Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เก็บแผ่นดินใจไว้ปลูกรัก 3 : คนห่างหายที่กลับมา ติดต่อทีมงาน

บทที่แล้ว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11832528/W11832528.html#

บทที่  3  คนห่างหายที่กลับมา


ห้าทุ่มครึ่งแล้ว หมู่บ้านนาดีตกอยู่ในความเงียบ ผู้คนต่างเหน็ดเหนื่อยจากการตรากตรำทำงานในไร่นา เมื่อทำภารกิจส่วนตัวแล้วกินข้าวเสร็จเรียบร้อยส่วนใหญ่จึงเข้านอนกันแต่หัวค่ำมีบางส่วนที่ดูละครหลังข่าวแต่พอสี่ทุ่มก็ดับไฟนอนพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานในวันใหม่  ไม่มีใครสนใจรถกระบะสองตอนที่แล่นไปตามถนนรอบนอกหมู่บ้านตรงไปยังไร่ไตรภพซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปทางท้ายหมู่บ้านประมาณห้าร้อยเมตร

รถแล่นไปตามถนนคอนกรีตเลียบตัวบ้านก่อนจะไปหยุดที่หน้าโกดังขนาดใหญ่ โดยรอบโกดังก่อด้วยกำแพงอิฐดูมิดชิด มีแสงไฟจากด้านในส่องสว่างออกมา ประตูเหล็กขนาดใหญ่เลื่อนเปิดขึ้นด้วยฝีมือของชายหน้าเสี้ยมแก้มตอบเพื่อปล่อยให้รถกระบะเข้าไปด้านใน ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะหินอ่อนเดินมากระโดดขึ้นท้ายกระบะ ประตูโกดังถูกปิดประตูลงด้วยมือชายคนเดิม

รถกระบะแล่นผ่านกองมันสำปะหลังสับตากแห้งด้านข้างโกดังเลยเข้าไปด้านใน มีเสียงเลื่อนประตูครืดคราด อึดใจเครื่องยนต์ก็ดับสนิท สักพักชายสองคนก็เดินเคียงข้างกันออกมา เติ้งซึ่งเป็นคนขับรถเข้ามามีสีหน้าอ่อนระโหยแต่ก็ยังมีแววกระหยิ่มยิ้มย่องในขณะที่อ๋องเดินพลางก้มลงปัดฝุ่นซึ่งคงติดกระบะท้ายออกจากกางเกงยีนเก่าๆ มอซอ

“ได้มาจากไหนล่ะคราวนี้” เสียงของชัยซึ่งเป็นคนเปิดประตูหน้าโกดังเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มๆ

ความที่เห็นการกระทำผิดมานานจึงไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด กลับดีใจเสียอีกยามเมื่อเพื่อนร่วมขบวนการขับรถยนต์ที่ขโมยได้มาพักไว้ที่โกดังเก็บมันสำปะหลังของนายไตรภพเพื่อรอเวลาตกลงราคากันกับเจ้าของไร่ก่อนที่ชัยจะรับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมดำเนินการนำรถออกไปขายต่อยังประเทศเพื่อนบ้านด้วยราคาไม่แพงมาก หักค่าใช้จ่ายผ่านทางให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องแล้วส่วนที่เหลือก็นำมามอบให้นายไตรภพซึ่งเป็นที่รู้กันว่าจะแบ่งให้ชัยเป็นคนจัดการเรื่องการแบ่งสันปันส่วนค่าเหนื่อยให้ลูกน้องร่วมขบวนการอีกทอดหนึ่ง

ธุรกิจลับนอกกฎหมายนี้นายไตรภพทำมานานแล้วและเป็นอาชีพทำเงินให้ไม่น้อย โดยอาศัยว่ามีอาชีพบังหน้าคือนายทุนรับซื้อมันสำปะหลังกับงานรับเหมาก่อสร้างในกรุงเทพฯ จึงไม่มีใครแปลกใจหรือสงสัยในเงินทองที่มาทุ่มกับกิจการในไร่รวมทั้งเรื่องที่มีรถยนต์หรือรถบรรทุกเข้าออกดึกๆ ดื่นๆ

“ไอ้เติ้งมันไปได้มาจากผู้หญิงแถวผับเหมือนเดิม” อ๋องเป็นคนบอก ก่อนจะทิ้งร่างล่ำค่อนข้างเตี้ยลงบนเก้าอี้

“อ้าว แล้วผู้หญิงล่ะวะ”

“ก็มอมยาแล้วทิ้งไว้แถวๆ นั้นแหละ” คนชื่อเติ้งหรือวิทยา ผิวผ่อง ตอบอย่างไม่อนาทร

แน่ล่ะมันทำอย่างนี้มานานแล้ว ว่างเว้นจากการทำนาเติ้งก็จะตระเวนออกหาลักรถยนต์มาขายให้นายไตรภพ จนมีเงินมากพอจะสร้างบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านนาดีใหญ่โตและซื้อของอำนวยความสะดวกมากมายเข้าบ้านโดยที่เมียก็รู้แถมยังนำเงินมาเปิดร้านขายของชำเป็นการฟอกเงินอีกทางหนึ่ง คนในหมู่บ้านรู้แต่เพียงว่าผัวของพิศงามหรือแม่น้องเฟิน หรือที่ชาวบ้านคนเฒ่าคนแก่รุ่นเก่าๆ ออกเสียงไม่ชัดจากเฟินเลยกลายเป็น ‘เพิน’ เข้ากรุงเทพฯ ไปทำงานรับเหมาก่อสร้างกับบริษัทในเครือของนายไตรภพ

“แล้วจะไปออกล่าเหยื่ออีกเมื่อไหร่ล่ะ ออร์เดอร์มาเยอะเลยนะโว้ยรถรุ่นนี้”

“ช่วงนี้ต้องพักก่อนว่ะ ตำรวจกำลังเพ่งเล็ง รอให้นายไตรภพส่งของเก่าให้หมดก่อนค่อยว่ากัน... ขอหน่อยสิวะ” ว่าแล้วเติ้งก็ยื่นมือออกไป ชัยส่งบุหรี่มาให้หนึ่งมวน คนรับๆ มาแล้วล้วงไฟแช็คในกระเป๋าเสื้อออกมาจุดสูบ

“ไปส่งที่บ้านหน่อยสิวะ คิดถึงเมียว่ะ”

มีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากอ๋องและชัย ตามด้วยเสียงแซวว่า “ตระเวนมานานเลยคิดถึงเมีย จะเอาเงินไปประเคนเมียจอมงกของมันล่ะไม่ว่า”

“พูดมากน่าพวกเอ็งนี่ก็”

สักพักรถเครื่องก็แล่นออกจากโกดังตรงไปยังหมู่บ้านนาดีตามคำขอของเติ้งโดยมีอ๋องเป็นคนขับไปส่งในขณะที่ชัยเดินออกจากโกดังอ้อมไปทางด้านหลังที่มีบ้านพักชั้นเดียวซึ่งจัดไว้สำหรับลูกน้องคนสนิท พอก้าวข้ามผ่านแก้วกับขวดเบียร์ที่วางระเกะระกะตรงระเบียงด้านหน้า ชัยก็ต้องส่ายหน้าเมื่อเสียงกรนราวกับเครื่องยนต์สองเครื่องดังสนั่นเล็ดลอดออกมาจากห้องนอนทางปีกซ้ายเป็นจังหวะจะโคนที่ได้ยินจนชินชา รู้ดีว่าเสียงไหนเป็นเสียงของไก่เพราะเจ้าคนขับรถผอมแห้งจะชอบเป่าปากฟิ้วๆ ในขณะที่เป็ดบอดี้การ์ดหุ่นล่ำสันออกไปทางท้วมๆ จะกรนต่อเนื่องเสียงดังกว่า แต่ไม่ว่าจะต่างกันยังไงสำหรับชัยแล้ว มันทั้งสองคนก็คือผู้ติดตามที่สมองกลวงดีแต่พูดถนัดแต่เลียเจ้านายเท่านั้นเอง

                          *******************

พู่ชมพูตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งโดยไม่มีอาการงัวเงีย ชีวิตในบ้านนอกมีอะไรให้ทำตั้งเยอะแยะมากมาย ความเคยชินและการถูกปลูกฝังและฝึกให้ตื่นตั้งแต่เช้าเมื่อครั้งบิดายังมีชีวิตอยู่ทำให้เธอติดนิสัยมาตั้งแต่เด็ก แม้ท่านจะจากไปเมื่อเธออายุได้สิบขวบ แต่ก็เป็นโชคดีของที่มารดายังสามารถเลี้ยงดูเธอกับน้องสาวมาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใครและยังทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ได้เป็นอย่างดี

เสียงกุกกักในครัวคงเป็นพิณไพลินที่เคยชินกับการตื่นมาจัดการเสียบกาน้ำร้อนไว้ให้พี่สาวชงกาแฟรวมทั้งจัดการเตรียมอาหารอันเป็นความชอบตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นความถนัด ทั้งแม่และเธอไม่มีใครบ่นเรื่องอาหารไม่อร่อย จะมีบ้างก็เรื่องรสชาติไม่เผ็ดจัดหากมื้อนั้นมีอาหารที่เตรียมให้คณะมาดูงานการเกษตรพอเพียงของไร่หรือกลุ่มผู้มาพักในโฮมสเตย์ บางครั้งพิณไพลินก็ต้องจัดหาพริกเม็ดจัดใส่จานผักไว้ให้พี่สาวเลยทีเดียว

“กินแทนผักได้เลยค่ะพี่พู่” ไม่รู้ว่าน้องสาวเจตนาค่อนหรืออะไรก็ตามแต่หากพู่ชมพูก็ไม่ขัดศรัทธา จนบางครั้งมารดายังเคยเตือนว่าระวังกระเพาะจะทะลุเพราะกินรสจัดเกินไป

พู่ชมพูทำภารกิจส่วนตัวเรียบร้อยภายในเวลาอันรวดเร็วแล้วแต่งกายด้วยชุดทะมัดทะแมงรัดกุมพร้อมสำหรับการออกแดดเพื่อเตรียมตัวจะไปดูรถเกี่ยวข้าวที่ไข่บอกไว้ ถึงเธอจะห้าวๆ แต่ก็ยังมีความเป็นผู้หญิงเต็มเปี่ยมมีปกป้องรักษาและบำรุงผิวพรรณอย่างดีเยี่ยม เธอเดินออกมาที่ห้องครัวไม่เห็นน้องสาวอยู่ในนั้นจึงจัดการชงกาแฟถือเดินไปเปิดทีวีในห้องนั่งเล่นเพื่อดูข่าวภาคเช้า

เมื่อไม่เห็นว่ามีข่าวอะไรน่าสนใจพู่ชมพูจึงเดินไปหยิบหมวกสานที่แขวนข้างผนังมาถือไว้ พลันสายตาก็เหลือบไปมองภาพในกรอบไม้ซึ่งแขวนอยู่ข้างผนัง เป็นภาพคู่ชายหญิงในเครื่องแต่งกายยุคเก่าที่เห็นคราใดก็ต้องอมยิ้มให้กับความรักของทั้งท่านทั้งสองซึ่งฉายชัดผ่านเรื่องราวที่มารดาเธอเป็นคนเล่าให้ฟังเสมอตั้งแต่ชายซึ่งเป็นหัวหลักของครอบครัวมีชีวิตอยู่หรือแม้ยามนี้ที่ลาจากโลกนี้ไปแล้ว

เธอถอนใจเฮือกยาวเมื่อความคิดถึงห่วงหาผุดขึ้นกลางใจ ตั้งแต่จำความได้เธอรับรู้ถึงแต่ความเข้มแข็ง อดทนของบิดากับมารดาที่ทำงานในไร่นาซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากตายาย ทั้งปลูกข้าวในหน้าฝนและปลูกผักยามหมดฤดูทำนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ท่านทั้งสองเก็บหอมรอมริบกว่าจะเก็บเงินมากพอเป็นทุนในการปรับปรุงการทำการเกษตรให้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่โฮมสเตย์ก็เกิดจากความฝันของบิดาที่ตั้งใจว่าจะให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของคนเมือง จนถึงเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้การทำการเกษตรแบบพอเพียงพึ่งพาตัวเอง

ถึงวันนี้ทุกอย่างจะยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก แต่เธอกับมารดาและน้องสาวก็มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ ไม่ต้องขวนขวายดิ้นรนให้ร่ำรวยเท่าเทียมกับคนอื่น โดยเฉพาะครอบครัวของย่า คนที่มารดาบอกว่าไม่พอใจอย่างยิ่งยวดเมื่อลูกชายของท่านตัดสินใจมาแต่งงานอยู่กินกับคนบ้านนอกคอกนาไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่เหมือนลูกสาวของนักธุรกิจใหญ่ที่ท่านหมายมั่นปั้นมือจะให้ร่วมเรียงเคียงหมอนด้วย เธอไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของปู่กับย่าเลย รู้แต่เพียงว่าปู่เสียไปนานแล้ว ส่วนย่านั้น เธอได้เห็นหน้าเพียงครั้งเดียวคือในงานศพของบิดา

“ไหว้ย่าสิพู่...พิณ”

ตอนที่แม่บอกให้เข้าไปหาและไหว้หญิงชรารูปร่างท้วม เธอยังจำสีหน้าของท่านได้ดี ท่านไม่ได้รับไหว้แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหากก็กิริยาก็ยังดูเฉยชาและไว้ตัว

“ลูกสาวของตาวิธทั้งสองคนเลยเหรอ” หญิงสูงวัยถามราบเรียบ

“ค่ะ” อรวรรณตอบอย่างสงบเสงี่ยม

“มีปัญญาเลี้ยงหรือเปล่า”

“ลูกของดิฉัน ดิฉันจะเลี้ยงเขาให้ดีที่สุดค่ะ”

“ฮึ จะคอยดูว่าจะทำได้แค่ไหน กลัวแต่จะเรียนจบแค่ป.หกก็ออกมาแต่งงานเหมือนเด็กบ้านนอกคอกนาที่ชอบแต่งงานเร็วๆ น่ะสิ”

“อย่างน้อยพู่กับพิณต้องจบปริญญาตรีค่ะ”

“คิดได้อย่างนั้นก็ดี ถ้าไม่มีเงินจะส่งเสียล่ะบอกฉันก็แล้วกัน”

เธอไม่รู้ว่าย่าคิดอะไร แต่ยามนั้นจำได้แต่เพียงว่ามารดาตอบรับอีกฝ่ายเบาๆ

“ขอบคุณค่ะ”

แม่เป็นอย่างนั้นเสมอ นุ่มนวล อ่อนโยน ไม่ชอบโต้คารมกับใครให้มากความ ผิดกับเธอที่คนในหมู่บ้านว่าทั้งห้าวทั้งไม่ยอมใคร ส่วนพิณไพลินนั้นไม่ถึงกับห้าวเท่าเธอและมีความอ่อนโยนมากกว่า แต่พู่ชมพูรู้ดีว่าน้องสาวค่อนข้างดื้อเงียบและเก่งกล้าไม่เบาทีเดียว

“พี่พู่ พี่พู่”

เสียงไข่ร้องเรียกโหวกเหวกอยู่หน้าบ้าน ทำให้พู่ชมพูสะดุ้งภาพในอดีตหายวับไปกับตาทันที

“พี่พู่ เร็วๆ หน่อย รถเกี่ยวข้าวมาแล้ว เขาไปลงนาพี่แล้วนะ” คนเรียกยังส่งเสียงมาอีก

“ได้ยินแล้ว เดี๋ยวไป เรียกอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวแม่ก็บ่นอีกหรอก ทำไมรถมาแต่เช้าจังแฮะ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองในตอนท้ายเมื่อเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเห็นเป็นเวลาหกโมงครึ่ง เธอยกหมวกขึ้นสวมเดินไปหยิบรีโมทมากดปิดทีวีแล้วยกแก้วกาแฟอุ่นๆ ขึ้นดื่ม

“พี่พู่จะไปแล้วหรือคะ” พิณไพลินร้องถามมาก่อนตัว อึดใจจึงโผล่ออกมาในชุดกางเกงขาสามส่วนกับเสื้อยืดสีชมพูขับผิวให้ขาวผ่อง

“ใช่แล้วจ้ะ เจ้าไข่มาตะโกนเรียกแล้ว ทำเสียงตื่นเต้นยังกับไม่เคยเห็นรถเกี่ยวข้าวยังงั้นแหละ ทั้งๆ ที่หมู่บ้านเราก็ใช้บริการรถเกี่ยวข้าวมาได้สองสามปีแล้ว”

“ประสาเขานั่นแหละมั้ง ยังไงพี่พู่ก็อย่าเพลินจนลืมกลับมากินข้าวเช้าล่ะ พี่พู่น่ะชอบทำงานจนลืมเวลา เดี๋ยวโรคกระเพาะได้ถามหาพอดี”

“ก็งานมันติดพันนี่” พี่สาวแย้งเสียงอ่อนพลางวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะหน้าทีวี

ร่างเพรียวระหงมาดมั่นซึ่งได้รับคำชมจากทั้งหนุ่มและสาวที่เคยมาพักที่โฮมสเตย์และมาดูงานเดินออกไปสวมรองเท้าบู้ทยาวก่อนจะเดินไปหาเด็กหนุ่มที่ยืนรออยู่หน้าบ้าน

“รถเกี่ยวข้าวอยู่ไหนเหรอตอนนี้”

เธอถามไข่โดยไม่หันไปมองแต่เดินตรงไปยังโรงรถที่มีทั้งรถแทรกเตอร์ฟอร์ด รถกระบะสี่ประตู รถอีแต๋น รถมอร์เตอร์ไซค์สี่จังหวะ รวมทั้งจักรยานเก่าแก่รุ่นสงครามโลกครั้งที่สองคันใหญ่ที่เธอซื้อมาเก็บไว้จอดเรียงกันอยู่

“ลงนาไปแล้วพี่ นั่นไงที่ได้ยินเสียงอยู่นั่นแหละ” ไข่บอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะอยากไปให้ถึงจุดที่รถเกี่ยวข้าวอยู่เร็วๆ จนไม่มองว่าอีกคนขึ้นไปนั่งบนรถอีแต๋นเรียบร้อยและเสียบกุญแจ พอเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังขึ้นก็เลยสะดุ้งโหยง

“จะขึ้นรถหรือว่าจะเอาเฮียเก๋าไป ไอ้ไข่”

“เอ๊า ขึ้นรถสิครับ” นึกในใจว่าเรื่องอะไรจะใช้บริการเฮียเก๋า

ว่าแล้วก็กระโดดขึ้นไปนั่งเคียงข้างคนขับ กลัวจะได้ปั่น ‘เฮียเก๋า’ นึกแล้วก็ขำ จะมีใครบ้างนะที่ตั้งชื่อจักรยานสมัยสงครามโลกว่า ‘เฮียเก๋า’ คงมีแต่พี่พู่ชมพูของมันนี่แหละ รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นอ้าปากตามด้วยเสียงร้องเมื่อรถเข้าโค้ง เล็บเท้าทั้งสองข้างในรองเท้าบู้ทสีดำจิกลงบนพื้นรถขณะที่มือจับกระติกน้ำแข็งกับตะกร้าใส่น้ำอัดลมน้ำหวานไว้แน่น

จะว่ากลัวก็กลัวจะว่าตื่นเต้นก็ตื่นเต้นไม่เบาทีเดียวล่ะเวลานั่งรถกับโซเฟอร์ตีนผีนิสัยห้าวราวกับทอมบอย บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าสวยคมห้าว มาดเท่อย่างนี้เคยมีใครมาจีบบ้างหรือเปล่า แต่ก็นั่นแหละ... ถึงจะสงสัยแต่ไข่ก็ไม่เคยถามสักที พอนึกได้ก็ว่าจะลองถามมันตอนนี้เสียเลย แต่รถก็แล่นตรงไปยังคนที่ยืนมองไปทางรถเกี่ยวข้าวซึ่งกำลังทำงานอยู่ พอฝ่ายนั้นหันมาเห็นว่าเป็นรถใครชายทั้งสองคนก็กระโดดหนีไปคนละทางก่อนที่อีแต๋นจะเบรกพรืดห่างจากต้นกระบกริมถนนไปประมาณสองคืบเห็นจะได้

“โว๊ย ! เป็นสาวเป็นนางขับรถห้าวจริงๆ หนูพู่นี่”

พู่ชมพูไม่สนใจคำทักทายของชายร่างสูงผอมแห้งวัยประมาณสี่สิบห้าปี แต่ถามอีกฝ่ายว่า “มาทำอะไรที่นี่แต่เช้าล่ะพี่บอม”

“ก็มาดูรถเกี่ยวข้าวน่ะสิ”

“มาดูเพื่อจะเอาไปเกี่ยวของตัวเอง หรือว่าจะมาดูเพื่อเป็นนายหน้าล่ะ” พู่ชมพูบอกอย่างรู้ทันแล้วไม่รอคำตอบ ก้าวเดินอย่างคล่องแคล่วไปตามคันนาเล็กๆ ตรงไปยังจุดที่รถเกี่ยวข้าวทำงานอยู่โดยมีไข่เดินตามไปติดๆ

“แหม...ห้าวไม่มีใครเกิน แบบนี้จะหาผัวได้หรือเปล่าเนี่ย” นายบอมเปรยเสียงดัง เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางได้ยินเนื่องจากเสียงรถดังกลบทั่วท้องทุ่งนา

“ทำไมจะหาไม่ได้ถ้ามันคิดจะเอาเสียอย่าง รวยถึงขนาดมีที่ดินเป็นร้อยกว่าไร่ไว้แบบนี้มีแต่คนวิ่งเข้าหาล่ะไม่ว่า ขนาดแกยังเคยไปทาบทามกับแม่มันจะขอให้ลูกชายไม่ใช่เหรอ” คนสูงวัยกว่าบอกอย่างรู้ทัน

“ก็ลูกฉันมันชอบนี่หว่า”

“ลูกแกน่ะชอบหนูพู่ แต่แกชอบที่ดินของแม่มันใช่ไหม”

“ฮ่วย! รู้ดีจริง”

สะบัดเสียงใส่แล้วนายบอมก็ทรุดตัวนั่งลงใต้ต้นกระบก รอโอกาสที่รถเกี่ยวข้าวจะหยุดพักแล้วจึงค่อยเข้าไปติดต่อขอเป็นนายหน้าหางานเพื่อรับส่วนแบ่งเหนาะๆ แบบไม่ต้องเหนื่อยอะไรเลย เพียงแค่หาคนเกี่ยวให้ได้เยอะๆ เท่านั้นเป็นพอ

                               *********************

พู่ชมพูมองรวงข้าวริมคันนาที่รถเกี่ยวข้าวเกี่ยวไม่หมดด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก พอจะเข้าใจอยู่บ้างหรอกว่ารถเกี่ยวข้าวมันไม่เหมือนคนที่จะเก็บงานได้ละเอียด แต่พอสายตามองไปเห็นรวงข้าวบางจุดที่รถคงจะแล่นเหยียบไป แม้จะไม่มาก แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้อารมณ์ของคนที่ดูแลควบคุมการทำนาด้วยตัวเองมาทุกขั้นตอนเกิดอารมณ์ปรี๊ด เธอก้าวฉับๆ ไปอยู่หยุดที่คันหน้าตรงหน้ารถเกี่ยวข้าวพอดี ยกฝ่ามือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุด สีหน้าบึ้งตึงพร้อมจะเอาเรื่องจนไข่ต้องถอยมายืนห่างๆ

รถเกี่ยวข้าวหยุดอยู่ห่างจากคันนาที่หญิงสาวยืนประมาณห้าเมตร ชายในชุดหมวกอีโม่งสีเขียวเข้มนั่งอยู่บนเก้าอี้สูงด้านหน้าของรถจ้องมองมายังเธอโดยไม่ยอมดับเครื่อง

“เกี่ยวข้าวเป็นหรือเปล่า รู้ไหมว่าเหยียบรวงข้าวจมโคลนไปตั้งเยอะ นี่แค่เกี่ยวไม่ถึงงานนะ ถ้าเกี่ยวหมดข้าวจะหายไปเท่าไหร่”

พู่ชมพูร้องถามออกไปเสียงดังด้วยน้ำเสียงเข้มเอาเรื่อง ลมแรงพัดมาวูบหนึ่งทำให้หมวกสานไม้ไผ่เปิดออกแต่ไม่หลุดไปไหนเพราะมีเชือกคล้องที่คอเธออยู่ และเธอก็ไม่ได้อินังขังขอบกับมันเพราะแดดยังไม่ร้อนจัดจ้านอกจากเชิดหน้าขึ้นรอฟังคำพูดหรือคำแก้ตัวของคนขับร่างสูงตระหง่าน ชายสองคนที่ทำหน้าที่จับกระสอบข้าวข้างรถหันมามองเธอเป็นจุดเดียวก่อนที่คนร่างเล็กจะเอ่ยแก้ต่าง

“รถเกี่ยวข้าวมันก็เป็นอย่างนี้ล่ะหนูพู่ จะให้เก็บทุกรวงทุกเม็ดมันเป็นไปบ่ได้หรอก”

“แหม่นๆๆ อ้ายบูลย์เว้าถูก” มีเสียงสนับสนุนตามมา

พู่ชมพูตวัดสายตาจากคนขับไปยังคนถือกระสอบ ร้องบอกเสียงดังแข่งกับเสียงรถ

“เงียบไปเลยพี่ทั้งสองคน พี่ก็เคยทำนาน่าจะรู้สึกเสียดายมันบ้าง เพราะกว่าจะได้มามันเหนื่อยยากมากแค่ไหน ตั้งแต่เตรียมดิน หว่านข้าว กำจัดหญ้า ใส่ปุ๋ยและดูแลจนออกเป็นรวงงามๆ อย่างนี้”

“จ้า” บูลย์ร้องตอบมาอย่างเอาใจตามด้วยยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงหู เพราะรู้ว่าเถียงยังไงก็สู้สาวห้าวตากลมโตไม่ได้ ประกายเลื่อมจากหน้าผากสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นมันวับ

เก่ง หนุ่มรูปร่างท้วมสูงทัดเทียมกับบูลย์วัยยี่สิบต้นๆ พยักหน้าหงึกหงักแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนขับที่ยังนั่งจับพวงมาลัยจ้องไปยังหญิงสาวร่างเพรียวนิ่งเฉยอยู่ ก่อนจะร้องบอกไป

“เห็นบ่ เห็นบ่ บ่ฮู้จักระวัง เฮ็ดผู้สาวเคียดแล้วเห็นบ่ เผิ่นเคียดแล้วระวังเผิ่นซังได๋ เนาะอ้ายบูลย์เนาะ”

“แล้วแกไม่กลัวอ้ายแกโกรธเหรอ ดูตาเฮียแกดิ” บูลย์เตือนพลางบุ้ยปากให้ดูคนในหมวกอีโม่งไหมพรม เก่งเลยเสก้มลงมัดปากถุงข้าวเปลือกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“เอ๊าๆ จะไปไหนนั่น” บูลย์สะกิดบอกเมื่อเห็นคนขับร่างสูงที่เคยนึกอิจฉาเพราะตัวเขาเองร่างเล็กไม่เป็นจุดสนใจกระโดดลงมาจากที่นั่งลงมายืนอยู่บนนาข้าว

“สงสัยจะอยากคุยกับผู้สาว นั่นไงกวักมือเรียกสาวมาแล้ว แหม...ช่างกล้า เอ๊ะ ! หนูพู่ก็ลงมาแฮะ”

พู่ชมพูไม่ได้คิดอะไรมากเมื่อเดินย่ำโคลนมาหาคนขับรถที่ยังยืนกวักมือเรียกเธออยู่นั่น เพราะหากยืนอยู่คันนาก็ต้องตะโกนคุยกัน เธอไม่ใช่สาวบ้านนอกที่เดินลงนาเป็นเรื่องลำบาก

พอมาหยุดยืนตรงหน้าร่างสูงโย่ง เจ้าของนาข้าวก็เงยหน้าขึ้นพูดกับเขา “ว่าไง? มีอะไรจะแก้ตัวหรือเปล่า”

จะไม่เงยได้ยังไงในเมื่อเขาสูงกว่าเธอเกือบฟุต ขนาดเธอว่าเป็นผู้หญิงสูงร้อยหกสิบสี่เซนติเมตรแล้วนะ คนนี้ยังสูงมาก

“ไม่ได้แก้ตัวหรอก เพียงแต่จะบอกว่านาข้าวมันมีต้นไม้เยอะ รถเลี้ยวลำบาก บางที่บางจุดมันก็เก็บไม่หมดไปบ้าง แต่มันเป็นเรื่องธรรมดาของรถ จะให้เกี่ยวหมดเหมือนใช้แรงงานคนไม่ได้หรอก” คนขับรถเอ่ยตอบ

“แก้ตัวหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าขับรถเร็วเกินไปหรือไม่ก็รถมันเก่ามากเกินไปหรอกเหรอ”

พู่ชมพูพูดพลางมองรถอย่างสำรวจตรวจตรา ไม่น่ารีบเลยเรา...นี่ถ้ารอสักนิดอาจได้รถสภาพดีกว่านี้หน่อย เธอนึกในใจอย่างเซ็งๆ

พอละสายตาจากรถไปมองคนขับ อะไรบางอย่างทำให้เธอรู้สึกสะดุดใจ  หุ่นอย่างนี้ สูงประมาณนี้ เสียงอย่างนี้ ที่สำคัญดวงตาคู่นั้นมันคุ้นๆ ยังไงอย่างบอกไม่ถูก ช่างคล้ายใครคนใดคนหนึ่งที่เธอเคยรู้จักมาก...

“รถพี่เป็นรถมือสองนะ น้องต้องทำใจหน่อย”

“เอ๊า ทำไมฉันต้องทำใจด้วย ไม่ว่ารถจะเป็นมือสองหรือมือแปด พี่ก็ต้องขับให้ดีๆ” หญิงสาวทำเสียงดุกลับไป แต่ใจเต้นอย่างประหลาด เธอเขม้นมองเขาพร้อมกับถามว่า “แล้วที่กวักมือเรียกมานี่เพื่อจะแก้ตัวแค่นี้เหรอ”

“คิดถึง” คำตอบแผ่วเบา

“อะไรนะ !” พู่ชมพูร้องเสียงสูง

“เปล่า พี่จะบอกว่า...พี่หิวน้ำ”

หญิงสาวหรี่ตามองไม่ค่อยเชื่อถือนัก “ตะกี้เหมือนจะไม่ได้พูดอย่างนี้นี่” หิวน้ำตั้งแต่เช้าเนี่ยนะ

“อ๋อ...พี่บอกว่า แขนมันตึงๆ น่ะ”

“แขนตึงต้องมีคนนวด” เสียงจากสองชายดังโพล่งขึ้นมายังกับว่ามีหูทิพย์

พอพู่ชมพูกับคนขับรถหันไปมองคนทั้งสองที่กำลังอยู่ในท่ายืดคอหัวชนกันคล้ายกำลังเงี่ยหูฟังอย่างสุดฤทธิ์ฝ่ายนั้นก็ยืดตัวตรงหันไปลอยหน้าลอยตาทำเป็นชี้ฟ้าชี้เมฆไปเสียอย่างนั้น

“เป็นอะไรกันนะพี่บูลย์กับพี่เก่งนี่” เจ้าของนาข้าวคนสวยบ่นพึมพำ ก่อนจะหันไปตะโกนกับคนที่มาด้วยว่า

“ไข่ เอากระติกน้ำแข็งที่รถมาไว้นี่หน่อย”

ไข่วิ่งไปตามคำสั่งตามคันนาอย่างคล่องแคล่ว จังหวะนั้นพู่ชมพูก็ถือโอกาสกวาดตาสำรวจดูรถเกี่ยวข้าว ประเมินจากสายตาแล้ว ไม่ใช่รถใหม่เอี่ยมอย่างแน่นอนเพราะสีสันของตัวรถจืดจางแถมยังมีร่อยรอยขูดขีดอยู่ทั่วไป

“มองเหมือนสนใจ อยากลองขับดูไหม?” อยู่ดีๆ คนขับก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

หญิงสาวขมวดคิ้วกับคำถาม ถามหยั่งเชิงอย่างไม่ค่อยเชื่อถือนักว่า “กล้าให้ลองขับเหรอ ราคาไม่ใช่หมื่นสองหมื่นนะ นี่เกือบล้านเลยไม่ใช่เหรอ”

อีกฝ่ายพยักหน้า แววตาคุ้นคู่นั้นมองไปยังรถอย่างภาคภูมิใจ “ใช่...มันหลายล้าน มันได้มาจากความยากลำบากของแม่”

พู่ชมพูไม่ได้ยินประโยคตอนท้าย เพราะเธอหันไปให้ความสนใจไข่ที่เดินกะย่องกะแย่งถือกระติกน้ำแข็งมา

“อ้าว แล้วไหนล่ะน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือว่าเทใส่ในกระติกแล้วเหรอ”

ไข่ทำหน้าเหรอ “เอ๊า ก็พี่พู่บอกให้เอาแต่กระติกน้ำแข็ง”

“ไอ้ไข่ !”

เพียงแค่ได้ยินเสียงสูงเข้มจัดของสาวห้าวคนสวย ไข่ก็หมุนตัวกลับแทบไม่ทัน วิ่งอย่างยากลำบากไปบนโคลนในนา ไปๆ มาๆ เลยกระโดดคล้ายจิงโจ้

“ดุเหมือนเดิมนะ” มีเสียงเอ่ยลอยๆ จากคนใกล้ตัวอีก

“อะไรนะ” หญิงสาวหันขวับมา

“พี่บอกว่าน้องน่ะดุเหมือนเดิมเลย ไม่เคยเปลี่ยน”

พู่ชมพูหรี่ตาดุๆ มอง “พูดเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้น”

ว่าไปแล้วเสียงก็คุ้นหูเธออยู่นะ เพียงแต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในเมื่อเขาคนนั้นเข้ากรุงเทพฯ ไปอยู่กับแม่ของเขานานแล้วจนเธอไม่ได้ข่าวคราว ป่านนี้อาจแต่งงานมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองเป็นหนุ่มเมืองกรุงไปแล้วกระมัง

“พี่รู้จักสิ รู้จักและจำได้ดีทีเดียวแหละ แต่น้องคงลืมกันไปแล้วมั้ง”

“แล้วพี่เป็นใครล่ะ เปิดหมวกออกมาให้ดูซิ” เจ้าของผืนนาบอกอย่างอวดอำนาจไม่เบา ยืดตัวตรงตีหน้าเคร่ง

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวจะตะลึงในความหล่อ”

“โธ่...ทำเป็นอมพะนำ ไม่ได้อยากเห็นอยากรู้ก็ได้ รีบไปเกี่ยวข้าวต่อเลย แล้วตกลงเกี่ยวไร่ละเท่าไหร่ ฉันยังไม่ได้ถามเลย พี่ก็ไม่รอคุยกันเลยนะ รีบลงมาเกี่ยวเลย กลัวไม่ได้เกี่ยวหรือไงก็ไม่รู้”

“ก็กลัวว่าจะไม่ได้เกี่ยวนานี้น่ะสิ”

“แล้วก็เกี่ยวไม่ดีเก็บไม่หมดนี่นะ อย่าคิดนะว่าได้ลงนามาแล้วจะปล่อยให้เกี่ยวหมดนา ฉันสั่งหยุดก็ได้ถ้าเห็นว่ายังทำไม่ดีอยู่อีก” ว่าแล้วก็หมุนตัวเดินไปยังคันนา

“น้องพู่จ๋า...ไม่ต้องกลัวหรอกจ้า เดี๋ยวอ้ายเขาก็มาช่วยเกี่ยวข้าวที่รถมันเกี่ยวไม่หมดเอง” เก่งร้องไล่หลังแล้วหันไปหัวเราะคิกคักกับบูลย์ แต่พอเห็นดวงตาคมกริบของอีกชายคนขับที่เอี้ยวตัวมาก็ยิ้มค้างแล้วแกล้งทำเป็นหลบตาทั้งที่รอยยิ้มยังติดอยู่ริมฝีปาก อึกใจก็แหกปากร้องเพลงลั่น

“คนบ้านเดียวกัน แค่มองตากันก็เข้าใจอยู่ รู้ว่าเหนื่อยแค่ไหน ว่าหนักแค่ไหนบนหนทางสู้ โอ๊ย...น้อ..นอ...คนบ้านเฮา”

เสียงเพลงที่ดังมาจากสองชายทำเอาเธอส่ายหน้าไปมาอย่างขำๆ พอก้าวไปได้ห้าก้าวก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างเล็กๆ ของเด็กชายประมาณสี่ขวบวิ่งมาตามคันนาและร้องเสียงแจ๋ว ด้านหลังเด็กชายมีสตรีรูปร่างผอมบางสวมหมวกไม้ไผ่สานเดินถือปิ่นโตเดินตามมาอย่างช้าๆ เธอขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกว่าคุ้นกับคนที่เดินตามหลังมา

“พ่อ พ่อเดี่ยว พ่อเดี่ยวคร้าบ”

ชื่อที่เด็กชายเรียกทำให้พู่ชมพูหมุนตัวกลับไปทางคนขับรถเกี่ยวข้าว และก็พอดีกับที่คนขับรถถอดหมวกอีโม่งออกและกำลังรับแก้วน้ำจากเก่งมาถือไว้ทำท่าจะยกขึ้นดื่มแต่พอสบตากับเธอเขาก็หยุดท่าไว้อย่างนั้นแล้วส่งยิ้มให้เธอ

“พี่เดี่ยว...” เธอพึมพำ

“ว่าแล้วต้องตะลึงในความหล่อของไอ้เดี่ยวมัน อะฮะ อะฮ้า” เสียงใครคนหนึ่งระหว่างเก่งกับบูลย์พูดแข่งกับเสียงรถอย่างครึกครื้น

                               ******************

แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 07:10:55

จากคุณ : สายธาร/กนกนารี
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 06:55:49




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com