Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Black Gun And Red Rose - กุหลาบแดงและปืนดำ - บทที่ 10 ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11691462/W11691462.html

บทที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11703633/W11703633.html

บทที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11718987/W11718987.html

บทที่ 4 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11728001/W11728001.html

บทที่ 5 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11751888/W11751888.html

บทที่ 6 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11770861/W11770861.html

บทที่ 7 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11795300/W11795300.html

บทที่ 8 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11817498/W11817498.html

บทที่ 9 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11842423/W11842423.html

---------------------------

ขอบคุณกิฟท์จากคุณรุริกะ - ขอบคุณสำหรับกิฟท์ครับผม

ขอบคุณกิฟท์จากคุณกุหลาบมอญ - ขอบคุณสำหรับกิฟท์ครับ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณให้เพียงเธอหมดใจ - ขอบคุณสำหรับคำชมครับ ขอบคุณที่ตามอ่านเหมือนกันนะครับ ขอบคุณมากๆ

ขอบคุณกิฟท์(ที่หมด)จากคุณกาปอมซ่า - กระทู้นี้ขอไอศรีมช็อคโกแล็ตชิปดับร้อนได้มั้ยครับพี่กาปอม

ขอบคุณกิฟท์จากคุณใยไหมกะใบม่อน - ขอบคุณสำหรับกิฟท์และการแย่งกาแฟครับ 555+

ขอบคุณกิฟท์จากคุณห้าสิบป่าย - ขอบคุณสำหรับกิฟท์และการรอคอยครับ มาช้าไปหนึ่งวัน แหะๆ อยู่ไปด้วยกันเรื่อยๆ นะครับ ตั้งแต่บทหน้าเป็นต้นไป เรื่องจะดำเนินเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังแล้ว

ขอบคุณกิฟท์จากคุณ GTW - ถูกต้องเลยครับ รัมภาคือจุดอ่อนเดียวของเดโช และก็เพราะความรักลูกสุดชีวิตนี่แหล่ะ ความลับเลยแตกอย่างไม่ตั้งใจ!(แอ๊ ฉะปอยมันทุกกระทู้วววว์)

ขอบคุณกิฟท์จากคุณเพชรรุ้งพราย - ขอบคุณสำหรับกิฟท์นะครับ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณสามปอยหลวง - ขอบคุณสำหรับกิฟท์ครับผม

ขอบคุณกิฟท์จากคุณ npuiy - ขอบคุณสำหรับกิฟท์นะคร้าบ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณน้ำพรมหนำ - ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ นักเขียนคนนี้ไม่มีวันทิ้งนักอ่านอยู่แล้วครับ ถ้าเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์ ผมก็คงวางไม่ลงเหมือนกัน ฮา!

ขอบคุณกิฟท์จากคุณชมภัค - ขอบคุณสำหรับกิฟท์ครับพี่ชมภัค

ขอบคุณคุณปันฝัน - ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านครับ ^^

ขอบคุณกิฟท์จากคุณสะเก็ดดาวเสาร์ - โอ๊ะ เจอคาถาของคุณสะเก็ดดาวเสาร์เข้าไป มิน่า ผมนั่งเขียนไปร้อนวูบๆ วาบๆ ชอบกล งั้นผมเสกคาถากลับบ้างนะครับ บทที่สิบมาแล้ว จงมาอ่านๆๆๆๆ ^^

ขอบคุณกิฟท์จากคุณ zoi - ขอบคุณสำหรับกิฟท์ครับพี่โส้ย ขอบคุณสำหรับการตามอ่านด้วยนะครับ

บทที่สิบมาแล้ว  บทนี้เป็นบทสุดท้ายในเนื้อเรื่องครึ่งแรก พอเข้าสู่เนื้อเรื่องครึ่งหลัง ความจริงทุกอย่างจะทยอยเปิดเผยทีละบท กิฟท์ผมหมดแล้ว ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านและแวะเข้ามาอ่านนะครับ

^^

------------------------------

บทที่ 10

เมืองลำปาง,ห้างฉัตร
คฤหาสน์บุษบายุธ


เมื่อคณะสงฆ์ทำพิธีทานปราสาทและนำโลงศพของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์มาตั้งไว้บนปราสาทศพเสร็จเรียบร้อย มันก็เป็นเวลาที่หน้าคฤหาสน์บุษบายุธเต็มไปด้วยกลุ่มผู้คนที่เป็นชาวบ้านธรรมดาซึ่งถูกจัดให้รวมอยู่ในบริเวณเดียวกับคนงานและลูกจ้างของตระกูลบุษบายุธ พวกเขามายืนออกันแน่นเพื่อร่วมเป็นสักขีพยานของงานศพพ่อเลี้ยงใหญ่  ชาวบ้านหลายคนส่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย ดูเหมือนพวกเขาจะรักพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์ประหนึ่งญาติของตัวเองจริงๆ

ดวงอาทิตย์ลาลับฟ้าไปที่เหลี่ยมเขา ริสาไม่มีน้ำตาไหลอีกแล้วเมื่อเธอมองคนงานของพ่อจำนวนสี่คนแบกโลงศพที่มีลวดลายวิจิตรราวกับโลงศพของขุนนางยุคโบราณขึ้นไปตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนปราสาท โดยมีการเดินนำทางของเดโชและพิชิต สองเสาหลักที่คอยช่วยงานพ่อของเธอตลอดมา

ริสาอยู่ต้อนรับแขกร่วมกับรัมภาและเรณูหลังเสร็จสิ้นการสวดอภิธรรมในคืนสุดท้าย แขกที่มาในวันนี้นอกจากเพื่อนสนิทไม่กี่คนกับเหล่าพนักงานชั้นผู้ใหญ่ในโรงงานผลิตเซรามิกกับรีสอร์ทของพ่อเธอแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นนักธุรกิจดังจากต่างถิ่นที่เพิ่งเดินทางมาร่วมงานศพของพ่อเธอเป็นวันแรก

หญิงสาวปรับตัวรับความจริงได้ดีจนเธอยังอดแปลกใจตัวเองไม่ได้ แม้จะไม่อยากคิดว่าเป็นเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของชายหนุ่มแปลกหน้า แต่ริสาก็ต้องยอมรับว่ามันคือความจริง

หลังจากคำที่ชายแปลกหน้าคนนั้นพูดกับเธอเมื่อคืนฝังลึกลงไปในจิตใจ ริสาก็ไม่อนุญาตให้ตัวเองร้องไห้อีก เธอตั้งสติและลองใช้เหตุผลไตร่ตรองดูถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หลังเดินทางกลับบ้านพักไปพร้อมกับทิวากรเมื่อคืน ริสาใช้เวลาทั้งคืนนั่งคิดว่าคนใกล้ตัวที่จะคิดร้ายกับเธอนั้น ควรจะเป็นใครได้บ้าง

คนใกล้ตัวของเธอที่วานิช มิตรนิรันดร์พูดถึง ริสาไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงคนใกล้ตัวขนาดไหนกัน ถ้าใกล้มากหน่อยก็ทิวากร – แต่เป็นตายร้ายดียังไงริสาก็ไม่เชื่อว่าเขาจะคิดร้ายกับเธอแน่ นอกจากนั้นก็มีพิชิตซึ่งเธอจัดให้อยู่หมวดเดียวกับทิวากร ส่วนที่เหลือก็ไม่อาจนับเป็นคนใกล้ตัวของเธอได้

ช่างน่าใจหาย ในชีวิตนี้เธอมีคนใกล้ตัวนอกจากพ่อกับแม่เพียงแค่สองคนเท่านั้นเองหรือ...

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะพี่โรส?”

เสียงของรัมภาทำให้ห้วงคิดของหญิงสาวหยุดลง ริสาเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองออกมายืนเหม่อลอยอยู่คนเดียวที่สนามหญ้าก็เมื่อหันมาเห็นรัมภากับทิวากรยืนจ้องเธออยู่ตาเขม็ง ตอนนี้บรรดาแขกที่เป็นชาวบ้านและคนงานกับลูกจ้างถูกกันออกไปยังส่วนที่จัดไว้ให้ ในขณะแขกที่เป็นนักธุรกิจนั้นทยอยเดินไปยังเต็นท์รับรองที่จัดไว้อีกด้านหนึ่ง วันนี้การจัดเลี้ยงอาหารมีขึ้นที่สวนหย่อมหญ้าคฤหาสน์ภายใต้บรรยากาศที่สบายๆ กว่าสองวันแรก

“ไม่เป็นไรจ้ะ” ริสาแค่นยิ้มตอบ มองใบหน้าขาวใสของรัมภาพลางคิดว่า นานแค่ไหนแล้วที่เธอกับน้องสาวต่างมารดาไม่เคยอยู่ด้วยกันตามลำพัง

ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันเหมือนมีป้อมปราการบางอย่างขวางกลางทำให้พวกเธอไม่กล้าใกล้ชิดกันมากเกินไป แม้เมื่อสักตอนเจ็ด - แปดปีก่อน รัมภาจะชอบตามไปเล่นที่ไร่บุษบายุธบ่อยๆ เมื่อเธอขอไปช่วยงานที่ไร่ในช่วงปิดเทอม แต่ริสาก็รู้ว่ารัมภาไม่ได้ตั้งใจตามไปเล่นกับเธอ

แต่รัมภาตั้งใจไปหาทิวากรต่างหาก

ริสาคิดว่าเห็นสายตาที่เด็กน้อยรัมภามองพี่ชายทิวากรเป็นคนเก่งในดวงใจ เป็นพระเอกที่คอยเป็นกรรมการยุติการทะเลาะวิวาทของพวกเด็กๆ ลูกคนงานในไร่ที่ชอบวางมวยกันเป็นประจำ

ทิวากรเป็นเหมือนฮีโร่ที่คอยช่วยรัมภาเมื่อมีสัตว์เลื้อยคลานเคลื่อนผ่านหน้าไปในระยะเผาขน เขาจะดึงเธอมาอยู่ข้างหลัง ใช้กิ่งไม้ที่หาได้แถวนั้นจัดการเขี่ยสิ่งที่รัมภาหวาดกลัวจนเกาะแขนเขาแน่นไปให้พ้นทาง ในตอนนั้น เขากับริสามีอายุได้สิบหกปี ส่วนรัมภานั้นเพิ่งเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบ เธอจึงเป็นคุณหนูน้อยที่พิชิตสั่งให้ทิวากรคอยดูแลชนิดยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเมื่อมาขลุกอยู่ที่ไร่ผลไม้  

ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นอยู่สองสามปี จนเมื่อทิวากรเติบโตและถูกส่งไปเรียนต่อที่กรุงเทพด้านบริหารธุรกิจ ส่วนริสาไปเรียนที่อังกฤษ พวกเขาก็ไม่ค่อยได้กลับมาช่วยงานที่ไร่อีก เช่นเดียวกับรัมภาที่ถูกส่งไปศึกษาในโรงเรียนประจำที่ดังที่สุดในเชียงใหม่ซึ่งจะได้กลับบ้านแค่ช่วงวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ จนมีอายุครบสิบห้าปี คุณพ่อก็ทำเรื่องติดต่อโรงเรียนกับบ้านพักโฮมสเตย์ที่เชื่อถือได้และส่งไปอยู่ออสเตรเลียเพราะเกรงว่าหากอยู่ไทยจะถูกแม่ตามใจจนเสียเด็ก

เมื่อทิวากรเรียนจบปีที่แล้ว เขาก็กลับมาลำปางเพื่อดูแลงานด้านรีสอร์ทกลิ่นเกสรและแบ่งเบาภาระพิชิตโดยให้บิดาคอยคุมไร่ผลไม้เพียงอย่างเดียว ตลอดเวลาที่เขาเติบโตเป็นหนุ่มหล่อที่กรุงเทพ ทิวากรติดต่อกับริสาไม่เคยขาด สวนทางกับรัมภาที่เขาไม่เคยเจอเธอเลยจนกระทั่งเพิ่งพบอีกครั้งเมื่อคืนวาน ริสาเห็นแววตาที่คนทั้งคู่มองกันยังไม่เปลี่ยนจากในอดีต รัมภายังคงเห็นทิวากรเป็นพระเอกในใจ ส่วนทิวากรก็ยังคงเห็นรัมภาเป็นคุณหนูน้อยที่ต้องได้รับการดูแลปกป้องดังเดิม ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

ริสาส่งยิ้มให้น้องสาวต่างมารดาอย่างสงสารอีกครั้ง แต่ไม่ยังได้พูดอะไรกันต่อ ก็พอดีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ยัยภา มายืนทำอะไรแถวนี้คะลูก”

นั่นคือเสียงของเรณู เสียงนั้นสามารถดึงริสา ทิวากรกับรัมภาให้หันศีรษะกลับไปมองในเวลาเดียวกัน

สาวใหญ่แต่ใบหน้าอ่อนกว่าวัยหยุดเท้าเบื้องหน้าบุตรสาว หล่อนไม่ชำเลืองมองริสาเลยสักแวบ แต่กลับจ้องมองทิวากรด้วยสายตาที่เข้มขรึมขึงขังผิดปกติ

“คุณแม่ตามหาหนูมีอะไรหรือคะ?” รัมภาถาม เธอไม่สบายใจนักเมื่อเห็นสายตาที่มารดามองทิวากร เด็กสาวไม่เคยพบว่าแม่จะมองพี่หมิงของเธอด้วยสายตาแบบนี้มาก่อน มันเป็นสายตาที่แม่มักจะมองพี่ริสาเวลาเห็นพวกเธอนั่งหัวร่อต่อกระซิกอยู่ด้วยกันเมื่อตอนเป็นเด็กๆ และเมือพี่ริสาเห็นแม่ของเธอมองแบบนั้น พี่ริสาก็ไม่ค่อยมาเล่นกับเธออีกเลย

รัมภากำลังกลัวว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับทิวากร เธอคงทนไม่ได้แน่ถ้ามันเป็นเช่นนั้น

“แม่มาตามให้เราไปสวัสดีคุณลุงสันติสักหน่อย ลุงเขาอุตส่าห์ลางานที่ซานฟรานฯ เพื่อมาร่วมงานศพพ่อเราเชียวนะ” เรณูพูดในที่สุด
หล่อนส่งยิ้มหวานให้ลูกสาวเมื่อละสายตาจากหนุ่มตี๋ที่ยืนกระพริบตาปริบๆ งงว่าคุณนายใหญ่แห่งตระกูลบุษบายุธมองเขาอย่างตำหนิติเตียนด้วยเหตุอันใด

“แม่คะ หนูไม่ไปไม่ได้หรือคะ หนูขี้เกียจเจอหน้าลูกชายของพ่อเลี้ยงกำธรคนนั้น เขาชอบเดินมาดักหน้าชวนหนูคุยอยู่เรื่อย หนูไม่ชอบเลย” รัมภาหน้างอ เธอสั่นศีรษะ เอื้อมมือออกมาจับแขนทิวากรเอาไว้เหมือนกลัวจะถูกผู้เป็นแม่กระชากตัวออกไปอย่างกะทันหัน

เรณูลดสายจับจ้องมือของบุตรสาว หล่อนยังคงฉีกยิ้มเมื่อเอื้อมมือออกไปแกะมือของบุตรสาวออกจากแขนของทิวากรและนำมากุมไว้กับมือของตัวเองด้วยความรักใคร่

“ไปสักหน่อยเถอะลูก แม่อยู่ทั้งคน มันจะกล้ามาตอแยลูกแม่ได้ยังไง” เรณูพูดพร้อมกับยกอีกมือลูบศีรษะของบุตรสาวอย่างปลอบโยนและออกแรงดึงรัมภาออกมาด้านหน้าเล็กน้อย

“โธ่ แม่คะ” รัมภาเสียงอ่อย เธอทราบว่าคงหลีกเลี่ยงคำขอของมารดาไม่ได้ แต่วินาทีนั้น เด็กสาวก็เผลอยิ้มออกมา เธอเหลียวหน้าอย่างมีความหวังกลับไปยังริสาและทิวากรที่ยืนอยู่ด้านหลัง “พี่โรสกับพี่หมิงไปด้วยกันสิคะ หนูจะได้ – ”

“ - หยุดงอแงได้แล้วนะยัยภา แม่มาชวนเรา ไม่ได้ชวนคนอื่นสักหน่อย” เรณูตัดบท หล่อนทำหน้าดุใส่รัมภาโดยไม่สนใจหนุ่มสาวอีกสองคนที่หล่อนเรียกว่าคนอื่น

“มินไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวพี่ตามไป” ริสาพูดเสียงเรียบ  ไม่สนใจคำที่ได้ยินเพราะผ่านหูมาจนชาชินแล้ว

“จริงนะคะ?” รัมภายังคงหน้างอ ไม่ค่อยพอใจการที่ต้องไปกับมารดาเพียงลำพัง เมื่อเห็นริสาพยักหน้า เธอก็หันมาทางทิวากรด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น “แล้วพี่หมิงล่ะคะ จะตามมาหรือเปล่า?”

“เอ่อ ถ้าผมไปช่วยดูแลทางเต็นท์ชาวบ้านเสร็จก็คงจะตามไปครับ” ทิวากรพูดอ้อมแอ้มเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่เรณูแผ่รัศมีออกมาเมื่อหล่อนพูดตัดบทเป็นครั้งที่สองกับบุตรสาวว่า

“รีบไปเถอะลูก คุณลุงคอยอยู่”

แล้วรัมภาก็ถูกมารดาลากตัวไปอย่างไม่เต็มใจนัก

ริสายืนมองภาพนั้น พร้อมกับที่คำพูดของวานิช มิตรนิรันดร์กังวานขึ้นในสองหูของเธออย่างไม่มีเหตุผล  

...คนใกล้ตัวกำลังคิดร้ายกับคุณอยู่ คุณริสา  มีคนต้องการจะฆ่าคุณ กรุณาระวังตัว อยู่ห่างคนพวกนี้ให้มากที่สุด ผมมาที่นี่เพื่อเตือนคุณด้วยความหวังดี...

“น่าแปลกนะ” ทิวากรพูด เสียงของเขาทำให้เสียงของวานิช มิตรนิรันดร์ในหูของริสาเลือนหายไป

“อะไรน่าแปลก?” ริสาถามพลางเงยหน้ามองทิวากรที่เธอสูงเลยระดับไหล่ของเขามาเพียงหน่อยเดียว

“คุณเรณูน่ะ แปลกๆ ไปนะ เหมือนไม่พอใจหมิงยังไงไม่รู้” ทิวากรตอบ ทอดสายตามองข้ามสนามหญ้าไปยังเต็นท์สีขาวติดไฟสว่างที่เต็มไปด้วยนักธุรกิจดังจากทุกสารทิศ หนุ่มตี๋มักจะเรียกเรณูโดยมีคำว่าคุณนำหน้าอยู่เสมอเวลาพูดกับคนอื่น แต่ถ้าพูดกับบิดาหรือเดโช เขาจะเรียกเรณูว่าโกวเจิน

ริสารู้เหตุผล เธออยากจะหัวเราะ แต่หัวเราะไม่ออกจึงได้แต่ฝืนยิ้มตอบกลับไป  “หมิงคิดมากไปรึเปล่า”

“แต่สายตาที่คุณเรณูมองหมิงมันชัดมากนะ เขาไม่พอใจหมิงแน่ๆ” ชายหนุ่มยกมือเกาหัวแกรก ไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้ตัวเองถึงซวยซ้ำซวยซ้อน ตอนเช้าได้รับแจ้งว่ารีสอร์ทถูกบุกรุก วานิช มิตร์นิรันดร์เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมพร้อมโอกาสที่ไร่บุษบายุธจะได้ลูกค้ารายใหญ่ลอยหายไป พอมาตอนสาย เขาก็ถูกบิดาสั่งสอนเสียหูชาทางโทรศัพท์ในกรณีที่ทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาแปะโช ตกถึงเย็น ทางฝ่ายบัญชีจากโรงงานเซรามิกก็ได้แจ้งผลจากการตรวจสอบมาว่า ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีลูกค้าตระกูลมิตรนิรันดร์มาทำการซื้อ – ขายเซรามิกกับทางโรงงานมาก่อน

นั่นเท่ากับว่า คืนที่ผ่านมา เขาถูกชายแปลกหน้าต้มเสียเปื่อย วานิช มิตรนิรันดร์ไม่เคยมีตัวตน มันเป็นใครก็ไม่รู้ ทิวากรยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครแม้กระทั่งริสา เพราะเขาไม่เข้าใจว่าริสาจะช่วยหมอนั่นโกหกทำไม ในเมื่อวานิช มิตรนิรันดร์ไม่มีตัวตนจริงๆ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่หมอนั่นจะเป็นเพื่อนเก่ากับริสาตอนอยู่อังกฤษ

ทิวากรคิดว่าหลังจากพาริสากลับไปที่บ้านพักของเขาคืนนี้ เขาจะต้องงัดคำตอบออกมาจากปากเธอให้ได้ งานนี้ต่อให้โกรธกันก็ยอมล่ะ เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าเธอปิดบังอะไรไว้ – จากใครและเพราะอะไร

“เอาน่า อย่าคิดมาก หมิงไม่ใช่คนคิดมากนี่นา” ริสาพยายามพูดให้กำลังใจเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทเครียดขึ้นมา

“เปล่าคิดมาก” ทิวากรกล่าว หันมายิ้มให้ริสาแล้วพยักพเยิดไปยังเต็นท์รับรองแขก “หมิงว่าโรสไปที่เต็นท์ดีกว่า เดี๋ยวหมิงดูความเรียบร้อยที่เต็นท์ชาวบ้านเสร็จจะตามไป”

ริสามองไปที่เต็นท์รับรองนักธุรกิจแล้วก็ส่ายหน้า หันมาพูดกับทิวากรด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ฟังดูกระปลี้กระเปล่าขึ้น

“ให้โรสไปดูที่เต็นท์ชาวบ้านด้วยก็ได้นะ ประเดี๋ยวเขาจะหาว่าคนตระกูลบุษบายุธหยิ่ง ไม่ยอมลงไปต้อนรับพวกเขาเลย นี่ก็ปาเข้าไปคืนสุดท้ายแล้ว มีแต่อาชิตที่คอยลงไปดูแลอยู่คนเดียว”

“แต่เต็นท์นี้ล่ะ?”

ริสาหัวเราะขมขื่นเบาๆ “คงไม่ค่อยมีคนต้องการโรสเท่าไหร่หรอกหมิง แขกวันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่มาสนิทกับคุณพ่อตอนยัยมินเพิ่งเกิดทั้งนั้น”

“อืมม์ จริงสินะ งั้นตามใจโรสละกัน” ทิวากรพูด เขาเข้าใจดีว่าริสาต้องการจะบอกว่า แขกส่วนใหญ่ที่มาในวันนี้ เป็นคนที่เพิ่งจะมารู้จักกับพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์ในยุคที่พ่อเลี้ยงมีคุณเรณูเป็นภรรยา  แต่ริสาไม่ต้องการเอ่ยชื่อแม่เลี้ยงของเธอออกมาเท่านั้น

หนุ่มตี๋คิดว่าริสาคงจะเจ็บปวดไม่น้อย เขารีบเปลี่ยนเรื่องพูดขณะเริ่มต้นขยับเท้าก้าวเดินไปด้วยกันบนทางเดินที่ทอดไปสู่เต็นท์รับรองชาวบ้าน ซึ่งตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของคฤหาสน์ “เอ้อ โรส จำเมื่อก่อนได้มั้ย ตอนที่พวกเรายังเด็กๆ น่ะ มีลูกคนงานสองคนในไร่ชอบต่อยกันประจำ ชื่อไอ้บาสกับไอ้บอลน่ะ?”

ริสานึกอยู่ครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าตอบรับว่าจำได้

ทิวากรพูดปนหัวเราะ “ตอนนี้มันสองคนกลายเป็นเพื่อนซี้ไปแล้วนะ ป๊าหมิงเห็นมันมีแวว เลยส่งไปเรียนที่โรงเรียนกีฬาด้วยกัน ตอนนี้เป็นนักมวยเยาวชนทีมชาติทั้งคู่”

ริสาแค่นหัวเราะออกมาเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ทิวากรหัวเราะเก้อ เธอเข้าใจว่าเขาคงอยากสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลายลงสำหรับเธอ แต่ริสาก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองสดใสได้ในงานศพของพ่อที่มีแขกไม่กี่คนเท่านั้นที่สนใจเธอ มันจึงช่วยไม่ได้ที่ริสาจะหวนกลับไปนึกถึงชายหนุ่มแปลกหน้าผู้ลึกลับคนนั้นอีกครั้งขณะเดินไปเงียบๆ บนทางเดินเคียงข้างทิวากร และเมื่อเดินมาใกล้ถึงเต็นท์ที่จัดไว้สำหรับรับรองชาวบ้านและคนงาน เธอก็เอ่ยถามออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า

“วันนี้หมิงได้พบคุณวานิชมั่งหรือเปล่า?”

ฝีเท้าของทิวากรเชื่องช้าลง เขาหันมาจ้องมองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาว “โรสหมายถึงเจอที่นี่หรือเจอที่รีสอร์ทล่ะ?”

“ที่ไหนก็ได้” ริสาคิดว่าในคำพูดของทิวากรมีอะไรบางอย่างผิดปกติ
“ถ้าที่งานศพ ยังไม่เจอ แต่ที่รีสอร์ทน่ะเจอเมื่อเช้า แต่คิดว่าคงไม่ได้เจออีกแล้ว”

ริสาหยุดเท้า แล้วหันมองใบหน้าของทิวากรตรงๆ “เขายังพักอยู่ที่รีสอร์ทไม่ใช่หรือ?”

ทิวากรนึกขึ้นได้ว่าริสายังไม่ทราบเรื่องที่เกิดกับนักธุรกิจกำมะลอเมื่อคืนเพราะรีสอร์ทมีการปิดข่าวให้มากที่สุดเท่าที่มากได้ เขาคิดว่าคงไม่มีใครอื่นอีกรู้เรื่องนี้นอกจากตำรวจกับพวกลูกค้าที่พักอยู่ชั้นเดียวกับวานิช มิตรนิรันดร์

หนุ่มตี๋จึงลองพูดหยั่งเชิงออกมาว่า

“ไม่อยู่แล้ว เขาเพิ่งเช็คเอ้าท์ออกไปเมื่อเช้า”

ทิวากรลอบสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาว เธอเบิกตามองเขา แต่ไม่มีความประหลาดใจบนใบหน้ามากนัก

“ไปแล้วหรือ?” ริสาถาม น้ำเสียงเหมือนเสียดายอะไรบางอย่าง

“อื้อ ไปแล้ว” หนุ่มตี๋ผงกศีรษะ เหลียวซ้ายแลขวาเล็กน้อยก่อนเอนตัวเข้ามากระซิบ “พอดีเมื่อเช้าเกิดเรื่องที่รีสอร์ทนิดหน่อย”

“เรื่องอะไร?” ความสงสัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ซีดเซียวของริสา

“คืนนี้หมิงจะเล่าให้ฟัง แล้วหมิงมีอะไรบางอย่างจะถามโรสด้วย”
ทิวากรทิ้งปมไว้แค่นั้น เขาก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าไม่ต้องการพูดอะไรเรื่องนี้ในตอนนี้อีก

เขากำลังจะสาวเท้าออกเดินต่อไป ริสาก็เอื้อมมือมาคว้าแขนไว้ด้วยความเอะใจ เธอสังหรณ์ว่าหนุ่มตี๋คงรู้แล้วแน่ๆ ว่านักธุรกิจจากต่างถิ่นคนนั้นเป็นเพียงการปลอมตัวของใครบางคน

เธอจ้องเข้าไปในดวงตาของเพื่อนสนิท และกลั้นใจถามออกมา “หมิงรู้แล้วใช่มั้ยว่าคุณวานิชที่พวกเราพบไม่มีตัวตนจริง?”

ทิวากรถึงกับอ้าปากอย่างคาดไม่ถึงว่าเธอจะกล้ายิงคำถามตรงๆ ออกมาอย่างนี้ เขารีบพยักหน้ายืนยันคำตอบ แล้วกระซิบ “หมิงอยากรู้ว่าโรสคุยอะไรกับมัน – แต่ที่นี่คนเยอะเกินไป ไว้กลับไปที่บ้านพักเมื่อไหร่ค่อยคุยกัน โอเคนะ?”

ริสาปล่อยมือออกจากแขนทิวากร เธอเบือนสายตาไปทางอื่นไม่รับคำ เพราะไม่รู้ว่าควรบอกความจริงกับทิวากรหรือไม่ หรือถ้าบอกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ริสานึกถึงใบหน้าของวานิช มิตรนิรันดร์ขึ้นมาในใจ เธออยากจะเจอเขาอีกสักครั้ง อยากให้เขาบอกเธอออกมาตรงๆ ว่าใครกันคือคนที่เขาพูดถึง

แต่ขณะนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงรองเท้าส้นสูงย่ำมาตามทางเดินระรัวหู ความคิดของริสาถูกขัดจังหวะ เธอดึงสายตามองไปที่ต้นเสียงซึ่งเดินกึ่งวิ่งจนกระโปรงจีบยาวระดับเข่าสีดำที่สวมใส่พลิ้วไสว รัมภาเดินมาตามทางจากเต็นท์รับรองแขกนักธุรกิจด้วยใบหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

“คุณมิน เป็นอะไรไปครับ?” ทิวากรถามเมื่อหมุนตัวกลับมามอง เห็นเด็กสาวเดินหน้างอชะลอเท้าลง

เธอหยุดเท้าลงตรงบริเวณที่ที่เขากับริสากำลังยืนอยู่

“คุณแม่น่ะสิคะ พาหนูไปสวัสดีคุณลุงสันติเสร็จ ยังจะให้หนูพาลูกชายคุณลุงสันติเดินชมบ้านอีก นี่งานศพคุณพ่อนะคะ  พวกเขานึกว่างานเลี้ยงอะไรกัน” ความไม่พอใจบนใบหน้าของรัมภาบอกอย่างชัดเจนว่าเธอกำลังถูกผู้ใหญ่ ‘จับคู่’ กับใครบางคน

“แล้วเดินหนีมาแบบนี้ คุณเรณูไม่ว่าอะไรหรือครับคุณมิน?” ทิวากรเหลือบมองไปทางเต็นท์ แต่ก็ไม่เห็นมีใครเดินออกมาตามให้เด็กสาวกลับไป

“หนูบอกว่าขอตัวมาเข้าห้องน้ำค่ะ”

“ถ้างั้นเดี๋ยวมินก็ต้องกลับไปอีกน่ะสิ” ริสาพูด นึกสงสารรัมภาที่นอกจากจะมีกบิลมาคอยเดินดักหน้าดักหลังแล้ว ยังมีหนุ่มรายใหม่มาให้ปวดหัว แถมคนนี้ท่าทางคนเป็นแม่จะส่งเสริมเสียด้วย ริสาวาดภาพออกได้ในทันทีว่า ‘ลูกชายของคุณลุงสันติ’ คงเป็นหนุ่มประเภท คุณชายสุดหล่อยอดเพอร์เฟ็ค เป็นสเป็คที่เหล่าคุณนายทั้งหลายอยากได้ตัวเป็นลูกเขยใจจะขาดโดยไม่สนใจเลยว่าลูกสาวจะเห็นด้วยหรือไม่

“ไม่ค่ะ หนูจะไม่กลับไปแล้ว” รัมภาหน้าบูด เตือนทิวากรให้เขานึกถึงยัยลูกเป็ดขี้เหร่ในอดีต “แล้วนี่พี่สองคนจะไปไหนกันคะ?”

“จะไปดูแลทางฝั่งเต็นท์ชาวบ้านน่ะจ้ะ” ริสาเป็นคนตอบ

รัมภาฉีกยิ้มจนเห็นฟันกระต่าย “งั้นหนูขอไปด้วยคนนะ ในเต็นท์โน้นน่าเบื่อจะตาย มีแต่คนแก่คุยกัน”

ริสาเผลอยิ้ม นึกถึงตอนที่รัมภาขอตามไปที่ไร่ผลไม้ด้วยตอนเด็กๆ มันเป็นรอยยิ้มแรกที่ออกมาจากใจจริงของเธอในรอบสองวันนี้

“แล้วลูกชายคุณสันติเขาไม่รอแย่หรือครับ?” ทิวากรถาม

รัมภาตอบ “ช่างเขาสิคะ หนูไม่ได้ชอบเขานี่ ถ้าเขาอยากเดินเล่น เขาไปเองก็ได้ ตาไม่ได้บอดสักหน่อยถึงต้องมีคนนำทาง”

ทิวากรหลุดหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าเด็กสาวผู้เรียบร้อยที่เขาไปรับจากสนามบินหายไปไหนแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงได้มีแต่คุณหนูผู้แสนงอนและเอาแต่ใจตัวเองยืนอยู่

“พวกพี่ไม่ว่าหรอกนะถ้ามินจะไปด้วย แต่คุณแม่ของมินล่ะจะยอมหรือเปล่า?” ริสาพูดอย่างจริงจัง ทำเอารัมภาหุบยิ้มเพราะทราบดีว่ามารดาผู้ถือตัวของเธอย่อมไม่ยอมแน่ แต่เด็กสาวยังคงพยายาม

“ให้หนูไปด้วยคนเถอะนะคะ ถ้าคุณแม่มาตาม หนูจะบอกว่าหนูหนีไปที่เต็นท์ชาวบ้านเพราะเจอลูกชายของพ่อเลี้ยงกำธรระหว่างทางที่เดินกลับมาจากห้องน้ำ”

ทิวากรชำเลืองมองริสาอย่างตัดสินใจไม่ถูก เขาไม่อยากให้คุณเรณูมาเดินตามลูกสาวและขึงตาใส่เขาแบบนั้นอีก ริสาสบตามองเขาก็หันไปสบตารัมภาที่ยืนกระพริบตาปริบๆ แล้วเธอก็หันกลับมาที่เขาอีกครั้งพลางพยักหน้า

“ให้มินไปด้วยเถอะหมิง คงไม่มีใครว่าอะไรหรอกถ้าลูกสาวของพ่อเลี้ยงจะไปต้อนรับชาวบ้านที่มาร่วมงาน”

“เย้ พี่โรสใจดีจังเลย” รัมภาพูดอย่างดีใจ เธอกระโดดเข้ากอดพี่สาวต่างมารดาจนเกือบจะพากันล้มไปทั้งคู่

ริสาหัวเราะออกมา เธอลูบแผ่นหลังของเด็กสาวอย่างเก้อเขิน ครั้งสุดท้ายที่เธอกอดรัมภาน่าจะสักสิบกว่าปีมาแล้ว แม่เลี้ยงของเธอคงไม่ชอบใจหากได้มาเห็นภาพนี้  

“พอแล้วมิน กอดแน่นจนพี่จะหายใจไม่ออกแล้ว” ริสายังคงหัวเราะขณะพูด

“ขอโทษค่ะ” รัมภารีบปล่อยตัวพี่สาวที่ยกมือลูบแก้มเธอทีหนึ่งอย่างเอ็นดู  ผู้หญิงย่อมมองผู้หญิงด้วยกันออกเสมอ ริสารู้ว่ารัมภากำลังมีความรัก และความรักของเด็กสาวแรกรุ่นมักเป็นความรักที่บริสุทธิ์จนทำใจยากที่จะไปขัดขวางไว้ แต่น่าเสียดายที่มารดาของรัมภาไม่คิดอย่างนั้น

แต่ทันใดนั้นเอง รอยยิ้มของสองพี่น้องต่างสายเลือดก็มีอันจางหายไปอย่างฉับพลันเมื่อบังเกิดเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากทางเต็นท์ที่จัดรับรองชาวบ้านพร้อมเสียงโต๊ะล้มและแก้วแตกโพล้งเพล้ง

ทุกคนชะงักกึก ก่อนที่ทิวากรจะวิ่งเหยาะๆ นำหน้าริสาและรัมภาไปถึงที่เกิดเหตุเป็นคนแรก แล้วเขาก็ต้องกระโจนเข้าไปภายในเต็นท์เมื่อเห็นบาส - หนึ่งในนักมวยเยาวชนทีมชาติที่เขาเพิ่งพูดให้ริสาฟังลงไปนอนกุมหัวเลือดท่วมใบหน้าอยู่บนพื้น ส่วนด้านหน้ามีเจ้าบอล – คู่หูของบาสกำลังโดนชายฉกรรจ์จำนวนสามคนเหวี่ยงไปอัดกับโต๊ะ และคว้าขวดเบียร์ฟาดใส่ศีรษะของบอลก่อนที่ทิวากรจะเข้าไปห้ามทัน

“เฮ้ย หยุด นั่นพวกลื้อทำบ้าอะไรหะ!”

เมื่อทิวากรคำราม ชายสามคนนั้นก็ลากตัวบอลขึ้นจากพื้นและเหวี่ยงมานอนกองอยู่ข้างกายบาส สองหนุ่มนักมวยเยาวชนร้องคราง พวกเขามีเลือดอาบศีรษะและใบหน้า หนุ่มตี๋ขยับมายืนขวางพวกเขาไว้เมื่อชายฉกรรจ์เหล่านั้นหักมือกร็อบแกร็บถลึงตามองทิวากรอย่างพร้อมจะมีเรื่อง

“นี่มันเรื่องอะไรกัน พวกลื้อเป็นใคร?” หนุ่มตี๋พูดเสียงเข้ม เขายืนตั้งท่าเยื้องขาตามหลักวิชาคาราเต้ที่ฝึกฝนตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยปีหนึ่ง มันทำให้เขาพร้อมที่จะโจมตีหรือฉากหลบได้ตลอดเวลาหากมีอะไรเกิดขึ้น เขาสูดหายใจเข้าออก ตั้งสติอยู่ที่คู่ต่อสู้เบื้องหน้า

ชายฉกรรจ์คนที่ยืนอยู่หน้าสุดแสยะยิ้มแล้วยักไหล่หยึกไม่ตอบคำถาม ทิวากรสังเกตพบว่าชายสามคนนี้สวมชุดแบบฟอร์มเหมือนผู้ติดตามของพ่อเลี้ยงกำธรเมื่อวาน แต่สามคนนี้อายุน้อยกว่า จัดอยู่ราวต้นยี่สิบและยี่สิบกลางๆ เท่านั้น

“อั๊วถามว่าพวกลื้อเป็นใคร มาทำคนของไร่บุษบายุธทำไม?” ทิวากรย้ำคำถาม ใบหน้าของเขาเข้มขรึมจนหัวคิ้วแทบจะขมวดรวมกัน

แต่อีกฝ่ายยังคงไม่ตอบ พวกมันหันมองกันและระเบิดเสียงหัวเราะเหมือนขบขันในคำถามของทิวากรเสียเต็มประดา จนชาวบ้านที่อยู่ในเต็นท์ทนไม่ไหว มีคนหนึ่งตะโกนออกมาว่า “ไอ้สามคนนี้มันหาเรื่องพวกเรา ไอ้บอลไอ้บาสเลยเข้าไปปราม แต่พวกมันมีคนมากกว่า คุณหมิงจัดการมันเลย”

เมื่อมีคนหนึ่งพูด ที่เหลือก็เริ่มส่งเสียงตามมาประสานกันดังอึงอลจนฟังไม่รู้เรื่อง แต่พอหนึ่งในชายฉกรรจ์เลิกชายเสื้อให้เห็นด้ามปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอว เสียงบรมขรมเมื่อครู่ก็เงียบหายไปทันที

ทิวากรยิ้มเม้มปาก นึกแปลกใจว่าจุดตรวจค้นอาวุธปล่อยให้คนพวกนี้พกปืนเข้ามาได้อย่างไร

“นักเลงตัวจริงเขาไม่ใช้ปืนขู่คนหรอก ลื้อคิดผิดเสียแล้วที่มามีเรื่องในงานนี้” หนุ่มตี๋พูด

แล้วทิวากรก็หันไปพยักพเยิดให้หนึ่งในคนงานเข้ามาลากตัวบาสกับบอลไปปฐมพยาบาลเบื้องต้น ปกติแล้วทิวากรไม่ใช่คนที่ชอบมีเรื่องเลย แต่พอชายฉกรรจ์ทั้งสามคนเดินล้อมวงตีกรอบเข้ามา เขาก็คงไม่มีทางเลือกเสียแล้ว และอีกอย่าง การอัดคนของตระกูลบุษบายุธในงานของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์ แม้ผู้บาดเจ็บจะเป็นเพียงเด็กในไร่ก็ตาม แต่มันก็คือการหยามเกียรติกันชัดๆ

แบบนี้เขายอมไม่ได้เด็ดขาด

“ใครก็ได้ ดูแลคุณโรสกับคุณมินด้วย” ทิวากรพูด ขยับถอยหลัง นำชายฉกรรจ์ทั้งสามคนให้เข้ามาอยู่ใจกลางเต็นท์ที่โต๊ะและเก้าอี้มีสภาพล้มคว่ำระเนระนาดเหมือนถูกพายุหมุนลูกย่อมๆ พัดผ่านจนเกิดเป็นพื้นที่โล่งขึ้นมา

ริสาและรัมภาที่หยุดยืนชะงักอยู่นอกเต็นท์เพราะเห็นกองเลือดจากศีรษะของบอลกับบาสถูกคนงานในไร่บุษบายุธลากตัวไปหลบอยู่ในกลุ่มของพวกเขา สองสาวพบว่าชายหลายคนในกลุ่มเดียวกับเธอ บ้างก็ริมฝีปากแตก บ้างมีเลือดกำเดาไหล บ้างหัวคิ้วแตกเลือดออกซิบๆ บ้างใบหน้าบวมปูด แสดงว่าคงไม่ได้มีแค่บอลกับบาสแน่ที่มีเรื่องวิวาทกับคนของพ่อเลี้ยงกำธร

รัมภาเห็นดังนั้นก็ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม คนงานพวกนี้ล้วนตัวใหญ่ผิวกร้านแดด มัดกล้ามที่แขนราวกับลิงกอลิร่า แต่ยังสู้กับสามคนนั้นไม่ได้ เมื่อเทียบกับทิวากรที่แม้จะตัวสูงและมีรูปร่างที่ไม่ได้ผอมแห้งจนเกินไปนัก แต่ชุดสูทสีดำกับเน็คไทที่เขาสวมใส่อย่างเรียบร้อย มันก็ทำให้เด็กสาวนึกภาพไม่ออกว่าพระเอกในดวงใจของเธอจะต่อสู้กับชายฉกรรจ์พวกนั้นได้อย่างไร

“พวกเราจะปล่อยให้พี่หมิงสู้คนเดียวหรือคะ?” รัมภาถามคนรอบตัว แต่ไม่มีใครสบตาเธอเลย เด็กสาวหันมองพี่สาวต่างมารดาที่สูงกว่าเธอประมาณสิบเซนติเมตร ความตื่นเต้นทำให้รัมภาจับแขนของพี่สาวแนบแน่นอย่างไม่รู้ตัว

ริสามองเห็นความมั่นใจในดวงตาของทิวากรฉายประกายเด่นกล้า เธอทราบอยู่แล้วว่าทิวากรร่ำเรียนคาราเต้จนคว้าสายดำมาคาดเอวได้ตั้งแต่สองปีก่อน ผิดกับรัมภาที่ไม่รู้อะไรเลยจึงเกิดความเป็นห่วง ริสาหันมาลูบมือของรัมภาที่จับแขนเธออยู่เบาๆ ก่อนหันไปยังชายคนหนึ่งที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นคนงานจากไร่บุษบายุธ เธอถามโดยที่พยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ

“ลุงคะ มีใครไปตามคุณอาพิชิตที่เต็นท์ฝั่งโน้นหรือยังคะ?”

ผู้ถูกถามผงกศีรษะตอบเธออย่างกระตือรือร้น “พี่เปล่งไปตามแล้วครับ เดี๋ยวก็คงมา คุณหนูจะให้ผมเรียกตำรวจมั้ยครับ”

ริสาส่ายศีรษะเพราะรู้ดีว่าแจ้งไปก็เท่านั้น ตำรวจไม่สามารถทำอะไรได้

ฉับพลันนั้น เสียงกรีดร้องของรัมภาก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงฮือของชาวบ้าน

(ต่อด้านล่าง)

แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 55 16:53:25

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 16:46:00




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com