Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 7 ติดต่อทีมงาน

ขอบคุณเพื่อนนักอ่านครับ

ล่องกัลปาลัย ดำเนินมาถึงบทที่ 7 แล้วครับ ยินดีรับฟังคำแนะนำความเห็นจากทุกท่านครับ

และบางส่วนที่ผ่านมา ก็มีโอกาสได้นำไปปรับแก้ไขในต้นฉบับ และส่งคืนให้กับโรงพิมพ์เรียบร้อยในเย็นวันนี้แล้วครับ

ขอบคุณกิฟต์จากคุณTravel to the moon, คุณทะเลเดือดพันธุ์ร็อค, คุณนวลน้ำผึ้ง,คุณไก่ kdunagin,คุณปุ้ย npuiy, คุณ mementototem, คุณแก้วกังไส,คุณHermosa, คุณเพชรรุ้งพราย, คุณเรียวรุ้ง และคุณ wor_lek ครับ

สำหรับตอนที่ 7 ครับผม

บทที่ 7


             “เฮ้! ยายปี มาดูนี่สิ ไม่น่าเชื่อเลย ทำไมถึงได้เป็นอย่างนี้?”


              เสียงกรีดกราดของยายชลดังขึ้น จนปีระกาแทบจะวิ่งอ้อมมุมอาคารลงไปยังปลายเนินด้านล่างด้วยความตกใจ


               เพื่อจะเห็นว่า ชลธรกำลังยืนกอดอกทอดสายตามอง “สวนดอกไม้”นานาพันธุ์ ที่เรียงรายลดหลั่นกันลงไปอยู่ด้านล่างด้วยความปลาบปลื้มชื่นชม


              “นี่ยายคุณชลธรเจ้าขา! แกกรี๊ดกร๊าดโอเวอร์ซะจนฉันตกอกตกใจหมด นึกว่าถูกใครฆาตกรรมไปซะแล้ว รู้รึเปล่ายะ?”


               ชลธรยิ้มแหยๆตามแบบฉบับ แล้วกวาดมือชี้ให้หล่อนดูมวลดอกไม้ที่แข่งกันบานหลากสีสันเบื้องหน้า ท่ามกลางฉากหุบเขาทอดตัวยาวเหยียดอยู่ไกลลิบๆห่างออกไป จนน่าจะเป็นเขตพรมแดนอีกประเทศหนึ่งฝั่งตรงข้าม นี่คือภูมิประเทศอันสวยงามราวกับทั้งสองสาวกำลังเดินเล่นอยู่ในอุทยานรีสอร์ทที่ไหนสักแห่งมากกว่า บ้านปางงิ้วดำ หมู่บ้านชายแดน!


               ปีระกาจึงค่อยๆเดินตามเข้ามาสมทบ เมื่อเดินเลี่ยงลงมาจากห้องนอน จนมาออกสู่ด้านหน้าทับสนธยาแต่แรก ชลธรก็เสนอให้เดินลัดเลาะสวนเล็กๆจากมุมด้านข้างของอาคารปีกตึกด้านซ้ายลงมา ทำให้ทั้งคู่พบว่า ปราสาทหลังนี้ถูกสร้างอยู่บนเนินสูงทางด้านหน้า ส่วนพื้นที่ลาดเอียงลงไปด้านหลังจึงถูกจัดทำเป็นสวนดอกไม้ลดหลั่นเป็นคล้ายขั้นบันไดที่เป็นผืนหญ้าปกคลุมเอาไว้เป็นพรมตามธรรมชาติ


               “สวยจริงๆนะ ลองดูข้างล่างนี่สิ เป็นแปลงกุหลาบทั้งหมดเลย กุหลาบขาวด้วยล่ะ ปกติเห็นแต่กุหลาบสีแดง”


                 ชลธรพูดอย่างชื่นชมตามประสาหญิงสาวผู้รักสวยรักงาม ยิ่งเมื่อมองเห็นแปลงปลูกดอกกุหลาบสีขาวทั้งดอกตูม แรกแย้ม และบานขนาดเท่ากำปั้นท้วมๆของบุรุษหนุ่ม แข่งกันผลิบานอยู่ยังแปลงกุหลาบด้านล่างราวกับเป็นอุทยานแห่งกุหลาบขาว ในขณะที่ปีระกาสะดุ้งน้อยๆเมื่อได้ยินคำว่า “กุหลาบขาว” จากปากอีกฝ่าย โดยที่ชลธรไม่ทันสังเกต


                 มันทำให้หวนนึกไปถึง ดอกกุหลาบมรณะที่มักจะปรากฏในนิยายกุหลาบอาเพศ ที่หล่อนยังเขียนไม่จบนั่นเอง


                 กุหลาบขาวเปื้อนเลือดเหยื่อสังหาร!


                 โดยเฉพาะดวงวิญญาณของคุณกรรณิการ์ ที่หายตัวไปชดใช้กรรมเสียแล้ว โดยไม่มีการบอกล่วงหน้าใดๆทั้งสิ้น


                 รวมถึงตัวของฆาตกร ที่หล่อนเอง ก็ยังไม่อาจรู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร!

********************


                  คุณบุษกร วงศ์วนา มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเสียงกริ่งประตูดังขึ้น ภายหลังจากบุตรสาวคนเดียวของเธอเดินทางไปทับสนธยาแค่ไม่ถึงชั่วโมง หญิงสูงวัยชะโงกหน้ามองผ่านบานเกร็ดหน้าต่างออกไปแล้วก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มร่างสูงผึ่งผายที่ยืนรอคอยอยู่ แต่งกายด้วยชุดของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์เต็มยศ


                “สวัสดีครับ ผมมาหาคุณปีระกาครับ”


              ชายหนุ่มผู้นั้นบอกว่าชื่อร้อยตำรวจเอกคมจักร ด้วยรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวจัดตัดกับผิวหน้าคล้ำเข้มช่วยลดบรรยากาศเคร่งเครียดลงได้มาก เธอเพิ่งสังเกตว่าเขาเดินทางมาเพียงคนเดียว ร้อยตำรวจหนุ่มแนะนำตัวเองเสร็จสรรพว่าเป็นนายตำรวจแผนกสอบสวนสืบสวน ของสำนักงานตำรวจ


            “คุณรู้จักกับยายปีมาก่อนหรือคะ ถ้างั้นก็น่าจะเป็นเพื่อนของยายปีล่ะสิ?”


               มารดาผู้สูงวัยของปีระกาค่อยมีน้ำเสียงที่คลายความวิตกลง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายรู้จักกับบุตรสาวของเธอมาก่อนแล้ว เธอกุลีกุจอเชิญเขาเข้ามาในห้องรับแขกที่เปิดกว้าง เห็นสายตาคมกริบกวาดมองสังเกตรอบด้านอย่างสำรวจตรวจตรา


              “ผมอยากพบคุณปีระกาครับ พอดีมีเรื่องต้องสอบถามรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับนวนิยายของเธอ ตอนแรกผมก็ติดต่อไปที่คอนโดที่คุณปีระกาให้ไว้แต่ไม่มีคนรับสาย ผมเลยไม่แน่ใจว่าเธอกลับมาที่บ้านของคุณแม่หรือเปล่า ”


              คมจักรนั่งลงยังโซฟาร์เนื้อนุ่ม ชายหนุ่มถือโอกาสเรียกอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเองเพื่อให้คุณบุษกรคลายใจ แม้จะอดรู้สึกผิดนิดๆไม่ได้ที่ไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดออกไป ปล่อยให้คุณบุษกรเข้าใจว่าเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งของบุตรสาวเธอเอง แล้วยังเรื่องที่เขาเองเป็นฝ่ายสืบหาที่อยู่ของบ้านหญิงสาวจนพบ ก่อนตัดสินใจ ตรงดิ่งมาที่นั่นโดยไม่บอกกล่าวใดๆล่วงหน้าอีกด้วย


              แต่แรกก็คิดว่าคนที่จะมาเปิดประตูต้อนรับจะเป็นแม่นักเขียนจอมรั้นเสียอีก การณ์กลายเป็นว่ามารดาของหล่อนเสียเอง เลยต้องปล่อยทุกอย่างให้เธอเข้าใจไปตามนั้น


               ด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนและท่าทางเป็นกันเองของอีกฝ่าย ทำให้หญิงสูงวัยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะสนทนากับอีกฝ่าย แม้จะอดแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่า ยายปีไปคบหากับตำรวจหน้าเข้มคนนี้ตั้งแต่เมื่อไรโดยที่เธอไม่รู้มาก่อน จนถึงกับทำให้เขาต้องพยายามติดต่อมาถึงบ้านโดยตรงเช่นนี้ แต่เธอก็หายสงสัยในเวลาไม่นาน เมื่อปลายสายตอบข้อสงสัยมาเอง


                 “พอดี เป็นเรื่องในนิยายของคุณปีระกา น่ะครับ ผมติดตามอ่านอยู่แล้ว ก็เลยอดสงสัยไม่ได้ อยากจะพูดคุยสอบถามกับเธอด้วยตัวเอง”


                “อ๋อ ที่แท้ก็เป็นแฟนคลับ ยายปีนั่นเอง เห็นคุณแต่งตัวชุดตำรวจเต็มยศอย่างนี้ คนแก่ใจคอไม่ดีเลยค่ะ นึกว่าจะมีเรื่องอะไรเสียอีก”


                 บุษกรหัวเราะเบาๆอย่างเข้าใจ คราวนี้เธอเห็นนายตำรวจตัวโตทำหน้าเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนจะรีบตอบกลับมา


               “ครับ ว่าแต่คุณปีอยู่ที่บ้านหรือเปล่าครับ? คุณแม่”


                  “ไม่อยู่หรอกค่ะ นี่ก็เพิ่งออกไปธุระต่างจังหวัดเมื่อกี้นี้เอง คุณมาคลาดกันไปนิดเดียวเองค่ะ คงสักสี่ห้าวันถึงจะกลับมาโน่นแหละ ว่าแต่เป็นเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวไม่อย่างนั้นแม่จะโทรบอกให้ก็ได้นะ”


                  นายตำรวจหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจอยู่ไม่น้อย


                  “ไปที่ไหนหรือครับ?”


                ความรู้สึกเป็นกันเองกับอีกฝ่าย ยิ่งเมื่อรู้ว่าเป็น “แฟนคลับ”ตัวยงของปีระกา ทำให้คุณบุษกรเอ่ยปากเล่าเรื่องการเดินทางของสองสาวออกไป ทั้งยังเปลี่ยนสรรพนามด้วยความรู้สึกเอ็นดู คิดแค่ว่าเล่าเรื่องให้เขาฟังเท่านั้นเอง และดูเหมือนผู้กองคมจักรจะแสดงอาการรับรู้และสนใจฟังตลอดการเล่าของเธอ เขาเพียงแต่ซักถามอีกชั่วขณะก่อนจะอำลากลับ


              “ถ้าอย่างนั้นผมฝากคุณแม่บอกปีระกาด้วยนะครับ ว่าผู้กองคมจักรแวะมาหา”


                   นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เธอได้พูดคุยกับนายตำรวจหนุ่มก่อนชายหนุ่มจะอำลาจากไป หญิงสูงวัยมองจนเห็นร่างสูงของร้อยตำรวจเอกคมจักรผ่านประตูออกไปจนลับสายตาแล้ว จึงย้อนกลับเข้าไปในบ้านเพื่อทำธุระส่วนตัวต่อไป


                  คมจักรเดินกลับมาที่รถซึ่งจอดอยู่ในซอกระหว่างรั้วกับแนวต้นจามจุรีขนาดใหญ่อันร่มครึ้มด้วยความรู้สึกสังหรณ์ประหลาด เป็นความรู้สึกห่วงกังวลนักเขียนสาวผู้นั้นขึ้นมาโดยมิได้ครุ่นคิดมาก่อน แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เสียงเรียกจากปลายสายเป็นธุระด่วนที่เรียกตัวมา ทำให้นายตำรวจหนุ่มต้องรีบสตาร์ทรถขับออกไป


                   โดยไม่คิดแม้แต่น้อยว่าก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน บริเวณร่มจามจุรีที่หนาทึบเหมือนม่านกำบังฉาก ณ ตำแหน่งบ้านพักของคุณบุษกรนั่นเอง มีร่างๆหนึ่งกำลังลอบสังเกตการณ์อยู่ภายในรถเก๋งส่วนตัวที่ติดฟิล์มกรองแสงหนาทึบอำพรางไว้ พร้อมด้วยกล้องกำลังขยายสูง มันค่อยๆลดระดับกล้องลงผ่านหน้าต่างกระจกรถที่ลดระดับลง แล้วสังเกตเหตุการณ์ทุกระยะด้วยความสนใจ


             สืบรู้มาก่อนแล้วว่า นังนักเขียนตัวแสบแอบหลบมาอาศัยอยู่ที่นี่แทนคอนโดหรูที่พักอาศัยประจำของมัน พฤติกรรมที่กำลังจับตามองอยู่แสดงให้เห็นว่า “นังนักเขียนตัวแสบ” น่าจะมีพิรุธอย่างใดอย่างหนึ่ง ปกติก็ไม่เคยมีท่าทีระแวดระวังใดๆจนกระทั่งไม่กี่วันต่อมา มันลงทุนเสียเวลาสะกดรอยตามอีกฝ่าย จนสืบรู้ที่พักที่บ้านหลังนี้ และรู้ว่าปีระกาอาศัยอยู่กับมารดาผู้ชราเพียงสองคน ก่อนที่จะได้รับข่าวสารบางอย่าง จนทำให้นังลูกสาวต้องรีบเดินทางบึ่งรถออกไปตั้งแต่เช้าวันต่อมา


              สำหรับสถานที่ปลายทาง ไม่ใช่ปัญหาของมัน ในเมื่อมันรู้จุดหมายของปีระกาเรียบร้อยแล้ว ค่อยตามไปเพื่อจัดการภายหลังย่อมไม่ใช่เรื่องยาก


                หากสิ่งที่ค้างคาในใจนั่นต่างหากที่สำคัญกว่า...


              สังหรณ์บอกกับมันว่า พฤติกรรมประหลาดที่ปีระกาทำอยู่ น่าจะเกี่ยวข้องกับมันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน รวมถึงนิยายสืบสวนเรื่องล่าสุดที่มันกำลังจะตีแผ่บทสำคัญ เผยตัวฆาตกรออกมานั่นแหละ ที่ทำให้ตัวมันไม่อาจยอมนิ่งเฉยอยู่ได้อีกต่อไป


                   ในเมื่อสู้อุตส่าห์ลงทุนอ่านนิยายเล่มก่อนหน้าของนังนักเขียนเดนตายคนนี้แล้ว และรู้ว่าคดีทั้งสามถูกปิดลงเรียบร้อย ก็ด้วยการสรุปบทอวสานของนิยายทั้งสามเรื่องของปีระกานั่นเอง


               จะยอมให้ทุกอย่างต้องจบลงเหมือนกับคดีก่อนหน้านี้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม...


                  ฆาตกรคดีกุหลาบอาเพศที่ตำรวจกำลังควานหาตัวอยู่ ในสภาพอำพรางกายหันกลับไปช้าๆ


                ด้วยริมฝีปากที่เกร็งแน่น มันค่อยเผยอยิ้มขึ้นที่มุมปากเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเบนหางตากลับไปยังบ้านน้อยกลางดงไม้ร่มครึ้มอีกครั้ง


                บางที มันอาจจะแถมดอกกุหลาบสีขาวให้อีกสักดอกหนึ่ง สำหรับเป็นบทเรียนสุดท้ายในชีวิตของนังปีระกา!!
***********************


              “อะไรกัน ยืนตะลึงเลยรึไง ไม่เคยเห็นดงกุหลาบขาวเยอะขนาดนี้ล่ะสิจ๊ะ”


                 ชลธรเดินเข้าไปใกล้ เอื้อมมือไปสัมผัสกลีบดอกที่กำลังแย้มบานน้อยๆอย่างพึงใจ กลิ่นหอมอ่อนๆของมันรวยรินโชยกรุ่นละไอหอมตลบไปทั่วบริเวณ ในขณะที่ปีระกา เดินทอดน่องไปตามทางเดินระหว่างแปลงกุหลาบเหล่านั้น ก็มองผ่านออกไปยังป้อมหอคอยด้านริมสุด จำได้ว่าน่าจะเป็น แนวเดียวกับที่ชะโงกหน้ามองออกไปจากห้องพักส่วนตัวก่อนหน้านี้ ถ้าเป็นเช่นนั้น นี่คือทิศของหอคอยฝั่งใต้ อย่างที่ลุงอาตม์เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้นั่นเอง


             ในระยะใกล้เช่นนี้ ทำให้มองเห็นแนวป้อมปราสาทของคฤหาสน์ทับสนธยา มีความเก่าแก่ชัดเจนกว่ามองในระยะไกลเป็นอันมาก ศิลาที่สะท้อนแสงขาวอมชมพูแต่แรก เมื่ออยู่ในระยะใกล้จึงเริ่มมองเห็นรอยบิ่นร้าวที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของกาลเวลา และเศษหินบางส่วนที่แตกหัก นี่คงเป็นอีกมุมหนึ่ง ที่ไม่ได้รับการบูรณะดูแล ภายหลังจากผู้เป็นเจ้าของจากไป


              สายตาหญิงสาวไล่ขึ้นไปตามส่วนยอดหอคอยปีกตึกด้านนี้ ลักษณะอาคารทรงกลมเหมือนกระบอกที่เสียดยอดแหลมขึ้นไปสู่ปลายฟ้า ไม่ต่างกับดินสอขนาดยักษ์สองแท่ง เพียงแต่ว่า แต่ละชั้นของส่วนหอคอย มีหน้าต่างกระจกประดับเอาไว้ เพื่อถ่ายเทระบายอากาศ เรียงรายอยู่ในแนวดิ่ง เหมือนกัน ปีระกาเผลอไผลมองขึ้นไปจนถึงห้องปลายสุดของยอดหอคอยโดยไม่ตั้งใจ


             แสงสะท้อนบางอย่างวูบวับขึ้น คล้ายการสะท้อนของเงากระจกที่เกิดการเคลื่อนไหวโดยบังเอิญ มันเลื่อนผ่านเข้ามาตกกระทบสายตาของปีระกาในจังหวะนั้นพอดี ก่อนประกายที่วับวาบจะหยุดชะงักหายไปอย่างกะทันหัน!


           ปีระกายืนตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ


            รู้สึกเหมือนมีใครบางคนหลบซ่อนตัวอยู่บนยอดหอคอยแห่งนั้น...


             ใคร???

             ***************************


               แสงจากโคมแก้วคริสตัลแชนเดอเลียที่สลักเป็นช่อดอกไม้ขนาดใหญ่และเล็ก สะท้อนผ่านจากเพดานโดมของห้องอาหารลงมากระทบโต๊ะยาวที่ปูด้วยผ้าสีขาวสะอาด อาหารถูกจัดเรียงเอาไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว เมื่อปีระกาและชลธรเข้ามาถึง


             ภูไท ทินบดีนั่งรออยู่แล้ว ชายหนุ่มอยู่ในชุดลำลองง่ายๆไม่เป็นทางการเหมือนกับตอนบ่ายที่ได้พบกันเป็นครั้งแรก โดยมีนายอาตม์ อยู่ในชุดประจำตำแหน่งสุดโก้หรู อย่างที่หล่อนแอบเรียกลับหลัง


              ชายชราผู้นั้นกำลังยืนตรงนิ่งรอคอยอยู่แล้วที่หน้าประตู นักเขียนสาวอดไม่ได้ที่จะมองนัยน์ตาไร้แววข้างนั้น มันสะดุดใจอย่างประหลาด อันที่จริงหล่อนเคยเห็นคนตาบอดที่สวมแก้วตาเทียมมาบ้างเหมือนกัน แต่กลับไม่รู้สึกประหลาดใจเท่ากับบุรุษสูงวัยผู้นี้


            เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในเบ้าตาข้างนั้น อะไรที่ไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้นั่นแหละที่เป็นสาเหตุให้เกิดความว้าวุ่นใจ...


          “เชิญครับ คุณภูไท รออยู่แล้วครับ”


              ชายหนุ่มกุลีกุจอลุกขึ้นแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้ ปีระกาแอบยิ้มกับตัวเองน้อยๆ เมื่อสังเกตว่าท่าทีเอาอกเอาใจนั้น ค่อนข้างจำเพาะเป็นพิเศษกับ ชลธรเพื่อนสาวของหล่อนนั่นเอง


          เห็นทีว่ายายชลจะมาเจอเนื้อคู่เอาที่ทับสนธยานี่เองแล้วสินี่!!


              “ผมให้มะขิ่นเขากลับไปก่อนนะครับ พอดีเห็นพี่ชายเขามารอรับตั้งแต่ตอนค่ำๆแล้ว ไม่อยากให้กลับดึกมาก”


                อาตม์เป็นฝ่ายอธิบายแล้วเดินอ้อมมานั่งปลายสุดของโต๊ะรับประทานอาหารโดยไม่ได้แตะต้องอาหารใดๆ เขาอธิบายว่ารับประทานมาก่อนหน้าแล้ว เพียงแต่อาสามาคอยอำนวยความสะดวกให้อาคันตุกะคนสำคัญทั้งสามเท่านั้น ส่วนทนายความหนุ่มภูไทก็เลื่อนจานสำรับอาหารมาให้สองสาว เมื่อเห็นว่าสมาชิกของทับสนธยาลงมาครบหมดแล้ว


               “ตกลงมีแค่เราทั้งหมดแค่สี่คนเท่านั้นเองหรือคะ ลุงอาตม์?”


                  หล่อนสังเกตว่า ชายสูงวัยเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัย แต่เขาก็พยักหน้ารับ


                 “ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับคุณปีระกา?”


               หญิงสาวจับได้ว่าในน้ำเสียงนั้นมีกระแสแห่งความระแวดระวังเจือจางอยู่บางเบา จนแทบสังเกตไม่ได้


                 “ไม่มีหรอกค่ะ ปีนึกว่าจะมีคนอื่นมาพักอยู่ที่นี่ด้วยเสียอีก เห็นแล้วยังตกใจว่าใหญ่โตกว่าที่คิดมากเลยค่ะ”


                สายตาข้างเดียวของผู้อาวุโสคลายลง และเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ เห็นใจแทน


                “คุณปีระกา กับคุณชลธรเพิ่งมาอยู่ที่นี่คงจะยังไม่คุ้นหรอกครับ ผมเองได้อาศัยอยู่มาตั้งแต่คุณหลวงท่านและคุณอบยังมีชีวิตอยู่ ก็เลยไม่รู้สึกแปลกอะไร จนอาจจะกลายเป็นความเคยชินไปแล้วก็ได้ครับ”


                “ถ้างั้นเมื่อก่อนก็มีคนอยู่เพียงไม่กี่คนเหมือนกันน่ะสิคะ? คุณลุงก็เลยชินกับสภาพแบบนี้”


               แสร้งถามไปเรื่อยๆ เหมือนกับ “ตามน้ำ” ไปตามคำพูดของอีกฝ่าย แต่ซ่อนความความสงสัยเอาไว้อย่างมิดชิด และได้ผลเมื่ออีกฝ่ายยิ้มน้อยๆ คลายอาการ “เกร็ง”แต่แรกจนเกือบหมด ปีระกาพยายามพูดคุยให้เหมือนกับมีการสนทนาเรื่อยเปื่อย โดยไม่ให้เกิดความเงียบในบรรยากาศเท่านั้น ระหว่างที่ยายชลก็มัวแต่คุยกระหนุงกระหนิงกับภูไทอยู่เพียงสองคน


                เมื่อเห็นท่าทีเป็นกันเอง ชายสูงวัยก็ตอบรับโดยไม่ปฏิเสธ เขายิ้มตอบท่าที “แบ๊ว”ของหล่อน ท่าทางที่ปีระกาใช้มาจนชิน จนเพื่อนๆหล่อนมักจะหมั่นไส้อยู่เสมอ


                 “สำหรับคนงานของทับสนธยาเองก็มีไม่กี่คนหรอกครับ พอคุณผอบแก้ว หรือคุณท่านถึงแก่อนิจกรรมไป เราก็ไม่ได้จ้างคนงานประจำเอาไว้อีก เหลือเพียงผมที่คอยประสานงานตามหาทายาทให้กับท่านเท่านั้นเองครับ ส่วนใหญ่คนพวกนี้ก็จะช่วยดูแลความเรียบร้อยของทับสนธยา ผมก็ได้อาศัยชาวบ้านที่เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงอยู่ฟากโน้นน่ะครับ ให้พวกเขามาช่วยทำงานเป็นรายวัน ทำความสะอาดบ้าง แล้วก็ดูแลสวนต้นไม้เอาไว้ไม่ให้รกร้าง ระหว่างที่ให้ทางทนายความช่วยติดตามหาทายาทของท่าน จนคุณภูไทเพิ่งติดต่อกลับมานี่แหละครับ”


                  นักเขียนสาวพยักหน้าช้าๆรับรู้ เพิ่งรู้ว่า ถัดจากบริเวณอาคารรูปทรงมหึมาออกไปไม่ถึงสิบกิโลคือเขตแดนระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่มีหมู่บ้านชนกลุ่มน้อยเล็กๆชายแดนอยู่แถบนั้นโดยไม่ได้เป็นด่านพรมแดนชัดเจน นอกจากชาวบ้านจะใช้สัญจรผ่านไปมาเท่านั้น รวมถึงมะขิ่นและมินอ่อง พี่ชายของหล่อนที่เข้ามาทำงานให้กับที่นี่ตั้งแต่ยังเด็กด้วย


                     การสนทนาดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ตอนนี้หล่อนเริ่มเรียนรู้ว่าควรจะพูดคุยอย่างไรบ้าง โดยไม่พยายามซักถามอย่างเป็น “ส่วนตัว” จนเกินไป จนอาจทำให้อีกฝ่ายเกิดความระแวงขึ้นมา บัดนี้ปีระกาเริ่มมั่นใจว่า ชายชราผู้ดูแลมรดกของคุณทวดเธอผู้นี้ ต้องมีบางอย่างปิดซ่อนไว้


              และสัญชาตญาณความสงสัยในตัวของหล่อนเอง ทำให้คิดว่าจะต้องสืบให้รู้ให้ได้!!


             “ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ”


               อาตม์ลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าการรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จสิ้นลงแล้ว


              “พรุ่งนี้ผมขอเชิญทุกท่านพบกันที่ห้องโถงด้านล่างนะครับ ผมมีใครคนหนึ่งที่ต้องการจะพบคุณปีระกาโดยเฉพาะ มาแนะนำให้รู้จัก”


                คำพูดทิ้งท้ายนั่นเองทำให้คนฟังต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงนฉงาย คิดแต่เพียงว่าเดินทางมาเพื่อติดต่อกับทนายความเรื่องทับสนธยาให้เรียบร้อยเท่านั้น และอาจจะอยู่พักผ่อนกับเพื่อนสาวสักไม่กี่วันก่อนเดินทางกลับ โดยเฉพาะเมื่อได้มาเห็นสภาพแท้จริงของเรือนที่ดูเหมือนจะเป็นคฤหาสน์กลางป่ามากกว่าเรือนไม้ที่พักอาศัยธรรมดา ซึ่งคิดว่าลำพังหล่อนกับมารดาคงไม่มีปัญญาดูแลรักษาได้แน่นอน นอกจากจะประกาศขายให้เรียบร้อย ปีระกาคิดว่าทนายภูไทน่าจะช่วยเหลือในส่วนนี้ได้


            “ลุงหมายถึงใครหรือคะ?”


                วูบนั้น ประกายบางอย่างคล้ายพลุ่งวูบมาจากเบื้องหลังเลนส์ลูกแก้วของชายเฒ่า ประกายที่ปีระกาเหลือบมองเห็นพอดี


              “แล้วพรุ่งนี้คุณปีระกาก็จะรู้เองครับ ราตรีสวัสดิ์นะครับ”


                 โดยไม่ตอบอะไรต่อ อาตม์ก้มศีรษะลงอีกครั้งแล้วถอยกลับออกไปจากห้องอาหารอย่างเงียบกริบเหมือนกับตอนเข้ามา...

                 **********************


              ผาพระจันทร์...


               แนวผาตัดดิ่งในลักษณะเก้าสิบองศามองเห็นผิวศิลาราบเรียบเป็นสีขาวโพลนเหมือนหิมะ โดดเด่นในท่ามกลางสุมทุมพุ่มไม้อันรกชัฏรอบบริเวณ สีขาวสล้างราวหินอ่อนของหน้าผาตัดดิ่งสูงละลิ่วแห่งนี้สะท้อนแสงจันทร์เงินยวงเป็นประกายโดดเด่นยิ่งนัก จนได้รับการขนานนามว่า “ผาพระจันทร์”


              เสียงควบม้าดังผ่านมาจากด้านบนอันเป็นส่วนชะง่อนผา เสียงน้ำตกไหลอยู่ห่างออกไปเป็นระยะไกลๆในความสงัดที่ปราศจากหมู่บ้านและผู้คน เส้นทางเล็กแห่งนี้เป็นเส้นทางเลาะเลียบเชิงผาสูงชันที่ตัดดิ่งจากเทือกผาด้านนอกสุดอันเป็นช่องเขาเล็กๆโดยธรรมชาติสร้างไว้ แบ่งกั้นอาณาเขตพรมแดนระหว่างประเทศ ผ่านเข้ามาในดงไม้หนาทึบ และตรงดิ่งไปสู่อาณาเขตของทับสนธยา ทางด้านหลัง


              บัดนี้อาชาสองตัวควบขับอย่างเร่งรีบแข่งกับความมืดแห่งรัตติกาลที่เข้มข้นขึ้นทุกขณะ เงาเมฆหนาทึบเลื่อนตัวเข้าบดบังแสงจันทร์สุกสกาวเบื้องบน จนเริ่มแหว่งเว้าและความสว่างก็เริ่มซีดจางลงเรื่อยๆ


             เสียงม้าร้องและหยุดชะงักงัน เมื่อมันวิ่งมาถึงบริเวณลานโล่งเหนือหน้าผานั้นพอดี


             ร่างของใครคนหนึ่งในเงามืด บรรจงกระตุกบังเหียนบังคับอาชาสีพยับหมอกให้ก้าวออกมาจากปลายสุดของชะง่อนผาอย่างช้าๆ... แล้วจึงโบกมือขึ้นเป็นสัญญาณ ให้ผู้เดินทางที่เพิ่งผ่านมาถึงบังคับม้าให้หยุด


             “ท่าน...”


            เสียงสั่นพร่าของบุรุษที่มาใหม่สั่นน้อยๆทั้งด้วยอากาศหนาวเย็นยามราตรีและสภาพอันมิคาดฝันต่อร่างที่ปรากฏเบื้องหน้า


            “พี่...”


             ร่างเด็กสาวที่โอบรอบแผ่นหลังเริ่มรู้สึกตัว แล้วชะโงกหน้าออกมา เมื่อเห็นชัดเจนว่าเป็นใครก็ถึงกับนิ่งงัน


            “พวกมันมาถึงกันแล้วใช่ไหม มินอ่อง?”


              น้ำเสียงที่เปล่งออกมาห้าวกังวานด้วยพลังอำนาจ


            “ใช่แล้ว มากันสองคน... แต่ข้ายังไม่...”


                มะขิ่นผู้ที่ซ้อนอยู่ด้านท้ายอาชารีบตะโกนตอบออกไปทันที เมื่ออีกฝ่ายชักม้าเข้ามาใกล้ เด็กสาวมีอาการหวาดกลัวลนลานจนเห็นได้ชัด ยิ่งกว่าผู้เป็นพี่ชายที่พยายามควบคุมมือบังคับม้าอยู่บนอานเสียด้วยซ้ำ


              เสียงหัวเราะหึหึ ดังขึ้น ร่างนั้นคลุมด้วยเสื้อตัวยาวโดยมีฮูดปกคลุมส่วนศีรษะเอาไว้


               “ในที่สุดพวกมันก็มาถึงจนได้ ดีเหมือนกันที่ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาอีกต่อไป!”


                “ท่าน...”


                  ดูเหมือนมินอ่องจะพูดค้างไว้ได้เพียงแค่นั้น ชายหนุ่มชาวกระเหรี่ยงมีรูปร่างค่อนข้างเล็กเกร็ง หากใบหน้ากลับเผือดซีดแทบปราศจากสีเลือดไม่ต่างกับผู้เป็นน้องสาว บัดนี้ทั้งคู่กายสั่นสะท้าน เมื่อร่างสูงตระหง่านเคลื่อนกายนำอาชาเข้ามาเทียบ เงาทะมึนสูงใหญ่ของผู้รอคอยแทบจะบดบังสองร่างนั้นจนกลืนเข้าไปใต้เงามืด


              “ข้าเห็น... การปรากฏของมันขึ้นแล้ว บนยอดหอคอยนั่น การปรากฏของชตุกา!!”


                เสียงห้าวกังวานคล้ายรำพึงกับตัวเอง ก่อนที่ใบหน้าใต้ผ้าคลุมจะเบนกลับมา พร้อมคำประกาศิต


              “หน้าที่ของเจ้าที่ผ่านมาหมดสิ้นลงแล้ว น่าเสียดายนัก!”


                 คราวนี้มินอ่องและมะขิ่นกระโดดลงมาจากหลังม้า คู้กายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวสุดขีดอยู่บนพื้นลานหิน โดยไม่ครณาถึงก้อนกรวดทรายแหลมคมจะบาดผิวเนื้อ


             “ให้อภัยเราสองพี่น้องด้วย เราจะพยายาม...”


               ร่างทะมึนเงยหน้าขึ้นบนฟ้า เปล่งเสียงหัวเราะร่าคล้ายขบขันเต็มทีกับท่าทีหวาดกลัวลนลานของอีกฝ่าย


                 “พยายามเหรอ? พวกเจ้าได้แสดงให้ข้าเห็นหรือยังว่าพยายาม? เปล่าเลย... จนกระทั่งทายาทของมันเดินทางกลับมาถึงที่นี่จนได้ และพวกเจ้าก็คว้าน้ำเหลว! มันแสดงให้เห็นว่าทุกอย่างที่ผ่านมาล้วนเปล่าประโยชน์ ข้าไม่ควรให้พวกเจ้าทั้งคู่มาทำงานนี้เลยด้วยซ้ำ”


              “ข้าสองคนขออภัยท่าน ข้ารับปากว่าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอีก”


             มินอ่องเป็นฝ่ายเอ่ย และผู้เป็นน้องสาวก็รีบพยักหน้ารับ


                  “ข้าสัญญาท่าน นายอาตม์ให้ข้าคอยดูแลนายผู้หญิงสองคนนั่น ข้ารับปากว่าจะคอยจับตาทั้งสองคนไม่ให้คลาดสายตา”


                “เจ้าต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้วมะขิ่น เพราะไม่เช่นนั้น เจ้าก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก”


                   ร่างหญิงสาวสั่นระริก หนาวเหน็บยิ่งกว่าอากาศเย็นยะเยือกภายนอกเมื่อสัมผัสถึงกระแสอำมหิตที่ส่งผ่านออกมาจากริมฝีปากของอีกฝ่าย รู้ดีว่านั่นมิใช่คำขู่เล่นๆ


               “ข้าสัญญา...”


                “พวกมันทั้งสองจะต้องมีคนใดคนหนึ่งนั่นแหละที่ทำหน้าที่นั้นได้ และเจ้าต้องคอยแอบติดตามไม่ให้คลาดสายตา”


               “ท่าน...”


               “รีบกลับไปที่ทับสนธยา และทำหน้าที่ของพวกเจ้าได้เลย นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป!”


                 โดยไม่รอให้ร่างทั้งสองเอ่ยตอบ ร่างสูงใหญ่ในเสื้อคลุมยาวสีคล้ำเข้มก็ตวัดสายบังเหียนอย่างนุ่มนวล อาชาสีพยับหมอกก็รู้ใจ มันยกขาคู่หน้าสูงขึ้นอย่างผยอง ส่งเสียงร้องออกมา แล้วพุ่งทะยานดิ่งตรงไปยังอีกเส้นทางหนึ่งด้านข้างของผาพระจันทร์ ก่อนจะหายลับตาไปในที่สุด...

         ************************

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 55 19:31:32




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com