34
สายไหมเดินผ่านประตูเข้าไปในร้านกาแฟเล็ก ๆ จุดประสงค์คือหาขนมไปเป็นของฝากแก่บุคคลที่จะไปหา แม้คิดได้ช้าไปเล็กน้อย แต่ดีว่ายังไม่พ้นเขตตัวเมือง ในร้านขนาดอาคารหนึ่งคูหามีโต๊ะเก้าอี้แค่สามชุด หนึ่งในนั้นมีคนคู่หนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว เป็นผู้หญิงวัยราวหกสิบปีแต่งตัวภูมิฐานกับชายผิวเข้มร่างล่ำสันอายุประมาณสี่สิบ หญิงสาวไม่ได้ตั้งใจจะมอง แต่ระหว่างการเลือกขนมหูได้ยินบทสนทนา
“คุณรู้ไหมแบบนี้มันเสี่ยงมากนะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดผมเกรงว่าคุณ...”
“ไม่ต้องห่วงหรอก” น้ำเสียงเย็นแต่แข็งกร้าวแทรกขึ้นก่อนอีกฝ่ายพูดจบ “ลืมไปแล้วหรือไงว่าเขาเป็นใคร ฉันไม่ปล่อยให้เขาเดือดร้อนแน่”
สายไหมเลือกเค้กช็อคโกแลต
“ฉันหวังว่านี่จะดับความร้อนใจของคุณได้ รวมทั้งความสงบเสงี่ยมด้วย”
เธออดคิดไม่ได้ว่า ตอนที่จ่ายค่าขนมอาจจะพร้อมกับการตกลงกันของคนคู่นี้เลยกระมัง หญิงสาวได้ยินเสียงเก้าอี้เลื่อน เหลือบมองเห็นฝ่ายชายเดินออกไป จึงหันกายเตรียมตัวออกจากร้าน เพียงไม่กี่ก้าวถึงประตูก็ยังอุตส่าห์ได้ยินอีกประโยคทิ้งท้าย
“ฉันเองนะ ส่งคนมาลงมือได้เลย”
น่าแปลกที่หญิงสาวไม่ได้ลืมเรื่องนี้อย่างที่ควรจะเป็น
สายไหมจอดรถใต้ร่มก้ามปู มองฝ่าเปลวแดดไปเจอกับบ่อน้ำซึ่งแสงอาทิตย์สะท้อนผิวน้ำระยิบระยับคล้ายอัญมณี เธอถอดแว่นกันแดด หยิบถุงพลาสติกที่เบาะข้างคนขับ ตำหนิตนเองที่ลืมติดร่มมาสักคัน แต่ในที่สุดก็เปิดประตูลงเดิน พื้นที่ซึ่งเรียกว่า ‘ฟาร์มปูนิ่ม’ กว้างขวางไม่น้อย นอกจากบ่อน้ำที่มีสะพาน ถัดไปดูเหมือนจะมีอีกบ่อ มีรั้วเตี้ย ๆ กันไว้ มีอาคารคล้ายโกดังเก็บของ และตู้คอนเทนเนอร์สีส้มอยู่ไกลออกไปตรงเนิน
คนบนสะพานนั้นมองเห็นเธอก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้เสียอีก ทั้งหมดชะลอการทำงานเหมือนรอที่จะทักทาย หญิงสาวกวาดสายตา ไม่เจอคนที่เธอต้องการ
“สวัสดีค่ะ มาหานายเข้ อยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ”
“อยู่ที่สำนักงานครับ” ชายคนนั้นชี้มือ ดวงตาวิบวับ สายไหมแกล้งทำไม่เห็น ส่งยิ้มแข็ง ๆ ให้แล้วรีบก้าวออกมา พยายามไม่เก็บเอามาเป็นอารมณ์ คนต่างจังหวัดก็แบบนี้กิริยามารยาทไม่สำรวม ช่างเถอะ
หญิงสาวเดินมาถึง สำนักงานที่ทำจากตู้คอนเทนเนอร์ตั้งอยู่บนเนินเล็ก ๆ มีบันไดขึ้นห้าหกขั้น ประตูเป็นกระจกติดสติกเกอร์สีขุ่นกรองแสง เธอเพ่งสายตาแล้วเคาะเรียก คนข้างในคงได้ยินเสียงเพราะมองเห็นการเคลื่อนไหว
ผู้ชายตัวสูงหน้าเคราเป็นคนเปิดต้อนรับ สายไหมไม่เคยเห็นคนนี้ เธอส่งยิ้มหวาน
“สวัสดีค่ะ มาหานายเข้น่ะค่ะ”
ธรณิศพยักหน้าและเบี่ยงตัวออกแทนคำตอบให้ผู้มาเยือนได้เห็นคนที่ต้องการพบซึ่งกำลังนั่งจดบันทึกอะไรบางอย่างสลับกับมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ ชายหนุ่มหันมามองเป็นคำถาม ครั้นแล้วก็นิ่ง
“ไหม”
“สวัสดีค่ะเข้”
เขมรัฐลุกเดินออกมา ธรณิศจึงเคลื่อนกายกลับไปที่โต๊ะอย่างรู้งาน บัณฑิตานั่งอยู่ด้วย เธอละสายตาจากเกมส์ระเบิดเพชรแล้วมองผู้มาเยือนอย่างสงสัย
“มาได้ยังไงนี่” นายฟาร์มถามพลางชี้ชวนให้นั่งเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม
“ถามทางเขามาน่ะ” สายไหมตอบยิ้ม ๆ
“มาจากกรุงเทพเหรอ”
“ค่ะ”
เขมรัฐพยักหน้ารับแล้วนึกได้ว่ามีสายตาอีกคู่กำลังมองจึงหันไปแนะนำ “ไหม นั่นกบ ผู้ช่วยผม นั่นบุ้งแฟนกบ” ทั้งสองฝ่ายยิ้มให้กันตามมารยาท ธรณิศผงกศีรษะตามสไตล์แล้วกลับไปเรียงบิลค่าน้ำมันใส่แฟ้ม ขณะที่บัณฑิตานั้นมองแว่บเดียวก็เหมือนจะอ่านผู้มาเยือนทะลุปรุโปร่ง แต่ก็ยังไม่ทิ้งความสงสัยในดวงตากลมโต
สายไหมทำท่านึกได้ ยื่นถุงขนมให้ “เข้...คือไหมไม่รู้จะซื้ออะไรมาฝาก อย่าว่ากันนะ มามือเปล่ามันแปลก ๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก” ชายหนุ่มรับ มองหญิงสาวตรงหน้าที่เขาไม่ได้เห็นมาสิบกว่าปี เธอดูสวยเฉี่ยว ทะมัดทะแมง แม้จะใส่แค่กางเกงยีนส์กับเสื้อเชิ้ตตัวยาวลายขวาง มีเข็มขัดดอกไม้สีม่วงคาดเอว ใบหน้าแต้มเครื่องสำอางค์รับกับผมยาวดัดลอนยุ่ง ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ได้กลิ่นหอมจากเรือนกายเป็นเสน่ห์อย่างผู้หญิงในเมืองกรุง
อาจจะแปลกตาเนื่องจากกาลเวลา หากแต่ใบหน้านั้นยังมีเค้าความน่ารักที่เขาเคยหลงใหล
เขมรัฐผ่อนลมหายใจ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขาคิดไว้อยู่แล้วเรื่องการได้พบกันอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์ที่ร้านอาหารวันนั้น
“ขอบคุณนะ ดื่มอะไรดี กาแฟ เดี๋ยวไปนั่งเล่นข้างในดีกว่า” เพราะสังเกตท่าทางเก้อเขินประดักประเดิด กับรังสีอยากรู้อยากเห็นจากบัณฑิตาส่งมาเป็นระยะจึงกล่าวตัดบท เขาลุกขึ้นผายมือ ผู้มาเยือนลุกตาม
“ฝากแป๊บนะกบ”
“ครับ”
แล้วทั้งสองคนก็เดินผ่านสำนักงานในยังเรือนพักด้านใน
เมื่อลับสายตาไปแล้ว บัณฑิตาเริ่มทันที
“พี่กบ คิดเหมือนที่บุ้งคิดไหม”
“ไม่ได้คิด”
“รับมุกหน่อยสิพี่กบ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครน่ะ ไม่เห็นนายฟาร์มหางชี้หูตั้งเลย”
“พูดไม่เพราะเลยบุ้ง” ธรณิศทำเสียงเข้ม หญิงสาวหน้าจ๋อยไปแว่บหนึ่ง
“งั้นพูดใหม่ ไม่เห็นพี่เข้กระดื้กระด๊าอย่างที่เคยเป็นเลย” เธอขมวดคิ้ว “ไปหย่อนเบ็ดยังไงถึงได้มาหาพี่เข้ถึงที่ จะว่าเพื่อนปูนิ่มก็ไม่น่าใช่ แววตาที่พี่เข้มองมันแปลก ๆ แทนที่จะดีใจที่เห็นสาวสวย กลับนิ่งแถมดูกังวลนิด ๆ ด้วย...” เธอพูดไปเรื่อยแต่เห็นคนตรงหน้ายังสนใจอยู่กับบิลค่าน้ำมันก็อารมณ์เสีย
“พี่กบ”
“ก็ว่าไปสิ ฟังอยู่
“พี่ไม่ได้ฟังซะหน่อย”
“รู้แล้วนี่”
“พี่กบ!”
ห้องรับแขกเป็นแค่พื้นที่ว่างโล่งไม่มีโต๊ะเก้าอี้ ชายหนุ่มจึงเดินนำไปที่ครัว เปิดตู้เย็นแล้วมองเชิงถาม ผู้มาเยือนขอน้ำเปล่า สายไหมมองห้องที่จัดไว้เหมือนรีสอร์ทเล็ก ๆ “เข้พักที่นี่เหรอ”
“แค่ช่วงงานเยอะนะ แคบหน่อยนะ”
เธอนั่งที่เก้าอี้ มีความรู้สึกวาบหวิวประหลาด คิดว่าต้องไม่ใช่เกิดจากกลิ่นดินชื้น ๆ แน่
“ตกใจเหมือนกันนะที่เจอไหม”
สายไหมมองแก้วน้ำที่เขาวางบนโต๊ะ ไม่ส่งให้กับมือ “วันนี้หยุดเลยแวะมาเที่ยว คราวก่อนเจอยังไม่ได้คุยกันเลย รบกวนเข้ทำงานหรือเปล่า”
“ไม่หรอก ไม่ได้ยุ่งอะไร”
เขมรัฐขยับมานั่งฝั่งตรงกันข้าม ประสานมือตรงหน้า อีกฝ่ายสังเกตกิริยาดูเป็นทางการ สีหน้าไม่เปลี่ยนดังคำที่กล่าวถึงความไม่คาดฝันตัวเอง
“เก่งนะนี่ มาถูก”
สายไหมยิ้มเจื่อน เธอควรจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นแต่เรียบเรียงคำไม่ได้ซะที “ก็อย่างที่บอก ถามเขามา คนที่ร้านน่ะ”
“อืม”
“เข้สบายดีนะ”
“ก็ตามประสา ไหมล่ะ”
“ดีค่ะ”
“ทำอะไรอยู่ล่ะ”
บรรยากาศดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขมรัฐเปิดฝ่ายยิงคำถาม สายไหมจึงผ่อนคลายลง เริ่มพูดคุยเรื่องทั่ว ๆ ไป สารทุกข์สุขดิบ หน้าที่การงาน รวมไปถึงคนในครอบครัว
“แม่ล่ะ”
แววตาคนฟังตวัด “ไม่รู้สิ คงสบายดีมั้ง อยู่กับคนมีเงินนี่นา”
เขมรัฐจับน้ำเสียงไม่พอใจจึงไม่ถามต่อ เกรงจะสร้างบรรยากาศไม่ดีให้กับการสนทนา ภาพผู้หญิงแต่งหน้าแต่งตัวจัดจ้านอยู่ในความทรงจำ สองแม่ลูกคงมีความคิดไม่ตรงกันเหมือนในอดีต คล้ายคลึงกับของบัณฑิตา หากแต่สายไหมมีลมใจหายใจแกร่งกว่า อย่างน้อยเขาก็รู้สึกได้
“เข้นี่ไม่เบาเลยนะ ดูแลกิจการใหญ่ขนาดนี้”
เธอเปลี่ยนเรื่องไป เขายิ้ม “เป็นของแม่ซะส่วนมาก ของผมจริง ๆ แค่ฟาร์มปูนิ่มนี่เอง”
สายไหมนิ่งเล็กน้อย ‘ผม’ ผิดกับวัยแรกแย้มที่โลกสดใส ชายหนุ่มแทนตัวเองว่าเข้ทุกคำ นี่คงเป็นเครื่องยืนยันความจริงปัจจุบันอีกประการ
“แต่ยังไงเข้ก็ต้องรับช่วงดูต่ออยู่ดีนี่ ไหมไม่คิดว่าบ้านเข้จะมีกิจการใหญ่ขนาดนี้” เธอจิบน้ำ ปลายเสียงคล้ายรำพึง คนฟังไม่ค่อยเข้าใจแต่ไม่ตีความหมาย
“แสดงว่าพ่อเข้ก็ยังอยู่กรุงเทพเหรอ”
“ใช่”
แล้วต่างฝ่ายก็เงียบกันไป สายไหมกำลังตัดสินใจ เขมรัฐเองก็เหมือนรอเวลา เธอควรจะถามในสิ่งที่ความอยากรู้แน่นสุมอกได้เสียทีหลังจากที่คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้อ้อมไปมาหลายนาที
“เข้”
เขามองหน้าเธอ “ครับ”
สายไหมรู้สึกหายใจขัด “เด็กคนนั้น...ลูก ใช่ไหม”
ชั่ววินาทีหนึ่งเขมรัฐมีความคิดจะปิดบัง แต่มองไม่เห็นประโยชน์ การกระทำแบบนั้นจะยิ่งก่อกำแพงและทำร้ายความรู้สึกของโขงเสียมากกว่า เขาเองก็ต้องตระหนักความจริงว่าถึงอย่างไรผู้หญิงที่นั่งตรงหน้าคือแม่ของลูกชายสุดที่รัก
“อืม”
หัวใจคนฟังรัวจังหวะทันใด นั่นเป็นจุดประสงค์แรกที่เธอมาวันนี้ เพื่อค้นหาคำตอบ อุบัติเหตุเล็กน้อยกลายเป็นสิ่งที่เสมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้นเมื่อคำเรียกตำแหน่งออกจากปากของเด็กชายที่ทำน้ำแข็งหก พยายามรำลึกใบหน้านั้น เค้าโครงแทบไม่ต่างจากพ่อเป็นหลักฐานที่มองเห็นได้
แต่คนเป็นแม่ล่ะ ใช่เธอหรือเปล่า คำถามนั้นกวนใจกระทั่งได้รู้
เด็กคนนั้นคือคนที่เธอคลอดออกมา...
ลูก...ขอบตาคนฟังร้อนผะผ่าวขณะมองผู้ชายคนแรกในชีวิต สิบกว่าปีย่อมมีความเปลี่ยนแปลง จากเด็กหนุ่มเลือดร้อน พ่อค้าขนมจีบจอมหลี กลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัวในวัยสามสิบสองซึ่งมีทั้งความเป็นผู้ใหญ่ ดูสุขุมทั้งอารมณ์และสติปัญญา
เธอ...ปล่อยเขาไปได้ยังไงกันนะ
หญิงสาวต้องตำหนิความตาต่ำของตัวเอง เพราะขนาดเห็นแล้วยังนึกไม่ออกว่าเขาเป็นเจ้าของร้าน ถ้าไม่ได้แอบถามจากลูกจ้างพม่าจึงได้รู้ว่านอกจากร้านอาหาร ชายหนุ่มยังมีกิจการแพปลา ฟาร์มปูนิ่ม เท่าที่ฟังน้ำเสียงที่แฝงความภูมิใจแสดงว่าเขาคงมีหลักมีฐานมั่นคงไม่น้อย
อดีตเด็กผู้ชายจอมเจ้าชู้คนนั้น
สายไหมกะพริบตาไล่ความตีบตันที่เอ่อคลอ สูดลมหายใจลึกสองสามหนสงบอารมณ์
“ขอไหมเจอลูกได้หรือเปล่า” ตอนถามแทบจะกลั้นหายใจ “เข้บอกเขาว่ายังไงเรื่องแม่ หรือบอกว่าแม่ตายแล้ว”
“ไม่ได้พูดแบบนั้น ถ้าอยากเจอก็ได้ แต่ต้องบอกโขงก่อน”
รอยยิ้มยินดีแต้มบนใบหน้าสวย “ชื่อโขงเหรอ ดูเข้ากันดีนะ พ่อเข้ ลูกโขง”
“ไม่ได้ตั้งเองหรอก คนที่แพเขาเรียกก็เรียกกันมาแบบนั้น”
สายไหมหมุนแก้วน้ำในมือไปมา เงียบครู่หนึ่ง “แล้วแม่เลี้ยงเขาดีไหม” เหมือนโยนหินถามทาง แต่เขมรัฐเข้าใจ
“เขายังไม่ได้ตำแหน่งนั้น”
“แต่ก็คบกันอยู่ใช่ไหม”
“ไหมล่ะ ท่าทางมีความสุขดีนะ” เขายิ้มบาง เท่านั้นคนมองก็ใจไหว นอกจากสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ ยังจับความฉลาดที่สายตาเฉียบคมมองออกว่าเธอมีคนรักเพื่อจะเปลี่ยนเรื่องได้อีก
หญิงสาวกรอกตา “ก็เรื่อย ๆ ไม่ดีนักหรอกมีคนมีเจ้าของมาตามตื้อน่ะ”
เขมรัฐหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่เธอหย่อนเบ็ด แต่ชายหนุ่มคงวางไว้ว่าหัวข้อนี้คือเรื่องส่วนตัว ไม่มีการถามต่อและไม่แสดงความเห็น รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะปิดโอกาสที่เธอจะถามเรื่อง ‘ผู้หญิงข้างกาย’ เขาไปโดยปริยาย
ไม่เป็นไร โอกาสไม่ได้มีแค่นี้
“งั้นเดี๋ยวไหมกลับแล้วนะ” เธอขยับกระเป๋าสะพาย
“อ้าว”
“มากวนเวลาเข้ทำงานเยอะแล้ว”
เขมรัฐลุกตามเธอ “พักที่ไหนล่ะ หรือว่ากลับกรุงเทพเลย”
“ว่าจะกลับเลยน่ะ พรุ่งนี้จะได้พักผ่อน วันจันทร์งานเยอะ” สายไหมพูดยิ้ม ๆ มองชายหนุ่มที่ยืนนิ่งคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“งั้นเดี๋ยวเอาปูนิ่มไปกินนะ”
เธออดผิดหวังไม่ได้ อุตส่าห์คิดว่าเขามีข้อเสนออะไรเสียอีก แต่ไม่ได้แสดงออก ได้แค่พยักหน้ารับแล้วเดินออกจากเรือนพักนั้นมา บอกลากับคนที่นั่งอยู่ สายตาของหญิงสาวตัวเล็กไม่ค่อยไปทางเดียวกับรอยยิ้มนัก หากสายไหมก็ไม่เก็บมาใส่ใจ
เขมรัฐให้ของฝากเป็นปูนิ่มไปหลายกิโล สายไหมยิ้มแย้ม ก่อนจะบอกลาเธอกล่าวคำขอบคุณ
“งั้น...เสาร์หน้า ไหมมาใหม่นะ”
ความหมายของเธอก็คือ มาเพื่อจะได้แนะนำตัวกับลูกชาย ชายหนุ่มเข้าใจ พยักหน้ายิ้มบาง ๆ ให้ สายไหมขึ้นรถ ค่อย ๆ ขับเคลื่อนออกไป นายฟาร์มมองตาม
สายลมพัดเธอมา แต่คงไม่ใช่ลูกเดิม
.....
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
23 มี.ค. 55 09:50:25
|
|
|
|