เกือบดึกที่บรรยากาศของงานเริ่มซาผู้คนต่างเริ่มทยอยกลับ บางคนต่างก็เดินมาร่ำลาเจ้าของงานด้วยรอยยิ้มไม่เว้นแม้กระทั่งรายหนึ่งที่เดินมาลากำนันเพิ่มศักดิ์แต่สายตานั้นจับจ้องตรงไปหากลิ่นแก้วที่ยืนอยู่ใกล้ๆ บิดาและรักษ์ไทเองก็ยืนไม่ห่างตรงนั้นด้วย
“แหม สองคนนี่เหมาะกันอย่างกับกิ่งทองใบหยกเลยนะ”
คำชมที่มาพร้อมรอยยิ้มและแววตาที่ทอดมองกลิ่นแก้วและรักษ์ไท ทำเอาคนทั้งคู่มีอาการเหรอหราขึ้นมา ทันใด
“เห็นสองหนุ่มสาวยืนข้างๆ กันในงานฉลองแบบนี้ แล้วทำให้ฉันนึกถึงอะไร พ่อกำนันรู้มั้ย”
“นึกถึงอะไร แม่จันทร์?” กำนันเพิ่มศักดิ์ถามกลับแขกที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า
“ก็นึกว่านี่เป็นงานแต่งงานน่ะสิ..”
สิ้นเสียงคำพูดของแม่จันทร์แม่ค้ารายใหญ่ที่เช่าแฝงในตลาดของแก ทำเอากำนันเพิ่มศักดิ์หัวเราะร่า แต่ทว่าสองหนุ่มสาวที่ถูกแซวกลับมีสีหน้ากระอั่กกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมาทีเดียว
“อย่าโกรธเลยป้านะ ป้าแค่แซวเล่นๆ อยากเห็นหน้าเข้มๆ พ่อรักษ์อายบ้างน่ะ”
อ้าวอยากเห็นรักษ์ไทอาย แล้วลากเธอเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยทำไม! กลิ่นแก้วครุ่นคิดขึ้นมาอย่างฉุนเฉียวภายใต้ใบหน้าฉีกยิ้มที่ทำเสมือนว่ายิ้มให้เป็นเรื่องขบขันดั่งที่สีหน้าป้าจันทร์และบิดาของเธอกำลังหัวเราะร่วนอยู่ตรงหน้านี่ กลิ่นแก้วค่อยๆ เบือนไปทางชายหนุ่มอีกคน แล้วแยกเขี้ยวใส่เขาเสียเลย ! พอแขกเริ่มทยอยกลับกันแล้ว รักษ์ไทจึงหันมาลากำนันเพิ่มศักดิ์บ้าง “งั้นผมลากลับก่อนล่ะครับลุงกำนัน”
“เอ่อ ขับรถขับระวังตัวนะ ทางเข้าไร่ยิ่งเปลี่ยวๆ อยู่”
กำนันเพิ่มศักดิ์รับไหว้พร้อมกำซับรักษ์ไท”ด้วยความเป็นห่วงและเอ็นดู รักษ์ไทเองก็รับคำอวยพรนั้นด้วยรอยยิ้ม และยามสายตาเหลือบเห็นหญิงสาวยืนเชิดหน้าบึ้งๆ อยู่ข้างผู้เป็นพ่อ รักษ์ไทก็ไม่เข้าใจเช่นกันที่อยากจะแกล้งให้เธอฉุนก่อนกลับเป็นของแถม เมื่อจังหวะที่มีกำนันเพิ่มศักดิ์ต้องเบือนหน้าไปอีกทางเพื่อคุยกับแขกอีกคนที่เดินมาร่ำลาแก
รักษ์ไทจึงยื่นหน้าเข้าไปบอกกับหญิงสาวเบาๆ ทันที “คืนนี้ ถ้าอารมณ์ดีกว่านี้อย่าลืมฝันถึงผมบ้างนะครับ”
“หน้าด้าน!” พอเธอได้ยินดังนั้น เธอก็หันมาถลึงตาดุกัดฟันต่อว่าเขากลับทันที “ขนาดฉันว่าอะไรคุณตั้งมากมาย คุณก็ยัง…!”
ดูท่าทางกลิ่นแก้วในเวลานี้ เธอคงโกรธจัดจนไม่สามารถสรรหาคำพูดใดๆ มาต่อว่าเขาออกไปแน่ๆ และนั่นแหละที่ทำให้รักษ์ไทรู้สึกพอใจ หนุ่มเจ้าของไร่ผักปลอดสารพิษเพียงอมยิ้ม ไม่รู้สึกรู้สากับคำต่อว่าของกลิ่นแก้ว
จากนั้นก็เดินเลี่ยงไปดึงตัวนุชิตที่อยู่ในอาการกรึ่มๆ เมาๆ ที่นั่งฉลองกับจุกและพวกเพื่อนอีกโต๊ะให้กลับพร้อมกัน โดยมีสายตาแห่งความไม่พอใจของกลิ่นแก้วมองตามตลอด
ยามเช้า ณ ไร่เพียงดินของรักษ์ไท ชายหนุ่มเจ้าของไร่กำลังกางหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่กำลังตีข่าวความขัดแย้งทางการเมืองที่ดุเดือด หนังสือพิมพ์ได้โหมความขัดแย้งที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางยุติลงได้ง่ายดายเลย
ชายหนุ่มอ่านไปเพียงนิดแล้วก็ให้รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับข่าวทางการเมืองจึงตัดสินใจพับหนังสือพิมพ์ลง แต่แล้วสายตาของตนก็เห็นกรอบเล็กๆ ที่รายงานข่าวคนดังในสังคมขึ้นมา
เนื่องจากเพียงเห็นคร่าวเขาก็รู้สึกได้ว่า ข่าวนี้มีแรงดึงดูดอะไรสักอย่างที่ให้เขาต้องอ่านมันอย่างไตร่ตรองอีกรอบ
“ข่าวแซ่บ ข่าวซ่าวันนี้ มีเรื่องจะเมาธ์ วันก่อนเจ๊ไปจิบกาแฟ ณ โรงแรมหรูแห่งหนึ่งกับเพื่อนไฮโซของเจ๊ แล้วดั๊นไปเจอ ‘คุณ ดร. …’ คนที่เคยเป็นถึงเลขาฯ ของท่านนายกรัฐมนตรี ออกมาจากลิฟท์ของห้องพักในโรงแรมชื่อดังกับชายหนุ่มตาหวานรูปหล่อลูกครึ่งไทยอังกฤษ อุ๊บส์ งานนี้ไม่รู้ว่า ‘คุณหญิงแม่’ ท่านจะว่าอย่างไร ได้ข่าวจากวงในมาว่า ท่านทั้งห่วง และหวงลูกชายของตนเองชนิดที่ชะนีหน้าไหนอย่าได้กล้ำกลาย แต่คุณหญิงแม่ขา หวงไป คอยไล่ชะนีไปก็เท่านั้น เพราะคุณหญิงแม่ไม่ได้ ระแวดระวังสัตว์อีกประเภทคือ ‘เก้ง’ อุ๊ยๆๆ … พอดีกว่า เจ๊เล่าไปทิ้งท้ายแค่ให้มันแซ่บ ให้ซ่าแค่นี้พอแล้วค๊า เดี๋ยวคุณหญิงแม่จะซ้ำใจไปกว่านี้!! ”
รักษ์ไทมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา เนื้อหาของข่าวชวนให้คิดถึงคนที่เป็นข่าวในตอนนี้ ซึ่งอย่างไรเสียมันก็ตรงกับพี่ชายต่างมารดาของตน ชายหนุ่มครุ่นคิด ขนาดเขายังรู้สึกเครียดถึงขนาดนี้ แล้วทางมารดาแต่ในนามผู้เหย่อยิ่งในเกียรติยศของวงตระกูลของเขาเล่า …จะเป็นไปได้ถึงขนาดไหน
.
“ตาใหญ่! เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นมาแต่เช้าตรู่ทำให้ ดร.นิธิดล ที่กำลังแต่งตัวเตรียมพร้อมสำหรับการออกไปทำงาน ต้องเหลียวไปทางประตูที่ที่เป็นที่มาของเสียง แล้วย่นคิ้วเข้มทั้งคู่มอง
มารดาของตนมาเคาะประตูห้องเรียกแต่เช้าทำไม ผิดวิสัยนัก ปรกติถ้ามีอะไรท่านมักจะให้คนมาตามตนไปพบท่านเสียเองมากกว่า
ไม่ปล่อยให้ความสงสัยอยู่นาน ดร. หนุ่มผู้มีอนาคตไกล จึงเยื้องเท้าแล้วเดินไปเปิดประตู พบผู้เป็นมารดา ที่กำลังมีสีหน้าร้อนรนจนจับได้อยู่ตรงหน้า
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณแม่” เสียงผู้เป็นลูกชายเอ่ยเรียบๆ เพ่งมองสีหน้าผู้เป็นมารดา บอกได้คำเดียวว่า ผิดปรกติ แล้วมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันเล่า ที่ทำให้มารดาของตนต้องออกอาการราวกับโมโห ฉุนเฉียวใครมา
“ดูนี่! ตาใหญ่ ดูซะ!” คุณหญิงเก็จมณีไม่ตอบบุตรชายคนโต แค่ยื่นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมาให้ ด้วยแรงอารมณ์ ดร.นิธิดลเองนั้นรับหนังสือพิมพ์ที่มารดายื่นให้มาดู ก็นึกแปลกใจอีกว่า หนังสือพิมพ์หัวสีเจ้านี้มารดาของตนไม่นิยมอ่านแล้วท่านไปหาเอาจากที่ไหนมา
“แปลกใจล่ะสิ แม่ให้เด็กที่บ้านมันไปซื้อมาให้โดยเฉพาะเลย”
ดร. นิธิดลเหลียวกลับมามองมารดาของตนที่กำลังปิดประตูห้อง แล้วเดินตามเขามาติดๆ กัน “เพราะเพื่อนของแม่บอกว่ามีข่าวของลูกอยู่ในนี้ ต้องไปหามาอ่านให้ได้ จะได้รู้ว่ามันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับลูกของแม่”
“จะแปลกใจทำไมครับ ผมก็มีข่าวลงหนังสือพิมพ์ออกบ่อย”
ดร.นิธิดล เอ่ยขึ้นจะหัวเราะก็ไม่หัวเราะ แน่นอนอยู่แล้วว่าสำหรับเขามักจะมีข่าวลงหนังสือพิมพ์บ่อยๆ ยิ่งอยู่ในฐานะของเลขาฯ ท่านนายกรัฐมนตรี การมีข่าวลงตามสื่อต่างๆ จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ปรกติมากกว่า
“เหรอ งั้นลูกก็ช่วยดูหน้าที่แม่เปิดเอาไว้ แล้วกวาดสายตาอ่านให้ถ้วนถี่ละ จะได้เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงได้ไม่พอใจอยู่อย่างนี้”
ผู้เป็นชายทำตามคำสั่งของแม่ กวาดสายตาหาต้นตอของข่าวที่ได้ทำให้มารดาของตนท่านโมโหโกรธาอยู่อย่างนี้ และเพียงได้เจอต้นตอของข่าวที่ว่า สีหน้าที่ดูปรกติของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึมและดูเครียดขึ้นตามลำดับอีกด้วย
“บอกแม่ มาซิ ว่าคนในข่าว คือลูกใช่มั้ย”
ดร.นิธิดลเงียบลง ก่อนจะหันไปตอบมารดาด้วยสีหน้าขรึมๆ “ไม่หรอกครับแม่” “แต่แม่และคนอื่นๆ ต่างก็คิดว่าเป็นลูก”
“โธ่ แม่ครับเชื่ออะไรกับข่าวในหนังสือพิมพ์เจ้านี้ เขาเขียนข่าวเชียร์ฝ่ายไหนอยู่คุณแม่ก็ทราบ แบบนี้ก็ทำไปเพื่อดิสเครดิตผมก็เท่านั้น” ดร.นิธิดลอธิบาย
“แน่ใจนะ?”
“ครับ”
คุณหญิงเก็จมณีคล้ายจะวางใจได้ แต่ก็ไม่ทั้งหมดคราวนี้ตนลองหันมาถามลูกชายคนโตใหม่อย่างตรงไปตรงมา
“แม่หมายถึงว่า ลูกแน่ใจ ว่าตัวเองไม่ได้มีรสนิยมอย่างนั้นจริงๆ “
หญิงเก็จมณีถามแล้วก็จับจ้องลูกชายอย่างคาดคั้น คล้ายกับจะเห็นความถมิงทึงในแววตาของลูกคนโต แต่มันก็เป็นเพียงชั่วครู่ แววตาเช่นนั้นค่อยๆ จางหายไป
ดร. นิธิดลยื่นหนังสือพิมพ์ฉบับนี้คืนให้มารดาช้า ๆ แล้วตอบว่า
“ครับ ผมไม่ได้มีรสนิยมอย่างนั้น”
คุณหญิงเก็จมณีค่อยโล่งอกขึ้น ก่อนจะออกจากห้องนอนบุตรชายคนโตไป ก็ไม่วายสำทับคนเป็นลูกเสียงเข้ม เด็ดขาด
“ก็ดี อย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นมาในวงษ์ตระกูลเราอีก แค่เรื่องไอ้รักษ์ที่คุณพ่อของลูกก่อขึ้นมา ก็เป็นจุดด้างพร้อยให้กับตระกูลเราไม่จบไม่สิ้น อยู่แล้ว”
แล้วคุณหญิงก็เดินกลับออกจากห้องช้าๆ พลางปิดตูเสียงดัง ทิ้งให้คนเป็นลูกนั้นมีแววตาหมองหม่น ความรู้สึกในใจนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะมันกำลังอัดอั้นสุดจะบรรยาย ...
.
“แม่โมโหอะไรมาเหรอครับ?”
นิธิภูมิเอ่ยขึ้น ยามที่เห็นมารดาของตนได้เดินลงจากชั้นบนลงมาอย่างหงุดหงิด ในมือของท่านข้างหนึ่งได้กำหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเองไว้แน่นเสียด้วย
“ก็ข่าวบ้าๆ นี่น่ะสิ!” คุณหญิงว่าพลางตบหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นลงบนโต๊ะอาหาร ตรงหน้าของลูกชายอีกคนของตนพอดี
ลูกชายคนเล็กจึงได้หยิบมาดูต่ออย่างสนอกสนใจทีเดียว “ข่าวไหนล่ะครับแม่?”
“ก็ข่าวตรงกรอบเล็กๆ นั่นไง ดูดีๆ สิตาเล็ก”
ลูกชายคนเล็กกวาดสายตามอง ตามคำบอกกล่าวของมารดาพ่อเห็นแล้วจึงอ่าน แล้วสักครู่ก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“อย่าบอกนะครับว่าแม่เชื่อข่าวนี้ ว่าเป็นพี่ใหญ่”
“ก็ข่าวเค้าระบุออกมาชัดเจนตั้งขนาดนี้ ขนาดเพื่อนแม่อ่านยังรู้เลยว่าเป็นตาใหญ่”
“เหลวไหลนะครับแม่ คนเขียนข่าว มันอยากเขียนยังไงมันก็เขียน ขอแค่ได้ขายข่าว อีกอย่างผมไม่เชื่อหรอก ว่าพี่ใหญ่จะเป็นอย่างที่ข่าวว่า”
“แม่ก็ไม่เชื่อ” คุณหญิงสำทับ แววตาขุ่น
ลูกชายคนเล็กเห็นแววตาทั้งคู่ของมารดา นึกอยากจะลองหยอกท่านขึ้นมา จึงค่อยๆ ลองถามต่อ “แล้วถ้าพี่ใหญ่เป็นอย่างข่าวที่ลงจริงๆ ล่ะ”
“ไม่ได้! อย่ามาเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามอะไรขึ้นมาในวงษ์ตระกูลนี้อีก ตาใหญ่จะต้องไม่เป็นอย่างนั้น หน้าที่การงานของพี่ชายลูกกำลังไปได้ดี อนาคตอาจจะเป็นได้มากกว่า เลขาฯ ท่านนายกด้วยซ้ำ”
ลูกชายคนเล็ก เปิดดูหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไปเรื่อยๆ อย่างไม่อินังขังขอบกับคำว่ากล่าวของมารดา แต่แล้วต้องแอบส่ายหน้าเล็กๆ เมื่อผู้เป็นมารดาได้วกกลับมาว่าเขาอีกจนได้
“แกก็เหมือนกันนั่นแหละตาเล็ก อย่าทำเรื่องไม่งามอะไรอีกเชียว เรื่องผู้หญิงก็เพราๆ หน่อย แม่ขี้เกียจตอบคำถามเพื่อนแม่คนอื่นๆ จะแย่อยู่แล้ว”
“นี่มันไร่อีลูกคนใช้ ใช่มัยครับแม่” นิธิภูมิเอ่ยขึ้น พลางขยับหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งไปให้มารดาดู เป็นคอลัมน์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงเกษตรชีวภาพ
“ไหน?” คุณหญิงเก็จมณีทอดสายตามองไปยังตรงนิ้วชี้ของผู้เป็นลูก ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงยืนยัน “ใช่แล้ว”
“หึๆ คราวนี้ไร่ของมันได้ลงหนังสือพิมพ์อีกด้วย อารมณ์เสียแต่เช้า”
นิธิภูมิว่าแล้วก็พับหนังสือพิมพ์นั้นลงอย่างหัวเสีย “ ผมจะไปเยี่ยมมันบ้าง เอาของไปฝากมันดีกว่า”
คำพูดของลูกชายทำให้คุณหญิงเก็จมณีที่กำลังหยิบกาแฟที่เด็กในบ้านเพิ่งนำมาเสิร์ฟ ชะงัก เบนสายตาจับใบหน้าของลูกคนเล็ก ไม่วายตักเตือนด้วยความเป็นกังวล
“แกอย่าไปทำอะไรให้มันแผลงมาก เดี๋ยวจะมีเรื่องมีราวใหญ่โตกันอีก”
“ครับแม่ ผมแค่จะเอาของฝากจากใจไปให้มันแทนความห่วงใยและความคิดถึง ก็เท่านั้นเอง” นิธิภูมิเอ่ย แล้วหยิบกาแฟถ้วยตรงหน้ามาดื่มตาบ้าง แววตาคู่ นั้นกำลังฉายแววกำลังฉายแววสนุกและสาแก่ใจสลับกันอยู่ จนผู้เป็นมารดาต้องส่ายหน้าให้อย่างอ่อนอกอ่อนใจ
(มีต่อ)
จากคุณ |
:
พิณพลอย
|
เขียนเมื่อ |
:
15 มี.ค. 55 15:11:12
|
|
|
|