องของอนาวินเดินเพ่นพ่านเช่นตอนกลางวันเลยสักคน หญิงสาวเดินตรงไปยังรถโรงจอดรถอย่างย่ามใจ โดยไม่รู้เลยว่า ทุกอิริยาบถของเธอถูกจับตามองผ่านกล้องวงจรปิดตั้งแต่เธอก้าวลงบันไดมาถึงชั้นล่างแล้ว


เตชิตลืมตาตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังมาจากลูกน้องในบ้านที่รายงานว่า แขกคนสำคัญ กำลังหนี ชายหนุ่มจึงสั่งให้ปิดโรงรถ พร้อมกับสะบัดผ้าห่มออกจากร่างแกร่งกำยำที่สวมเพียงบ็อกเซอร์สีขาวลงจากเตียงเปิดตู้เสื้อผ้า คว้ากางเกงผ้าเนื้อเบาขายาวและเสื้อยืดมาสวมก่อนหันเดินออกจากห้องก้าวยาวๆไปหาบุคคลต้นเรื่องที่ทำความวุ่นวายให้เขาต้องลุกขึ้นมากลางดึก

ราโมน่ากำลังเดินถึงโรงจอดรถอยู่แล้ว พลันสะดุ้งตะลึงงัน เมื่อจู่ๆแผ่นเหล็กจากด้านบนค่อยๆเลื่อนลงปิดทุกทิศทางขวางกั้นไม่ให้เธอเข้าถึงเป้าหมาย

“บ้าจริง! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”

และขณะที่ยืนงง งุ่นง่าน เตชิตก็เดินมาถึงตัว
“คุณไม่ควรออกจากห้องตอนนี้นะ”

เสียงเข้มที่ดังมามาจากด้านหลังทำให้เธอสะดุ้งโหยงและหันกลับไป เพื่อที่จะเผชิญกับใบหน้าเคร่งขรึม เย็นเยือก แต่ประกายตาที่มองสบนั้นส่งสัญญาณเตือนภัยบางอย่างให้เธอทำตัวสงบเสงี่ยมให้มากที่สุด และราโมน่าก็แค่นยิ้มเจื่อนพร้อมคำแก้ตัว

“คือ..ฉัน..”

แต่ก็เอ่ยได้เพียงแค่นั้น อีกฝ่ายก็แทรกขึ้น “กลับขึ้นห้องของคุณเดี๋ยวนี้”

หญิงสาวนิ่วหน้ากับคำสั่งของเขา
“นี่..นายน่าจะมีมารยาทกับผู้หญิงบ้างนะ แล้วก็ช่วยฟังเหตุผลของฉันก่อนสิ ว่าทำไม...”

และก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่ราโมน่าไม่มีโอกาสได้พูดในสิ่งที่ตั้งใจจนจบประโยค แต่จำต้องส่งเสียงกรี๊ดแหลมอย่างตื่นตกใจแทน เมื่อจู่ๆร่างเขาก็ปราดเข้าประชิดพร้อมยอบตัวลงเพื่อรวบตัวของเธอแบกขึ้นบ่า หันเดินตัวปลิวเข้าบ้าน

“ว้าย! ทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ ปล่อย!”

หญิงสาวผวาเฮือกกับร่างของตนที่ลอยหวือขึ้นสูง ทั้งกำปั้นทั้งกระเป๋าระดมทุบระดมฟาดแผ่นหลังกว้างรัวแรง แต่ดูเหมือนมันไม่สามารถสะกิดผิวกายแกร่งให้สะดุ้งสะเทือนสักนิด และเธอเองก็ไม่กล้าดิ้นรนมากนักยามที่ร่างสูงก้าวยาวๆขึ้นบันไดให้เธอเสียววาบกับความสูงที่โคลงเคลงไปมา และไม่กี่อึดใจเขาก็พาเธอกลับเข้าห้อง ทว่า..มันไม่ใช่ห้องพักของเธอ แต่กลับเป็นห้องนอนของอนาวิน !

ซึ่งเจ้าของห้องที่นอนเปลือยเปล่าคว่ำหน้าใต้ผ้าห่มเพียงเพิ่งจะเงยหัวขึ้นมองตามเสียงเคาะประตูด้วยอาการงัวเงียได้ไม่กี่วินาที บานประตูก็เปิดผัวะให้เขาเบิกตาค้าง เมื่อในแสงสลัวของโคมไฟร่างอวบอิ่มของราโมน่าถูกโยนหงายผึ่งลงมาตรงหน้าด้วยมือคนสนิทของน้องสาว และในความงุนงงนั้น เตชิตยกมือขึ้นเสยเส้นผมยาวที่ตกลงปรกใบหน้าก่อนบอกน้ำเสียงราบเรียบ

“แขกของคุณกำลังจะหนี” จากนั้นก็หันเดินออกจากห้อง ทิ้งภาระให้เจ้าของห้องที่มองตามตาปริบๆสะสางเรื่องราวเอาเอง..ส่วนตัวเขาจะกลับไปนอนต่อ

อนาวินหันสายตาจากบานประตูที่เตชิตปิดตามหลัง บัดนี้..ความงุนงงกระจายหายไปหมดแล้ว ประกายตาที่หันกลับมามองสบอีกคนที่กำลังนั่งยิ้มแหยส่งให้ จึงเครียดเขม็ง

“คิดจะหนีเรอะไง”

“เปล่าเสียหน่อย..โม้นาก็แค่..อยากออกไปขับรถเล่นเท่านั้นเอง”

ราโมน่าตอบไปอย่างนั้น เพราะถึงพูดอะไรออกไป เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี..และรู้สึกเซ็งตัวเองขึ้นมาจับจิตจับใจ ที่ซื่อบื้อ ถูกจับตัวได้ง่ายดายเช่นนี้ จากนั้น อารมณ์หงุดหงิดตัวเองเป็นอันชะงักค้าง เมื่อร่างที่นอนคว่ำโดยใช้ศอกยันค้ำตัวเองไว้กับที่นอนถอนใจเฮือกพลางขยับตัวลุกขึ้นนั่งให้สายตาของเธอปะทะแผงอกกว้างเปล่าเปลือยเผยให้เห็นถึงผิวสีแทนแกร่งกำยำ รับกับกล้ามเนื้อของช่วงท้องเรียงเป็นลอนสวย ชายผ้าห่มตกร่นลงมากองอยู่ที่เอวปิดเพียงช่วงสะโพกปล่อยช่วงขาเพรียวยาวพ้นชายผ้าออกมา ให้เธอตระหนักถึงสภาพหมิ่นเหม่ของเขาในขณะนี้ และใบหน้าคมคายภายใต้กรอบผมดำยุ่งเหยิงกำลังจ้องมองด้วยประกายตาคมปลาบที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาว หัวใจกระโจนโครมครามแทบกระเด็นออกนอกอก ทั้งๆที่ตัวเธอเองก็เคยชินกับสภาพนี้ของบรรดานายแบบหรือตัวละครชายที่เคยร่วมงานกัน แต่กลับไม่เคยรู้สึกอะไรเลย..ซึ่งต่างจากตัวเขา ที่ไม่ว่าจะอยู่ในท่วงท่าอิริยาบถไหนหรือเพียงแค่ชายสายตามามองสบ ก็สามารถเขย่าความรู้สึกของเธอให้หวั่นไหวจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว แล้วยังมาเจอสภาพเช่นนี้ของเขา จิตใจที่แสนอ่อนยวบยาบมันก็ยิ่งเตลิดเปิดเปิงจนทำอะไรไม่ถูกเอาเสียเลย

“พี่เพิ่งได้นอนเองนะราโมน่า แล้วพี่ก็หงุดหงิดง่ายด้วย..เพราะฉะนั้นอย่ามายั่วโมโหพี่”

อนาวินเอ่ยเตือนเสียงเย็นเยือก ราโมน่ารีบพาตัวเองลงจากเตียงไปยืนอึกอัก ยอมรับแต่โดยดี
“ก็..โม้นาไม่อยากอยู่ที่นี่นี่คะ..โม้นาก็แค่อยากกลับไปใช้ชีวิตปรกติสุขของตัวเองก็เท่านั้น”

“แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันไม่ได้ปรกติสุข..พี่นึกว่า เราคุยเรื่องนี้กันเข้าใจแล้วเสียอีก”

แม้ว่าคนฟังจะยังนิ่งเงียบ ไม่โต้เถียงคำใดออกมา แต่สีหน้านั้นยังแสดงถึงความดื้อดึง..อนาวินจ้องมองแล้วก็ส่ายหน้าน้อยๆ

“หันไป”

ราโมน่าตวัดสายตามองเขางุนงง ชายหนุ่มจึงขยายความ
“พี่จะลุกขึ้นไปแต่งตัว..หรือโม้นาอยากจะดู”

น้ำเสียงที่เอ่ยถามยั่วเย้า แต่คนฟังหน้าแดงเร่อรีบหันขวับ ปากงึมงำอย่างขัดใจ “ใครเขาอยากจะดู”

ชายหนุ่มหัวเราะขลุกขลักและลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกางเกงผ้าฝ้ายขายาวสีดำเนื้อบางเบาเข้าชุดกับเสื้อแขนยาวมาสวมก่อนเดินไปเปิดไฟกลางห้อง ราโมน่าจึงหันกลับมาและเห็นเขานั่งบนเก้าอี้บุนวมที่ตั้งข้างประตูแล้ว และเริ่มพูดอย่างจริงจัง

“เรื่องบาดหมางของสองตระกูลที่มีมาหลายปี พี่ไม่อยากให้มันขยายวงกว้างไปมากกว่านี้ พี่ถึงพยายามทำใจเย็นมากที่สุด ที่ไม่ปักใจเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อของพี่เป็นฝีมือลุงของโม้นา และตอนนี้ โม้นากำลังเสี่ยงให้ตัวเองเป็นตัวจุดชนวนให้สองฝ่ายปะทะกัน ซึ่งพี่จะไม่มีวันให้เกิดขึ้นเด็ดขาด..และถ้าขืนโม้นายังดื้อแพ่งแบบนี้ รับรองว่าพี่จะสั่งขังจริงๆด้วย”

ราโมน่าเดินไปนั่งบนปลายเตียง ใบหน้ายังคงบูดบึ้ง..ไม่อยากจะยอมรับความจริงเลย ว่าเธอต้องอยู่ที่นี่และต้องใกล้ชิดกับตัวอันตรายเช่นเขาไปอีกหลายวัน

อนาวินมองอีกฝ่ายที่ยังนั่งครุ่นคิดไม่กี่อึดใจก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างกาย
“พี่รู้ว่าโม้นาต้องลำบากใจที่ต้องมาอยู่ในบ้านของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรูกันอย่างนี้..แต่พี่ก็อยากจะขอร้องให้อดทนสักหน่อย มันคงไม่นานนักหรอกที่พี่จะมั่นใจว่า โม้นาจะปลอดภัยและไม่ถูกคนอื่นนำมาใช้เป็นเครื่องมือแบบนี้อีก..หวังว่าโม้นาจะเข้าใจและให้ความร่วมมือกับพี่นะ”

หญิงสาวชำเลืองสายตามองคนพูด ซึ่งเขากำลังจับจ้องรอคำตอบรับจากเธออย่างจริงจัง และสายตาที่ทอดมองสบเต็มไปด้วยความห่วงใยเช่นเดียวกับน้ำเสียงนุ่มนวลที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่ ให้เธอรู้สึกว่าทุกการกระทำและทุกคำพูดของเขานั้นออกมาจากใจจริง ไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด

“สำหรับโม้นา..พี่จิลไม่ใช่ศัตรูนะคะ..”

เรียวคิ้วเข้มที่พาดยาวเหนือดวงตาวาวคมกริบเลิกขึ้นเล็กน้อยมองสบดวงตากลมคู่สวยเพียงครู่ ริมฝีปากเรียบตึงได้รูปหยัดยิ้มละไม
“พี่ก็ไม่เคยคิดว่าโม้นาเป็นศัตรูเหมือนกัน..เพราะฉะนั้นแล้วพี่จะขอร้องในฐานะรุ่นพี่ ให้โม้นาช่วยยอมรับฟังแล้วก็ทำตามคำขอของพี่จะได้ไหมครับ”

ราโมน่ากล้ำกลืนอาการหนักอกหนักใจของตนพร้อมระบายลมหายใจยาว..ก็แววตาของเขานั้นทั้งเว้าวอนและออดอ้อนเสียขนาดนี้ แล้วใครจะปฏิเสธได้ลงคอ..
“หวังว่าเรื่องนี้คงคลี่คลายในเร็วๆนี้นะคะ..โม้นาไม่อยากให้คุณลุงชัชรู้เรื่องนี้”

อนาวินแย้มยิ้มเบิกบาน ดูเหมือนว่าเธอจะยอมรับในคำขอของเขาแล้ว
“พี่ก็คิดว่าคงไม่นานหรอกครับ”

“ถ้าอย่างนั้น..โม้นากลับห้องล่ะ” เธอบอกพร้อมลุกขึ้นยืน

อนาวินลุกขึ้นยืนตาม “โม้นานอนห้องนี้ล่ะ”

หญิงสาวเขม็งมองและอ้า:-)ยเอ่ยแย้ง แต่เขาขยับเข้าใกล้จนเงาของร่างสูงทาบทับพาให้รู้สึกถึงการถูกคุกคาม ดวงตาคู่คมพร่างพราวระยิบระยับ ริมฝีปากได้รูปหยัดยิ้มมุมปากชิงพูด เพื่อปิดทุกประตูไม่ให้เธอได้ปฏิเสธ

“พี่ไม่อยากเห็นใครต้องอุ้มโม้นากลับมาอีก..บอกตรงๆ ว่าพี่หวง”

พูดจบก็ถอยห่างหันไปคว้าหมอนหนุนและเดินกลับมาเฉียดร่างของเธอไปล้มตัวนอนบนเก้าอี้ยาวปลายเตียง ยกขาข้างหนึ่งขึ้นชันเข่า แขนข้างหนึ่งยกขึ้นซุกเข้าใต้หมอนหนุน และหลับตาลงพร้อมพูดกับเธออีกครั้ง

“ช่วยปิดไฟด้วยนะ..กู๊ดไนท์ครับ”

ราโมน่ายืนงันไม่กี่อึดใจก็หันไปทำตามที่เขาขอ และเดินกลับมานั่งบนขอบเตียงกว้างท่ามกลางความเงียบงัน มีเพียงเสียงครางเบาๆของเครื่องปรับอากาศผสานกับเสียงหัวใจที่เต้นตึกตักโครมครามของเธอกับคำพูดเล่นหยอกเย้า ประดุจว่าตัวเธอมีความสำคัญสำหรับเขา

‘พี่หวง’

แม้จะเข้าใจดีว่ามันเป็นเพียงคำพูดลอยๆ แต่ถ้อยคำนี้ ก็ยังสามารถสร้างความหวั่นไหวให้เธอได้มากมายมหาศาล และมันคงจะดังกังวานอยู่ในความรู้สึกซ้ำไป ซ้ำมา จนกว่าเธอจะสามารถข่มตาให้หลับลงไปในค่ำคืนนี้


ต่อค่ะ

จากคุณ : ระรินใจ
เขียนเมื่อ : 15 มี.ค. 55 13:11:51




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com