33
วันสอบวันสุดท้ายก่อนปิดภาคการศึกษา ชายหญิงวัยรุ่นยืนคุยกันในวันที่ฟ้าเป็นสีเทาจากเงาฝน ต่างฝ่ายยังอยู่ในชุดนักเรียน
“เข้...ไหมท้อง”
เด็กหนุ่มยืนนิ่ง แววตาบอกอารมณ์ตกใจ “แน่ใจ...เหรอ”
ดวงหน้ารูปไข่สะอาดสวยแต่เคร่งเครียด “ประจำเดือนไม่มาสองเดือน ตรวจแล้วด้วย”
ยังไม่มีความเห็นออกจากปากของอีกฝ่าย คล้ายกับว่ากำลังรวบรวมสติที่กระจายให้กลับมาประมวลผลจากเรื่องที่ได้ยิน กระทั่งเธอตัดสินเอง
“แต่เข้ไม่ต้องกังวลนะ ไหมจะเอาออก”
“พ่อ”
เขมรัฐตื่นจากภวังค์ เห็นหน้าโขงอยู่ใกล้ ๆ จึงรู้ว่าจิตใจตนเองลอยหวนไปในอดีต เขาปรายตาไปยังใบหน้าหนึ่งของโต๊ะลูกค้า ครั้นแล้วก็เดินออกมา เด็กชายเดินตาม ลูกค้ามองตามงง ๆ ครั้นแล้วก็ดื่มกินกันต่อ
“อีกแล้วเหรอ “โขงพูดยิ้ม ๆ ทำท่ารู้ทันเพราะหญิงสาวที่เสื้อเปื้อนคนนั้นหน้าตาสะสวยชนิดที่จะไม่หลุดรอดสายตาคนเป็นพ่อ “เจ๊ปูนิ่มจะว่ายังไงน้า...”
“โขง ไปเล่นสงกรานต์เถอะ”
“ครับ!?” ได้ยินไม่ถนัดเนื่องจากถูกเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน สะดุดใจกับสีหน้าเคร่งขรึมที่ไม่ตอบรับคำล้อ หากแค่แวบเดียวเท่านั้น
“ไปเล่นน้ำเถอะ เดี๋ยวพ่อช่วยป้าไก่เอง นี่ค่าแรง”
เขมรัฐควักเงินส่งให้ คนเป็นลูกตาโต ยกมือไหว้แล้วกระโดดดีใจ “งั้นผมไปก่อนนะ วู้ป้า!!”
“อย่ากลับมืดล่ะ”
“คร้าบ” เด็กหนุ่มถอดผ้ากันเปื้อน แล้ววิ่งปร๋อไปที่จักรยาน เขมรัฐกวักมือเรียกอ่องยื่นผ้าขนหนูสีขาวสะอาดส่งให้เพื่อให้ลูกจ้างไปส่งต่อ เขาปรายตามองลูกค้าโต๊ะนั้น ใบหน้าของเด็กสาวที่เคยหลงใหลซ้อนทับจาง ๆ
ฤดูร้อนมาเยือนแล้ว
แต่นั่นก็เป็นแค่ความคาดไม่ถึงในวันปีใหม่ไทยเท่านั้น วันต่อมาความตื่นเต้นของนายฟาร์มก็จางหายไป เมื่อเขาไปทำงานแล้วบัณฑิตาก็มาพร้อมปิ่นโตกับอาหารถุงใหญ่ให้ธรณิศ มีส่วนของเขาเช่นเคย แถมยังเผื่อแผ่ไปยังคนงาน แต่พวกเขาแยกไปกินที่ป้อมปู
บัณฑิตาตักข้าวส่งให้ผู้ชายสองคน รินน้ำใส่แก้วยื่นให้ เสร็จสรรพก็ขยับมานั่งกิน
“อันนี้บุ้งทำหรือแม่ทำ” ธรณิศถามขณะตักผัดฉ่าทะเล
“บุ้งทำ กินได้ไหม”
“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้า หญิงสาวมีรอยยิ้มนิด ๆ แล้วจัดการของตนเอง เขมรัฐเอื้อมไปตักไข่เจียว เห็นสายตาลูกน้องมองอย่างข้องใจ
“อะไร”
“ไข่เจียวใส่แหนมของผมนะ นายเข้ไม่ชอบกินแหนมไม่ใช่เหรอ”
คนตักทำหน้าเหมือนได้เห็นผู้ก่อการร้ายก็ไม่ปาน “โห เดี๋ยวนี้มีหวงของเว้ยเฮ้ย ถือว่าเมียทำมาให้ใช่ไหม” เขาปรายตาไปยังบัณฑิตา “เดี๋ยวนี้เรียกได้เต็มปากเต็มคำเชียวนะ เมื่อก่อนล่ะอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่กินก็ได้”
หญิงสาวคนเดียวหัวเราะ เพราะท่าทางงอนกับผู้ชายตัวโตไม่เข้ากันเลยแม้แต่นิด ซ้ำเธอเองก็ยังอดขำไม่ได้ที่เห็นท่าทีของธรณิศ
“มิน่าล่ะ วันก่อนไซมันมาบ่นว่า ชวนกบไปในเมืองก็ไม่ไป เพราะต้องไปรายงานตัว ที่แท้ก็ติดเมีย”
“พี่เข้” บัณฑิตาจ้อง “ไม่ต้องแซวเป็นผงชูรสกับข้าวบุ้งอร่อยกินได้อยู่แล้วนี่นา”
คนแซวไหวไหล่ ตีหน้าเศร้า “น้องบุ้งเลือกข้างนี่นา”
บัณฑิตาอดไม่ได้ตีแขนคนทะเล้นเสียหนึ่งทีพร้อมปรามว่าให้กินข้าว ถึงแม้ว่าเธอกับธรณิศลงจะลงเอยด้วยดี แต่การปฏิบัติตัวให้คนนอกเห็นก็ยังแทบไม่ต่างกับก่อนแต่งงาน ชายหนุ่มไม่แสดงความโรแมนติก ประเภทดอกไม้ ของขวัญ หรือคำหวาน หากแต่ก็รู้ใจและดูแลเป็นห่วงด้วยความรัก
กินอิ่ม หน้าที่ล้างจานเป็นของคนหน้าเคราเช่นเดิม แต่หญิงสาวก็ไม่ดูดาย เช็ดโต๊ะเรียบร้อย เขมรัฐดื่มน้ำเป็นอึกสุดท้ายยื่นแก้วให้ เธอรับไปส่งต่อให้คนล้าง พอหันกลับมาเห็นสีหน้ายิ้มกริ่ม
“อะไรอีก”
"โล่งอกไปทีนะ นึกว่าจะต้องเปิดวีดีโอให้ดูเหมือนช่วงช่วงกับหลินฮุ่ยซะแล้ว"
เป็นคำแซวที่บัณฑิตาตั้งตัวเปิดกระบวนท่าสวนกลับไม่ทัน เพราะอีกฝ่ายเล่นเจาะประเด็นล่อแหลม หากเป็นรายการทีวีก็ต้องขึ้นป้ายเรท 18+ กันเลยทีเดียว เธอทำได้แค่ลอยหน้ากรอกตาไปมา
“ไม่รู้มาก่อนจะได้เอาไผ่ให้กิน”
"ผมถือคติช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม ไม่ผลีพลามเดินทางลัดจนได้ลูกก่อนวัยอันควรหรอก"
สองคนหันไปมองพร้อมกันที่ต้นกำเนิดเสียงมาจากบุรุษที่เงียบขรึม ถ้าจะหาว่าใครสักคนซึ่งนายเข้จอมคารมจะกัดได้เหวอะหวะที่สุดคงเป็นลูกน้องอายุมากกว่าคนนี้ และเขาคงเป็นคนสุดท้ายที่จะสำบัดสำนวน เมื่อเขาเอ่ยออกมาได้เช่นนั้นก็มหัศจรรย์ราวกับได้เห็นหิมะตกในเมืองไทย เขมรัฐตาโต
“โอ้โห เดี๋ยวนี้ปากเก่งนะ ถือว่าได้เมียไปเสี้ยมสอนหรือไง”
“บุ้งไม่เกี่ยวนะ” บัณฑิตารีบปฏิเสธ ครั้นแล้วก็เหยียดยิ้ม “ถ้าจะสอนกันไม่ใช่เรื่องนี้”
“แกร๊ง!”
ธรณิศทำช้อนหลุดมือไปกระทบจาน แทนที่ผู้หญิงคนเดียวจะสะเทิ้น กลับกลายเป็นเขาที่มีปฏิกิริยาก่อนใคร เขมรัฐหัวเราะชอบใจ
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย ตัวเองก็จะได้กินปูแล้วนี่นา”
พอถูกแซวบ้างก็ได้แต่ยิ้ม
“ฝ่าด่านพ่อเขาได้แล้วเหรอ”
“ก็คงอีกไม่นานมั้ง”
“หมั่นไส้” เธอกระแทกเสียงพลางเก็บปิ่นโตใส่เถา ธรณิศเดินออกไปส่งคนรัก
เขมรัฐจึงเคลื่อนกลายกลับมานั่งทำงานต่อ ระหว่างทำบัญชีก็มโนภาพตัวเองเดินคู่ปุริมาตามลำพังโดยไม่มีโขงเป็นกันชนหัวใจก็พองโต หากวินาทีถัดมากลับมีภาพอื่นแทรกซ้อน
ไม่ผลีพลามเดินทางลัดจนได้ลูกก่อนวัยอันควรหรอก
ถูกของธรณิศ โขงเกิดมาก่อนเวลาที่เหมาะสม เด็กวัยรุ่นอายุสิบแปดยังแทบจะไม่รู้จักตัวเองครบทุกมุมด้วยซ้ำแต่ได้ตำแหน่งพ่อหลังจากที่แฟนสาวที่คบหามาบอกว่าตั้งท้อง
จุดหมายในชีวิตเปลี่ยนไป อนาคตมาเร็วเกินกว่าที่คาด สายลมนั้นพัดพาเขาจากชีวิตสีสันในกรุงเทพมาเป็นพ่อวัยรุ่นในเมืองริมทะเลกับกลิ่นคาวปลาที่ตนเองเคยวิ่งหนี
เพราะความเห็นไม่ตรงกันดังที่เคยบอกกับปุริมา และไม่ได้ติดต่อกันนานตลอดชั่วอายุของลูกชาย
ถึงตอนนี้เขาได้เจอกับ ‘เธอ’ อีกครั้ง จากสายลมลูกเดิมหรือเปล่า
วันต่อมา ปุริมาจอดมอเตอร์ไซค์ที่หน้าบ้านสีเหลืองหลังนั้น เปิดรั้วสีเขียวพลางส่งเสียงทัก
“เจ๊หงส์คะ ปูนิ่มค่ะ”
“เข้ามาเลยจ้า” เจ้าของบ้านตอบรับออกมาเป็นสัญญาณอนุญาตผู้มาเยือนจึงเดินเข้าไป เจ๊หงส์นั่งอยู่ในห้องครัว กำลังเช็ดเครื่องเรือน
“พ่อให้เอาเอกสารมาให้ค่ะ”
อีกฝ่ายเหลือบมองถอดถุงมือยางเพื่อรับซอง เปิดดูเร็ว ๆ แล้วพยักหน้า “ขอบใจจ้ะ”
ปุริมากวาดสายตา “อยู่คนเดียวเหรอคะวันนี้”
“เจ้าโขงไปเล่นสงกรานต์ นายเข้อยู่ที่ฟาร์มน่ะ”
“วันนี้วันหยุดนะคะเนี่ย”
คนวัยมากกว่ายิ้มอ่อนโยน “งานเกษตรไม่มีวันหยุดหรอกจ้ะ ปูนิ่มกินข้าวหรือยัง”
“ก็ว่าเดี๋ยวจะไปหาอะไรกินที่ร้านน่ะค่ะ” หญิงสาวหมุนไปมา “ให้หนูช่วยไหมคะ”
“อุ้ยไม่ต้องจ้ะ” เจ๊หงส์รีบปฏิเสธ นัยน์ตาฉายแววขำขันและคาดไม่ถึง คนเสนอตัวจึงยิ้มเขิน ๆ อย่างไม่รู้ตัว เวลาอยู่ใกล้ชวนให้คิดถึงแม่ตนเอง นานแล้วที่ไม่ได้คุยกัน
ในที่สุดปุริมาก็ตัดบทขอตัวออกมา สตาร์ทเครื่องยนต์มุ่งไปที่ร้านริมเล ทักทายคนที่ร้านพอหอมปากหอมคอ แล้วสั่งอาหาร
“นั่งเลยค่ะคุณครู”
เป็นอีกครั้งที่พอกวาดสายตาแล้วไม่เจอคนผิวเข้ม อยู่ดี ๆ ปุริมาเปลี่ยนใจ “ป้าไก่คะ ใส่ถุงให้หนูดีกว่า เอาข้าวเพิ่มด้วยค่ะ”
แม่ครัวรับคำสั่ง ลูกค้าสาวนั่งรอ คงใช้เวลาสักพักเพราะลูกค้าหลายโต๊ะ และคงกินเวลาอีกร่วมชั่วโมงกระมังกว่าจะกลับที่บ้าน หญิงสาวจุดยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของพ่อตอนที่เธออาสาเอาเอกสารมาให้เจ๊หงส์
คเชนทร์สบตาจริงจัง ‘อย่าเถลไถลนะ’
เธอตอบกลับทีเล่นทีจริง ‘ก่อนพระอาทิตย์ตกดินแน่นอนค่ะ’
“ได้แล้วค่ะ คุงคู”
เธอกะพริบตา ยืดตัวรับถุงกับข้าวจากอ่องซึ่งได้เร็วกว่าที่คิด พอสบตาป้าไก่ก็ยิ้มให้ เธอกล่าวขอบคุณ ตอนจะเดินออกก็กระซิบ “อย่าลัดคิวบ่อยนะคะ เดี๋ยวลูกค้าไปว่าถึงโรงเรียน”
“ไม่หรอกค่า ป้าจะบอกว่าครูโทรมาสั่งไว้แล้ว”
หญิงสาวส่ายหน้า นิสัยเลี้ยวลดเจ้าเล่ห์แบบนี้คงมาจากเจ้านายรุ่นลูกนั่นแน่ ๆ
ฟาร์มปูนิ่มยามใกล้เที่ยงวันหยุดดูเงียบเหงา ปุริมาผิดสังเกตเล็กน้อยเพราะมองหยาบ ๆ แล้วไม่เห็นแม้แต่คนงาน คิดว่าอาจจะรวมกันอยู่ด้านในเพราะเวลานี้แดดจัดไม่น้อย หากพอเข้าใกล้ป้อมปูยิ่งแน่ใจว่าตัวเองอาจจะมาเสียเที่ยว
“มีใครอยู่ไหมคะ นายเข้...” เธอชะโงกหน้าเห็นแต่ความว่างเปล่า
ได้ยินเสียงน้ำจ๋อมแจ๋มเบื้องหลัง หันไปมองกลางบ่อก็ไม่พบความผิดปกติใด เสียงลมพัดซู่ซ่าดูวังเวง
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
18 มี.ค. 55 12:46:10
|
|
|
|