Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
'สวิง' รัก ... 'พัตต์' หัวใจ (บทที่ ๑) ติดต่อทีมงาน

ขอเกริ่นสักนิด

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ ชยพล ชายหนุ่มผู้ซึ่งโดนบิดาปรามาสว่าชาตินี้ไม่มีวันทำอะไรสำเร็จ เขาจึงตั้งใจจะเป็น 'โปรกอล์ฟ' เพื่อลบคำสบประมาทให้ได้ และการจะเป็น 'โปรกอล์ฟ' ให้สำเร็จโดยเร็วก็ต้องอาศัย ชาลิดา 'แคดดี้มือหนึ่ง' เป็นสำคัญ

ความสำเร็จคงอยู่ไม่ไกล... ถ้าทั้งคู่ไม่ตีกันตายเสียก่อน

นิยายเรื่องนี้จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับการเล่นกอล์ฟครบทั้งบรรยากาศและเทคนิค หวังว่าผู้อ่านจะได้รับความบันเทิง และความรู้ในกีฬาชนิดนี้บ้างตามสมควร

ปกติผมจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับธรรมะและประวัติศาสตร์ ซึ่งถือว่าค่อนข้างจริงจังพอสมควร เรื่องนี้จึงเป็นอีกหนึ่งอารมณ์ที่พยายามจะกุ๊กกิ๊กกับเขาบ้าง หากไม่หวานหรือกุ๊กกิ๊กเท่าไหร่ ก็ให้ถือว่าเป็นเพราะวัยที่ล่วงเลยวันหวานมานานเกินไปแล้วกันนะครับ ^_^

นิยายเรื่องนี้เขียนเกือบจบแล้ว (เหลือประมาณสองบทสุดท้าย) ตั้งใจจะลงเดือนละสองครั้งครับ คือ วันที่ ๑ กับ ๑๖

คาดว่ากว่าจะลงครบก็คงเขียนจบพอดี ดังนั้นเป็นอันรับประกันว่า ต้องลงให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันจนจบอย่างแน่นอน


.........


บทที่ ๑


ชยพล โกมลทิพย์ ทายาทเพียงคนเดียวของนักธุรกิจสนามกอล์ฟ ทั้งหัวเสียทั้งผิดหวังกับการตัดสินใจของตน  

เพื่อนที่คบหากันมานานนำแผนธุรกิจมาปรึกษา และขอให้ช่วยค้ำประกันเงินกู้ อันที่จริงเขาไม่ได้ตั้งใจฟังอะไรนัก แต่เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ อยากช่วยให้เพื่อนได้มีกิจการเป็นของตัวเอง จึงไม่ปฏิเสธ

เขาช่วยด้วยความปรารถนาดี แต่เพื่อนกลับตอบแทนด้วยการทำตัวห่างเหินก่อนจะหายเขากลีบเมฆ และล่าสุดหนีออกนอกประเทศไปแล้ว

หนังสือทวงหนี้จากสถาบันการเงินส่งตรงถึงบ้านหลายฉบับ เขาพยายามหาทางประนีประนอมอย่างเต็มที่ แต่ดูจะไร้ผล สุดท้ายถูกยื่นคำขาดว่าจะฟ้องศาล เขาคงยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเท่ากับว่าต้องล่วงรู้ถึงหูของผู้เป็นบิดา

ตอนเซ็นสัญญาค้ำประกัน เขาขอให้ผู้จัดการของสถาบันการเงินเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะไม่อยากให้บิดามาซักไซ้ แต่เมื่อทุกอย่างบานปลายเกินจะควบคุม เลยเป็นเขาเสียเองที่ต้องบากหน้าเข้ามาสารภาพความจริง และขณะนี้กำลังถูกพิพากษาอยู่บนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์ในห้องรับแขกของบ้าน

“นี่แกยังไม่ยอมรับอีก!?” ชาญชัย โกมลทิพย์ ผู้เป็นบิดาขมวดคิ้วตวาดลั่น อันที่จริงเขาอยากสะบัดหลังมือฟาดปากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสักฉาด ทว่าติดตรงภรรยา ที่แม้จะยืนตัวสั่นงันงก แต่กลับกอดแขนของเขาไว้แน่น

“ก็ผมทำอะไรผิดล่ะ!” ชยพลสะบัดเสียงถามด้วยอารมณ์ที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน

“ไอ้เงินที่ต้องเสียเพราะความอ่อนต่อโลกของแก ยังไม่เรียกเป็นความผิดอีกรึ” พูดจบผู้เป็นบิดาส่ายหน้า เหยียดริมฝีปาก “แกใช้ชีวิตลอยไปลอยมา ฉันไม่เคยว่า แต่นี่เลอะเทอะขนาดให้เพื่อนโกงไปเป็นสิบล้าน จะไม่ให้ด่าอะไรบ้างเลย?”

ชาญชัยย้อนถามเสียงสูง ฝ่ายลูกชายนั่งนิ่ง สีหน้าเคร่งเครียด

“แกมันถูกเอาใจจนเสียคน หลงใหลอยู่กับคำชมจอมปลอม เคยถามตัวเองบ้างหรือเปล่า ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกับเขาบ้าง มีอะไรควรค่ากับคำเยินยอเหล่านั้น”

“อย่าว่าแรงนักสิพ่อ เดี๋ยวลูกจะเสียใจ” ผู้เป็นภรรยาแทรกขึ้นไม่เต็มเสียง แววตาวิตกกึ่งวิงวอน

“ไม่ได้หรอกแม่” ชาญชัยบอกภรรยา แต่สายตาจ้องหน้าลูกชายเขม็ง “ต้องด่าให้รู้สำนึกเสียบ้าง เดี๋ยวมันจะหลงมัวเมาจนโงหัวไม่ขึ้น”

ชยพลปรายตามองบิดาแวบหนึ่ง แล้วเสมองไปทางโทรทัศน์ขนาด ๔๓ นิ้วบนชั้นวางแนบผนัง ภาพในจอโทรทัศน์เป็นรายการเกมโชว์ตลกขบขัน ไม่เข้ากับบรรยากาศตอนนี้เลยสักนิด เขาระบายความอัดอั้นด้วยการกดปิดรีโมทแรงๆ

“ไอ้พล ฉันหมายหัวไว้เลย ชาตินี้แกไม่มีวันทำอะไรสำเร็จ”

เมื่อชาญชัยเอ่ยจบ ผู้เป็นภรรยาผละจากเขาทันที

“ทำไมพ่อพูดอย่างนี้ล่ะ แม่โกรธแล้วนะ” เธอไม่พูดเปล่า ยังตั้งท่าพร้อมจะมีเรื่องอีกด้วย แม้ร่างผอมบางจะสูงเลยไหล่คู่ชีวิตเพียงน้อยนิด แต่ไม่มีท่าทีกลัวเกรงแม้แต่น้อย

ชาญชัยลอบยิ้มทั้งที่ยังทำท่าทีขึงขัง  “ตกลงนี่พ่อว่าอะไรกล่องดวงใจของแม่ไม่ได้เลยใช่ไหม”

“พ่ออย่ามาประชดแม่นะ” ว่าพลางเชิดหน้า จ้องสามีเขม็ง

แม้เธอจะปั้นท่าให้ดูดุดัน แต่ด้วยความที่ปกติเป็นคนนุ่มนวลอ่อนโยน ท่าทางที่ปรากฏออกมาจึงออกไปทางน่าขันมากกว่าน่ากลัว ขนาดชยพลที่กำลังหัวเสียจากการโดนสบประมาทยังอดอมยิ้มไม่ได้

ตั้งแต่รู้ความ ชยพลเคยเห็นมารดาขึ้นเสียงกับบิดานับครั้งได้ ซึ่งทุกครั้งเกิดจากการออกโรงปกป้องเขาทั้งนั้น ที่น่าแปลกก็คือ เมื่อใดก็ตามที่ท่านแสดงกิริยาแบบนี้ สถานการณ์รุนแรงต่างๆ ดูเหมือนจะคลี่คลายลงได้ในทันที ครั้งนี้ก็เช่นกัน  

“คุณแม่ไม่ต้องไปว่าอะไรคุณพ่อหรอกครับ” ชยพลว่าพลางเดินเข้าไปกันมารดาให้ห่างออกมา แล้วปรายตาไปทางบิดา “ผมจะประสบความสำเร็จให้คุณพ่อดู”

ชาญชัยเหยียดยิ้ม “อย่างแกจะมีหน้าไปทำอะไร”

คำถามทำให้ชยพลต้องฉุกคิด

นั่นสิ... เขาต้องประสบความสำเร็จในเรื่องอะไร จึงจะทำให้คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมาแล้วแทบทุกเรื่องอย่างบิดายอมรับความสามารถ

เขากำลังตรึกตรองอย่างหนัก ทว่าสายตายิ้มหยันกึ่งทวงคำตอบของบิดาทำให้เสียสมาธิ เขาเบือนหน้าหนีไปทางถ้วยรางวัลการแข่งขันกอล์ฟการกุศลของบิดาที่วางเรียงกันอยู่เต็มตู้โชว์ แล้วความคิดอย่างหนึ่งก็ถูกจุดประกายขึ้น

ชยพลสูดหายใจจนอกขยาย ยืดกายตรง ศีรษะของเขาสูงกว่าผู้เป็นบิดาซึ่งสูงราว ๑๘๐ เซนติเมตรขึ้นไปเล็กน้อย “ผมจะเป็นโปรทัวร์”

“นักกอล์ฟอาชีพ!” ชาญชัยขึ้นเสียงสูง แล้วเอ่ยอย่างไม่เชื่อน้ำมนตร์ “อย่างแกนี่นะ?”

“ใช่ครับ” ชยพลพยักหน้ายืนยันหนักแน่น

ชาญชัยส่ายหน้ายิ้มเหยียด “เอาอย่างนี้ไอ้พล ถ้าแกทำได้ฉันยกหุ้นให้ครึ่งหนึ่งเลย” ผู้เป็นบิดาเอ่ยกลั้วหัวเราะแกมเย้ยหยัน ทว่าฝ่ายลูกชายกลับยิ้มอย่างทระนงมาดมั่น

“แต่ถ้าไม่ได้ แก่ต้องมาเป็นคนขับรถให้ฉันครึ่งปี” ชาญชัยทิ้งทายแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงท้าทาย

“คุณแม่เป็นพยานนะครับ” ชยพลหันเอ่ยกับมารดา แล้วเหลียวกลับมาหาคนท้าทาย “แล้วคุณพ่อจะเห็นว่าผมมีดีกว่าที่คิด”

สายตาของผู้เป็นบิดาลุกโชน ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็ถูกกลบเกลื่อนด้วยยิ้มเหยียดหยัน “ฉันก็อยากเห็นดีของแกเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาเห็นแต่ไม่ดี”

ชยพลไม่โต้ตอบอะไรอีก ถือว่าหนึ่งการกระทำมีค่ากว่าพันคำพูด เขาเดินหายเข้าไปในห้องเก็บของ ไม่กี่อึดใจก็หอบหิ้วถุงกอล์ฟพร้อมอุปกรณ์พะรุงพะรังออกมา

“คุณพ่ออย่าลืมที่พูดนะครับ”

ผู้เป็นบิดายิ้มพราย “คนอย่างฉันพูดแล้วไม่เคยลืม ว่าแต่แกเถอะ อย่าลืมที่พูดแล้วกัน”

ชยพลปั้นหน้าขึงขัง เดินออกจากบ้านไป


ชาญชัยมองตามร่างสูงโปร่งของลูกชายออกไปแล้วหัวเราะในลำคอ แววตาที่แสร้งขุ่นเคืองเมื่อสักครู่กลับกลายเป็นแช่มชื่น ตั้งใจจะหันไปหอมภรรยาสักฟอด แต่โดนฝ่ามือน้อยๆ ยันคางไว้

“พ่อนี่อย่างไรกัน เห็นลูกเป็นทุกข์แล้วมีความสุขนักรึไง”

ผู้เป็นสามีได้ยินภรรยาเหน็บแนมแล้วอดขำไม่ได้ พูดกลั้วหัวเราะ “อย่างไอ้พลมันไม่รู้จักความทุกข์กับเขาหรอก”

“โดนทั้งด่าทั้งดูถูก จะไม่ให้รู้สึกได้อย่างไร ลูกไม่ใช่อิฐใช่หินนะ” พูดพลางใช้มือทั้งสองยันอกสามี กันไม่ให้เข้ามากอด “คอยดูนะ ถ้าลูกเป็นอะไรเราได้เห็นดีกันแน่”

ฝ่ายถูกขู่เอ่ยอย่างอารมณ์ดี “แม่พูดเหมือนไม่รู้จักลูก”

“รู้จักอะไร” ผู้เป็นภรรยาถามเสียงเขียว

ชาญชัยทำท่าจะเอ่ยอะไรสักอย่างแต่ชะงักเสีย ยิ้มพรายแล้วเดินเลี่ยงขึ้นไปข้างบน ทิ้งอีกฝ่ายให้อยู่กับปริศนา


ชยพลยัดถุงกอล์ฟใส่เบาะหลังของรถยนต์คันเล็กแต่ราคาไม่เล็กตามขนาด แล้วเข้ามานั่งสงบสติอารมณ์อยู่หน้าพวงมาลัย ‘ไอ้พล ฉันหมายหัวไว้เลย ชาตินี้แกไม่มีวันทำอะไรสำเร็จ’ เสียงของบิดายังก้องอยู่ในหัว และนั่นทำให้อารมณ์ยิ่งพลุ่งพล่านหนัก

‘โดนด่ายังพอทำเนาแต่ถูกปรามาสนี่เกินรับ’ เขาบอกตัวเองอย่างนั้น

อันที่จริงเรื่องทำนองนี้ใช่ว่าไม่เคยเกิด เมื่อครั้งเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เขาไม่ค่อยสนใจการเรียน วันๆ เอาแต่เที่ยวเตร่ จึงสอบตกหลายวิชา ทำท่าจะเรียนไม่จบ แต่ในช่วงท้ายก็เร่งเครื่องจนจบมาได้อย่างฉิวเฉียด บิดาดูถูกว่า เข้ามหาวิทยาลัยคงเอาตัวไม่รอด

ลูกผู้ชายอย่างเขาฆ่าได้หยามไม่ได้ จึงบอกไปว่า จะเอาเกียรตินิยมมาให้ดู  

พอเข้ามหาวิทยาลัย เขาทุ่มเทอย่างเต็มที่ เข้าเรียนไม่เคยขาด ตั้งใจฟังอาจารย์สอน ทบทวนตำรับตำราก่อนนอนทุกวัน ในที่สุดก็จบปริญญาตรีพ่วงเกียรตินิยมตามที่ลั่นวาจา บิดายอมถอนคำพูด พร้อมทั้งสัญญาว่าจะไม่จ้ำจี้จ้ำไชอีก เพราะถือว่ามีความรับผิดชอบเพียงพอ

การนึกย้อนไปถึงชัยชนะในอดีตทำให้ทายาทนักธุรกิจสนามกอล์ฟรู้สึกฮึกเหิม ความพลุ่งพล่านกลับกลายเป็นพลังมุ่งมั่น

จริงอยู่ ตอนนี้ชยพลยังไม่รู้ว่าการจะเป็นนักกอล์ฟอาชีพต้องทำอย่างไร แต่อย่างน้อยเจ้าตัวก็ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา เขาเคยเรียนกอล์ฟขั้นพื้นฐานมาแล้ว แม้ปัจจุบันจะห่างเหินมานาน แต่รื้อฟื้นเสียหน่อยก็คงลื่น คนเคยขี่จักรยานได้ เนิ่นนานเพียงใดก็ต้องขี่ได้ เขามั่นใจอย่างนั้น

‘ครั้งนี้คุณพ่อต้องแพ้อีกครั้ง และเป็นการแพ้ที่ยับเยินเสียด้วย’

ที่คิดอย่างนี้เพราะชยพลรู้ดีว่า บิดาของตนปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นนักกอล์ฟอาชีพ แต่ด้วยพันธะหน้าที่ทำให้ไม่สามารถเดินตามฝันได้ และด้วยวัยที่เฉียด ๖๐ ปี คงไกลเกินฝันเสียแล้ว ดังนั้น หากเขาสามารถเป็นนักกอล์ฟอาชีพได้ นอกจากท่านจะต้องยอมรับในความสามารถแล้ว ยังถือเป็นการข่มกันอีกด้วย

ทายาทนักธุรกิจสนามกอล์ฟขับรถออกจากบ้านด้วยความมุ่งมั่น

เมื่อออกจากหมู่บ้าน เขากวาดสายตาหาร้านให้บริการอินเทอร์เน็ต ที่เคยเห็นบ่อยๆ ยามขับรถผ่านไปมา ครั้นพบก็เลี้ยวรถเข้าไปทันที

ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตทำให้ได้รู้ว่า การเป็นนักกอล์ฟอาชีพต้องสอบผ่านทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ภาคทฤษฎีไม่น่ามีปัญหา ส่วนในภาคปฏิบัติ...

คุณพระช่วย!

ต้องสอบในสนามพาร์ ๗๒ ติดต่อกันเป็นเวลาสี่วัน คะแนนที่ได้ต้องไม่เกิน ๓๐๐ เท่ากับว่าตีเกินได้เพียง ๑๒

เฉลี่ยแล้วในหนึ่งวันห้ามตีเกิน ๗๕!!  

‘โคตรโหด’ เขาคร่ำครวญในใจ และเพิ่งรู้ตัวว่าตกเป็นทาสของคำพูดเสียแล้ว และเป็นทาสที่ต้องทำงานอย่างสาหัสสากรรจ์อีกด้วย



ทายาทนักธุรกิจสนามกอล์ฟปรากฏตัวอยู่ที่ร้านขายหนังสือชื่อดังในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง เขากำลังรู้สึกละอายใจในความไม่เอาไหนของตัวเอง บิดาเป็นผู้บริหารสนามกอล์ฟ แต่เขากลับไม่เคยรู้เลยว่า ปัจจุบันมีนิตยสารเกี่ยวกับกอล์ฟมากมายถึงเพียงนี้

เขาหยิบนิตยสารขึ้นดู หน้าปกแต่ละเล่มล้วนอัดแน่นด้วยชื่อบทความที่น่าอ่านทั้งสิ้น เช่น วิธีตีลูกให้ไกล เทคนิคเพื่อวงสวิงที่ลื่นไหล พัตต์อย่างไรให้ลงหลุม ฯลฯ  ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะซื้อเล่มเดียว แต่เลือกไม่ถูก จึงกวาดมาทุกปก

เท่านั้นยังไม่พอ เขาเดินรี่เข้าไปแถวๆ ร้านขายอุปกรณ์กอล์ฟ เห็นสื่อการเรียนการสอนทั้งดีวีดีและวีซีดี โดยผู้ฝึกสอนทั้งชาวไทยและต่างชาติ  เขาเลือกมา ๓ – ๔ แผ่น ตอนแรกตั้งใจจะกลับไปดูที่บ้าน แต่คิดไปคิดมาก็เปลี่ยนใจ เพราะยังไม่อยากเจอบิดาตอนนี้


เขาจอดรถในสวนสาธารณะ ดับเครื่องยนต์ เปิดกระจก เปิดโทรทัศน์ติดรถดูเทคนิคการเล่นกอล์ฟในวีซีดีที่ซื้อมา และทดลองทำตามอย่างขะมักเขม้น อีกทั้งยังเปิดอ่านกลยุทธ์ต่างๆ จากนิตยสารทุกเล่ม จนรู้สึกว่าเข้าใจทุกขั้นตอนแล้ว จึงออกเดินทางไปสนามไดร์ฟ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับฝึกซ้อมกอล์ฟ ตั้งอยู่ภายในสนามกอล์ฟที่บิดาของเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และควบตำแหน่งประธานกรรมการบริหารด้วย


เมื่อเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดของสนามไดร์ฟ ซึ่งมีตาข่ายกรองแสงสีเขียวเข้มขึงตึงยาวเหยียดไว้บังแดด ภายใต้ร่มเงาของตาข่ายกรองแสงมีเส้นสีขาวขีดแบ่งเป็นช่องจอดรถไว้อย่างเป็นระเบียบ หากเป็นเวลาหลังเลิกงานรถจะเยอะจนหาที่จอดแทบไม่ได้ แต่ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน จึงมีรถยนต์จอดอยู่บางตา

ชยพลยังจอดรถไม่ทันสนิท เด็กประจำสนามกุลีกุจอเข้ามายืนข้างรถ เตรียมตัวให้บริการเต็มที่ เมื่อเปิดประตูรถลงไป เด็กหนุ่มร่างผอมเกร็งยกมือไหว้นอบน้อม แล้วก้มดึงถุงกอล์ฟจากเบาะหลัง ก่อนแบกตัวปลิวเข้าไปในอาคาร

อาคารสนามไดร์ฟแห่งนี้มีสองชั้น มีเลนไดร์ฟชั้นละ ๒๐ เลน เมื่อมองลึกเลยแนวเลนไดร์ฟเข้าไปในสนาม เห็นเนินดินปกคลุมด้วยหญ้าสีเขียวสดดูสะอาดตาเรียงรายอยู่ตามระยะ เนินดินเหล่านั้นปั้นขึ้นเพื่อสร้างบรรยากาศให้ผู้ซ้อมรู้สึกเหมือนกำลังตีอยู่ในสนามกอล์ฟจริงๆ ถ้าในสนามจริงจะเรียกว่าบริเวณนั้นว่า ‘กรีน’ เป็นพื้นที่สำหรับการพัตต์ หรือตีเบาๆ ให้ลูกกลิ้งไปบนพื้น

นี่เป็นวันแรกในรอบ ๓ – ๔ ปีที่เข้ามาที่นี่ ทายาทประธานกรรมการบริหารจึงไม่แปลกใจที่เด็กหนุ่มคนนี้ไม่รู้จัก เขาเดินดุ่มๆ ไปนั่งที่เก้าอี้ประจำเลน พอเปลี่ยนรองเท้าเสร็จ ก็นั่งดูนั่นมองนี่ฆ่าเวลาระหว่างรอลูกกอล์ฟ บังเอิญเหลือบไปเห็นผู้จัดการสนามไดร์ฟเดินรี่ยิ้มร่าเข้ามา เขารีบยกมือขึ้นไหว้ก่อนที่ชายสูงวัยจะไหว้ตนก่อน ใช่ว่าเจ้าตัวจะไม่ชินกับการถูกผู้ใหญ่ไหว้ทักทายก่อน แต่เขาไม่ค่อยชอบ เพราะเห็นว่าไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

“หายไปนานเลยนะครับ” ผู้จัดการสนามเอ่ยถาม

ชยพลยังไม่ทันตอบก็ต้องรีบยกมือรับไหว้เด็กหนุ่มร่างผอมเกร็งที่แบกถุงกอล์ฟเข้ามาให้ พร้อมรับคำขอโทษที่ไม่รู้จักเขา

“ผมต้องตำหนิตัวเองหรือเปล่าครับ” ชยพลแสร้งถามสีหน้าเคร่งเครียด ผู้จัดการขมวดคิ้วยุ่ง แววตาฉงน ชยพลเลยยิ้มแล้วอธิบายเพิ่ม “ก็หายไปนานจนไม่มีใครรู้จัก”

ผู้จัดการหัวเราะลั่น “อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยครับ” ว่าพลางยกแก้วน้ำส่งให้

“ว่าแต่นึกอย่างไรถึงมาซ้อมได้ครับ”

ชยพลคิดในใจว่า ถ้าบอกความจริง อีกฝ่ายคงหัวร่องอหาย จึงบอกเพียงว่าอยากมาฟื้นฟูวงสวิง

ผู้จัดการสนามคุยอยู่สักพักจึงขอตัวไปทำงานต่อ

เมื่อชายสูงวัยผละไป ชยพลยืดเส้นยืดสาย กระตุ้นร่างกายให้ตื่นพร้อม แล้วหยิบเหล็ก ๙ เดินเข้าไปซ้อมสวิงลมบนหญ้าเทียมที่ปูทับพื้นคอนกรีตไว้ พอเห็นว่าเข้าที่เข้าทางแล้วจึงตั้งใจจะเริ่มตีลูกจริง

สายตาของเขาจับอยู่ที่ลูกกอล์ฟ ย่อเข่าเล็กน้อย ขึ้นวงช้าๆ แล้วสวิงลงไปเต็มเหนี่ยวด้วยความมั่นใจ

‘วืด...!’ เสียงเหมือนลมกรรโชกผ่าน แต่ลูกไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เขาใช้หางตาชำเลืองมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครทันเห็นก็โล่งใจ แล้วทำทีเป็นว่าลูกเมื่อกี้เป็นการซ้อมสวิงลมเฉยๆ ยังไม่ได้ตีจริง

เขาลองดูอีกครั้ง พยายามขึ้นวงให้สั้นลง แล้วสวิงด้วยกำลังเพียงสองในสามส่วน

คราวนี้ตีโดน แต่โดนด้านบนของลูก ภาษากอล์ฟเรียกการตีในลักษณะนี้ว่า ‘ลูกท็อป’ ลูกจะลอยขึ้นและมุดลงอย่างรวดเร็ว จากความรู้ที่เพิ่งได้ดูและอ่านมาบอกว่า เขายกตัวขึ้นขณะที่หน้าไม้กำลังปะทะลูก

พอวิเคราะห์ได้ เขาเข้าไปจรดลูกอีกครั้ง เตือนตัวเองก่อนขึ้นวงสวิงว่า... อย่ายกตัวขึ้น

ปรากฏว่าครั้งนี้ผลงานเป็นที่น่าพอใจ ลูกกอล์ฟทะยานออกไปอย่างสวยงาม

กำลังใจเริ่มมา  

เขาซ้อมซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น จนเห็นว่าพอจะตีเหล็ก ๙ ซึ่งถือเป็นเหล็กสั้นได้แล้ว จึงเปลี่ยนเป็นเหล็กขนาดกลาง คือเหล็ก ๗

คราวนี้ปัญหาเปลี่ยนเป็นการตีเฉือน ลูกลักษณะนี้จะพุ่งออกไปตรงๆ แต่เพียงนิดเดียวก็เลี้ยวบิดออกไปทางขวา นักกอล์ฟเรียกลูกชนิดนี้ว่า ‘ลูกสไลด์’

ประสบการณ์บวกกับตำราที่เพิ่งเรียนรู้บอกว่า เขาสวิงไม้จากนอกเข้าใน

ปัญหาในข้อนี้ แม้พอวิเคราะห์ได้ แต่เพียรแก้อย่างไรก็ไม่หาย พอนานเข้า ความเครียดเริ่มถามหา แถมแก้ไปแก้มาดันเกิดอาการโรคแทรกซ้อนเสียอีก ตีโดนแถวๆ ขอบเหล็ก ลูกกอล์ฟจึงแฉลบพรวดออกไปข้างๆ เจ้าตัวใจหายแวบ กลัวจะไปโดนคนอื่น แต่โชคยังดีที่ลูกไม่ได้พุ่งเข้าไปหาใคร

ลูกลักษณะนี้ค่อนข้างน่ากลัว นักกอล์ฟเรียกว่า ‘ลูกแช้งค์’ พวกที่ออกรอบด้วยกัน หากไม่ระมัดระวังอาจหน้าแข้งพังเอาง่ายๆ

ชยพลรู้สึกว่ากล้ามเนื้อเริ่มจะเกร็ง จึงนั่งพักที่เก้าอี้ประจำเลน ดูดน้ำผ่านหลอดพลาสติกใสช้าๆ เพื่อดับกระหายและผ่อนคลายอารมณ์ไปในตัว

สายตาของเขามองนิ่งตรงไปเบื้องหน้า ภายนอกดูเหมือนสงบ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่าน
การเล่นกอล์ฟให้ได้ดีไม่ใช่เรื่องง่าย รายละเอียดปลีกย่อยยุบยับ ที่เขาเลิกเล่นไปตอนเด็กๆ นอกจากเรื่องติดเพื่อนแล้ว ก็เพราะคิดว่าตัวเองคงเล่นได้ไม่ดีนี่แหละ ผลงานที่ย่ำแย่ทำให้ความคิดและความรู้สึกเดิมๆ หวนกลับมาอีกครั้ง

‘หรือเราจะไม่เหมาะกับกีฬาประเภทนี้’ เขาตั้งคำถามกับตัวเองอย่างท้อแท้...


ขณะกำลังนั่งทอดถอนใจ ผู้หญิงคนหนึ่งเดินแบกถุงกอล์ฟเข้ามาวางแหมะที่เลนข้างๆ แล้วก้าวยาวเข้าไปในห้องด้านหลังเคาน์เตอร์ ที่อยู่ติดกับจุดเบิก – จ่ายลูกกอล์ฟ เขาสงสัยว่าเธอเป็นใคร ทำไมเดินเข้านอกออกในเหมือนคุ้นเคยอย่างนั้น

ไม่กี่อึดใจต่อมา หญิงผู้ตกเป็นเป้าสายตาเดินถือถาดลูกกอล์ฟออกมาสามถาด คว่ำถาดหนึ่งลงบนพื้นหญ้าเทียม พอยกถาดที่คว่ำขึ้น ลูกกอล์ฟสีขาวเรียงกันเป็นแถวสวยงาม สะท้อนแสงเป็นประกายอ่อนๆ ส่วนอีกสองถาด วางซ้อนกันอยู่ข้างๆ

ผิวสีแทนหนักไปในทางเข้มอันเกิดจากการตากแดด ร่องรอยของครีมกันแดดที่ยังไม่ได้ล้าง รวมทั้งท่าทางการอบอุ่นร่างกาย ทำให้ชยพลเชื่อว่าเจ้าตัวไม่ใช่นักกอล์ฟมือสมัครเล่นแน่

เขาลอบมองเธอด้วยความสนใจ เส้นผมเหยียดตรงดำขลับยาวเลยบ่าเล็กน้อยถูกรวบไว้ลวกๆ ความสูงน่าจะประมาณ ๑๖๐ เซนติเมตร รูปร่างสมส่วน ดูทะมัดทะแมง คิ้วเข้ม ดวงตาคมกริบ ปลายจมูกเชิดในลักษณะรั้น เหมือนคนเอาแต่ใจ

เธอก้าวเข้าไปซ้อมสวิงลมบนพื้นหญ้าเทียมครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้เหล็กซึ่งชยพลเดาว่าเป็นเหล็ก ๗ เขี่ยลูกกอล์ฟที่วางเรียงไว้อย่างสวยงามแยกออกมาหนึ่งลูก จรดใบเหล็กลงหลังลูกสีขาว ลักษณะการเข้าจรดลูก บ่งบอกความเป็นมืออาชีพอย่างไม่ต้องสงสัย เขาเผลอจ้องเขม็ง ลุ้นผลที่กำลังจะออกมา


.........



(โปรดติดตามตอนต่อไป ๑ เม.ย.)

จากคุณ : วรบรรณ
เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 55 10:09:54




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com