ล่องกัลปาลัย บทที่ 8 และ 9
|
 |
สวัสดีครับ เพื่อนนักอ่านทุกคน
รอบนี้ ขอนำลงต่อเนื่องกันเลยนะครับ 2 บท ขอบคุณกิฟต์ จากคุณทะเลเดือดพันธุ์ร็อค, กุหลาบมอญ, Travel to the moon, รพิชา, มานีโอลา, แก้วกังไส, เพชรรุ้งพราย, wor_lek, นารีจำศีล, mementototem, Hermosa, เรียวรุ้ง, และคุณไก่ kdunagin ด้วยครับ
ช่วงนี้ใกล้ปิดเทอมเข้าไปทุกทีแล้วครับ สำหรับผมเอง เหตุการณ์ระทึกใจรอบปีที่ผ่านมานอกจากการดูแลคนป่วยที่บ้านจนเริ่มผ่านวิกฤตมาแล้ว ก็คือ การเข้ารับการตรวจประเมินคุณภาพสถาบันการศึกษาครับ หลายคนที่อาชีพครูเหมือนผมคงต้องเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกันแน่ๆ เหตุการณ์นี้ก็เพิ่งผ่านพ้นไปอย่างโล่งอกของทุกคนในคณะฯ ครับ ทั้ง สมส สกอ และล่าสุดคือ สภาวิชาชีพ : สามหน่วยงานพร้อมกันในปีเดียว! เสร็จงานวันจันทร์ที่ผ่านมาแทบสลบกันทั้งคณะ!!
ว่าแล้วก็มาต่อตอนที่ 8 กันเลยดีกว่าครับ
บทที่ 8
ปีระกาเอนกายพิงพนักเก้าอี้ หญิงสาววางหนังสือเล่มบางลงกับโต๊ะ เมื่อเห็นนาฬิกาเลื่อนเข้าใกล้เวลาสี่ทุ่มทุกขณะ ตามเวลาที่ได้รับการบอกเล่ามาก่อนแล้วว่า ไฟทุกดวงในคฤหาสน์แห่งทับสนธยาจะดับลงพร้อมกัน
แต่ความคิดของนักเขียนสาวกลับยิ่งจุดประกายพลุ่งโพลง เพลิดเพลินจากหนังสือเล่มนั้นที่ภูไทมอบให้มา แค่หนังสือบันทึกเล่มบางๆที่ขาดหายส่วนท้ายไปอย่างน่าเสียดายที่สุด
นี่คืออัตชีวประวัติที่หลวงอนุรักษ์วนาดรเขียนขึ้น ก่อนที่ท่านจะถึงแก่อนิจกรรมไปตามคำบอกเล่าที่ได้รับฟังมาแล้ว
แม้ว่าในเกือบยี่สิบหน้าแรก จะเป็นรายละเอียดทั่วไปของท่านผู้เป็นเจ้าของทับสนธยา บอกเล่าชีวิตในวัยเยาว์ของเด็กชายผู้กำพร้าบิดามารดามาตั้งแต่เกิด อาศัยความวิริยะอุตสาหะสร้างตัวเองขึ้นมา ด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ จนสามารถสอบได้รับทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อการป่าไม้ที่อินเดีย ตราบจนกลับเข้ามารับราชการในกรมป่าไม้แห่งพระนคร
หล่อนพยายามจินตนาการไปถึงเหตุการณ์ในยุคก่อนสงครามโลกที่เข้าสู่กึ่งพุทธกาลในสมัยนั้น
คุณหลวงอนุรักษ์วนาดรผู้เพิ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นคุณหลวงผู้หนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว ก็คงจะไม่ต่างบุรุษผู้ใช้ชีวิตอันแสนโก้หรูอยู่ไม่น้อยในสังคมชาวสยามเวลานั้น และต่อมาก็ได้มีโอกาสพบกับสุภาพสตรีสาวชาวพระนครผู้งดงามทรงเสน่ห์ ธิดาคนเดียวของท่านเจ้าคุณพิทักษ์พนาลัย ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของคุณหลวง ซึ่งนั่นก็คือคุณผอบแก้ว หรือคุณย่าทวดของเธอนั่นเอง
รายละเอียดต่อมาบอกเล่าเพียงคร่าวๆ เสียจนรู้สึกว่า คุณหลวงช่างเป็นนักย่อความตัวฉกาจเสียนี่กระไร แทนที่จะบรรยายที่มาที่ไป ระหว่าง พระเอก นางเอก รวมถึงฉากโรแมนติคสักหน่อยอย่างที่หล่อนคาดหวังตามประสานักเขียนนิยาย
เพราะรายละเอียดที่เหลือก็คือ จากนั้นไม่นานทั้งสองก็ได้สมรสกันตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่ทุกประการ ไม่มีอุปสรรคใดๆทั้งสิ้น เรื่องเล่าเหล่านี้ ทำให้ปีระกานึกในใจว่าถ้าหล่อนสามารถสัมภาษณ์คุณหลวงได้สำเร็จ ก็น่าจะนำมาเขียนบรรเลงเป็นนวนิยายรักโรแมนติคประทับใจได้สักเรื่องสองเรื่องเลยทีเดียว แทนที่จะเป็นบทเรียงความ ด้วยรูปประโยคบอกเล่าธรรมดาๆ เหมือนผู้เล่าจงใจจะข้ามเรื่องราวเหล่านี้ไปอย่างรวดเร็วเสียมากกว่า...
และหล่อนก็ได้รับคำตอบนั้นในบรรทัดถัดมา
เมื่อฉันได้แต่งงานอยู่กินกับแม่อบไม่นานนัก ทางกรมก็ได้ส่งตัวฉันให้มาทำงานอยู่ที่นี่ บ้านปางงิ้วดำในยุคสมัยนั้นยังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน การเดินทางต้องอาศัยช้างหรือม้าเท่านั้นเพื่อเดินทางเข้ามาถึงที่นี่ ซ้ำกินเวลาข้ามคืนข้ามวัน
คนที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวบ้านที่พูดเฉพาะภาษาท้องถิ่น พวกชนกลุ่มน้อยตามชายแดนที่ข้ามเขตแดนเข้ามาหาของป่าหรือลอบตัดไม้ และอีกพวกก็คือฝรั่งมังค่าที่กำลังติดต่อทำสัมปทานป่าไม้สัก แต่น่าแปลก ปางงิ้วดำกลับไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องผู้ก่อการร้ายมากมายเหมือนกับที่เคยได้ยินมา ก่อนหน้า ฉันพบว่าเมื่อเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว ผู้คนที่นี่ต่างก็มีอัธยาศัยไมตรีจนทำให้รู้สึกผูกพันกับที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเองที่เป็นสาเหตุให้เริ่มต้นคิดจะสร้างบ้าน อาศัยอยู่ที่บ้านปางงิ้วดำ แทนที่จะอยู่ปางไม้ที่ทางราชการจัดไว้ให้
ฉันพบพื้นที่แห่งนี้โดยบังเอิญ สภาพพื้นดินเป็นเนินเขาเล็กๆที่เงียบสงบและร่มรื่นถูกใจเหลือเกิน เมื่อพบว่าเจ้าของต้องการจะขายเพื่อเข้าไปอยู่ในเมืองแทน ฉันจึงตัดสินใจรับซื้อไว้ในราคาที่เหมาะสม บ้านหลังเล็กๆกลางหุบเขาอันเงียบสงบ เหมือนกับชีวิตในวัยเยาว์ที่ฉันเคยอาศัยอยู่กับท้องไร่ท้องนา เป็นชีวิตที่เรียบง่ายของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ชอบยืนอยู่ริมทุ่งนา และมองแสงตะวันลับขอบฟ้าในยามสนธยา
ตั้งใจว่าจะให้ชื่อเรือนพักหลังแรกในชีวิตของตนเองว่า ทับสนธยา
ในแสงตะวันยามอัสดงที่ฉาบไล้ลงมากลางพงพนา จนป่าทั้งป่าเปลี่ยนจากสีเขียวขจีกลายเป็นสีเหลืองกระจ่างตา สถานที่ที่ฉันยืนอยู่อย่างนี้ เป็นความอบอุ่นอ่อนโยน ก่อนการอำลาจากของวารวัน และในม่านแห่งสนธยาที่สลัวเลือนรางเช่นนี้ยังมีความหมายที่มีมากยิ่งไปกว่านั้น อันเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะเล่าให้ใครฟังได้ง่ายๆ มันคงจะเป็นความลับที่ฉันล่วงรู้และพานพบแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ฉันฝันไว้ว่า เมื่อถึงวันนั้น ทับสนธยาจะเป็นอีกโลกหนึ่งที่ฉันได้เข้ามาอยู่ และมีความสุขกับสิ่งที่ได้ค้นพบ!
แต่ไม่นึกว่าขณะเตรียมการสร้างทับสนธยาอยู่นั้น ก็เกิดสงครามขึ้นพอดี เพื่อความปลอดภัย เจ้าคุณพิทักษ์จึงตัดสินใจจะให้แม่อบอพยพมาอยู่ด้วยกันกับฉันเสียที่นี่ แม้ว่าหล่อนจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าใดนัก ด้วยชีวิตที่ค่อนข้างคุ้นชินกับความสะดวกสบายในพระนครมาโดยตลอด การจักต้องย้ายมาอยู่บ้านปางงิ้วดำในแดนทุรกันดาร และเดินทางไปมาไม่สะดวกเช่นนี้ แม้จะเงียบสงบร่มเย็นสักเท่าใดแต่ก็ไม่ใช่วิสัยที่หล่อนจะพอใจโดยง่าย ฉันจึงอยากจะทำให้หล่อนรู้สึกสะดวกสบายให้มากที่สุดเมื่อมาอาศัยอยู่ที่เรือนหลังใหม่ของเรา
หล่อนต้องการความสะดวกสบายมากกว่าเรือนพักธรรมดาอย่างที่ฉันปรารถนาเสียแล้ว เหมือนว่าความฝันของหล่อนไกลเกินกว่าที่ฉันจะคิดไปถึง เมื่อหล่อนบอกว่าต้องการให้ทับสนธยายิ่งใหญ่โอฬารสักเพียงใด
ฉันต้องกลับมาปรับปรุงต่อเติมอาคารตามรูปแบบที่หล่อนเคยเห็นจากหน้าหนังสือหรือมัคสิน (Magazine ) ต่างประเทศ ในข้อนี้ฉันยอมตามความต้องการของหล่อน แต่ก็ขอมีเงื่อนไขบางประการ แม้ว่าจะต้องใช้เงินตราจำนวนมากอยู่มิใช่น้อย เกินกว่ากำลังที่ฉันจะจัดหามาบำรุงบำเรอสนองตามความต้องการของหล่อนก็ตาม
แม่อบยินยอมตามข้อตกลงนั้น
ข้อตกลงอะไรกัน?
ปีระกาถามตัวเอง เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดที่ทิ้งท้ายเอาไว้เช่นนั้น แน่นอน คฤหาสน์หรือปราสาททับสนธยาแห่งนี้ต้องสร้างขึ้นด้วยจำนวนเงินมหาศาลอยู่ไม่ใช่น้อย ลำพังเงินเบี้ยหวัดเงินหลวงที่รับราชการเพียงอย่างเดียว สำหรับคุณหลวงหนุ่มไฟแรงผู้นี้คงจะไม่เพียงพอเป็นแน่
หล่อนอยากจะเดินย้อนกลับไปดูภาพวาด บุรุษหนุ่มหน้าคมสันอย่างชายไทยแท้ ที่อยู่ตรงมุขโถงประธานนั่นเสียจริง ชายหนุ่มข้าราชการกรมป่าไม้ผู้จบการศึกษาจากอินเดีย ผู้เป็นคุณหลวงหมาดๆ น่าจะมีความอ่อนหวานหรือ โรมานซ์ ได้มากกว่านี้ แต่จากที่อ่านในบันทึกเล่มนี้แล้ว ปีระกากลับรู้สึกราวกับคุณหลวงหนุ่มผู้นั้น น่าจะมีอายุสักหกสิบปีเป็นอย่างน้อย!
ช่างไม่เข้าใจความรู้สึกละเอียดอ่อนของคนเป็นเมียเลยสักนิดเดียว... แต่นั่นแหละ ประโยคต่อมาที่หลวงอนุรักษ์เขียนเอาไว้ ก็ทำให้หล่อนต้องอดอ่านตอนต่อไปไม่ได้อีกเช่นเคย
ข้อตกลงแท้จริงที่หลวงอนุรักษ์เขียนไว้หมายถึงอะไร?
อะไรที่คุณปู่ทวด หรือหลวงอนุรักษ์เขียนไว้ว่า เป็นข้อตกลงระหว่างกัน และเรื่องที่ไม่อาจเล่าให้ผู้ใดฟังได้ ความลับหรือสิ่งใดกันที่แม้แต่คุณย่าทวดอบก็ยังไม่ได้รับการกล่าวถึง?? แต่ดูเหมือนว่าท่านได้ทิ้งปริศนาเรื่องนี้เอาไว้เฉยๆ แล้วเขียนข้ามไปสู่เหตุการณ์ที่ทับสนธยาถูกสร้างจนเสร็จเรียบร้อย กลายเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่เกินกว่าจะคาดคิด
โชคดีที่เราได้นายช่างจากฝรั่งซึ่งมาช่วยทำงานกับสยามฟอเรสต์* มาช่วยเหลือดูแบบแปลนและก่อสร้างขึ้น เพื่อให้เกิดสะดวกสบายสำหรับแม่อบอย่างที่สุด แต่ฉันก็ไม่นึกฝันว่าหล่อนต้องการให้มันสวยงามวิจิตรเสียจนแทบจะเป็นปราสาทอย่างในหนังสือฝรั่งเช่นนั้น เราทุ่มเถียงกันหลายครั้งในเรื่องนี้ และสุดท้าย ฉันก็ต้องยอมแพ้หล่อนตามเคย
สิ่งเดียวก็คือ แม่อบไม่เคยซักถามสักคำเดียว ถึงจำนวนเงินที่ใช้ในการสร้างทับสนธยา ในแบบที่ตัวเองต้องการ หล่อนไม่ขอยุ่งเกี่ยวรับผิดชอบในข้อนี้ ไม่ไล่เลียงสอบถามที่มา นอกจากให้มันสร้างเสร็จสมบูรณ์ตามความประสงค์ และในฐานะของผู้เป็นสามีที่ดีสำหรับหล่อนที่ต้องสนองตอบในข้อนี้ให้ได้ ขอเพียงอย่ามายุ่งเกี่ยวกับมรดกพกสกนธ์ที่เป็นของหล่อนก็เพียงเท่านั้น
แม้ว่าฉันจะรู้อยู่เต็มอกว่าหล่อนก็คิดว่า ฉันได้ทรัพย์สินเหล่านั้นมาจากวิธีการอันไม่ชอบธรรม ใช้ความได้เปรียบของการเป็นข้ารัฐการเบียดบังยักยอกเงินหลวงมาใช้ เหมือนกับที่บางคนเคยกระทำจนเป็นเรื่องปกติวิสัย
สายตาที่หล่อนเผลอตัวจ้องมองมายังฉัน ในวันแรกที่มาถึงทับสนธยา บอกกับฉันเช่นนั้น
มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจเหลือเกินที่หล่อนคิดดูถูกสามีของตัวเอง แต่ก็ช่วยทำให้ ความลับของฉัน ถูกมองข้ามไปได้เช่นเดียวกัน เอาเถิด... ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจถึงความสุจริตมั่นคงของตัวเองเป็นที่ตั้งแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพะวงถึงความคิดของผู้อื่นให้เศร้าหมองใจไปโดยป่วยการเช่นกัน
กระนั้นคุณอบก็ยังไม่วายต่อว่า เมื่อเห็นทับสนธยา ถูกสร้างขึ้นในระยะแรก
คุณหลวงต้องการให้ฉันมาตกระกำลำบากอยู่กลางป่ากลางเขาอย่างนี้หรอกหรือคะ?
ฉันไม่เคยนึกว่า ผู้หญิงที่เรียบร้อย อ่อนหวาน จะเปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้ กลายเป็นผู้หญิงที่เจ้าทิฐิและไม่ยอมรับฟังความเห็นของผู้ใดทั้งสิ้น แต่นั่นแหละ การแต่งงานอยู่กินของเราก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากความรัก นอกจากความเห็นชอบของผู้ใหญ่มาตั้งแต่แรกแล้ว มันคงจะเป็นความผิดของฉันเอง ที่ได้ตัดสินใจยอมรับข้อนั้นมาตั้งแต่แรก
นี่มันคลุมถุงชนกันชัดๆ! โอย ถ้าเป็น นางสาวปีระกาแล้วจะไม่มีทางยอมเด็ดๆ
หล่อนคิดในใจระหว่างอ่านแต่ละบรรทัดที่ไม่ต่างกับบันทึกความในใจ จากคุณปู่ทวดผู้ล่วงลับ หลวงอนุรักษ์วนาดร ต้นตระกูลวงศ์วนาอันแท้จริง คงไม่รู้หรอกว่า ท่านได้เขียนเล่าความรักความหลังของท่านเกือบศตวรรษที่ผ่านมา ให้กับผู้เป็นรุ่นหลานเหลนได้อ่าน
หล่อนแอบถอนหายใจ เมื่อรู้ความจริงเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง
นั่นก็คือคุณทวด... หลวงอนุรักษ์ผู้นี้ ไม่เคยรักคุณทวดอบเลยแม้แต่น้อย! ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วย ความเห็นชอบจากผู้ใหญ่นั่นเอง นึกแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ในฐานะของภรรยาแล้ว คุณทวดอบท่านจะรู้สึกเช่นใดกันหนอ? และภายหลังจากคุณหลวงอนุรักษ์ท่านสิ้นแล้วเหตุไฉนคุณทวดอบจึงไม่ได้เดินทางกลับไปอยู่พระนครตามเดิม แต่กลับเลือกอาศัยอยู่อย่างเงียบเชียบภายในคฤหาสน์หลังใหญ่โตกลางป่าเขาลำเนาไพรเช่นนี้ตราบจนสิ้นลมหายใจสุดท้าย
ทุกบรรทัดในบันทึกเล่มนั้น ชี้ให้เห็นรอยปริร้าวของความสัมพันธ์ ที่ภายนอกคือคู่สมรสอันเหมาะสมด้วยฐานะและยศถาบรรดาศักดิ์ที่อำพรางสายตาคนภายนอกเอาไว้
ปีระกาพยายามนึกถึงความรู้สึกของสตรีผู้นั้น ที่หล่อนเองก็ไม่รู้จักตัวตนแท้จริง แม้แต่รูปร่างหรือใบหน้าว่าจะเป็นอย่างไร จนมาถึงอีกคำถามหนึ่งที่ค้างอยู่ในใจ
และใครกันเล่าคือสตรีที่คุณหลวงอนุรักษ์วนาดรจะหลงรัก?
หรือว่าไม่มีเลย!!
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นับว่าชีวิตของบุรุษหนุ่มผู้คมสันสง่างาม มีศักดิ์เป็นคุณทวดของเธอก็ช่างอาภัพเสียจริง ถ้าการแต่งงานไม่ได้เริ่มด้วยความรัก อย่างที่สมัยนี้ยึดถือเป็นเรื่องใหญ่มากกว่าความเหมาะสม เหมือนกับในอดีตแล้ว การอยู่ร่วมกันระหว่างสามี ภรรยา จะมีความสุขไปได้อย่างไรกัน??
น่าแปลกแม้จะเป็นเพียงหนังสือบันทึกส่วนตัวเล่มบางๆแถมยังมีไม่ครบเล่มเสียด้วยซ้ำ แต่กลับทำให้หล่อนต้องใช้เวลาในการอ่านนานกว่าหนังสือเล่มอื่นๆที่เคยอ่านมาก่อน ซ้ำยังไม่อาจอ่านจบได้เสียอีก
นักเขียนสาวจำใจวางหนังสือที่สอดที่คั่นเอาไว้แล้วลงกับโต๊ะไม้เมื่อรู้ว่าเวลาสี่ทุ่มใกล้เข้ามาแล้ว ทายาทสาวแห่งทับสนธยาเดินตรงมาที่เตียงนอน เห็นยายชลกำลังสวดมนตร์พึมพำอยู่บนที่นอนอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่ไม่น้อย
สี่ทุ่มตรง!
ทันทีเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาแขวนจากผนังห้อง ดังกังวานขึ้นตามกำหนดเวลา แสงจากดวงไฟทั้งหมดในคฤหาสน์แห่งทับสนธยาก็ดับพรึ่บลงพร้อมกัน แม้จะเตรียมใจไว้แล้วก็ตามแต่ปีระกาก็ยังอดสะดุ้งโหยงไม่ได้ ส่วนชลธรยิ่งแล้วใหญ่ หญิงสาวไม่กลัวอะไรมากเท่าความมืดอย่างนี้ แม้จะมีแสงจากดวงตะเกียงที่จุดเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วก็ตาม
ยังไม่ยอมหลับยอมนอนอีกหรือยะยายปี?
ชลธรในชุดนอนเนื้อโปร่งบางสีชมพูสวยหวานไม่ผิดกับคุณหนูแสนสวยเมื่อสวดมนตร์เสร็จเรียบร้อย เจ้าตัวก็รีบเอนกายลงนอนทันที หญิงสาวอดหันมาทักปีระกาไม่ได้ ในแสงสว่างของดวงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาร่วมกับแสงตะเกียงกลางห้อง เห็นภาพเพื่อนสาวตัวแสบกำลังไขตะเกียงแก้วอีกดวงหนึ่งขึ้น จนมองเห็นเปลวไฟลุกโชน ขับสว่างสีนวลกระจ่างขึ้นในท่ามกลางความมืดทึบรอบด้าน
ปีระกาหันกลับมาหลิ่วตาให้อย่างมีเลศนัย
ยังไม่ง่วงน่ะสิ ว่าจะหาอะไรทำเล่นๆซะหน่อย
ชลธรเบ้ปาก แม้จะรู้สึกชินกับความคิดแผลงๆของหล่อนมาก่อนแล้วก็ตาม
เอาอีกแล้ว! ไหนแกว่าจะมาพักผ่อนไง สงสัยฉันจะคิดผิดน่ะนี่ ที่มาด้วยกันกับเธอนี่น่ะ
ก็ยังไม่เหนื่อยนี่นา ยายชล ถ้าแกง่วงก็นอนไปก่อนเหอะ อย่างฉันมันประเภทนกฮูกน่ะ ยิ่งดึกยิ่งตาสว่าง แถมไฟฟ้าก็ไม่มี สัญญาณอะไรก็ไม่มา จะเปิดโน้ตบุ้คเล่นอินเทอร์เนตก็ทำไม่ได้อีก คิดแล้วก็หาอะไรกระชุ่มกระชวยหัวใจเล่นดีกว่า แก้เซ็ง!
งั้นก็ตามใจ แต่ช่วยล็อคประตูด้วยนะยะ อยู่ที่นี่มืดๆคนเดียว ถึงจะนอนแล้ว ยังไงก็อดกลัวไม่ได้หรอก
ชลธรยกมือปิดปากเมื่อหาวออกมา ในขณะที่ปีระกาชูพวงกุญแจแกว่งเล่นต่อหน้าเพื่อนสาวเพื่อยืนยันความมั่นใจจนชลธรพยักหน้ารับ หล่อนมองปีระกาสวมเสื้อยืดกางเกงสามส่วนขยับกายอย่างทะมัดทะแมงแล้วก็ส่ายหน้า
ว่าแต่แกแน่ใจนะยายชล ว่าไม่อยากออกไปท่องราตรีนี้ด้วยกันน่ะ
ปีระกาถามเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นเพื่อนรักส่ายหน้าจนผมกระจายแล้วก็รีบยกหมอนขึ้นปิดหน้าบังแสงจากดวงตะเกียงแยงนัยน์ตา
เพี้ยนไปรึเปล่ายายปีเอ๊ย! มืดตึ๊ดตื๋ออย่างนี้น่ะนะ เชิญเธอเสด็จไปสำรวจราตรีนี้คนเดียวเหอะจ้ะคุณปีระกา ถ้าเป็นท่องกรุงเทพราตรีก็ว่าไปอย่าง... ดิฉันขอตัวนอนก่อนแล้วล่ะค่ะ คุณปีเจ้าขา ขอเชิญเล่นพิเรนทร์สนุกไปคนเดียวเหอะ! ตอนนี้คุณชลน่ะหมดแรงข้าวต้มแล้ว
เพียงแค่เผลอกระพริบตาเท่านั้น ก็เห็นชลธรรีบก้มหน้างุด นอนขดตัวนิ่งบนเตียงนอน ก่อนจะผ่อนลมหายใจบางเบา เข้าสู่ห้วงภวังค์อย่างรวดเร็ว เหมือนกลัวหล่อนจะบังคับให้ออกไปด้วยกันอย่างไรอย่างนั้น!
ยายชลเอ๊ย หลับง่ายเสียจริง สงสัยขโมยขึ้นบ้านก็คงจะไม่มีทางตื่นแน่ๆ
นักเขียนสาวโคลงศีรษะเล็กน้อย แล้วจึงหันกายกลับไปที่ประตูห้อง สิ่งที่สะกิดใจตั้งแต่ตอนเย็นทำให้หล่อนรู้ดีว่าเป้าหมายในราตรีนี้คือสถานที่ใด
หอคอยปีกตึกฝั่งใต้ ที่มาของประกายแสงประหลาดนั่นเอง!
มือของปีระกาเลื่อนไปจับลูกบิด แล้วเตรียมหมุนเพื่อเปิดประตูห้อง คิดว่าในยามวิกาลเช่นนี้ ผู้ร่วมอาศัยอีกเพียงคนเดียวที่รู้จักก็คือ ทนายภูไท คงจะไม่บ้าจี้ตื่นขึ้นมาแน่นอน
ลูกบิดโลหะหมุนเสียง กริ๊กเพียงครั้งเดียว แล้วก็คลายล็อคเปิดออกอย่างง่ายดาย หล่อนจึงขยับบานประตูแง้มออกช้าๆ จากส่วนที่มองเห็นออกไปภายนอกคือความมืดข้นเหมือนน้ำหมึกรอคอยอยู่แล้ว ให้ตายเถอะ! ดูๆไปแล้วที่นี่ก็แทบไม่ต่างกับปราสาทลึกลับในนิยายสยองขวัญไม่มีผิด หญิงสาวลังเลใจเล็กน้อย และเมื่อนั้นเอง สายลมวูบหนึ่งก็พัดเข้ามาปะทะผิวกายจนขุมขนลุกเกรียว
เมื่อได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ริมหู เสียงที่พอจับใจความได้เพียงแว่ว
อย่า... อย่าออกไปนะ ปีระกา
อย่าไป!!
************************ *หนึ่งในสี่บริษัทป่าไม้อังกฤษที่เข้ามารับสัมปทานของสยามในยุคนั้น บริษัทสยามฟอเรสต์เปลี่ยนชื่อเป็นแองโกลไทย ในภายหลัง
แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 55 21:43:56
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
22 มี.ค. 55 21:41:14
|
|
|
|